ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 3 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 47 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสิน | กค. | 01/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
(Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสิน
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และรับทราบโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ
SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยปี ๒๕๖๗ ภายใต้โครงการ PGS
๑๑ ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลัง สถาบันการเงิน
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรรับทราบการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ
SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยปี
๒๕๖๗ ภายใต้โครงการ PGS ๑๑ ของ บสย. ให้ผู้ประกอบการ SMEs
และผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงสินเชื่อกับสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการฟื้นฟูกิจการ
ทั้งนี้ บสย. ควรบริหารจัดการโครงการ PGS ๑๑
โดยไม่กระทบกรอบวงเงินการขอรับชดเชยจากรัฐบาลและเงื่อนไขอื่น ๆ ภายใต้โครงการ PGS
๑๑ ที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๗
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | โครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND | กค. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติโครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอสำหรับการพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาล
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงการคลัง [ธนาคารออมสิน
และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)]
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรดำเนินการตามแผนและใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่มเป้าหมายเป็นสำคัญ
รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการให้บรรจุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ตลอดจนขอให้ดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ
และควรมีแนวทางในการชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินโครงการอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อบริหารจัดการภาระทางการคลังของรัฐให้เป็นไปตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบฐานข้อมูล SMEs เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับการใช้กลไกการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงสำหรับสินเชื่อรายย่อย
(Risk-Based Pricing) เพื่อให้ต้นทุนทางการเงินสะท้อนตามความเสี่ยงของลูกหนี้แต่ละราย ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับเพิ่มกลุ่มเป้าหมายของโครงการสินเชื่อ
IGNITE THAILAND ให้ครอบคลุมถึงวิสาหกิจรายย่อย (Micro SMEs) สถาบันเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนด้วย
รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล) เสนอความเห็นเพิ่มเติมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 11 | กค. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(Small and Medium Enterprises
: SMEs) ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee
Scheme ระยะที่ ๑๑ เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอสำหรับการพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและเป็นแรงขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้ในระยะยาว
รวมถึงเป็นการสนับสนุนศักยภาพด้านเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ของรัฐบาล ตลอดจนการปรับตัวเพื่อรับมือให้ทันกับสถานการณ์หรือวิกฤตที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ สำหรับภาระงบประมาณของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio
Guarantee Scheme ระยะที่ ๑๑ วงเงินรวม ๗,๑๒๕
ล้านบาท ให้กระทรวงการคลัง [บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
(บสย.)] ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการเก็บค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เช่น
ค่าธรรมเนียมการจ่ายค่าประกันชดเชย ค่าจัดการค้ำประกัน
ค่าดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อ เป็นต้น ให้ บสย. พิจารณาเก็บค่าธรรมนียมด้วยความเหมาะสมและเป็นธรรม
เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้ประกอบการ SMEs และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ และการดำเนินการตามมาตรการ/โครงการที่มีผลทำให้รัฐต้องชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐ
จะต้องดำเนินการให้อยู่ภายในสัดส่วนตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
ตามมาตรา ๒๘ และให้มีการรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวบรรลุผลสัมฤทธิ์และมีความคุ้มค่าอย่างแท้จริงตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรพิจารณาจัดสรรวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ
และอัตราค่าธรรมเนียมที่รัฐบาลจ่ายแทนให้แก่ SMEs แต่ละโครงการย่อยให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมาย SMEs ที่ควรได้รับความช่วยเหลือเป็นสำคัญ
เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (บสย.)
ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๑๑
ไม่ให้เกิดความช้ำซ้อนกับโครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND และโครงการให้ความช่วยเหลือ
SMEs อื่น ๆ ในลักษณะเดียวกันด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง บสย.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทาง
รวมทั้งประสานกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจของโครงการฯ
ให้แก่กลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน ถูกต้อง
เพื่อให้สามารถเข้าถึงการค้ำประกันสินเชื่อได้อย่างทั่วถึงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ปี 2565 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค. | 18/10/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย
ปี ๒๕๖๕ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมจำนวน ๒๑ มาตรการ เช่น มาตรการพักชำระหนี้
มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ
มาตรการสินเชื่อเคหะแก่ผู้ประสบภัยพิบัติ มาตรการขยายเวลาชำระหนี้ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
สำหรับลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ มาตรการสินไหมเร่งด่วน สำหรับกรมธรรม์ประกันภัย
มาตรการสินเชื่อ SMEs Re-Start มาตรการเพิ่มวงเงินกู้ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ บสย. เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับสินเชื่อภายใต้พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 | กค. | 22/03/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบในหลักการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ดังนี้ ๑.๑ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะพิเศษ Soft
Loan Extra เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
ที่ได้รับสินเชื่อภายใต้พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่จะครบกำหนดเวลาการชำระหนี้คืนให้ยังคงได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้สามารถประคับประคองกิจการและพยุงการจ้างงานภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอน
สำหรับภาระงบประมาณของโครงการ จำนวน ๑๕,๗๕๐ ล้านบาท ประกอบด้วย
การชดเชยการจ่ายค่าประกันชดเชยในอัตราไม่เกินร้อยละ ๑๖ ของวงเงินอนุมัติค้ำประกัน
(ร้อยละ ๑๖ ของวงเงิน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท) จำนวน ๑๔,๔๐๐ ล้านบาท
และค่าชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน (ร้อยละ ๑.๕ ของวงเงิน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท) จำนวน
๑,๓๕๐ ล้านบาท ตลอดอายุโครงการไม่เกิน ๘ ปี
เห็นควรให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ขอให้ บสย.
ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน
หากไม่เพียงพอจึงขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒
การปรับปรุงการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio
Guarantee Scheme ระยะพิเศษ Soft Loan พลัสเพื่อลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการ
SMEs ที่เข้าร่วมโครงการ Soft Loan พลัส
ให้มีสภาพคล่องเพิ่มเติมในการดำเนินกิจการในช่วงที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง สำหรับภาระงบประมาณของโครงการเป็นการชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน
จำนวน ๑๐๔.๒๗ ล้านบาท (ร้อยละ ๑.๕ ของวงเงิน ๖,๙๕๑ ล้านบาท) เห็นควรให้ บสย.
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
โดยให้ บสย. จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบเพื่อควบคุมสัดส่วนของภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(Non-Performing Guarantee : NPG) โดยพิจารณาสัดส่วนการชดเชยภาระค้ำประกันและอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อที่เหมาะสม
และจัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดอย่างถูกต้องครบถ้วนและเป็นรูปธรรม ๒. ให้กระทรวงการคลัง
โดย บสย. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรการดำเนินมาตรการค้ำประกันสินเชื่อโดยการขอรับการชดเชยจากรัฐบาลภายใต้พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ และภายใต้พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔ ควรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งเห็นควรให้ บสย.
เริ่มดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะพิเศษ Soft Loan Extra ให้ทันกับการทยอยครบกำหนดเวลาชำระคืนหนี้ที่จะเริ่มครบกำหนดในวันที่
๑๙ เมษายน ๒๕๖๕ ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | นร | 16/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเท่าเทียมกันและป้องกันไม่ให้ภาคธุรกิจเกิดสภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงิน คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ โดยควรให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่มีหลักทรัพย์หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่เพียงพอในการขอสินเชื่อจากธนาคาร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | มาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย | กค | 07/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การส่งเสริมขีดความสามารถของ SMEs เป็นวาระแห่งชาติ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งพิจารณาและกำหนดมาตรการในการส่งเสริมขีดความสามารถของ SMEs ในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบและรับทราบมาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย ซึ่งเป็นมาตรการเพื่อช่วยเหลือ SMEs ในกลุ่มที่ต้องการสภาพคล่อง กลุ่มที่กำลังจะถูกฟ้อง และกลุ่มที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย (๑) โครงการ บสย. SMEs สร้างไทย ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (๒) โครงการ Transformation Loan เสริมแกร่ง (Soft Loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ ๒) ของธนาคารออมสิน (๓) โครงการ GSB SMEs Extra Liquidity ของธนาคารออมสิน (๔) โครงการ PGS ๕ ถึง PGS ๗ และ (๕) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการต่อไปให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ รวม ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น (๑) สถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจควรพัฒนาระบบฐานข้อมูล SMEs ที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อใช้วิเคราะห์ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะกระบวนการพิจารณาสินเชื่อหรือการค้ำประกัน การบริหารความเสี่ยง และการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์กำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง และ (๒) การกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ควรครอบคลุมการเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีเจ้าหนี้อื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (non-bank) ด้วย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงการคลังประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการในการช่วยเหลือ SMEs ให้สาธารณชนรับทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง รวมทั้งให้กระทรวงการคลังติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีทุก ๆ ๓ เดือน ด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 24/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๗ โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและการจ่ายค่าชดเชย เป็นดังนี้ ๑.๑ ภาระงบประมาณของโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓ จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย การชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกันในปีแรก อัตราร้อยละ ๒ ต่อปี จำนวน ๓๐๐ ล้านบาท และการชดเชยการจ่ายค่าประกันชดเชยอัตราร้อยละ ๑๘ ของวงเงินค้ำประกัน จำนวน ๒,๗๐๐ ล้านบาท เห็นควรให้ บสย. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ภาระงบประมาณของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๗ จำนวน ๑๓,๕๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย การชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกันในอัตราเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ ๒.๒๕ ของวงเงินค้ำประกันเป็นจำนวนไม่เกิน ๓,๓๗๕ ล้านบาท และการชดเชยการจ่ายค่าประกันชดเชยตลอดอายุโครงการ ๑๐ ปี เป็นเงินจำนวนไม่เกิน ๑๐,๑๒๕ ล้านบาท เห็นควรให้ บสย. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย บสย. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินและไม่เคยใช้บริการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ก่อนเป็นลำดับแรก การกำหนดคุณสมบัติผู้ประกอบการที่ขอรับการค้ำประกันควรกระจายวงเงินให้ครอบคลุมผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs รายเล็กในต่างจังหวัดที่มีศักยภาพมากขึ้น รวมทั้งการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและความรับผิดชอบจ่ายค่าประกันชดเชยต่อราย SMEs และการจ่ายค่าประกันชดเชยสูงสุดต่อ Portfolio ซึ่งกำหนดตามความเสี่ยงของผู้ประกอบการรายย่อย หรือตามความเหมาะสมของแต่ละกลุ่ม SMEs ควรพิจารณาให้สะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง โดย บสย. ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการและสถาบันการเงินผู้เข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๗ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการให้ชัดเจนและทั่วถึง รวมทั้งให้ติดตามการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันมิให้การปรับลดอัตราการจ่ายค่าประกันชดเชยเป็นอุปสรรคต่อการขอรับสินเชื่อของผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | ขอขยายระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 2 | กค | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ จากเดิม สิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ เป็น สิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลัง [บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)] ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เพื่อให้การขยายระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ เกิดประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น สามารถปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยได้มากขึ้นและปิดโครงการได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ รวมทั้งมีกลไกในการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ อย่างเป็นรูปธรรม ให้กระทรวงการคลัง โดย บสย. ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ เร่งประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายให้ทราบถึงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ของโครงการฯ เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการรายย่อยมาเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มมากขึ้น ๒.๒ จัดทำรายงานผลการดำเนินโครงการฯ และผลสัมฤทธิ์ รวมถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ เพื่อช่วยเร่งติดตามและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) ปรับปรุงใหม่ | กค | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๖) ปรับปรุงใหม่ (โครงการ PGS ระยะที่ ๖ ปรับปรุงใหม่) โดยรัฐบาลรับภาระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันแทนผู้ประกอบการ SMEs สี่ปีแรกในอัตราร้อยละ ๑.๗๕ ร้อยละ ๑.๒๕ ร้อยละ ๐.๗๕ และร้อยละ ๐.๒๕ ตามลำดับ และให้สถาบันการเงินร่วมชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันในปีที่ ๒ ถึง ๔ ในส่วนที่เหลือ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ไม่มีภาระการจ่ายค่าธรรมเนียมใน ๔ ปีแรก รวมทั้งเพิ่มความรับผิดชอบจ่ายค่าประกันชดเชย จากเดิมสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๒๓.๗๕ เป็นสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ย ณ วันสิ้นอายุการค้ำประกัน และอนุมัติงบประมาณชดเชยเพิ่มเติมไม่เกิน ๘,๓๐๒.๕๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๖ ปรับปรุงใหม่ และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อของโครงการ PGS ระยะที่ ๖ ปรับปรุงใหม่ เป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย บสย. รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรส่งเสริมให้มีการกระจายวงเงินให้ครอบคลุมผู้ประกอบการ SMEs รายเล็ก และผู้ประกอบการ SMEs ในต่างจังหวัดที่มีศักยภาพมากขึ้น และให้มีการออกแบบลักษณะการเก็บข้อมูลเพื่อสร้างข้อมูลของสินเชื่อภายใต้โครงการ PGS ระยะที่ ๖ ปรับปรุงใหม่ เพื่อให้มีข้อมูลที่ครบถ้วนในการใช้วิเคราะห์ประสิทธิภาพของนโยบายและเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบโครงการเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งควรทำข้อตกลงกับสถาบันการเงินถึงกลไกการสนับสนุนค่าธรรมเนียมการค้ำประกันในปีที่ ๒-๔ ให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan | กค | 21/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ จำนวน ๒,๒๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (บสย.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำหรับกรณีของค่าประกันชดเชย ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการฯ ก่อนเป็นลำดับแรก ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดกรอบ นิยาม เงื่อนไข หรือแนวทางในการอนุมัติสินเชื่ออย่างชัดเจน มีความโปร่งใส และชี้แจงได้ การกำหนดเงื่อนไขให้ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นนิติบุคคล การจัดทำบัญชีและการตรวจสอบบัญชีโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต การยื่นงบการเงินเป็นประจำทุกปี การบ่มเพาะและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการใหม่ (New/Start-up) ที่ใช้นวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจให้มากขึ้น การให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่มีแนวโน้มเติบโตเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ๔.๐ ในการหาตลาดส่งออก การกระจายวงเงินสินเชื่อของโครงการฯ แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่ออย่างทั่วถึง และคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเกี่ยวกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ ๓ ต่อปี ในช่วง ๓ ปีแรก โดยจะปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยในปีที่ ๔-๗ และความเห็นเพิ่มเติมของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ขอปรับแก้ไขหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๑๓/๑๕๑๒ ลงวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ในข้อ ๓ จากเดิม “.... เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง จึงเห็นควรกำหนดให้ผู้เข้าร่วมโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan จะต้องไม่เป็นผู้ได้รับสินเชื่อในโครงการ Policy Loan มาก่อน” เป็น “.... เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง จึงเห็นควรให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) พิจารณาการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ที่ไม่เคยเข้าร่วมโครงการ Policy Loan เป็นลำดับแรกก่อน” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการปล่อยสินเชื่อ เช่น ธนาคารออมสิน หรือธนาคารกรุงไทย เป็นต้น เข้าร่วมดำเนินโครงการฯ ด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธพว. และ บสย. ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มเป้าหมายทราบถึงรายละเอียดโครงการอย่างถูกต้องทั่วถึง เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาร่วมโครงการต่อไป รวมทั้งให้ ธพว. และ บสย. ดำเนินการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้การดำเนินธุรกิจประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เช่น จัดฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ และให้คำแนะนำในการวางแผนธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ SMEs เป็นต้น ๕. ให้กระทรวงการคลังนำเสนอโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเพื่อบรรจุไว้เป็นโครงการสำคัญของรัฐบาลที่ต้องติดตามเร่งรัดต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินการโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในภาพรวมเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) | กค | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการค้ำประกันสินเชื่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๖) (PGS ระยะที่ ๖) มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่มีศักยภาพแต่ขาดหลักประกันให้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อสถาบันการเงินได้มากขึ้น และช่วยเหลือ SMEs ในภาคส่วนต่าง ๆ ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้น รวมทั้งช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการอนุมัติสินเชื่อให้กับ SMEs เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในการจ่ายค่าประกันชดเชยให้แก่สถาบันการเงินในอัตราไม่เกินร้อยละ ๒๓.๒๕ ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ๕,๗๕๐ ล้านบาท ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อของโครงการ PGS ระยะที่ ๖ ก่อน หากไม่เพียงพอ จึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ส่วนแหล่งเงินการจ่ายค่าประกันชดเชยจาก บสย. วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท ให้ บสย. จัดทำแผนการบริหารจัดการและแผนการบริหารความเสี่ยง โดยมีการจัดหาเงินรายได้สำหรับนำมาใช้จ่ายค่าประกันชดเชยดังกล่าวอย่างเหมาะสมและชัดเจน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินโครงการนี้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการในระยะต่อไป ให้กระทรวงการคลังรวบรวมข้อมูลผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบทุกด้านของโครงการ PGS ระยะที่ ๖ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งมาตรการและแนวทางปรับปรุงแก้ไขปัญหาดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๒.๒ ให้ บสย. และสถาบันการเงินร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์ในการคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อให้ได้ลูกค้าที่มีคุณภาพและมีคุณสมบัติตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการให้ความช่วยเหลืออย่างแท้จริง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เช่น อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ ควรมีแผนการบริหารความเสี่ยงเพื่อควบคุมสัดส่วนของการค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPG) ไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย ๒.๓ โดยที่การให้ความช่วยเหลือในด้านการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดย่อมถือเป็นภารกิจหลักของ บสย. และเป็นภารกิจที่สอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ สมควรที่กระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการให้ บสย. พิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานให้มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เน้นการทำงานเชิงรุก โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตรงตามความต้องการของตลาด เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถลดการพึ่งพิงงบประมาณภาครัฐได้ในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 (ปรับปรุงใหม่) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 | กค | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ (ปรับปรุงใหม่) จากเดิม สิ้นสุดรับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินแล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน เป็น สิ้นสุดรับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินแล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน ในส่วนของกรอบวงเงินงบประมาณ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขอื่น ๆ ของโครงการประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ ๕ ยังคงให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการดังกล่าว ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยไม่มีการขยายระยะเวลาต่อไปอีก ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการทางการเงินผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในอนาคตด้วยความรอบคอบ โดยค้ำประกันสินเชื่อให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีความจำเป็น ต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง การคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการด้วยความระมัดระวังและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ การกระจายโอกาสสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่จะเข้าร่วมโครงการให้ทั่วถึงและไม่ซ้ำซ้อน การกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการที่เหมาะสม การให้ บสย. เร่งประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน การให้ความสำคัญกับการลดสัดส่วนหนี้ NPGs ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การประมาณการเป้าหมายการค้ำประกันสินเชื่อและวงเงินชดเชยที่ขอจัดสรรจากสำนักงบประมาณให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง และการพิจารณากำหนดให้ บสย. นำรายได้จากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันมาร่วมสมทบจ่ายชดเชยค่าความเสียหายกรณีที่เป็น NPGs ด้วย เพื่อเป็นการลดภาระทางด้านงบประมาณของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลการดำเนินการและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ ๕ (ปรับปรุงใหม่) เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 2 ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 23/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ ตามที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เสนอ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้น และช่วยลดปัญหาการกู้เงินนอกระบบของผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs และปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเพื่อขอใช้งบประมาณคงเหลือจากโครงการ PGS New/Start-up ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ และโครงการ PGS OTOP ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับเรื่องงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้ บสย. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการทบทวนแหล่งที่มาของเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ และการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในระยะต่อไป ให้ บสย. ทบทวนเงื่อนไขและวัตถุประสงค์ของโครงการไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกันและสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนโครงการให้ประสบความสำเร็จ รวมทั้งบริหารจัดการภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) ในโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว ไม่ให้เร่งตัวขึ้นจนกลายเป็นภาระของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน | กค | 08/09/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs โดยธนาคารออมสินให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ และธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs เฉพาะการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยมีเงื่อนไขไม่ให้ Refinance หนี้เดิม วงเงินโครงการรวม ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการเป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๒๐,๐๒๐ ล้านบาท ๑.๒ ทบทวนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ (PGS-5) เดิมที่เคยได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และอนุมัติหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ PGS-5 โดยมีวงเงินค้ำประกัน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท อายุการค้ำประกันไม่เกิน ๗ ปี และอนุมัติงบประมาณการชดเชยความเสียหาย จำนวน ๑๔,๒๕๐ ล้านบาท ๑.๓ เห็นชอบการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีกำไรสุทธิตั้งแต่ ๓๐๐,๐๐๑ บาทขึ้นไป จากเดิมร้อยละ ๑๕ และ ๒๐ ของกำไรสุทธิ เป็นร้อยละ ๑๐ ของกำไรสุทธิ เป็นเวลา ๒ รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ จนถึงรอบระยะเวลาบัญชีวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๑.๔ เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ (New Start-up) โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ในอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักที่มีศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่จดทะเบียนพาณิชย์ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ เป็นเวลา ๕ รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน ๑.๕ มอบหมายให้กรมสรรพากรดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มาตรการ ตามข้อ ๑.๓ และ ๑.๔ มีผลบังคับใช้โดยเร็วต่อไป ๒. ในส่วนของงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs จำนวน ๒๐,๐๒๐ ล้านบาท ให้ธนาคารออมสินเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละปีตามความจำเป็นและเหมาะสม สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการ PGS-5 ให้ บสย. ขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ส่วนการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่สมควรได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการ PGS-5 ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพให้มีความเข้มแข็ง มีความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งการเข้าถึงโครงการ PGS-5 อย่างทั่วถึงของผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนการกำหนดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมาย เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการพิจารณาธุรกิจที่จะร่วมลงทุนและเป็นประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 | กค | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ในส่วนของวงเงินค้ำประกันในส่วนที่เหลือ จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยกำหนดให้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการคิดอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการในอัตราไม่เกิน MLR+๒ และกำหนดให้จ่ายค่าประกันชดเชยกรณีที่เป็นภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) ทั้งโครงการรวมทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของวงเงินค้ำประกัน และจ่ายค่าประกันชดเชยตามภาระค้ำประกัน SMEs แต่ละราย (Coverage Ratio per SMEs) เป็นสัดส่วนร้อยละ ๗๐ ของภาระประกัน (สถาบันที่เข้าร่วมโครงการรับภาระในส่วนร้อยละ ๓๐ ที่เหลือ) ๑.๒ งบประมาณเพื่อดำเนินการตามโครงการ PGS ระยะที่ ๕ เพิ่มเติมอีกจำนวน ๓,๘๐๕ ล้านบาท โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เบิกจ่ายตามภาระที่เกิดขึ้นจริงโดยทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อที่ขอปรับปรุงใหม่ควบคู่กับ Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเดิมไปก่อนเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการที่มีข้อผูกพันตามกรอบวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเงื่อนไขเดิม สำหรับภาระงบประมาณเมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการที่ปรับปรุงแล้วจะมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ บสย. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ตามช่วงระยะเวลา ซึ่งหากไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ให้ยุติการดำเนินการโครงการดังกล่าวทันที และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่สมควรได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพให้มีความเข้มแข็ง มีความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน และเห็นควรให้มีหลักการดำเนินการทั้งแบบเดิมและแบบใหม่ควบคู่กันไป โดยการกำหนดวงเงินให้ชัดเจนและให้มีการประเมินผลการดำเนินการ หากหลักการใหม่ใช้ได้ดี ก็สามารถยกเลิกหลักการเดิมได้ รวมทั้งให้มีการรายงานผลการดำเนินการเมื่อครบ ๓ เดือนให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 | กค | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ (PGS 5) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ ปี ๒๕๕๖ บรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน ๑๘,๒๓๙ ราย วงเงิน ๖๑,๕๐๓ ล้านบาท และปี ๒๕๕๗ มียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน ๒๑,๐๓๐ ราย วงเงิน ๕๔,๐๔๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา ๒ ปี บสย. มียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อรวมจำนวน ๓๙,๒๖๙ ราย วงเงิน ๑๑๕,๕๕๐ บาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงิน จำนวน ๑๙๕,๒๕๕ ล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างงาน จำนวน ๘๒๖,๓๔๐ คน ๑.๒ ปัจจุบันโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 มีภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) อยู่ที่ร้อยละ ๘.๕ ของภาระค้ำประกันทั้งหมด โดย บสย. ได้ขอรับการชดเชยความเสียหายจากรัฐบาลตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง จำนวน ๑,๒๒๕.๔ ล้านบาท แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ บสย. เร่งดำเนินการร่วมกับสถาบันการเงินในการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของโครงการ PGS ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม รวมทั้งบริหารจัดการภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPGs) ไม่ให้เร่งตัวขึ้นจนกลายเป็นภาระของรัฐบาลในการสนับสนุนการดำเนินโครงการ PGS ในระยะต่อไป ไปประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | โครงการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | กค | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเงื่อนไขมาตรการเพิ่มวงเงินที่รัฐชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทนผู้ประกอบการ SMEs ที่ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อผ่านโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ เพิ่มอีกจำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้มีผลบังคับใช้กับลูกค้าที่ยื่นขอค้ำประกันสินเชื่อนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของมาตรการดังกล่าวเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ งบประมาณในการดำเนินมาตรการเป็นวงเงินไม่เกิน ๘๗๕ ล้านบาท และเงื่อนไขโครงการ Policy Loan งบประมาณในการดำเนินโครงการเป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๓,๒๒๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ บสย. ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ หรือขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในปีงบประมาณถัดไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามมาตรการให้เป็นตามเป้าหมาย และควรมีการพิจารณาผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการให้มีความหลากหลายของประเภทกิจการ ทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยเฉพาะกิจการที่ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม องค์ความรู้และภูมิปัญญาของไทย รวมทั้งความครอบคลุมของพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดการกระจายการลงทุนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และควรมีมาตรการคัดกรองผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการที่ละเอียด รอบคอบ และรัดกุม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงการเกิดหนี้สูญและเพื่อให้ได้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กระทรวงการคลัง และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเร่งประชาสัมพันธ์โครงการหรือมาตรการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | โครงการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs | สลธ.คสช. | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการมาตรการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) และ (๒) มาตรการเพิ่มวงเงินที่รัฐชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทน SMEs ในปีแรกที่ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อผ่านโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ เพิ่มอีกจำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ในการขยายสินเชื่อ ให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) พิจารณาขยายวงเงินให้เหมาะสมต่อไป สำหรับอัตราชดเชยดอกเบี้ย ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนด โดยจะต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่รัฐชดเชยในโครงการอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ เช่น โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง และโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะชดเชยในอัตราร้อยละ ๓ ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามระยะเวลาดำเนินโครงการ และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ส่วนโครงการมาตรการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs ที่เหลืออีก ๘ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการ Machine Fund (๒) มาตรการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (Specialized Financial Institutions : SFIs) สามารถผ่อนปรนการวิเคราะห์สินเชื่อให้กับ SMEs ที่ติด Blacklist กับเครดิตบูโร (๓) มาตรการผ่อนปรนการปฏิบัติตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๗ (๔) มาตรการชะลอการโอนอำนาจจากกระทรวงการคลัง (๕) มาตรการทบทวนการกำหนดตัวชี้วัด (Key Performance Indicator : KPI) ของ SFIs ให้สอดคล้องกับพันธกิจ (๖) โครงการขยายสาขาธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ให้ครอบคลุมพื้นที่ที่เป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญ (๗) โครงการจัดตั้ง Website และ (๘) โครงการศูนย์ให้บริการธุรกิจ SMEs แบบครบวงจร มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) รับไปพิจารณาทบทวนเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | แนวทางบรรเทาความเดือดร้อนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบการดำเนินการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ที่เกี่ยวข้องตามมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ มาตรการสินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร และมาตรการสินเชื่อเพื่อ SMEs ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ ได้แก่ ๑.๑.๑ มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ โดยธนาคารออมสิน มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับลูกค้าของธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ โดยการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้เป็นเวลา ๖ เดือน โดยสามารถชำระเงินต้นบางส่วนพร้อมดอกเบี้ยปกติ หรือพักชำระเงินต้นแต่ให้ชำระเฉพาะดอกเบี้ยปกติเต็มจำนวน และการให้กู้เพิ่มเติมกรณีฉุกเฉิน หรือเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเฉพาะในกรณีภัยพิบัติ วงเงินรวม ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับลูกค้าของ บสย. โดยกำหนดให้สามารถพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันได้เป็นระยะเวลา ๖ เดือน สำหรับลูกค้าของ บสย. ที่ถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุการค้ำประกัน ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ มาตรการสินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร ประกอบด้วย ๔ โครงการ ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงินสินเชื่อรวม ๖๕,๙๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ โครงการสินเชื่อสำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โครงการเพิ่มสินเชื่อตลอดห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร และโครงการสินเชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก (บัตรสินเชื่อเกษตรกร) ๑.๓ มาตรการสินเชื่อเพื่อ SMEs วงเงินสินเชื่อรวม ๔๕,๖๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อ SMEs สุขใจ โดยธนาคารออมสิน โครงการสินเชื่อสนับสนุนผู้ประกอบการตามยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม โครงการขยายสินเชื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต ๒ (Productivity Improvement Loan-2) โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โครงการขยายสินเชื่อแก่ SMEs โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) โครงการสินเชื่อเพิ่มสุข โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โครงการ SMEs Halal Trade โครงการสินเชื่อมาตรฐาน SMEs Flexi & Sure และแคมเปญ Happy Together โดยธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์มาตรการรับภาระค่าธรรมเนียมค้ำประกันแทนผู้ประกอบการในโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ ในปีแรก หลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ PGS สำหรับผู้ประกอบการ OTOP และวิสาหกิจชุมชน และหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Package Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ทั้งนี้ ให้ดำเนินโครงการตามหลักเกณฑ์มาตรการดังกล่าวในระยะสั้นและเสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อน ๓. อนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการตามข้อ ๒ ภายในกรอบวงเงิน ๓,๗๑๒.๕๐ ล้านบาท โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่าง ๆ ภายใต้หลักเกณฑ์มาตรการฯ ข้างต้นอย่างใกล้ชิด ให้สามารถติดตามและตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการ/โครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ |