ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 51 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 1001 - 1020 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1001 | ขออนุมัติหลักการในการดำเนินงานตามแผนงานฟื้นฟูและพัฒนาบึงบอระเพ็ดและขออนุมัติงบกลาง ปี 2559 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการตามแผนระยะเร่งด่วน | กษ | 26/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบกลาง ปี ๒๕๕๙ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๑๔,๐๓๗,๐๐๐ บาท เพื่อดำเนินการขุดลอกแก้มลิงบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ตามแผนงานฟื้นฟูและพัฒนาบึงบอระเพ็ด ระยะเร่งด่วน โดยมอบหมายให้กรมชลประทานเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงาน ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้คณะกรรมการฟื้นฟู อนุรักษ์ และพัฒนาบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ รับผิดชอบการดำเนินงานตามแผนงานฟื้นฟูและพัฒนาบึงบอระเพ็ด ระยะเร่งด่วน และระยะที่ ๒ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรวางระบบการขุดลอกและกำจัดตะกอนดินที่ถูกหลักวิชาการ มีการสร้างระบบดักตะกอนที่จะลงสู่บึงเพื่อป้องกันปัญหาระยะยาว รวมทั้งควรพิจารณาความคุ้มค่าระหว่างการจัดซื้อเครื่องมือเครื่องจักรของรัฐ กับการจ้างเหมารายปี เพื่อหาวิธีประหยัดค่าใช้จ่ายในการขุดลอกตะกอนดิน และควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดเป็นการถาวร ตลอดจนควรจัดเวทีระดมความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและชุมชนท้องถิ่นเพื่อร่วมกันพิจารณาทางเลือกตามข้อเสนอในรายงานการศึกษา และร่วมกันจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมและความจำเป็นของการพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ต่อไป นอกจากนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใส และตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1002 | สรุปผลการดำเนินงานกระทรวงพาณิชย์ รอบ 6 เดือน (ตุลาคม 2558 - มีนาคม 2559) | พณ | 26/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ได้รับจัดสรรงบประมาณรวม ๘,๘๔๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วประมาณร้อยละ ๖๐ สูงกว่าเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดไว้ โดยในรอบ ๖ เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม ๒๕๕๘-มีนาคม ๒๕๕๙) มีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้
๑. การดูแลราคาสินค้าเกษตร ได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรขึ้นเป็นครั้งแรกตามนโยบายการตลาดนำการผลิต และมีแผนจะดำเนินการในทำนองเดียวกันกับพืชชนิดอื่น ๆ ในระยะต่อไปด้วย ๒. การดูแลค่าครองชีพ ได้จัดจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัดเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และได้เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคผ่านโครงการร้านอาหารราคาประหยัด “หนูณิชย์...พาชิม” ทั่วประเทศ ๓. การสร้างความเข้มแข็งให้ท้องถิ่นผ่านกลไก “ประชารัฐ” ได้พัฒนาตลาดชุมชนเดิมสู่ “ตลาดต้องชม” พัฒนาศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชน (Farm Outlet) และมีแผนจะพัฒนา “หมู่บ้านทำมาค้าขาย” รวมทั้งพัฒนาร้านค้าส่งต้นแบบ ๔. การสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยทรัพย์สินทางปัญญา สนับสนุน SMEs ให้มี Brand ของตนเอง เร่งแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการจดทะเบียน และมุ่งพัฒนาสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ จีไอ รวมทั้งสนับสนุน SMEs Start-up ให้สามารถสร้างนวัตกรรมและต่อยอดเทคโนโลยีด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ๕. การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อเพิ่มช่องทางการค้าและอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ เช่น ส่งเสริมระบบตลาด e-Commerce ผ่านเว็บไซต์ thaitrade.com บริการข้อมูลของทุกหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ผ่านเว็บไซต์เดียว รวมทั้งให้บริการผ่าน Application บน Smart Phone ๖. การผลักดันการส่งออก ได้ริเริ่มผลักดันความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในอนุภูมิภาค แสวงหาโอกาสทางการค้าในตลาดใหม่ เจาะลึกเมืองรองในตลาดสำคัญ โดยเริ่มจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งตั้งเป้าขยายการค้าสู่ภาคบริการที่ไทยมีศักยภาพให้มากขึ้น รวมถึงได้สร้างเครือข่ายผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือ YEN-D Program ด้วย ๗. การปรับโครงสร้างองค์กร ได้ปรับรวมหน่วยงานทุกสังกัดในส่วนภูมิภาคเข้าด้วยกันภายใต้แนวคิด One Roof ทั้ง ๗๖ จังหวัด เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็ง และจัดทำแผนกรอบอัตรากำลังใหม่เพื่อรองรับยุทธศาสตร์การส่งออก รวมถึงได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการและเครือข่ายการต่อต้านการทุจริตขึ้นในทุกหน่วยงาน
|
|||||||||||||||||||||
1003 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรี | อื่นๆ | 26/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงาน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตตามผลการประชุมเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตกร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประชุมเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตกร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๙ ณ จังหวัดเพชรบุรี ที่ประชุมมีข้อสังเกตว่าควรเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น การแก้ปัญหาภัยแล้ง เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเร่งรัดการดำเนินโครงการพัฒนาระบบผันน้ำเชื่อมโยง ๒ จังหวัด จากแม่น้ำเพชรบุรีถึงอ่างเก็บน้ำห้วยมงคล (เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์) ระยะทางประมาณ ๔๒ กิโลเมตร เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และการปรับปรุงเส้นทางคมนาคมทางบก เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมปรับปรุงเส้นทางโดยเฉพาะในจุดที่เป็นเส้นทางท่องเที่ยวสำคัญ เช่น การทำทางยกระดับเพื่อแก้ปัญหาการจราจรบริเวณถนนพระราม ๒ และเร่งปรับปรุงซ่อมแซมเส้นทางที่ชำรุดทรุดโทรมโดยเฉพาะเส้นทางสายหลักสู่ภาคใต้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวและประชาชน ๑.๒ การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและการแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวคุณภาพ สร้างศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายในการรักษาฐานการท่องเที่ยวของประเทศ เพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ และเพิ่มการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนท้องถิ่นอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ๒. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า ๒.๑ ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดงาน ITU Telecom World 2016 ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นการสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย และเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าร่วมงานดังกล่าวได้ เช่น วิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ๒.๒ ในการเป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีเพื่อเปิดการสัมมนาเพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลให้กับคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด และเครือข่าย ๘ จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๙ ได้ชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและความห่วงใยในความเดือดร้อนของประชาชน เช่น นโยบายประชารัฐ มาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว พร้อมทั้งได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ กับผู้เข้าสัมมนาด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1004 | สรุปการจัดกิจกรรมเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ของกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี พ.ศ. 2559 | วธ | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรายงานเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ของกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางในการป้องกันเพื่อไม่ให้มีการแต่งกายและแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมทั้งได้มีการรณรงค์ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์แบบไทยใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า" โดยได้มีการจัดกิจกรรมทั้งในส่วนกลางและในส่วนภูมิภาค ดังนี้
๑. กิจกรรมในส่วนกลาง ๑.๑ จัดกิจกรรมรดน้ำขอพรศิลปินแห่งชาติและผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม จัดงานสงกรานต์เมษา ผ้าขาวม้ารวมใจ เล่นน้ำแบบไทย ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ณ สยามสแควร์ จัดงานสงกรานต์สืบสานประเพณี ส่งเสริมวิถีไทย ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน และจัดงาน Water Festival 2016 เทศกาลวิถีน้ำ วิถีไทย ณ จุดต่าง ๆ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ๑.๒ จัดกิจกรรมร่วมกับวัดสำคัญ ๗ แห่ง เพื่อเปิดโอกาสให้ชาวไทยและชาวต่างชาติได้สัมผัสกับบรรยากาศและประเพณีสงกรานต์แบบดั้งเดิมที่งดงาม ๑.๓ จัดทำสื่อเพื่อใช้ในการรณรงค์ ส่งเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาระและคุณค่าของประเพณีสงกรานต์ ๒. กิจกรรมในส่วนภูมิภาค ได้จัดกิจกรรมเพื่อสืบสานประเพณีสงกรานต์ และเฝ้าระวังเพื่อให้ประเพณีสงกรานต์เป็นไปอย่างสนุกสนานและปลอดภัย ตามวิถีถิ่น วิถีไทยของแต่ละท้องถิ่น รวมทั้งได้จัดกิจกรรมสงกรานต์อาเซียนร่วมกับจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยมิติทางวัฒนธรรม ทั้งนี้ การจัดเทศกาลสงกรานต์ภายใต้แนวคิดดังกล่าวข้างต้นเป็นการอนุรักษ์ สืบสานประเพณีสงกรานต์ของไทย รวมทั้งเป็นการจูงใจให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางกลับมาเที่ยวประเทศไทยอีกในปีต่อ ๆ ไป
|
|||||||||||||||||||||
1005 | ขออนุมัติแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่สอง พ.ศ. 2559 - 2562 | สธ | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่สอง พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒ ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) สร้างเสริมความเข้มแข็งและพัฒนาขีดความสามารถในการควบคุมยาสูบของประเทศ (๒) ป้องกันมิให้เกิดผู้เสพยาสูบรายใหม่และเฝ้าระวังธุรกิจยาสูบที่มุ่งเป้าไปยังเด็ก เยาวชน และนักสูบหน้าใหม่ (๓) ช่วยผู้เสพให้เลิกใช้ยาสูบ (๔) ควบคุมและเปิดเผยส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบ (๕) ทำสิ่งแวดล้อมให้ปลอดควันบุหรี่ และ (๖) ใช้มาตรการทางภาษีและปราบปรามเพื่อควบคุมยาสูบ ๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแผนยุทธศาสตร์ฯ และให้จัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณรองรับแผนยุทธศาสตร์ฯ ไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี ๑.๓ เห็นชอบให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินงานและบริหารจัดการเพื่อให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ ในระยะแรกไม่มีการระบุถึงข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพสาธารณะไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น การออกนโยบายหรือมาตรการเกี่ยวข้องกับการควบคุมยาสูบ จึงต้องระมัดระวังเพื่อมิให้กระทบสิทธิของนักลงทุนที่ได้รับภายใต้ความตกลงเหล่านั้น ในส่วนของแผนดังกล่าวต้องได้รับความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้เกิดการบูรณาการหลาย ๆ ด้านจากทุกภาคส่วน และการแก้ไขชื่อหน่วยงานที่ระบุไว้ในแผนจาก “สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ (สท.)” เป็น “กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.)” เนื่องจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้มีการปรับโครงสร้างใหม่ รวมทั้งการเพิ่มหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้ในยุทธศาสตร์ที่ ๒ และกรมการพัฒนาชุมชนไว้ในยุทธศาสตร์ที่ ๕ ตลอดจนการปรับกรอบระยะเวลาของ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ และการขยายสาระในเรื่องการทำสิ่งแวดล้อมให้ปลอดควันบุหรี่ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ยาสูบไร้ควัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1006 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แบ่งส่วนราชการในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) | สว | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แบ่งส่วนราชการในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ซึ่งมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการส่งเสริมสนับสนุนหรือกระจายงานด้านการให้บริการแก่ประชาชนไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือภาคประชาชนได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการบรรจุและแต่งตั้งคนพิการเข้าเป็นบุคลากรเช่นเดียวกับสถานประกอบการของเอกชน ๒. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ว่า ทุกส่วนราชการได้ดำเนินการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม การพัฒนาสังคม และการสังคมสงเคราะห์แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และมีกองทุนตามกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ส่งเสริม สนับสนุน การจัดบริการสังคมแก่ประชาชน ตลอดจนมีกลไกการทำงานที่ประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้แทนภาคประชาชนร่วมเป็นคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานขับเคลื่อน รวมทั้งมีการส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์บริการคนพิการประจำจังหวัด และการกระจายบริการไปยังท้องถิ่นให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวกยิ่งขึ้น มีการจ้างงานคนพิการ และจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการ สำหรับการบรรจุและแต่งตั้งคนพิการเข้าทำงานส่วนราชการ นั้น สามารถดำเนินการได้ ๒ แนวทาง คือ การบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และการจ้างเป็นพนักงานราชการ ซึ่ง สำนักงาน ก.พ. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการสรรหาและเลือกสรรคนพิการเข้าทำงานในส่วนราชการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1007 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนแม่หล่าย จังหวัดแพร่ พ.ศ. .... | มท | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนแม่หล่าย จังหวัดแพร่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลแม่หล่าย อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการใช้บังคับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงานที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว การกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ และแหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ การกำหนดคำนิยามของคำว่า “การใช้ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับนันทนาการ” และ “การใช้ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม” “การใช้ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว” ที่ระบุไว้ในการใช้ที่ดินแต่ละประเภทให้ชัดเจน รวมทั้งการกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินรองของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลักในแต่ละประเภท เมื่อมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละบริเวณแล้ว ควรจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะ และการเพิ่มประเภทโรงงานในร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามผังเมืองรวมฉบับนี้ เพื่อรักษาพื้นที่เกษตรกรรม แหล่งน้ำ และสภาพแวดล้อมของชุมชนให้มีคุณภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1008 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งของทุนหมุนเวียน | กค | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอขอความเห็นชอบในหลักการมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งของทุนหมุนเวียน ซึ่งมีทุนหมุนเวียนที่มีกรอบภารกิจและวัตถุประสงค์ที่อยู่ในข่ายที่สามารถให้ความช่วยเหลือฯ จำนวน ๑๗ ทุน โดยให้ความช่วยเหลือ (๑) ขยายเวลาการชำระหนี้ และ/หรือ งดการจัดเก็บดอกเบี้ย/ค่าปรับ (๒) พัฒนาแหล่งน้ำเดิม โดยการขุดลอกทางน้ำชลประทาน โดยใช้แรงงานที่เป็นเกษตรกรในท้องถิ่นที่อยู่ในพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และไม่สามารถเพาะปลูกได้ตามฤดูกาล และ (๓) สนับสนุนแหล่งเงินทุน ปัจจัยการผลิตด้านการเกษตร โดยการลดดอกเบี้ยและต้นทุนปัจจัยการผลิต และให้หน่วยงานเจ้าของทุนหมุนเวียนรับไปดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปโดยเร็ว พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการฯ ให้กระทรวงการคลังต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1009 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายที่จะใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินโดย ๑๒ คณะภาคธุรกิจ และให้ทุกส่วนราชการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายต่าง ๆ โดยใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีเสนอ นั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะภาคธุรกิจทั้ง ๑๒ คณะ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับทุกส่วนราชการรวบรวมกิจกรรมที่ต้องดำเนินการและพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมดังกล่าวโดยจัดทำเป็นแผนการดำเนินการให้ชัดเจน ทั้งนี้ โครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วนให้เริ่มดำเนินการภายในปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ส่วนที่เหลือให้ส่งต่อให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องเชื่อมโยงในระยะยาวต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยสร้างความเข้าใจกับภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยเน้นหลักการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันในภาคส่วนต่าง ๆ ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการตามแผนอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยให้วิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งแนวทางที่จะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างยั่งยืนให้คณะรัฐมนตรีทราบภายหลังเทศกาลสงกรานต์ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคมและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวของต่างประเทศเพื่อนำมาปรับใช้ในประเทศไทย รวมทั้งนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการเก็บข้อมูลการก่ออุบัติเหตุของผู้ขับขี่เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ เช่น การต่อใบอนุญาตขับขี่รถ ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง โดยให้เขียนข่าวประชาสัมพันธ์ (press release) เน้นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจหรือประเด็นที่สื่อมวลชนนำเสนอข้อมูลไม่ถูกต้อง รวมถึงประโยชน์โดยตรงที่ประชาชนจะได้รับ โดยให้ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ดังกล่าวให้สื่อมวลชนเผยแพร่เป็นประจำทุกวัน นั้น ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวและสำเนาข่าวประชาสัมพันธ์ส่งให้กรมประชาสัมพันธ์เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ด้วย ๒.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ในฐานะรองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ (ด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ) จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติม ๓ คณะ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจสำคัญ ๓ ประการ ได้แก่ ด้านการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธาน ด้านการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และด้านการปรับปรุงมาตรฐานการบินพลเรือน โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน ทั้งนี้ ให้นำเสนอคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีลงนามโดยด่วน ๒.๔ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่ก่อสร้างโครงการออกแบบรวมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ (คลองด่าน) นั้น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ อาจพิจารณาปรับลดพื้นที่การดำเนินโครงการลงเพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสียเฉพาะในเขตพื้นที่ดังกล่าว และนำพื้นที่ส่วนที่เหลือไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่น การจัดทำแหล่งท่องเที่ยว การจัดทำศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ต่อไป ๒.๕ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อรองรับเหตุอัคคีภัยในอาคารสูง เช่น การจัดให้มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์บนอาคาร การเตรียมรถกระเช้าที่ใช้ในการดับเพลิงให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และการให้มีช่องทางติดต่อสื่อสารเฉพาะระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
|
|||||||||||||||||||||
1010 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนปากน้ำหลังสวน จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... | มท | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนปากน้ำหลังสวน จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลบางน้ำจืด ตำบลปากน้ำ และตำบลบางมะพร้าว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ลุ่มน้ำ สถาบันศาสนา และแหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ รวมทั้งการใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงานที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว และการเพิ่มประเภทโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น ดูแล และอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามผังเมืองรวมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการบุกรุกทำลายพื้นที่ชายฝั่งทะเล และควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินได้สอดคล้องกับภูมิสังคมของพื้นที่อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1011 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2559 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนา ปี ๒๕๕๙ ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จำนวน ๖ โครงการ กรอบวงเงิน ๒,๔๕๗.๙๔๘ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ประกอบด้วย (๑) โครงการที่ขอรับเงินอุดหนุนร้อยละ ๗๕ เงินรายได้ร้อยละ ๒๕ จำนวน ๔ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒,๒๑๘.๓๗๒ ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาชัยภูมิ (บ้านเขว้า) และโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายเพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ กปภ. สาขาแม่สอด (ระยะที่ ๒) กปภ. สาขาอรัญประเทศ และ กปภ. สาขาสะเดา และ (๒) โครงการที่ขอรับเงินอุดหนุนร้อยละ ๑๐๐ จำนวน ๒ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒๓๙.๕๗๖ ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการปรับปรุงระบบประปาหลังรับโอน ได้แก่ กปภ. สาขาชุมแพ (ห้วยยาง) และ กปภ. สาขากบินทร์บุรี (หนองกี่) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ส่วนงบประมาณในการดำเนินโครงการที่ยังไม่มีแหล่งเงินงบประมาณรองรับ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๗๖๖.๖๑๖ ล้านบาท ซึ่ง กปภ. เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาชัยภูมิ (บ้านเขว้า) และโครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังรับโอน กปภ. สาขาชุมแพ (ห้วยยาง) และสาขากบินทร์บุรี (หนองกี่) เห็นควรให้ กปภ. จัดทำรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่าย และแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อประกอบการพิจารณาตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการพิจารณาใช้เงินรายได้ในการดำเนินโครงการเป็นอันดับแรกและประสานสำนักงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนเริ่มดำเนินโครงการและติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายและจัดทำแผนพัฒนาแหล่งน้ำดิบเพื่อรองรับการขาดแคลนในช่วงฤดูแล้ง รวมถึงวางแผนบริหารน้ำสูญเสียโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำสูญเสียสูง การควบคุมค่าใช้จ่ายในการผลิตและบริหารจัดการโครงการ การจัดทำแผนการพัฒนาน้ำต้นทุนอย่างเป็นระบบ การมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการวางแผนแก้ไขปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งวางแผนป้องกันและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนแหล่งน้ำดิบของประปาสาขาทุกแห่ง การพิจารณาเกณฑ์การให้เงินอุดหนุนที่เหมาะสมโดยจัดลำดับความสำคัญของโครงการ การพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนเพื่อลดภาระทางการเงินและความเสี่ยงในการดำเนินงาน การกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงาน ระยะเวลา และงบประมาณที่กำหนดไว้ การจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแล การบริหารจัดการน้ำในภาพรวมตั้งแต่การจัดหาแหล่งน้ำดิบ การผลิตน้ำประปา และการบริหารจัดการน้ำเสีย ตลอดจนการจัดทำแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำให้เกิดความชัดเจน โดยให้มีการบูรณาการโครงการที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบเพื่อประชาชนได้รับการจัดสรรน้ำอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยบูรณาการร่วมกับสำนักงบประมาณ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบแผนงานโครงการที่เกี่ยวกับระบบสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน โทรศัพท์ ท่อระบายน้ำ เป็นต้น เพื่อวางแผนบริหารจัดการใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์ในภาพรวมให้กระทบกับประชาชนน้อยที่สุด หากมีพื้นที่ดำเนินโครงการเป็นพื้นที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกันควรดำเนินการไปพร้อมกัน เว้นแต่กรณีที่มีงานเดียว ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องรับผิดชอบการฝังกลบหรือซ่อมบำรุงพื้นที่ดังกล่าวให้อยู่ในสภาพเดิมด้วย |
|||||||||||||||||||||
1012 | ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูล | ปช | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เสนอขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้หัวหน้าหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินส่งข้อมูลหรือคำสั่งทางราชการในการบริหารบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีดังกล่าว ให้ สำนักงาน ป.ป.ช. ทราบทุกครั้งที่มีการแต่งตั้ง โยกย้าย สับเปลี่ยนตำแหน่ง ออกจากราชการ และเกษียณอายุราชการ และแจ้งให้ผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินยื่นบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินให้สำนักงาน ป.ป.ช. ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ในการประชุมครั้งที่ ๗๒๕-๙๗/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ และครั้งที่ ๗๓๔-๐๘/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๙ ๒. ให้หัวหน้าหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งที่ ๗๒๕-๙๗/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ และครั้งที่ ๗๓๔-๐๘/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๙ |
|||||||||||||||||||||
1013 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลของ กขร. ห้วงเดือนมกราคม 2559 | นร04 | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องการปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และการแก้ไขปัญหายาเสพติด และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ เผยแพร่การดำเนินการเรื่องที่อยู่อาศัยที่รัฐจัดให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาส รวมถึงหลักเกณฑ์และรูปแบบการให้สิทธิประโยชน์ เช่น ให้เช่า ให้ผ่อนชำระ หรือให้เปล่า กับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มให้ชัดเจนเพื่อให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและกระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการแก้ไขกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมรวม ๗ ฉบับ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามเรื่องร้องเรียนหรือร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับยาเสพติดจากประชาชนด้วย ๒. รับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบาลรัฐบาล ครั้งที่ ๑๖ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ มกราคม ๒๕๕๙) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ๒.๒ การปฏิรูปประเทศ การดำเนินการเชิงนโยบาย คณะกรรมการปฏิรูปและขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน จำนวน ๖ คณะ ได้แก่ คณะที่ ๑ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา คณะที่ ๒ ด้านเศรษฐกิจการเงิน การคลัง การลงทุนภาครัฐ และโครงสร้างพื้นฐาน คณะที่ ๓ ด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและสร้างความปรองดองสมานฉันท์ คณะที่ ๔ ด้านสาธารณสุข คณะที่ ๕ ด้านความมั่งคง ลดความเหลื่อมล้ำการเกษตรทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ และคณะที่ ๖ ด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการกีฬา ๒.๓ การบริหารราชการแผ่นดิน มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน การบริหารเศรษฐกิจ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม |
|||||||||||||||||||||
1014 | ขอความเห็นชอบต่อ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2559 - 2561) | ทก | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารายยุทธศาสตร์ และ/หรือรายวาระ (agenda-based) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ให้ทุกกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี และแผนปฏิบัติการที่จะจัดทำขึ้น ไปพิจารณาประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติราชการและคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานให้สอดคล้องกัน ๑.๔ ให้ทุกกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการดิจิทัลระยะ ๓ ปี ของหน่วยงานแทนการจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเดิม และให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ ที่ให้ทุกกระทรวง ทบวง และหน่วยงานอิสระจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเป็นระบบโดยจัดทำแผน ๓ ปี และปรับทุกปีตามความเหมาะสม และให้เสนอแผนของหน่วยงานควบคู่ไปกับการของบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในงบประมาณรายจ่ายประจำปีทุกปี ๑.๕ มอบหมายให้สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนงบประมาณ บุคลากร การทบทวนโครงสร้างของส่วนราชการ การปรับปรุงกฎระเบียบ และการกำหนดตัวชี้วัด รวมทั้งการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นไปตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย อาทิ แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ควรพิจารณาเรื่องการลดภาษีด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเป็นการส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาไปสู่การแข่งขันเชิงธุรกิจในระยะยาว ส่วนแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี ควรมีหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยคอมพิวเตอร์ในระดับประเทศ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและภาคประชาชน และควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการ (Operating System) รวมทั้งโปรแกรมด้านงานเอกสาร เช่น Word Processing, Spread Sheet ที่พัฒนาโดยประเทศไทย และส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ขึ้นในประเทศ นอกจากนี้ การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารายยุทธศาสตร์ควรระบุถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วิธีการดำเนินงานตามโครงการ ระยะเวลาที่จะใช้ในการดำเนินงาน และกรอบวงเงินงบประมาณให้มีความชัดเจน โดยจะต้องไม่ทับซ้อนกับภารกิจที่แต่ละส่วนราชการกำลังดำเนินการอยู่แล้ว ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจในแผนดังกล่าวกับทุกภาคส่วนทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาระบบและการเชื่อมโยงข้อมูลตามแผนรัฐบาลดิจิทัล ต้องดำเนินการตามกรอบมาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ (TH e-GIF) เพื่อให้การเชื่อมโยงข้อมูลของภาครัฐเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||
1015 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เมืองเก่าพะเยา เมืองเก่าตาก เมืองเก่านครราชสีมา เมืองเก่าสกลนคร และเมืองเก่าสตูล | ทส | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าพะเยา เมืองเก่าตาก เมืองเก่านครราชสีมา เมืองเก่าสกลนคร และเมืองเก่าสตูล เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ ๑.๒ กรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาและจัดทำรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป ประกอบด้วย ๑.๒.๑ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาทั่วไป มี ๗ ด้าน ได้แก่ (๑) การมีส่วนร่วมและการประชาสัมพันธ์ (๒) การสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน (๓) การส่งเสริมกิจกรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น (๔) การส่งเสริมคุณภาพชีวิต (๕) การป้องกันภัยคุกคามจากมนุษย์และธรรมชาติ (๖) การประหยัดพลังงานด้านการสัญจรและสภาพแวดล้อม และ (๗) การดูแลและบำรุงรักษาอาคารและสาธารณูปการ ๑.๒.๒ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสำหรับเขตพื้นที่ (Zoning) ในพื้นที่หลัก มี ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน (๒) ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม (๓) ด้านระบบการจราจรและคมนาคมขนส่ง (๔) ด้านการพัฒนาภูมิทัศน์ และ (๕) ด้านการบริหารและการจัดการ ๑.๒.๓ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสำหรับเขตพื้นที่ต่อเนื่อง มี ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน (๒) ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม (๓) ด้านระบบการจราจรและคมนาคมขนส่ง และ (๔) ด้านการพัฒนาภูมิทัศน์ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าที่มีพื้นที่คาบเกี่ยวหรืออยู่ในเส้นทาง/เขตทาง/พื้นที่ของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งอาจมีการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เมืองเก่า จำเป็นต้องมีการตรวจสอบร่วมกันอีกครั้ง ส่วนกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ควรมีการพิจารณาแนวทางและกรอบเวลาให้ชัดเจนเพื่อหน่วยงานจะได้สามารถวางแผนงาน/โครงการได้ รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ กับโบราณสถาน ให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าประสานความร่วมมือกับภาคประชาชนและหน่วยงานในระดับพื้นที่หรือท้องถิ่นเพื่อให้มีความเข้าใจและมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ๕ เมืองดังกล่าว โดยในการดำเนินงานของส่วนราชการหากมีภาระด้านงบประมาณเพิ่มเติม ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมถึงการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ให้ครอบคลุมครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1016 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... | มท | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลทับยายเชียง และตำบลหอกลอง อำเภอพรหมพิราม ตำบลวัดโบสถ์ ตำบลท่างาม ตำบลบ้านยาง และตำบลท้อแท้ อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน และร่างกฎกระทรวงฯ ไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงที่การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน ๙ ประเภท ๑๗ โรงงาน คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๒๙ ของโรงงานทั้งหมดในพื้นที่วางผัง ไม่ได้กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงฯ ส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ จึงเห็นควรให้เพิ่มประเภทและขนาดโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ และแหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ การกำหนดคำนิยามของคำว่า “การใช้ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับนันทนาการ” และ “การใช้ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม” ที่ระบุไว้ในการใช้ที่ดินแต่ละประเภทให้ชัดเจน การจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมือง เพื่อประโยชน์ต่อทางราชการในการอ้างอิงประกอบการพิจารณาอนุมัติดำเนินกิจการประเภทอื่น ๆ และเพื่อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจในการพิจารณาเลือกประเภทกิจการให้เหมาะสมกับพื้นที่ในอนาคต รวมทั้งการสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามผังเมืองรวมฉบับนี้ โดยเฉพาะที่ดินบริเวณริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย เพื่อป้องกันการบุกรุกทำลายสภาพตามธรรมชาติของแม่น้ำ และเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมของชุมชนให้มีคุณภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1017 | ร่างบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก | นร07 | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกมาตรฐานอาคารประเภทที่ทำการของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๒๑ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๑ แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ สร ๐๒๐๓/ว ๑๒๐ ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๒๑ เรื่อง การกำหนดมาตรฐานอาคารประเภทที่ทำการของทางราชการ ๑.๒ ให้หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์การอิสระ ใช้ร่างบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก เพื่อกำหนดรูปแบบในการก่อสร้างอาคารให้มีความเหมาะสมกับภารกิจที่รับผิดชอบ และมีราคาค่าก่อสร้างต่อเนื้อที่ใช้สอยของอาคารเฉลี่ยต่อตารางเมตรไม่เกินราคาที่สำนักงบประมาณกำหนด ทั้งนี้ หากมีปัญหาในทางปฏิบัติหรือสภาวะทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป สมควรมอบหมายให้สำนักงบประมาณวินิจฉัยปัญหาข้อหารือ และกำหนดบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก ได้ตามความจำเป็น ๒. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๑ (เรื่อง การกำหนดมาตรฐานอาคารประเภทที่ทำการของทางราชการ) ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||
1018 | ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติในการออกเสียงประชามติ | ลต | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการออกเสียงประชามติตามมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้
๑. สั่งข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้าง รวมทั้งขอความร่วมมือกลุ่มอาสาสมัครหรือกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ ในสังกัดทุกประเภท และทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ และสนับสนุนในการดำเนินการออกเสียงประชามติ รวมทั้งการจัดบุคลากรทำหน้าที่เกี่ยวกับการออกเสียงประชามติเพี่อให้เกิดความถูกต้อง โปร่งใส และดำเนินการอื่นใดที่จำเป็น เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโดยตรงหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งร้องขอ โดยให้ถือเป็นงานในหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างนั้น ๆ ด้วย ๒. ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างในสังกัดทุกประเภท และทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น วางตัวเป็นกลางในการออกเสียงประชามติอย่างเคร่งครัด ไม่ปฏิบัติการใด ๆ ในลักษณะเป็นการชี้นำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไปลงคะแนนออกเสียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ๓. ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างในสังกัดทุกประเภท และทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติให้เป็นตัวอย่างแก่ประชาชนทั่วไป และให้คำแนะนำ ชักชวนบุคคลผู้มีสิทธิในครอบครัว ญาติ และมิตรสหาย ไปใช้สิทธิออกเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานอำนวยความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิออกเสียงในสังกัดในการไปใช้สิทธิออกเสียงด้วย ๔. ให้การสนับสนุนสถานที่เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการจัดการออกเสียงประชามติ ๕. ให้กระทรวงแรงงานกำหนดแนวทางหรือมาตรการการดำเนินงานที่มีความชัดเจนและมีผลในทางปฏิบัติระหว่างกระทรวงแรงงานกับภาคเอกชนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้แรงงาน และลูกจ้างสามารถไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติได้ โดยไม่ถือเป็นวันลาหรือวันหยุด อีกทั้งเพื่อมิให้มีผลกระทบต่อภาคเอกชน ๖. ให้หน่วยงานด้านสื่อต่าง ๆ ของรัฐ ทั้งสื่อวิทยุ และโทรทัศน์ เผยแพร่ข่าวสารการออกเสียงประชามติอย่างต่อเนื่อง และทั่วถึง เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนไปใช้สิทธิออกเสียงให้มากที่สุด ๗. ให้หน่วยงานต่าง ๆ พิจารณาความเหมาะสมในการจัดให้มีการฝึกอบรม หรือประชุมสัมมนา โดยให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับการปฏิบัติงานในการออกเสียงประชามติ รวมทั้งการไปใช้สิทธิออกเสียงของบุคลากรในสังกัดเป็นสำคัญ ๘. ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำและตรวจสอบทะเบียนราษฎร ดำเนินการสำรวจและตรวจสอบพร้อมทั้งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการปรับปรุงข้อมูลทะเบียนราษฎรในส่วนของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง และเป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อให้สถิติของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงมีความสอดคล้อง และถูกต้องตามข้อเท็จจริง
|
|||||||||||||||||||||
1019 | สรุปผลการดำเนินงาน "มหกรรมวัฒนธรรม วิถีถิ่น วิถีไทย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 70 ปี และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559 " | วธ | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรายงานสรุปผลการดำเนินงาน “มหกรรมวัฒนธรรม วิถีถิ่น วิถีไทย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ ๗๐ ปี และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙” ว่าได้จัดงานดังกล่าวเพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไปได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สืบสานมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน รวมถึงการขยายเครือข่ายความร่วมมือด้านศิลปวัฒนธรรมและการเพิ่มพื้นที่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งช่วยสร้างความสุขให้แก่คนไทยและสร้างรายได้ให้แก่ศิลปินและชุมชนผู้ประกอบการในการนำทุนทางวัฒนธรรมมาใช้เพิ่มพูนรายได้ให้แก่ประชาชน โดยมีรายละเอียดของกิจกรรม ดังนี้
๑. ส่วนกลาง จัดขึ้น ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มหกรรมการแสดงพื้นบ้านจากทั่วประเทศ มหกรรมการแสดงยอดนิยม กิจกรรมงานวัด การละเล่นพื้นบ้านและกีฬาไทย การสาธิตมรดกภูมิปัญญา และการจัดจำหน่ายอาหาร ขนม สินค้าและผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมจาก ๔ ภูมิภาคจากภูมิปัญญาไทย ๒. ส่วนภูมิภาค ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับ ๔ จังหวัดหลักของแต่ละภูมิภาคและชุมชนต่าง ๆ จัดกิจกรรมการแสดงพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงแสดงถึงเอกลักษณ์ของท้องถิ่น และการแสดงดนตรีและนาฏศิลป์ โดยความร่วมมือของประเทศในประชาคมอาเซียนและนานาชาติ ซึ่งถือเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศผ่านมิติทางวัฒนธรรมด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1020 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "การปฏิรูปรูปแบบการปกครองท้องถิ่นของเมืองท่องเที่ยว" ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “การปฏิรูปรูปแบบการปกครองท้องถิ่นของเมืองท่องเที่ยว” ซึ่งมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารงานและการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเมืองท่องเที่ยว ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
.....