ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 3 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 47 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | แนวทางการดำเนินการตามโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 4 และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555 | กค | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางในการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ (โครงการ PGS ระยะที่ ๔) และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (โครงการ PGS New/Start-up SMEs) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ภายใต้กรอบงบประมาณที่ได้รับจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จากกรอบงบประมาณที่ได้รับจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ในการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๔ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs ซึ่งไม่ครบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ หาก บสย. ต้องดำเนินการโครงการทั้งสองก็จะส่งผลกระทบทางการเงินของ บสย. ดังนี้ ๑.๑ โครงการ PGS ระยะที่ ๔ บสย. จะจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ โดยแหล่งที่มาของเงินค่าประกันชดเชย ประกอบด้วย ร้อยละ ๑๕ มาจากรายได้จากการดำเนินโครงการ แบ่งเป็น ร้อยละ ๘.๗๕ เป็นส่วนที่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระยะเวลาโครงการ ๕ ปี (ร้อยละ ๑.๗๕*๕ ปี) และร้อยละ ๖.๒๕ (๑๕ - ๘.๗๕) เป็นส่วนที่รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนต่างค่าประกันชดเชยให้ ส่วนอีกร้อยละ ๓ ที่เหลือ (๑๘ - ๑๕) เป็นส่วนที่ บสย. ต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งในกรณีที่ บสย. ต้องชดเชยความเสียหายสูงสุด บสย. จะขาดทุนจากการดำเนินโครงการ จำนวน ๗๒๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการ PGS New/Start-up SMEs บสย. จะจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๔๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ โดยแหล่งที่มาของเงินค่าประกันชดเชย ประกอบด้วย ร้อยละ ๓๐ มาจากรายได้จากการดำเนินโครงการ แบ่งเป็น ร้อยละ ๑๒.๒๕ เป็นส่วนที่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระยะเวลาโครงการ ๗ ปี (ร้อยละ ๑.๗๕*๗ ปี) และร้อยละ ๑๗.๗๕ (๓๐ - ๑๒.๒๕) เป็นส่วนที่รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนต่างค่าประกันชดเชยให้ ส่วนอีกร้อยละ ๑๘ ที่เหลือ (๔๘ - ๓๐) เป็นส่วนที่ บสย. ต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งในกรณีที่ บสย. ต้องชดเชยความเสียหายสูงสุด บสย. จะขาดทุนจากการดำเนินโครงการ จำนวน ๑,๘๐๐ ล้านบาท ๒. บสย. ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการ PGS ระยะที่ ๔ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs โดยปรับลดอัตราการจ่ายค่าประกันชดเชยของโครงการทั้งสอง ดังนี้ โครงการ PGS ระยะที่ ๔ จากเดิมไม่เกินร้อยละ ๑๘ เป็นไม่เกินร้อยละ ๑๕ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs จากไม่เกินร้อยละ ๔๘ เป็นไม่เกินร้อยละ ๓๐ ซึ่งการดำเนินการตามแนวทางนี้ยังคงถือว่าเป็นการปฏิบัติภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรี เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบอัตราการจ่ายค่าประกันชดเชยไว้สูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ และร้อยละ ๔๘
|
|||||||||||||||||||||||||||
22 | มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs | กค | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภาพการผลิต การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการลดภาระต้นทุนค่าแรง รวมทั้งเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ผ่านมาตรการทางการเงินและมาตรการภาษี ดังนี้ ๑.๑ มาตรการทางการเงิน ประกอบด้วย ๑.๑.๑ โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยสินเชื่อ ๒ ประเภท คือ สินเชื่อเพื่อพัฒนาเครื่องจักรและสินเชื่อเพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน โดยมีวงเงินโครงการ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ ๒ ปี นับจากวันที่มีมติคณะรัฐมนตรี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนไม่เกิน ๑,๘๐๕ ล้านบาท ๑.๑.๒ โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ (PGS ระยะที่ ๔) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยมีวงเงินค้ำประกันรวม ๒๔,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ ๕ ปี และรัฐบาลชดเชยส่วนต่างค่าประกันชดเชยตามจริงแต่ไม่เกิน ๒,๒๒๐ ล้านบาท ๑.๑.๓ โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start - up) ของ บสย. สำหรับ SMEs ที่มีอายุกิจการไม่เกิน ๒ ปี มีวงเงินค้ำประกันรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชย (Coverage ratio) ให้กับสถาบันการเงินในอัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๔๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ ๗ ปี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนรวม ๓,๓๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๔ กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ SMEs กู้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๑ ต่อปี วงเงินกู้ยืมสูงสุด ๔๒,๐๐๐ บาท ระยะเวลาชำระคืน ๔ ปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการฝึกอบรม ๑.๑.๕ โครงการสินเชื่อส่งเสริมการจ้างงาน (กองทุนประกันสังคม) ให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โดยอาศัยแหล่งเงินทุนจากกองทุนประกันสังคมให้แก่ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นเงินทุนในการเสริมสภาพคล่องหรือเพิ่มผลิตภาพการผลิต มีวงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการภาษี ประกอบด้วย ๑.๒.๑ มาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายเครื่องจักรเก่าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์สำหรับการขายเครื่องจักร ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๒ มาตรการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร โดยให้หักค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรใหม่ได้ร้อยละ ๑๐๐ ในปีแรก แทนการทยอยหักค่าเสื่อมภายใน ๕ ปี ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์สำหรับการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๓ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ โดยให้ผู้ประกอบการทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ ๑.๕ เท่าของส่วนต่างค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น ๓๐๐ บาทต่อวัน ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ตั้งแต่วันที่เริ่มใช้ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ตามที่รัฐบาลประกาศกำหนด (๑ เมษายน ๒๕๕๕) จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๒. อนุมัติให้จัดสรรงบประมาณที่ต้องใช้ในการสนับสนุนโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ เป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๕,๒๐๕ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายตามจริง โดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ประกอบด้วย ๓.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของกรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๓.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเงื่อนไขและอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๓.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายที่ได้มีการจ่ายเป็นค่าจ้างเฉพาะส่วนต่างของค่าจ้างที่ได้มีการจ่ายเพิ่มขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันตามที่กำหนดในแต่ละเขตจังหวัดกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นเงินวันละสามร้อยบาท ให้แก่บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมิน ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของ SMEs กลุ่มเป้าหมาย โดยให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมรายสาขาที่ได้รับผลกระทบจากภาระค่าแรงที่เพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษก่อน และมีการสำรวจกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพและขีดความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อไม่ให้การดำเนินงานประสบภาวะขาดทุนและเป็นภาระของรัฐในอนาคต รวมทั้งมีระบบการตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๕. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานหาแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยการลดต้นทุนทางด้านพลังงานและวิธีการอื่นเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
23 | รายงานความก้าวหน้าในการสำรวจความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าในการสำรวจความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการสำรวจความเสียหายของภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยทั้งหมดในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีโรงงานอุตสาหกรรมได้รับความเสียหาย จำนวน ๘,๒๕๒ ราย จาก ๔๒ จังหวัด ทั่วประเทศไทย จำแนกเป็น ในนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม จำนวน ๗ แห่ง โรงงาน จำนวน ๘๘๘ ราย มูลค่าความเสียหาย ๑๗๑,๐๘๗ ล้านบาท และภายนอกนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ โรงงาน จำนวน ๗,๓๖๔ ราย มูลค่าความเสียหาย ๑๕๗,๑๗๔ ล้านบาท สรุปความเสียหายรวม ๓๒๘,๒๖๑ ล้านบาท สำหรับจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรมได้รับความเสียหาย ๕ ลำดับแรก ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน ๑,๖๙๐ ราย ปทุมธานี จำนวน ๑,๖๘๔ ราย นนทบุรี จำนวน ๑,๔๑๕ ราย กรุงเทพมหานคร จำนวน ๒,๓๒๔ ราย และอ่างทอง จำนวน ๘๗ ราย ๒. การช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ประกอบด้วย ๒.๑ การลงทะเบียนผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยเพื่อขอรับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โดยรัฐบาลสนับสนุนผ่านธนาคารออมสินและการค้ำประกันโดยบริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรม (บสย.) สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท และ ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งจากการเปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีผู้ประกอบการลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ จำนวน ๒,๖๑๖ ราย มูลค่าเงินลงทุน ๓๖๓,๕๙๘ ล้านบาท มูลค่าความเสียหาย ๑๐๓,๐๐๒ ล้านบาท ๒.๒ มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน มีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมได้รับการช่วยเหลือผ่านมาตรการดังกล่าว ได้แก่ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบที่นำมาทดแทนเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบนำเข้าที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย จำนวน ๖๐ โครงการ มูลค่า ๙,๑๙๔ ล้านบาท และการเร่งอนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของเจ้าหน้าที่/ผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศที่เข้ามาซ่อมแซมเครื่องจักร จำนวน ๓๑๗ ราย ๒.๓ โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ประกอบด้วย โครงการคลินิกอุตสาหกรรม เพื่อฟื้นฟูผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม มีผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ จำนวน ๒,๔๗๖ ราย ช่วยเหลือในเบื้องต้น ๕๗๕ ราย ผู้ประกอบการ ๑๑๔ ราย สามารถประกอบธุรกิจได้ตามปกติ โครงการศูนย์พักพิงสำหรับผู้ประกอบการ มีผู้ประกอบการสนใจสมัครเข้าโครงการ จำนวน ๑๑๓ ราย จากโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ๔๒ ราย และวิสาหกิจชุมชน ๗๑ ราย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทั้งหมด และโครงการศูนย์สารพัดช่าง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านเงินทุน การซ่อมแซมบ้านพักอาศัย ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า และซ่อมแซมยานพาหนะต่าง ๆ ๓. ความก้าวหน้าของการฟื้นฟูนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๗ แห่ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี มีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการเร่งซ่อมแซมเครื่องจักรอุปกรณ์ จำนวน ๑๓๕ แห่ง หรือร้อยละ ๑๕.๒ ของโรงงานทั้งหมด เริ่มประกอบการได้ ส่วนการพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัย นิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายทุกแห่ง ได้เริ่มดำเนินการศึกษาออกแบบเพื่อจัดสร้างคันกั้นน้ำถาวรที่มีความมั่นคง แข็งแรง คาดว่าจะสร้างคันกั้นน้ำถาวรได้แล้วเสร็จก่อนฤดูน้ำหลากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๔. ผลการให้ความช่วยเหลือด้านการระบายน้ำของ Japan International Co - Operation Agency (JICA) ซึ่งสนับสนุนรถสูบน้ำ จำนวน ๑๐ คัน ในการระบายน้ำออกจากนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ภารกิจแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ผลการดำเนินการประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง สามารถช่วยในการระบายน้ำในนิคมอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็ว และยังช่วยเหลือสถาบันการศึกษาและชุมชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังได้ในหลายพื้นที่ โดยได้จัดพิธีขอบคุณและส่งมอบรถสูบน้ำคืน เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
24 | รายงานการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 19/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ได้แก่ ๑.๑ การลงทะเบียนผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยเพื่อขอรับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ตามที่รัฐบาลได้มีมาตรการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยการอุดหนุนอัตราดอกเบี้ยและค้ำประกันโดยรัฐ จำแนกออกเป็น ๒ ประเภท คือ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ๓% ต่อปี โดยธนาคารออมสินนำเงินเข้าฝากธนาคารพาณิชย์ที่เข้าโครงการ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย ๐.๐๑% ต่อปี และธนาคารพาณิชย์สมทบเงินกู้อีก ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรม (บสย.) สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ๓% ต่อปี ในช่วง ๓ ปีแรก โดยรัฐชดเชยค่าธรรมเนียมและชดเชยความเสียหายไม่เกิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท จากการเปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยลงทะเบียนขอความช่วยเหลือ ๒,๑๕๓ ราย มูลค่าการลงทุน ๒๘๔,๕๑๙ ล้านบาท มีแรงงาน ๑๗๖,๕๘๙ คน มูลค่าความเสียหาย ๙๕,๔๑๖ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ การอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรอุปกรณ์ วัตถุดิบไว้นอกโรงงานกรณีฉุกเฉิน การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ที่นำมาทดแทนเครื่องจักรที่เสียหาย และยืดหยุ่นในเรื่องวัตถุดิบนำเข้าซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า การเร่งอนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของเจ้าหน้าที่/ผู้เชี่ยวชาญที่เข้ามาติดตั้งซ่อมแซมเครื่องจักร การเพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายทั้งในกรณีทำการผลิตชั่วคราว หรือลงทุนใหม่เพื่อฟื้นฟูธุรกิจในประเทศ ๑.๓ โครงการและมาตรการช่วยเหลือโดยทั่วไป ได้แก่ การยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีและค่าธรรมเนียมการต่อใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เป็นเวลา ๕ ปี การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ทดแทนเครื่องจักรที่เสียหายเป็นการทั่วไปสำหรับโรงงานที่ประสบอุทกภัยและมิได้เป็นโรงงานที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน การดำเนินโครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อฟื้นฟูผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม โดยจัดส่งทีมงานเข้าสำรวจ วินิจฉัย วางแผนการฟื้นฟูการผลิตและกระบวนการทางธุรกิจ มีผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ ๒,๑๘๑ ราย และได้เข้าช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว ๕๑๖ ราย มีผู้ประกอบการ ๕๕ ราย สามารถประกอบธุรกิจได้ตามปกติ และการดำเนินโครงการศูนย์พักพิงสำหรับผู้ประกอบการ โดยจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาเครื่องจักรกล สินค้าวัตถุดิบ และเป็นสถานที่เพื่อการผลิตชั่วคราว ซึ่งเบื้องต้นได้จัดพื้นที่ภายในหน่วยงานในจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น สุพรรณบุรี ชลบุรี และกรุงเทพมหานคร ให้บริการแก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยให้ใช้เป็นสถานที่ในการประกอบการผลิตและยืมเครื่องจักรในการผลิต มีผู้ประกอบการเข้ารับบริการ ๘ ราย ๒. มาตรการให้ความช่วยเหลือของการนิคมแห่งประเทศไทย ได้แก่ ๒.๑ การยกเว้นค่าบริการในการออกใบอนุญาตใหม่ กรณีใบอนุญาตเดิมสูญหาย การยกเว้นค่าบริการการต่อใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และการยกเว้นค่าบริการการออกหนังสือรับรองสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรทางอิเล็กทรอนิกส์ จนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ๒.๒ การบริการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในเขตประกอบการเสรี โดยประสานกรมศุลกากรให้ผู้ประกอบการสามารถขนย้ายเครื่องจักร วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ออกนอกเขตประกอบการเสรีโดยด่วน พร้อมจัดทำมาตรการด้านพิธีการศุลกากรให้ผู้ประกอบการแจ้งสถานที่ชั่วคราวที่ขนย้ายเครื่องจักรอุปกรณ์ หรือสถานที่ชั่วคราวที่ประกอบกิจการ และสามารถประกอบกิจการและปฏิบัติพิธีการศุลกากรปกติ รวมทั้งการอนุญาตคนต่างด้าวเข้ามาอยู่และทำงานภายใต้กฎหมายการนิคมฯ โดยกรณีหนังสือสูญหายจะจัดทำสำเนาให้ใหม่ และกรณีผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยต้องการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในระดับผู้เชี่ยวชาญ จะยกเว้นให้เข้ามาได้จนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ ๓. การฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ได้แก่ การตรวจสอบเฝ้าระวังการระบายน้ำและการจัดการกากอุตสาหกรรมมิให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนใกล้เคียง โดยผลการตรวจสอบวิเคราะห์น้ำที่ระบายออกจากนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่อยู่ในมาตรฐานน้ำทิ้งอุตสาหกรรม ยกเว้นในบางพื้นที่มีคราบน้ำมันสูงกว่ามาตรฐาน ซึ่งได้ทำการล้อมให้คราบน้ำมันอยู่ในที่จำกัด และตักออกไปกำจัด และเมื่อมีการระบายน้ำแล้วเสร็จ จะส่งเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมในโรงงานไม่ให้รั่วไหลออกไปสร้างผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ ซึ่งได้ทำการตรวจสอบโรงงานไปแล้ว จำนวน ๒๓๕ แห่ง จากจำนวนทั้งหมด ๘๘๘ แห่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
25 | มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | กค | 01/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกลไกการค้ำประกันในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (บสย.) ๑.๑.๑ วัตถุประสงค์ : เพื่อช่วยเหลือด้านการเงินให้แก่ผู้ประกอบการที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมจากอุทกภัยในพื้นที่ประสบอุทกภัย ๑.๑.๒ กลุ่มเป้าหมาย : SMEs ที่ประกอบธุรกิจทุกประเภทที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือเป็น SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมโดยจะต้องมียอดการสั่งซื้อหรือยอดขายกับ SMEs ในพื้นที่ประสบอุทกภัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ โดยธนาคารจะต้องเป็นผู้รับรองและยืนยัน ๑.๑.๓ วงเงินสินเชื่อค้ำประกันรวม : ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๔ เงื่อนไขการค้ำประกัน : ระยะเวลาการค้ำประกัน ๗ ปี ค่าธรรมเนียมค้ำประกันร้อยละ ๑.๗๕ ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อโดยรัฐบาลจะชดเชยค่าธรรมเนียมให้ใน ๓ ปีแรก ทั้งนี้ สินเชื่อที่ได้รับจากสถาบันการเงินต้องเป็นสินเชื่อใหม่ และต้องไม่นำไปชำระหนี้กับสถาบันผู้ให้กู้ โดยกำหนดวงเงินค้ำประกันสูงสุดไม่เกิน ๑๐ ล้านบาทต่อรายต่อสถาบัน แต่หากสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพียงอย่างเดียว บสย. จะค้ำประกันในวงเงินสูงสุดไม่เกิน ๕ ล้านบาทต่อรายต่อสถาบัน โดยธนาคารพาณิชย์จะคิดดอกเบี้ยกับลูกค้าในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี เป็นระยะเวลา ๓ ปี หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยตามอัตราปกติของแต่ละธนาคาร โดยเป็น SMEs ตามกลุ่มเป้าหมายตามที่กำหนด และต้องไม่เป็นหนี้ NPL ก่อนวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ ๑.๑.๕ ระยะเวลารับคำขอ : ภายใน ๑ ปีนับจากวันที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ๑.๒ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยความร่วมมือของธนาคารออมสิน ๑.๒.๑ วัตถุประสงค์ : เพื่อช่วยเหลือด้านการเงินให้แก่ผู้ประกอบการที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมจากอุทกภัยในพื้นที่ประสบอุทกภัย ๑.๒.๒ กลุ่มเป้าหมาย : SMEs ที่ประกอบธุรกิจทุกประเภทที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือเป็น SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมโดยจะต้องมียอดการสั่งซื้อหรือยอดขายกับ SMEs ในพื้นที่ประสบอุทกภัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ โดยธนาคารจะต้องเป็นผู้รับรองและยืนยัน ๑.๒.๓ วงเงิน Soft Loan จากธนาคารออมสิน : ธนาคารออมสินร่วมให้สินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์ ในสัดส่วน ธนาคารออมสิน : ธนาคารพาณิชย์ เท่ากับ ๕๐ : ๕๐ โดยธนาคารออมสินจะฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๐๑ เป็นจำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นระยะเวลา ๓ ปี เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สมทบให้สินเชื่อกับผู้ประสบอุทกภัยตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ ๓ เป็นระยะเวลา ๓ ปี ๑.๒.๔ ระยะเวลารับคำขอ : ภายใน ๑ ปีนับจากวันที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ๒. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยการดำเนินมาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในส่วนของ บสย. วงเงินชดเชยไม่เกิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท และธนาคารออมสิน วงเงินชดเชยเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ ๒,๕๓๒ ล้านบาท รวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๒๕,๕๓๒ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
26 | มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | นร | 25/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการด้านการเงินที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลังสำรวจและประเมินความเสียหายเพื่อให้สามารถเร่งดำเนินการได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ มาตรการด้านการเงินที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ได้แก่ ๑.๑.๑ การช่วยเหลือค่าเสียหายด้านที่พัก (ไม่เกินหลังละ ๓๐,๐๐๐ บาท) และทรัพย์สินที่ประสบอุทกภัย (ครัวเรือนละไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท) ๑.๑.๒ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) (ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท) ๑.๑.๓ การช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายด้านพืช ประมงและปศุสัตว์ ๑.๑.๔ การลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินต่าง ๆ ๑.๒ เห็นชอบมาตรการด้านสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในวงเงินรวม ๓๒๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการคลัง จัดทำข้อมูลลงทะเบียนผู้ประสบความเสียหายเพื่อให้สถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องพิจารณาดูแลโครงการสินเชื่อดังกล่าว ทั้งนี้ มาตรการด้านสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ได้แก่ ๑.๒.๑ สินเชื่อรายย่อยสำหรับผู้ประสบอุทกภัย วงเงิน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๒.๑.๑ สินเชื่อสำหรับกลุ่มรายย่อย วงเงินรวม ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ดำเนินการโดยธนาคารออมสิน ๑.๒.๑.๒ สินเชื่อเพื่อการเคหะ วงเงินรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ดำเนินการโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน ๑.๒.๑.๓ สินเชื่อสำหรับกลุ่มเกษตรกร วงเงินรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ๑.๒.๒ สินเชื่อรายย่อยสำหรับผู้ประสบอุทกภัยจากโครงการประกันสังคม วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๒.๒.๑ โครงการประกันสังคมเคียงข้างผู้ประกันตนต้านอุทกภัย สำหรับสถานประกอบการ วงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในกิจการหรือการซ่อมแซมสถานประกอบการ รายละไม่เกิน ๑ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓ (คงที่ ๓ ปี) ๑.๒.๒.๒ โครงการประกันสังคมเคียงข้างผู้ประกันตนต้านอุทกภัย วงเงิน ๘,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับผู้ประกันตน เพื่อซ่อมแซมบ้านที่ถูกน้ำท่วมของตนเองหรือของบิดามารดา รายละไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๕ (คงที่ ๕ ปี) ๑.๒.๓ การค้ำประกันสินเชื่อของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้การค้ำประกันสินเชื่อของผู้ประกอบการที่ต้องการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ ระยะเวลาค้ำประกัน ๗ ปี ซึ่งจะครอบคลุมวงเงินให้กู้ของธนาคารพาณิชย์ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. รับผิดชอบส่วนสูญเสียในการจ่ายค่าประกันชดเชยสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๓๐ และยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันร้อยละ ๑.๗๕ ให้เป็นเวลา ๗ ปี รวมถึงขอความร่วมมือให้ธนาคารพาณิชย์คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับลูกค้าที่ได้รับการค้ำประกันในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปีในช่วง ๓ ปี ๑.๒.๔ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการ ประกอบด้วย ๑.๒.๔.๑ โดยธนาคารออมสินร่วมให้สินเชื่อร้อยละ ๕๐ กับธนาคารพาณิชย์ที่ให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย ดำเนินการโดยให้ธนาคารออมสินฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ที่ต้องการ และธนาคารออมสินรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี โดยกำหนดวงเงินของธนาคารออมสิน จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อรวมกับวงเงินของธนาคารพาณิชย์ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านนาท รวมเป็นวงเงินสินเชื่อรวม ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๔.๒ โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยสำนักงานประกันสังคมนำเงินไปฝากธนาคารที่เข้าร่วมโครงการเพื่อปล่อยกู้ให้แก่สถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคมเพื่อเสริมสภาพคล่อง หรือเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ๑.๒.๕ สินเชื่อจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) โดยกระทรวงการคลังจะประสานกับ JBIC เพื่อให้พิจารณานำเงินเข้าฝากธนาคารพาณิชย์ที่ต้องการเงินเพื่อปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๖ สินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัย โดยรัฐบาลจะหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณชดเชยเพื่อให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และผู้ประกอบการเพื่อการลงทุนในระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมและโรงงานโดยมีวงเงิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ รับทราบแนวทางการให้การสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์การลงทุน ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงทุน โดยยืดเวลาหรือขยายสิทธิประโยชน์ให้แก่นักลงทุนที่ประสบความเสียหายจากอุทกภัย และการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่จะเข้ามาทำงานในประเทศเพื่อแก้ไขปัยหาและฟื้นฟูโรงงานที่ประสบความเสียหาย โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการ และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๒. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติมในส่วนของสินเชื่อรายย่อยสำหรับผู้ประสบอุทกภัยจากธนาคารออมสิน ธอส. และ ธ.ก.ส. วงเงิน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท เห็นควรปรับถ้อยคำให้ครอบคลุมชัดเจน จากเดิม “สินเชื่อสำหรับกลุ่มเกษตรกร วงเงินรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ...” เป็น “สินเชื่อสำหรับกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ วงเงินรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท”
|
|||||||||||||||||||||||||||
27 | มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจาการชุมนุม (กรณีผู้ประกอบการที่มีกรมธรรม์ประกันภัยยังไม่ได้รับสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย) | กค | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์มาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ย่านราชประสงค์ และพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองกรณีผู้ประกอบการที่มีกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังไม่ได้รับสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย โดยให้ใช้วงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาทเดิมของโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม (โครงการราชประสงค์ฯ) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ขยายระยะเวลาโครงการ : จากเดิมสิ้นสุดวันรับคำขอสินเชื่อภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ เป็นสิ้นสุดวันรับคำขอสินเชื่อภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินสินเชื่อของโครงการ ๑.๑.๒ คุณสมบัติผู้กู้ : เป็นผู้ประกอบการที่มีกรมธรรม์ประกันภัยแต่ยังไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย ทั้งนี้ จะต้องมีหนังสือรับรองการไม่ได้รับสินไหมทดแทนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ๑.๑.๓ วัตถุประสงค์การกู้ : จากเดิมเพื่อใช้ปรับปรุง ซ่อมแซม ก่อสร้างอาคาร สิ่งปลูกสร้างสถานประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ หรือความเสียหายที่เกี่ยวเนื่องจากเหตุเพลิงไหม้ โดยเพิ่มให้เพื่อชำระหนี้ให้สถาบันการเงินที่ได้กู้เพื่อวัตถุประสงค์เดิม ๑.๑.๔ หลักประกัน : กรณีวงเงินขอกู้ไม่เกิน ๕ ล้านบาท ไม่ต้องมีหลักประกัน (Clean Loan) สำหรับกรณีวงเงินขอกู้เกิน ๕ ล้านบาท ต้องมีหลักประกัน เช่น สิทธิการเช่าในอสังหาริมทรัพย์ของที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ให้คิดเป็นหลักประกันได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐๐ ของมูลค่าราคาที่รับหลักประกันของธนาคาร บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลค้ำประกัน การค้ำประกันไขว้ (Cross Guarantee) หรือให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ออกหนังสือค้ำประกัน ๑.๒ การชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ในอัตราร้อยละ ๐.๗๕ ต่อปี เป็นเวลา ๑ ปี คิดเป็นจำนวนไม่เกิน ๑๕ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ บสย. เบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง โดยให้ประสานกับสำนักงบประมาณในการเบิกจ่ายต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับความช่วยเหลือให้สอดคล้องกับนิยาม SMEs ของธนาคารพัฒนาวิสหากิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ส่วนการชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. นั้น ให้ บสย. แยกบันทึกบัญชีตามนโยบายของรัฐ (Public Service Account : PSA) เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ได้ตามเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
28 | การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย (เพิ่มเติม) | พณ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ครั้งที่ ๓ ระหว่างเดือนกันยายน - ธันวาคม ๒๕๕๓ มีผู้ยื่นคำขอกู้ จำนวน ๑,๔๑๖ ราย วงเงิน ๔,๓๐๘.๑๘ ล้านบาท ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) อนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้ที่ยื่นคำขอกู้ จำนวน ๑,๐๓๐ ราย วงเงิน ๒,๙๗๙.๓๗ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินกู้แล้ว จำนวน ๖๗๕ ราย วงเงิน ๑,๙๘๘.๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติวงเงินสินเชื่อ (เพิ่มเติม) จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสภาพคล่องเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ และเพื่อเป็นเงินลงทุน และเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ ธุรกิจขายตรง รวมทั้งผู้ที่ต้องการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยหลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทยเพิ่มเติม ได้แก่ นายกสมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์ นายกสมาคมธุรกิจแฟรนไชส์และเอ็สเอ็มอีไทย นายกสมาคมแฟรนไชส์ไทย และนายกสมาคมการขายตรงไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๔. การชดเชยในกรณีต่าง ๆ ให้แก่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๕. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เสนอเพิ่มเติม ๖. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดจัดทำรายงานผลการดำเนินการเกี่ยวกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสถาบันการเงิน วงเงินรวม ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
29 | การค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 3 ในปี 2554 ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ดำเนินโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๓ ๒. กำหนดวงเงินค้ำประกันโครงการ PGS ระยะที่ ๓ ไว้ที่ ๓๖,๐๐๐ ล้านบาท ๓. ชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๓ ให้กับ บสย. ไม่เกินร้อยละ ๓.๐ ต่อปีของภาระค้ำประกันเฉลี่ยในปีนั้น หรือไม่เกินร้อยละ ๑๕ ของภาระค้ำประกันทั้งโครงการโดยคิดเป็นวงเงินไม่เกิน ๒,๒๕๐ ล้านบาท [(๑๕% - ๘.๗๕%)*๓๖,๐๐๐] โดยให้ทบส่วนต่างไปปีถัดไปได้ และให้ บสย. ประสานกับสำนักงบประมาณในการเบิกจ่ายต่อไป ๔. กรณี บสย. พิจารณาลดค่าธรรมเนียมค้ำประกันในปีแรกลงต่ำกว่าอัตราปกติ ให้ บสย. รับภาระค่าธรรมเนียมดังกล่าวเอง ทั้งนี้ บสย. ต้องคำนึงถึงฐานะทางการเงินของ บสย. โดยรัฐไม่รับภาระชดเชยในส่วนที่ บสย. พิจารณาลดค่าธรรมเนียมลง
|
|||||||||||||||||||||||||||
30 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยปี 2553 | กค | 26/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๓ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบและเกิดความเสียหายจากอุทกภัย ทั้งประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการ และเกษตรกร สรุปได้ดังนี้
๑. ให้จังหวัดแต่ละจังหวัดมีเงินทดรองราชการที่สามารถเบิกใช้ได้ทันที ในวงเงิน ๕๐ ล้านบาท หากไม่เพียงพอ ให้อธิบดีกรมบัญชีกลางสามารถอนุมัติวงเงินให้ได้อีก ๒๐๐ ล้านบาท (รวมเป็น ๒๕๐ ล้านบาท) และให้ปลัดกระทรวงการคลังมีอำนาจอนุมัติวงเงินเพิ่มขึ้นถึง ๕๐๐ ล้านบาท หากเกินกว่านี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้อนุมัติ ในส่วนของการจัดซื้อพัสดุต่าง ๆ โดยใช้เงินทดรองราชการ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุ โดยเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่หนึ่งคนหรือหลายคนทำการจัดซื้อ และตรวจรับไปก่อน แล้วจึงรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดภายหลัง ๒. มาตรการช่วยเหลือผู้เช่าที่ราชพัสดุที่ได้รับความเดือดร้อน ได้แก่ ผู้เช่าที่ดินราชพัสดุเพื่ออยู่อาศัย ให้พิจารณาความเสียหายของอาคารที่พักอาศัย หากเสียหายบางส่วนให้ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าเป็นเวลา ๑ ปี หากเสียหายทั้งหลังให้ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าเป็นเวลา ๒ ปี สำหรับผู้เช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อประกอบการเกษตร หากพืชหรือผลผลิตได้รับความเสียหาย ให้ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าเป็นเวลา ๑ ปี ส่วนผู้เช่าอาคารราชพัสดุ หากผลกระทบจากอุทกภัยทำให้ผู้เช่าอาคารพัสดุไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ เป็นเวลาเกิน ๓ วัน ให้ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าเป็นเวลา ๑ เดือน และให้ยกเว้นการคิดเงินเพิ่ม กรณีที่ผู้เช่าไม่สามารถชำระค่าเช่า ค่าธรรมเนียม หรือเงินอื่นใดที่ต้องชำระภายในกำหนดระยะเวลา โดยเหตุมาจากการเกิดอุทกภัยซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย ๓. มาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าสถาบันเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ๔. มอบหมายให้กรมบัญชีกลาง โดยสำนักคลังจังหวัด จัดตั้งศูนย์บริการประชาชนในจังหวัดที่เกิดอุทกภัย (One Stop Service) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2553 | นร | 05/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไข
ปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๓ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ ดังนี้ ๑. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง มาตรการเร่งด่วนและมาตรการเสริมเพื่อ ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพในประเทศไทยตามที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการ พิจารณาความเหมาะสมของข้อเสนอ มาตรการเร่งด่วน และมาตรการเสริมเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม พลาสติกชีวภาพในประเทศไทยของ กกร. และนำผลการพิจารณากลับมาเสนอคณะกรรมการ กรอ. ภายใน ๒ เดือน ๒. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง การส่งเสริมธุรกิจวิชาชีพทางวิศวกรรมและ สถาปัตยกรรมออกสู่ตลาดต่างประเทศ ตามที่ กกร. โดยสภาวิศวกรและสมาคมวิชาชีพทางวิศวกรรมและสถาปัตย กรรม ๔ สมาคม (สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรม ราชูปถัมภ์ สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชู ปถัมภ์) เสนอ และมอบหมายให้คณะกรรมการด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบ การอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยไปขยายงานในตลาดต่างประเทศ ที่มีประธานผู้แทนการค้าไทยเป็นประธานกรรม การรับไปพิจารณามาตรการส่งเสริมธุรกิจวิชาชีพทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมออกสู่ตลาดต่างประเทศทั้งระยะ สั้นและระยะยาว และรายงานที่ประชุมคณะกรรมการ กรอ. ต่อไป ๓. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรม กรอ. เรื่อง มาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบ ธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมอบหมายให้คณะกรรมการด้านการ ค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยไปขยายงานในตลาดต่าง ประเทศ ที่มีประธานผู้แทนการค้าไทยเป็นประธานกรรมการ รับไปพิจารณามาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุน การประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง โดยคำนึงถึงกฎระเบียบขององค์การการค้า โลกที่อาจจะเป็นข้อจำกัดของการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการไทย ทั้งนี้ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบภายใน ๓๐ วัน และรายงานให้ที่ประชุมคณะกรรมการ กรอ. ทราบต่อไป ๔. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง การเร่งรัดออกกฎหมายประกอบรัฐธรรม นูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙๐ วรรคห้า ตามที่ กกร. เสนอ ๕. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง การระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ ตามที่สำนักงานผู้แทนการค้าไทยเสนอ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติเป็นเจ้าภาพจัดให้มีการหารือร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อหาข้อสรุปทาง นโยบาย และนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน ๖. รับทราบผลการเดินทางเยือนนครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ของผู้แทนการค้าไทย (นาย วัชระ พรรณเชษฐ์) และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) และกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ เร่งรัดการดำเนินมาตรการ Pre-clearance ตามข้อเสนอของประธานผู้แทนการค้าไทย ๗. รับทราบความคืบหน้าการความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง พาราของสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย ตามที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เสนอ ๘. รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ตาม ที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เสนอ ๙. รับทราบผลการสัมมนาเรื่อง “Thailand’s Investment Environment : Looking Forward” ตามที่ กกร. ร่วมกับหอการค้าต่างประเทศ เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
32 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินงานของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ | กค | 05/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง มาตรการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ (ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับปรุงระบบและเพิ่มศักยภาพการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) รวม ๒ ข้อ ดังนี้
๑. การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน จากเดิม “ให้ลดอัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกันลงจากร้อยละ ๒.๐๐-๒.๗๕ ลงเหลือประมาณร้อยละ ๑.๗๕ ของวงเงินค้ำประกันในระยะแรก และจะมีการปรับปรุงค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมในระยะต่อไป โดยจะคำนึงถึงคุณภาพของลูกค้าและคุณภาพการคัดเลือกลูกค้าของสถาบันการเงินที่ใช้บริการ” เป็น “ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงคุณภาพของลูกค้า และคุณภาพการคัดเลือกลูกค้าของสถาบันการเงิน” ๒. เกณฑ์การจ่ายค่าประกันชดเชย จากเดิม “ปรับปรุงเกณฑ์การชดเชยความเสียหายให้รวดเร็วขึ้นจากที่จะต้องจ่ายเมื่อคดีถึงที่สุด และมีการบังคับคดียึดทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันครบถ้วนแล้ว เป็นจ่ายเมื่อมีการฟ้องร้องดำเนินคดีระหว่างสถาบันการเงินกับผู้กู้” เป็น “จ่ายเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เฉพาะการค้ำประกันให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ภายใต้การค้ำประกันสินเชื่อโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ โดยให้ ธ.ก.ส. และ บสย. ตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางและขั้นตอนของการจ่ายค่าประกันชดเชยต่อไป”
|
|||||||||||||||||||||||||||
33 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 15/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 2 โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) แบ่งวงเงินจำนวนไม่เกิน 5,000 ล้านบาท จากวงเงินค้ำประกันรวม 30,000 ล้านบาท จากโครงการฯ เพื่อให้การค้ำประกันสินเชื่อของผู้ประกอบการที่ได้รับ ผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมืองและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งนี้ ให้ บสย. สามารถกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมเพื่อให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น รวมทั้งการยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันในปี พ.ศ. 2553 ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับการค้ำประกันจาก บสย. อยู่เดิมแล้ว และทรัพย์สินได้รับความเสีย หายในเหตุเพลิงไหม้จากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง สำหรับเงื่อนไขอื่น ๆ ให้ บสย. ดำเนิน การตามหลักเกณฑ์ที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 ต่อไปเช่นเดิม 2. เห็นชอบการชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันที่ บสย. ยกเว้นการเรียกเก็บจากลูกค้าตามข้อ 1 ในวง เงินไม่เกิน 37.5 ล้านบาท และให้เบิกตามที่เสียหายจริง โดยให้ บสย. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับ การจัดสรรเป็นงบประมาณชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
34 | สรุปรายงานการประชุมหารือเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการย่านราชประสงค์และพื้นที่เกี่ยวเนื่องเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง | นร | 04/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการและลูก
จ้างที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดกิจการชั่วคราว อันเนื่องมาจากการชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่บริเวณแยกราช ประสงค์ บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ บริเวณสีลมบางส่วน และบริเวณซอยสุขุมวิท 31 ตามข้อสรุปผลการประชุม หารือระหว่างผู้ประกอบการกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2553 ตามที่เลขาธิการ นายกรัฐมนตรีเสนอ โดยยกเว้นเรื่องการช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดกิจการชั่วคราว ให้สำนัก เลขาธิการนายกรัฐมนตรีนำเสนอคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ประกอบการและ ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเพื่อพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง โดยให้คณะกรรมการเร่งพิจารณา มาตรการช่วยเหลือเยียวยาแก่กลุ่มผู้ตกงาน ผู้ที่ต้องหยุดกิจการชั่วคราว หรือไม่สามารถดำเนินการกิจการได้ตาม ปกติ และผู้ที่ต้องรับภาระค่าเช่าพื้นที่โดยไม่สามารถประกอบกิจการได้ก่อนเป็นลำดับแรกให้ชัดเจน แล้วให้ดำเนิน การตามผลการพิจารณาต่อไป ยกเว้นเรื่องที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี ก็ให้นำเสนอคณะ รัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป สำหรับผลการประชุมหารือได้ข้อสรุปดังนี้ 1. ให้กรมสรรพากรเร่งจัดทำแบบฟอร์มขอขยายระยะเวลาในการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) และภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53) ขึ้นเว็ปไซต์ ของกรมสรรพากร เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ 2. ให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เสนอรายละเอียดเพื่อ เสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในเขตพื้น ที่ราชประสงค์ ผ่านฟ้า และโรมแรมยูโร แกรนด์ โฮเต็ล วงเงินสินเชื่อรวม 5,000 ล้านบาท รวมทั้งใช้กลไกการค้ำ ประกันของบรรษัทสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาดำเนินการ เพื่อลดเงื่อนไขในการปล่อยสินเชื่อ ให้กับผู้ประกอบการ SMEs โดยเร็ว 3. กระทรวงแรงงานจะขยายระยะเวลาการนำส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน ออกไปภายในเดือนสิงหาคม 2553 4. พิจารณามาตรการพิเศษช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดกิจการชั่วคราว ทั้งนี้ ยังไม่ รวมถึงลูกจ้างและพนักงานโรงแรมยูโร แกรนด์ โฮเต็ล ลูกจ้างร้านค้าบริเวณผ่านฟ้าลีลาศและสยามสแควร์ โดย เห็นควรใช้หลักเกณฑ์เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ (เงินสงเคราะห์ลูกจ้าง แบบให้เปล่า) โดยหลักการต้องเป็นผู้ที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท จะได้รับเงินช่วยเหลือรายละประมาณ 3,000 บาท โดยให้กระทรวงแรงงานจัดทำรายละเอียดการคำนวณเงินเบื้องต้นเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และให้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2553 5. เห็นควรกำหนดเป็นนโยบายให้กรุงเทพมหานครพิจารณาผ่อนปรนในเรื่อง ภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีป้าย โดยขอยกเว้นเบี้ยปรับในระหว่างผ่อนปรนด้วย และให้ผู้ประกอบการทำหนังสือเพื่อให้รองเลขาธิ การนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (นางอัญชลี เทพบุตร) ประสานงานไปยังผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต่อไป 6. เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติมอบหมายให้การไฟฟ้านครหลวง การประปานครหลวง รวมทั้งบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) พิจารณาผ่อนผันค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งกรณีการชำระค่าบริการและชะลอการงดให้บริการ น้ำประปา ไฟฟ้า และโทรศัพท์ กรณีมีการค้างชำระค่าบริการ โดยงดเว้นดอกเบี้ยระหว่างการผ่อนผัน และให้ผู้ ประกอบการทำหนังสือเพื่อให้รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (นางอัญชลี เทพบุตร) ประสานงาน ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป 7. ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ( คปภ.) รับไปดูแลใน เรื่องกรมธรรม์ที่ผู้ประกอบการได้ทำไว้ และเจรจากับบริษัทที่รับประกัน ทั้งนี้ ในการช่วยเหลือดังกล่าวข้างต้น ให้ครอบคลุมพื้นที่ราชประสงค์ ผ่านฟ้า บริเวณสีลมบางส่วนที่ไม่สามารถประกอบกิจการได้ และโรงแรมยูโร แกรนด์ โฮเต็ล
|
|||||||||||||||||||||||||||
35 | ขอขยายระยะเวลายกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันตามโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมและการชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกัน | กค | 05/01/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 ขยายระยะเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันปีแรกของโครงการ Portfolio Guarantee Scheme จากเดิมที่กำหนดไว้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 เป็นจนถึงวันที่ 6 มีนาคม 2553 1.2 ชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ยก เว้นไม่เรียกเก็บจากลูกค้าในปีแรกของโครงการ Portfolio Guarantee Scheme โดยคำนวณค่าชดเชยในอัตราร้อย ละ 1.75 ของวงเงินค้ำประกันที่ บสย. อนุมัติจริงตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงวันที่ 6 มีนาคม 2553 ในวงเงินไม่เกิน 525 ล้านบาท โดยให้ บสย. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรเป็นงบประมาณชดเชยราย ได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2. สำหรับเงินชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
36 | มาตรการสินเชื่อชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม | กค | 28/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการสินเชื่อเพื่อชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล
ของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยให้ธนาคาร (สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และธนาคาร พาณิชย์) ปล่อยสินเชื่อให้แก่ SMEs ที่เป็นลูกค้าของธนาคารเพื่อชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี พ.ศ. 2551 ระยะเวลาการให้สินเชื่อ 1 ปี ระยะเวลาปลอดหนี้ 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี จ่ายชำระเป็นรายเดือน โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นผู้ค้ำประกันสินเชื่อเต็มจำนวนของผู้กู้แต่ละราย วง เงินค้ำประกันรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยคิดค่าธรรมเนียมตามปกติ และให้ บสย. จ่ายเงินในส่วนที่ค้ำ ประกันให้กับธนาคารทันทีที่ค้างชำระ (ค้างชำระเกิน 3 เดือน) โดยไม่ต้องรอฟ้องร้องต่อศาล หรือมีเงื่อนไขใด
|
|||||||||||||||||||||||||||
37 | ขอปรับเปลี่ยนโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง | กก | 17/02/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจาก การปิดท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬาเสนอ โดยสาระสำคัญของโครงการ ฯ ประกอบด้วย 1.1 มาตรการที่ 1 วงเงินกู้เพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่เป็นลูกหนี้เดิม ของธนาคารพาณิชย์ วงเงินกู้เพิ่มเติมประมาณ 3,000,000,000 บาท รัฐบาลจะต้องจัดสรรวงเงินเพื่ออุดหนุน แก่ธนาคารเป็นค่าส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี และอุดหนุนค่าส่วนต่างของ ค่าธรรมเนียมค้ำประกันเงินกู้แก่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร้อยละ 1.50 ต่อปี เป็น ระยะเวลา 2 ปี 1.2 มาตรการที่ 2 สนับสนุนเงินกู้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ดำเนินการ ให้กู้โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย วงเงินกู้ประมาณ 2,000,000,000 บาท รัฐบาลจะต้องจัดสรรวงเงินเพื่ออุดหนุนแก่ธนาคารเป็นค่าส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 2 ต่อปี เป็น ระยะเวลา 2 ปี และอุดหนุนค่าส่วนต่างของค่าธรรมเนียมค้ำประกันเงินกู้แก่ บสย. ร้อยละ 1.50 ต่อปี เป็นระยะ เวลา 2 ปี 2. สำหรับงบประมาณที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินโครงการ ฯ ให้ตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบ ประมาณ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่าผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ ขอรับความช่วยเหลือตามโครงการนี้ต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานทั้งสองแห่งเท่านั้น ไม่ รวมถึงผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลได้จัดให้มีการช่วยเหลือแยกจากโครงการนี้ อยู่แล้ว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
38 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4/2552 | นร | 17/02/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและ
เลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) เสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการ รศก. ครั้งที่ 4/2552 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 และเห็น ชอบมติคณะกรรมการ รศก. รวม 2 เรื่อง ดังนี้ 1.1 สถานการณ์แรงงานและมาตรการแก้ไขปัญหาแรงงาน มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน กระทรวง พาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรม จัดทำรายละเอียดงบประมาณการแก้ไขปัญหา แรงงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว และเสนอให้คณะกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อ สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) เป็นประธานเพื่อ บูรณาการการดำเนินการร่วมกัน หากงบประมาณที่มีอยู่ไม่เพียงพอให้พิจารณาเสนอคณะกรรมการ รศก. ตาม ความจำเป็นต่อไป 1.2 มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ มอบหมายให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินเพื่อ เพิ่มทุนที่เหมาะสมให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งให้ กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินเพื่อเพิ่มทุนที่เหมาะสมให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ตามขั้นตอนต่อไป และให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามมาตรการ ดังกล่าวของ ธสน. และ บสย. และรายงานให้คณะกรรมการ รศก. ทราบเป็นประจำทุกเดือน 2. สำหรับร่างกรอบการเจรจากู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ที่ต้องขออนุมัติจาก รัฐสภา ให้กระทรวงการคลังเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ รศก. โดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
39 | การปรับปรุงระบบการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) | กค | 16/10/2544 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าการปรับปรุงระบบการค้ำ
ประกันสินเชื่อให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แบบการค้ำประกันกลุ่มสินเชื่อที่มีการรับความ เสี่ยงร่วมกัน (Risk Participation) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดย บสย. ได้จัด ทำหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันกลุ่มสินเชื่อที่มีการรับความเสี่ยงร่วมกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้ นำเสนอกับสถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) รวมทั้งบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม ขนาดย่อม (บอย.) ซึ่งในส่วนของธนาคารกรุงไทย ฯ คณะกรรมการธนาคาร ฯ ได้เห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2544 ขณะนี้อยู่ระหว่างกำหนดวันเพื่อจัดทำข้อตกลงใช้บริการ คาดว่าจะมีการค้ำประกันให้แก่ SMEs ผ่านโครงการ Risk Participation จำนวน 5,000 ล้านบาท ในปีนี้ และเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2544 บสย. และที่ปรึกษากฎหมายของ บสย. ได้ร่วมกันหารือกับผู้บริหารธนาคารกรุงไทยฯ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎ หมายในเรื่องร่างข้อตกลงการใช้บริการ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายได้พิจารณาและต่างเห็นชอบร่วมกันโดยเพิ่มรายละเอียด เล็กน้อยบางเรื่องเพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติต่อกัน ทั้งนี้ ธนาคารจะนำร่างข้อตกลงที่แก้ไขแล้วนำเสนอผู้ บริหารและนัดหมายเพื่อจัดทำข้อตกลงใช้บริการต่อไป สำหรับสถาบันอื่น ๆ อยู่ระหว่างการนำเสนอขอความ เห็นชอบต่อคณะกรรมการ |
|||||||||||||||||||||||||||
40 | การขอยกเว้นให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บอย.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรม ขนาดย่อม (บสย.) ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจ ทั่วไป | กค | 17/10/2543 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บอย.) และบรรษัทประกัน สินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และ มติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจทั่วไปในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ เงินเดือน สวัสดิการผลประโยชน์ตอบ แทนเฉพาะในส่วนของพนักงาน รวมถึงการกำหนดอัตรากำลัง และเมื่อ บอย. และ บสย. เข้าระบบการ ประเมินผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้การเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีของพนักงาน และ การจ่ายโบนัสของพนักงาน กรรมการ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในระบบประเมินผล ฯ และมติคณะ รัฐมนตรีด้วย สำหรับอัตราเบี้ยประชุมกรรมการของคณะกรรมการ บอย. และ บสย. ให้ได้รับในอัตราเดิม ในส่วนของการจำหน่ายกิจการหรือหุ้นที่ บอย. และ บสย. เป็นเจ้าของ ไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504 เพราะถือเป็นการดำเนินธุรกิจปกติของบรรษัท ฯ ทั้งสองอยู่แล้ว รวมทั้งการจำหน่ายทรัพย์สินและหนี้สูญ ออกจากบัญชี ไม่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี แต่ให้ถือปฏิบัติในเรื่องการจำหน่ายทรัพย์สินและหนี้สูญ ที่เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และให้ เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รองรับทั่วไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้แก้ไขข้อความในหนังสือของ กระทรวงการคลัง ที่ กค 0209/18989 ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2543 ข้อความว่า "... และการจ่ายโบนัส พนักงาน กรรมการ" ให้แก้ไขเป็น "... และการจ่ายโบนัสกรรมการ" ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง การคลัง (นายพิสิฐ ลี้อาธรรม) เสนอเพิ่มเติม
|