คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ (คศก.) เกี่ยวกับ
รายงานการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 
2543  ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เสนอ  สรุปได้ว่า  การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการ 
เงิน ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2543 มีลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างแล้วเสร็จจำนวนทั้งสิ้น 281,225 ราย  มูลหนี้   
รวม 1,656.768 ล้านบาท โดยลูกหนี้ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม  การสาธารณูปโภค  และ 
การค้าส่งค้าปลีก ซึ่งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและภาคกลางเป็นสำคัญ    ส่วนความคืบหน้าในการปรับปรุง  
โครงสร้างหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายของคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้  (คปน.)  ณ     
วันที่ 30 สิงหาคม 2543 มีลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จ 5,147 ราย  มูลหนี้รวม  1,070,970  ล้าน   
บาท  โดยลูกหนี้ส่วนใหญ่อยู่ในภาคการพาณิชย์  การอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล  และการอุตสาหกรรม  ตาม
ลำดับ    สำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้  (NPL)  ยอด  NPL  คงค้าง  ณ  สิ้นเดือนกรกฎาคม 
2543 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,597,400 ล้านบาท และสินเชื่อรวม 5,107,100 ล้านบาท  NPL  ต่อสินเชื่อรวมเท่า  
กับร้อยละ  31.28   รวมทั้งรับทราบตามที่ผู้ว่าการ  ธปท.  ชี้แจงเพิ่มเติมว่า  ธปท.  ได้กำหนดให้สถาบันการ  
เงินเปิดเผยข้อมูล  NPL  ให้เร็วขึ้น และมีความระมัดระวังในการบริหารงานยิ่งขึ้น  ในส่วนของการดำเนินการ 
สนับสนุนสินเชื่อแก่ลูกหนี้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม  (SMEs)  เป็นเงินทุนหมุนเวียน รายละไม่เกิน   
20  ล้านบาท  นั้น  บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ต้องใช้เวลาพิจารณาเรื่องการค้ำ  
ประกันสินเชื่อค่อนข้างนาน เนื่องจากเป็นวงเงินจำนวนมาก     นอกจากนี้  ธปท.  อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล 
เบื้องต้นเกี่ยวกับการกลับเข้ามาเป็น NPL ใหม่ และข้อมูลเกี่ยวกับคดีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ค้างในศาล  
เพื่อนำมาประมวลเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายต่อไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการให้สินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับปี  2543  ซึ่งวงเงินให้  
สินเชื่อและวงเงินค้ำประกันสินเชื่อที่สถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องจะให้ความสนับสนุนแก่ SMEs มีวงเงินรวมทั้งสิ้น  
50,300  ล้านบาท   และแนวทางการเพิ่มศักยภาพในการให้สินเชื่อของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม  
(บอย.) และการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยการปรับโครง  
สร้างคณะกรรมการ บอย. ใหม่  โดยให้มีผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาเป็นกรรมการมากขึ้น   ทั้งนี้   ให้กระทรวงการคลัง 
เป็นผู้พิจารณา และกำหนดเป็นเงื่อนไขให้  บอย.  จัดส่งมาตรการหรือแผนการลด  NPL  รวมทั้งวิธีการควบคุม 
ไม่ให้เกิด NPL ใหม่ ให้แก่กระทรวงการคลังก่อนการเพิ่มทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

               คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ (คศก.) คือ เห็นชอบ 
เกี่ยวกับมาตรการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)  ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ  โดย 
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของ คศก. (เกี่ยวกับการเร่งรัดการวิจัยเทคโนโลยเพื่อ 
พัฒนา SMEs  และนำผลการวิจัยมาใช้อย่างจริงจัง  การสนับสนุนด้านการตลาดแก่ผู้ประกอบ SMEs  โดยเฉพาะ  
ผู้ประกอบการในส่วนภูมิภาคอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด การเร่งรัดดำเนินการจัดตั้งศูนย์เพาะบ่ม  (Incubator)  ใน 
นิคม SMEs การให้สถาบันการเงินพิเศษพิจารณาสินเชื่อให้เป็นไปตามกลไกของธุรกิจและหลักเกณฑ์ของสถาบัน 
การเงินนั้น ๆ  และการเร่งรัดเพิ่มทุนบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บอย.)  และบรรษัทประกันสินเชื่อ  
อุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)  ต้องดำเนินการไปพร้อมกับการปรับปรุงองค์กรให้มีความเข้มแข่ง) ไปพิจารณา
ดำเนินการต่อไป
           

               คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ  (คศก.)  คือ  รับทราบ 
รายงานความคืบหน้ามาตรการเร่งด่วนทางการเงินเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ตามที่
กระทรวงการคลังเสนอ  (เกี่ยวกับผลการปล่อยสินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เกี่ยว 
ข้อง และธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ 1 มกราคม 2542 - 31 มีนาคม 2542) และเห็นชอบให้กระทรวงการคลัง  
เร่งรัดการพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT)  และ  
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม  (บอย.)  จะปล่อยกู้ให้ภาคเอกชนภายใต้โครงการแผนปรับโครงสร้างอุตสา  
หกรรม เสนอ คศก. ภายใน 1 สัปดาห์     กับให้กระทรวงการคลังเร่งรัดให้ บอย. นำแผนปรับปรุงประสิทธิภาพการ 
บริหารงานของ บอย. เสนอกระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันพิจารณา แล้วนำเสนอ คศก. ภายใน
2 สัปดาห์ รวมทั้งให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รับความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระ 
ทรวงพาณิชย์ (นายไพฑูรย์ แก้วทอง) (เกี่ยวกับการรายงานจำนวนผู้ขอให้ค้ำประกันและผู้ไม่ได้รับอนุมัติการค้ำประ 
กัน ตลอดจนเหตุผลของการไม่อนุมัติต่อ คศก.) ไปดำเนินการด้วย

          รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้บริการค้ำประกัน    
สินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย. ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ      

          คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขายหุ้นจำนวน 117,500 หุ้น ให้แก่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม
ขนาดย่อม ในราคาตามบัญชี (BOOK VALUE) ณ วันสิ้นเดือนก่อนหน้าวันที่จะจำหน่ายหุ้น (ราคา ณ 
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2536 เท่ากับหุ้นละ 117.45 บาท)  ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการ
จำหน่ายหุ้นบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม        และรับทราบการนำเงินจากการ
ขายหุ้นบรรษัท ฯ  ซึ่งกระทรวงการคลังจะฝากไว้ใน "บัญชีเงินฝากเพื่อการซื้อหุ้น" ตามที่กระทรวง
การคลัง เสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการ แล้ว
เสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป

          คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังจำหน่ายหุ้น    บรรษัทประกันสินเชื่อ
อุตสาหกรรมขนาดย่อย (บสย.) โดยจำหน่ายหุ้นของ  บสย. จำนวน 117,500 หุ้น มีมูลค่า
ตามบัญชี 12,905,025 บาท (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2536 ราคาตามบัญชีหุ้นละ 109.83  บาท)
 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ