คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติรายงานผลการ
ดำเนินงานนโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โดยสรุปคือ  (1)  การดำเนินงานนโยบายกองทุนหมู่บ้านและ
ชุมชนเมืองประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ กล่าวคือ มีการจัดตั้งกองทุนรวมทั้งสิ้น 74,513 กองทุน คิดเป็นร้อย
ละ 98.63 ของหมู่บ้านและชุมชนเป้าหมาย  (75,547  กองทุน)  มีการจัดสรรและโอนเงินแล้ว  74,286  กองทุน
แยกเป็นกองทุนหมู่บ้าน 71,331 กองทุน และกองทุนชุมชนเมือง 2,955 กองทุน  และได้ปล่อยเงินกู้ให้สมาชิกนำ
ไปพัฒนาอาชีพ  สร้างงาน  สร้างรายได้  ลดรายจ่าย  และบรรเทาเหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนจำนวน  7,464,018 
ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 101,935.42 ล้านบาท โดยสมาชิกส่วนใหญ่ร้อยละ 70.7 กำหนดชำระคืนเงินกู้ภายใน 1
ปี   ปัจจุบันเริ่มทยอยส่งคืนเงินกู้แล้ว  (2)  การยกร่างพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติและ
การศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มทุนให้แก่กองทุน  ฯ    คณะกรรมการ  ฯ   ได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการ
กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ  (สทบ.)  จัดสัมมนา  เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในประเด็นและ
สาระสำคัญประกอบในการยกร่างพระราชบัญญัติ  ฯ   โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างพระราชบัญญัติ ฯ เพื่อ
ทำหน้าที่นำผลที่ได้จากการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมาประกอบในการยกร่างพระราชบัญญัติ ฯ ส่วนการ
ศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มทุนให้แก่กองทุน ฯ  ได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มทุนให้แก่
กองทุน  ฯ   (3)  โครงการมหกรรมครบรอบ  2  ปี  นโยบายกองทุน  ฯ   ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และประชา
สัมพันธ์ผลงานนโยบายกองทุน ฯ  ต่อการสร้างสังคม และเศรษฐกิจระดับชุมชนท้องถิ่น และระดับประเทศได้มีคำสั่ง
แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมการจัดงานดังกล่าวโดยมีเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นประธานอนุกรรมการ ซึ่งได้มี
การกำหนดกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การจัดแถลงข่าว การจัดนิทรรศการและการสัมมนาเกี่ยวกับกองทุนหมู่บ้าน การ
จำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์กองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น โดยจะมีผู้เข้าร่วมโครงการประมาณ 20,000 คน

              รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบ
การประกันคุณภาพการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542  ของคณะกรรมาธิการการ
ศึกษา  สภาผู้แทนราษฎร   และมอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาดำเนินการ   แล้วแจ้ง
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยผลการพิจารณาศึกษาปัญหาดังกล่าว
คณะกรรมาธิการการศึกษา เห็นว่า  ระบบการประกันคุณภาพการศึกษา มีหลักการที่ต้องพิจารณาคือ  ระบบการ
ประกันคุณภาพ  มาตรฐานการศึกษา  และการประกันคุณภาพ   ซึ่งการประกันคุณภาพการศึกษาที่ดำเนินการใน
ปัจจุบันได้พัฒนาบนฐานความคิดการศึกษาในระบบ ซึ่งจัดแบ่งเป็น  2  ระดับ คือ  การศึกษาขั้นพื้นฐาน  และการ
ศึกษาอุดมศึกษา โดยมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว  โดยในส่วนของข้อสังเกตสรุปได้ดังนี้ (1)
การพัฒนาระบบประกันคุณภาพทั้งภายในและภายนอกไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติ  ฯ   เนื่อง
จากขาดความเชื่อมโยงของระบบประกันคุณภาพภายใน   คุณภาพภายนอก   การศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา
(2)  ระบบประกันคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาในสถานศึกษาของรัฐและเอกชนท้องถิ่นขาดมาตร
ฐานกลาง   ความสอดคล้องและความยืดหยุ่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น  (3)  ผู้ประเมินภายนอกอยู่ในวงจำกัด   ขาด
หลักการและความเชื่อมโยงที่ชัดเจนของการประกันคุณภาพภายในและภายนอก  (4) ยังไม่มีความชัดเจนของการ
ประกันคุณภาพของการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และขาดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน  ส่วนข้อ
เสนอแนะสรุปได้ดังนี้ (1) ควรเร่งปรับปรุงระบบหลักเกณฑ์และวิธีการประกันคุณภาพให้มีความเชื่อมโยงทั้งระบบ
(2)   ควรกำหนดมาตรฐานการศึกษาและตัวบ่งชี้ของการศึกษาทั้งระดับขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาต่างสังกัด  ให้มี
การยืดหยุ่นและเหมาะสมกับท้องถิ่นและให้มีมาตรฐานกลาง  และ  (3) องค์ประกอบของคณะผู้ประเมินภายนอก
ควรมีความหลากหลายและมีความเป็นผู้แทนภาคประชาชน   ตัวแทนชุมชน   และผู้ปกครอง   ทั้งนี้   แนวทางการ
ดำเนินการต่อไป   ให้เสนอสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาทำการประเมินโครงการนำ
ร่องการประเมินคุณภาพภายนอก    และให้นำผลการประเมินมาใช้ปรับปรุงเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานก่อนที่จะ
ขยายการดำเนินงานประเมินภายนอกไปทั่วประเทศ     และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรจัดทำโครงการวิจัยผลการ
ดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อติดตามผลการดำเนินงาน   และนำเสนอแนวทางการพัฒนาการประกัน
คุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอเรื่อง มาตรการดูแลป้องกันการใช้สาร
ระเหย โดยกำหนดมาตรการป้องกันการนำสารระเหยไปใช้ทดแทนยาเสพติด โดยอาศัยอำนาจตามพระราช
กำหนดป้องกันการใช้สารระเหย พ.ศ. 2533 ดังนี้  (1)  ติดตามตรวจสอบผู้ผลิต  ผู้นำเข้า  จัดให้มีภาพหรือ
เครื่องหมายหรือข้อความที่ภาชนะบรรจุ  หรือหีบห่อบรรจุสารระเหย   เพื่อเป็นการเตือนให้ระวังการใช้สาร
ระเหย  (2) ติดตามตรวจสอบร้านค้าไม่ให้ขายสารระเหยแก่ผู้ที่มีอายุไม่เกิน 17 ปี  และให้มีป้ายหรือเครื่อง
หมาย  (3) ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงอันตรายของการสูดดมสารระเหย  เช่น  หัวใจเต้นเร็ว  ปวด
ศรีษะ โลหิตจาง  กล้ามเนื้อเปลี้ย  เป็นพิษต่อไตและตับ  ทำลายเยื่อหุ้มสมอง  และอาจเสียชีวิตได้  และ  (4)
เร่งรัดทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือในการดำเนินการให้เป็นไปตามข้อบัญญัติของพระราชกำหนดนี้ซึ่งหน่วย
งานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่  กระทรวงสาธารณสุข  กระทรวงอุตสาหกรรม  กระทรวงศึกษาธิการ  สำนักงานคณะ
กรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด  กระทรวงมหาดไทย  (ผู้ว่าราชการจังหวัด   นายอำเภอ   ปลัด
อำเภอ ฯลฯ)  และข้าราชการสังกัดส่วนราชการบริหารส่วนท้องถิ่น

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอคำตอบกระทู้
ถามที่ 922 ร. เรื่อง การเปิดให้บริการของที่ทำการองค์การโทรศัพท์สาขาอำเภอโนนสูง  จังหวัดนครราชสีมา
ของนางพิชญ์สินี  กิตติรักษกุล   สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา   และให้ประกาศในราชกิจจานุ
เบกษาต่อไป   โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า  อาคารที่ทำการองค์การโทรศัพท์และอาคารการสื่อสาร
ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชุมชนบริเวณเทศบาลตำบลโนนสูง  อำเภอโนนสูง  จังหวัดนครราชสีมา  ได้เปิดที่ทำการสำนัก
งานบริการโทรศัพท์โนนสูงอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันที่  20  พฤศจิกายน  2545   และได้เปิดอย่างเป็นทาง
การเมื่อวันที่  15  ธันวาคม  2545  สามารถให้บริการและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการในพื้นที่ 4 
อำเภอ ได้แก่ อำเภอโนนสูง  อำเภอโนนไทย  อำเภอขามสะแกแสง  และกิ่งอำเภอพระทองคำ  ทั้งในด้านการ
ติดต่อขอใช้บริการโทรศัพท์ การชำระค่าบริการ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง  ส่วนมาตรการเรื่องตู้โทรศัพท์
ที่ตั้งร้าง บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น  จำกัด  (มหาชน)  ได้เร่งรัดจัดหาและติดตั้งเครื่องโทรศัพท์สาธารณะในตู้
โทรศัพท์ที่ตั้งร้างไว้แล้ว    รวมทั้งมีนโยบายการจัดหาเครื่องและตู้โทรศัพท์สาธารณะในจำนวนที่เพียงพอและ
สมดุลย์กัน  และให้มีเครื่องและตู้โทรศัพท์สาธารณะสำรองหมุนเวียนทดแทนด้วย  นอกจากนี้  ยังมีมาตรการ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการโทรศัพท์สาธารณะ   ได้แก่   การนำเครื่องโทรศัพท์สาธารณะประเภทใช้
บัตร Chip Card,  PIN Phone  และประเภท Combine  มาติดตั้งทดแทนเครื่องโทรศัพท์ประเภทหยอดเหรียญ
กำชับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบให้ตรวจสอบและแก้ไขเครื่องโทรศัพท์สาธารณะให้สามารถใช้งานได้ดีตลอดเวลา
การนำระบบ  PMS (Payphone Management System) มาใช้ในการบริหารจัดการ และการให้ประชาชนและ
องค์กรท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและดูแลรักษา เป็นต้น

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานความก้าวหน้าในการ
ถ่ายโอนภารกิจไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สรุปได้ว่า  การถ่ายโอนภารกิจในปี พ.ศ. 2545-2546  มี
ส่วนราชการ จำนวน 57 กรม ต้องถ่ายโอนภารกิจรวม  238  ภารกิจ  ไปให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
ขณะนี้ได้ถ่ายโอนภารกิจไปแล้ว จำนวน 119 ภารกิจ คงเหลือภารกิจที่ยังไม่ได้ถ่ายโอน จำนวน 119 ภารกิจ
(ส่วนใหญ่เป็นภารกิจของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการ) ทั้งนี้  คณะรัฐมนตรีเห็นว่า การจะ
ถ่ายโอนภารกิจใดไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือไม่เพียงใด ต้องพิจารณาประโยชน์สูงสุดที่ประชาชน
จะพึงได้รับเป็นสำคัญ ดังนั้น ต้องพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม ข้อเท็จจริง ตลอดจนศักยภาพความพร้อม
ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภารกิจด้านการสาธารณสุขและการศึกษา ซึ่งกระทบต่อ
ประชาชนจำนวนมาก  จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการการกระจาย
อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับความเห็นดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาในการถ่ายโอนภาร
กิจ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย

        คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 707 ร. 
เรื่อง แผนพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดกาฬสินธุ์  ของนายสุขุมพงศ์  โง่นคำ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
จังหวัดกาฬสินธุ์  และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป  โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า  (1) 
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้กำหนดกลยุทธ์การพัฒนาการท่องเที่ยว ในแผนพัฒนาการ
ท่องเที่ยวจังหวัดกาฬสินธุ์  โดยได้เร่งพัฒนาการท่องเที่ยวบริเวณรอบเขื่อนลำปาว ส่งเสริมให้มีการผลิต
สินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน ดำเนินการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง อบรมบุคลากร
ด้านการท่องเที่ยว  ให้มีการลงทุนในธุรกิจและบริการต่าง ๆ  และประสานงานกับจังหวัดอื่น ๆ  ในการ
เชื่อมต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดอื่น ๆ นอกจากนี้ยังได้ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อ
พัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัด ส่งเสริมการผลิต ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ดนตรีพื้นบ้าน ส่งเสริมการท่อง
เที่ยวแบบ homestay  ตลอดจนดูแลรักษากิจกรรมและแหล่งท่องเที่ยวเดิม  ให้มีการวางผังเมือง  ระบบ
สาธารณูปโภค และสนับสนุนเอกชนให้ลงทุนในด้านการท่องเที่ยว โดยภาครัฐร่วมมือกับเอกชน  ทั้งนี้
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2545  ททท. ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการศึกษา จัดทำแผน
ปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยว กลุ่มจังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ อุดรธานี และหนองคาย ได้มอบหมาย
ให้ศูนย์บริหารวิชาการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นผู้ดำเนินการศึกษา และ (2) การจัดสรรงบประมาณ
สนับสนุนเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวตามแผนบูรณาการงบประมาณด้านการท่องเที่ยว ในปีงบประมาณ 
พ.ศ. 2546 หน่วยงานที่ต้องการขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยว สามารถขอรับ
การสนับสนุนผ่านหน่วยงานต้นสังกัด ภายใต้งบประมาณปกติ ซึ่งสำนักงบประมาณจะเป็นผู้พิจารณาจัด
สรรต่อไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอผลการหารือการเตรียม
ความพร้อมและภาระด้านงบประมาณเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นตามพระ
ราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 แก่การ
เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  พ.ศ. 2546  ในส่วนของ
ความจำเป็นในการกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ควบคุมการเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นทุกประเภท ด้านการเตรียมความพร้อมในการดำเนินการ  และด้านงบประมาณ  และมอบให้สำนัก
งบประมาณดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป โดยสรุปคือ  กรณีที่องค์
กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดมีเงินไม่เพียงพอเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง     และหากคณะกรรมการการ
เลือกตั้งต้องเข้ามาดำเนินการในขณะนี้การใช้จ่ายเงินงบประมาณก็จะเป็นการใช้จ่ายเงินในจำนวนเดียวกัน 
ฉะนั้น เพื่อให้สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกานี้ คณะรัฐมนตรีจึงอาจอนุมัติในหลักการ
ที่จะให้เงินอุดหนุนเพื่อใช้ในการเลือกตั้ง โดยให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณดัง
กล่าวต่อไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการปฏิบัติงานการต่อสู้เพื่อเอาชนะ
ยาเสพติด  ระหว่างวันที่ 1-28 กุมภาพันธ์ 2546  สรุปได้ดังนี้ (1) การดำเนินการด้านจับกุมปราบปราม ของ
จังหวัดต่าง ๆ ยกเว้นกรุงเทพมหานคร สามารถจับกุมผู้ผลิต/ผู้ค้าได้ 18,613 คน  จากเป้าหมายรวม  43,456
คน  คิดเป็นร้อยละ  42.83  (2)  การดำเนินการต่อผู้มาแสดงตน  มีผู้ผลิต/ผู้ค้า   มาแสดงตนต่อทางราชการ
40,380 คน และผู้ติด/ผู้เสพ มาแสดงตน 226,048 คน (3) การดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประกอบด้วย  
กลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน  ได้ลงโทษทางวินัย ให้ออก ปลดออก ไล่ออก 28 คน  สั่งพักหน้าที่ 27 คน  ลาออกจาก
ตำแหน่ง 14 คน อยู่ระหว่างการสอบข้อเท็จจริงและตรวจสอบพฤติการณ์ 119 คน ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังพิจารณา
ดำเนินการทางอาญาต่อไป  และกลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  มีบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพ
ติด 121 คน แยกเป็นผู้บริหารท้องถิ่น 23 คน สมาชิกสภาท้องถิ่น 95 คน  และลูกจ้าง  3  คน  ซึ่งได้สั่งให้พ้น
จากตำแหน่ง 21 คน  อยู่ระหว่างการสอบสวน 72 คน ลาออก 20 คน เสียชีวิต 6 คน จำคุก 1 คน  และถูกจับ
กุม 1 คน และให้พิจารณาดำเนินคดีอาญากับบุคคลที่พ้นตำแหน่ง และลาออกด้วย  (4)  การดำเนินการเกี่ยว
กับการยึดทรัพย์ผู้กระทำผิด ได้มีการอบรมผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 75 จังหวัด ผ่านการประชุมวีดีทัศน์ทางไกล 
เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  และดำเนิน
การออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง (5) การเสริมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชน
เพื่อเอาชนะยาเสพติด ได้กำหนดขั้นตอนรวม 6 ขั้นตอน  ได้แก่  ขั้นที่ 1  การเตรียมองค์กร/บุคลากร  ขั้นที่ 2 
การเตรียมหมู่บ้าน/ชุมชน  ขั้นที่ 3 การประชุมประชาคมหมู่บ้าน  ขั้นที่ 4 การสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับยาเสพติด 
 ขั้นที่ 5  การทำให้หมู่บ้าน/ชุมชนเข้มแข็งเอาชนะยาเสพติด และขั้นที่ 6 การพัฒนาให้หมู่บ้าน/ชุมชนเข้มแข็ง
เอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน  โดยกำหนดเป้าหมายในการดำเนินการไว้ 2  ระยะ  ระยะแรก  ระหว่างวันที่ 1 
กุมภาพันธ์ - 30 เมษายน 2546  และระยะที่สอง ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2546 - 31 กรกฎาคม 2547

           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 746 ร.เรื่อง การจัดทำ
แผนปฏิบัติงานเดินสำรวจเพื่อออกโฉนดที่ดินให้กับราษฎร ของนายอำนวย คลังผา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
จังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า  (1)  กระทรวง
มหาดไทยได้ดำเนินการสำรวจออกโฉนดที่ดินให้แก่ประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ประกอบด้วย โครงการ
พัฒนากรมที่ดินและเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินทั่วประเทศให้แล้วเสร็จภายใน 20 ปี (พ.ศ. 2528-2547) โครง
การเร่งรัดออกโฉนดที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน 4  ปี  (พ.ศ. 2537-2540)  โครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน
และสอบเขตที่ดินทั้งตำบล  (งบปกติ)  ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2474-2545  โครงการออกโฉนดที่ดิน แบบ
ท้องถิ่น (งบปกติ) ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2503-2545 และโครงการเดินสำรวจออกหนังสือรับรองการทำ
ประโยชน์ (น.ส.3ก.) ทั่วประเทศ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2515-2542 และ (2) กระทรวงมหาดไทยมีมาตร
การในการจัดเก็บอัตราค่าธรรมเนียมกับราษฎรในกรณีออกโฉนดที่ดิน ได้แก่ กรณีราษฎรมีที่ดินเนื้อที่ไม่เกิน
20 ไร่ เสียค่าธรรมเนียมแปลงละ 110 บาท  กรณีราษฎรมีที่ดินเนื้อที่เกิน  20  ไร่  ส่วนที่เกินให้เสียค่าธรรม
เนียมเพิ่มไร่ละ  2  บาท  เศษของไร่ให้คิดเป็นหนึ่งไร่  และกรณีที่ราษฎรได้มอบอำนาจให้บุคคลอื่นมานำเดิน
สำรวจออกโฉนดที่ดินแทน  ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเป็นค่ามอบอำนาจ  เรื่องละ  20  บาท   ทั้งนี้   ในการ
จัดเก็บอัตราค่าธรรมเนียมในกรณีที่ออกโฉนดที่ดินตามมาตรา  58  แห่งประมวลกฎหมายที่ดินดังกล่าว  นั้น 
มาตรา  103  วรรคสอง  แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ได้กำหนดให้ราษฎรผู้นำทำการเดินสำรวจออกโฉนดที่
ดินสามารถรับโฉนดที่ดินไปก่อนได้ โดยยังมิต้องชำระค่าธรรมเนียม แต่ต้องชำระค่าธรรมเนียมที่ค้างชำระใน
วันที่ยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมครั้งแรก

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่  900  ร. 
เรื่อง การมีส่วนร่วมในการกำหนดการใช้และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของท้องถิ่น ของนายเปรมศักดิ์ เพีย
ยุระ  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น  และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป   โดยสาระสำคัญ
ของคำตอบสรุปได้ว่า  กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  โดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม  มี
มาตรการส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนในท้องถิ่นเกิดความเข้าใจ  และลดการต่อต้านการเข้าไปใช้ประโยชน์
จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ ประกอบด้วย  มาตรการป้องกันปัญหาความขัดแย้ง  มาตรการส่งเสริมและ
สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน และมาตรการแก้ไขและไกล่เกลี่ยปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี และมี
แผนงานหรือการดำเนินการที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งมีหน้า
ที่พิทักษ์ปกป้องและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติได้เข้ามามีส่วนร่วม
ในการเสนอความคิดเห็นและตัดสินใจร่วมกับส่วนราชการหรือภาครัฐด้วย

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอการปรับปรุงการโอนงบประมาณรายจ่าย
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง  กรม  พ.ศ. 2545  ที่ส่วนราช
การต่าง ๆ ได้ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ดังนี้  (1)  สำนักนายกรัฐมนตรีโอนงบประมาณจากสำนักเลขาธิการนายก
รัฐมนตรี จำนวน 4,298,300 บาท  ไปให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี  (2)  กระทรวงมหาดไทยโอน
งบประมาณจากกรมการปกครอง จำนวน 473,969,900 บาท ไปให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น

           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอคำตอบกระทู้ถามที่  362  เรื่อง  โครงการ
อาหารปลอดสารพิษชีวิตปลอดภัยของ นายอำนวย คลังผา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และมอบให้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป  โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุป
ได้ว่า (1) กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมอนามัย ได้จัดทำโครงการ
ความปลอดภัยของอาหารครบวงจรร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  และโครงการการกำกับดูแลอาหารที่
จำหน่ายในตลาดสด  โดยแต่ละโครงการได้เร่งดำเนินการขยายผลทั่วประเทศแล้ว  (2)  กระทรวงสาธารณสุข
ได้มอบอำนาจให้หน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นเป็นหน่วยงานผู้ปฏิบัติทำหน้าที่ดูแลควบคุม กำกับ
ตรวจสอบและประเมินผล ให้สถานที่ปรุงประกอบ จำหน่ายอาหาร ปรับปรุงให้ได้มาตรฐาน โดยอาศัยอำนาจ
ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535   และ  (3)  สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ดำเนิน
โครงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคตระหนักในความปลอดภัยของอาหาร     และความสำคัญของการ
บริโภคอาหาร และจัดทำแผนแม่บท ใช้ชื่อว่า  "อาหารปลอดภัย  กินอย่างไรห่างไกลโรค"  ซึ่งจะใช้ชื่อนี้ในการ
รณรงค์ตลอดปี    โดยมีศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  ประกอบด้วย  ยุทธศาสตร์  4  ด้าน 
คือการเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านอาหาร   การมีส่วนร่วมของประชาชน    การบริหารจัดการองค์ความรู้เพื่อ
สุขภาพ และการสร้างพันธมิตร

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 897 ร. เรื่อง การให้ท้องถิ่น
เป็นผู้กำหนดนโยบายด้านแรงงานต่างด้าว ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ว่า  (1)  เพื่อให้ทางราชการสามารถควบคุม
แรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาในประเทศไทยที่มีเป็นจำนวนมากได้ รัฐบาลได้อนุมัติให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว  และกัมพูชา  อยู่ในราช
อาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี ได้เฉพาะกิจการบางประเภท บางพื้นที่เท่านั้น  ทั้งนี้  ให้มีการกำหนด
ประเภทอาชีพที่มีความจำเป็นต้องจ้างแรงงานต่างด้าวอย่างแท้จริง      ตลอดจนประชาสัมพันธ์นายจ้าง/สถาน
ประกอบการให้ตระหนักถึงความสำคัญในการว่าจ้างแรงงานไทยทำงานแทนแรงงานต่างด้าวซึ่งเป็นส่วนสำคัญ
ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองอย่างเป็นระบบต่อไป (2) เนื่องจากการบริหาร
นโยบายด้านแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองในแต่ละท้องถิ่น ที่มีสภาพการจ้างงานแตกต่างกัน  ไม่สอดคล้อง
กับสภาพข้อเท็จจริงในแต่ละท้องที่ จึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองใน 5
จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ตาก สมุทรสาคร ระนอง และภูเก็ต ซึ่งในรอบปีที่ผ่านมา  คณะอนุกรรมการ ฯ
ดังกล่าว   ได้ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายแล้วเสร็จ     และส่งมอบงานให้เป็นภารกิจปกติของจังหวัด ในการ
บริหารแบบบูรณาการในการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (คกก.6) ที่
มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอน
การกระจายอำนาจทางการเงิน การคลัง  และงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  และร่างแผนปฏิบัติ
การถ่ายโอนบุคลากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  โดยให้ดำเนินการตามที่รองนายกรัฐมนตรี  (นายวิษณุ
เครืองาม)  เสนอเพิ่มเติมว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2545  ได้มอบให้รองนายกรัฐมนตรี
(พลเอก ชวลิต  ยงใจยุทธ) รับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการ
ในการดำเนินการและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งในด้านบุคลา
กร งาน  งบประมาณ  สัดส่วนการจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  และการโอนสำนักงาน
คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไป
สังกัดกระทรวงมหาดไทย (กรมการส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) รวมทั้งการดำเนินการตามมติ คกก.6 ที่มอบ
ให้รองนายกรัฐมนตรี  (พลเอก ชวลิต  ยงใจยุทธ)  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของ  คกก.6  เกี่ยวกับ
การแก้ไขปัญหาการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในด้านบุคลากร งาน  งบประมาณและสัด
ส่วนการจัดสรรงบประมาณ  ไปพิจารณา    และให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ  (ก.พ.ร.)  รับความเห็น
ดังกล่าวไปพิจารณาในด้านการพัฒนาระบบราชการสำหรับราชการภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นด้วย นั้น เป็นเรื่อง
เกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์  ฉายแสง) 
เป็นผู้รับผิดชอบกำกับดูแลมาตั้งแต่ต้นและตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 41/2546 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 
2546 รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ก็ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธาน
กรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่แล้ว ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเรื่องนี้เป็น
ไปอย่างต่อเนื่อง  จึงเห็นสมควรมอบให้รองนายกรัฐมนตรี  (นายจาตุรนต์  ฉายแสง)  เป็นผู้รับผิดชอบดำเนิน
การตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และมติ คกก.6 แทนรองนายกรัฐมนตรี  (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ)  ส่วนมติ
คกก.6 ที่มอบหมายให้ ก.พ.ร. ดำเนินการคงเป็นไปตามเดิม

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุม 
ร่วมกันของรองนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติในการกำกับการปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาคเมื่อวัน
ที่ 16 ธันวาคม 2545  ดังนี้ (1) รับทราบผลการประชุมร่วมกัน ฯ  ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องการเน้นการตรวจราช
การของรองนายกรัฐมนตรีให้เป็นไปในลักษณะ Economy of Speed ส่งเสริมให้มีการบูรณาการการทำงานร่วม
กันระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยถือประชาชนเป็นเป้าหมาย  และ  (2)  เห็นชอบผลการ
ประชุมร่วมกัน ฯ ได้แก่ (2.1) การประชุมร่วมกัน ฯ ควรดำเนินการใน 2 ลักษณะคือ การประชุมร่วมกันระหว่าง
รองนายกรัฐมนตรี และคณะผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เดือน
ละ  1  ครั้ง   และการประชุมร่วมกันระหว่างรองนายกรัฐมนตรี  เดือนละ  2  ครั้ง   (2.2)  แนวทางการปฏิบัติ
งานของรองนายกรัฐมนตรีในการกำกับการบริหารราชการในส่วนภูมิภาค  เกี่ยวกับการลดขั้นตอนการอนุมัติ
งบประมาณ    และการตรวจราชการเชิงรุก  (2.3)  การนำผลการศึกษาเรื่องผู้ว่า  CEO  ขยายผลไปยังจังหวัด
ต่าง ๆ  ซึ่งอยู่ระหว่างการสรุปผลการศึกษาเพื่อความชัดเจนว่าควรจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร หรือควรจะดำเนิน
การต่อไปหรือไม่   ให้กระทรวงมหาดไทยนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป      และ  (2.4)  มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยว
ข้องกับจังหวัดที่รองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบให้นำมติคณะรัฐมนตรีนั้นไปแจ้งให้จังหวัดที่เป็นเป้าหมายในการ
ตรวจราชการทราบด้วย

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานคณะกรรมการ
ข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ  (ก.พ.ร.)  เสนอรายงานผลการ
ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการ (การปฏิรูประบบราชการ) ในไตรมาสแรก (3 ตุลาคม 2545 -
3 มกราคม 2546) และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ  เครืองาม) ประธาน ก.พ. และ ก.พ.ร. รับข้อสังเกต
ของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย  ดังนี้  (1)  ให้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหา
ของข้าราชการกรมโยธาธิการ กรมการผังเมืองและกรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท ตามผลของการพัฒนาระบบ
ราชการได้ยุบงานบางส่วนของกรมทั้งสามเข้าด้วยกัน    และจัดตั้งเป็นกรมโยธาธิการและผังเมือง  ตามความ
เหมาะสมด้วย  (2) กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ใช้อำนาจดำเนิน
การแทนส่วนราชการที่ยังไม่มีหน่วยงานในภูมิภาค หรือในต่างจังหวัดให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น  (3) เร่งรัดการ
กระจายอำนาจสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นให้แล้วเสร็จโดยเร็ว    รวมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติราชการในเชิงบูรณา
การที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมโดยประสานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด (4) การ
ปรับเปลี่ยนส่วนราชการให้เป็นองค์การมหาชน  ควรพิจารณาถึงความจำเป็นและเหมาะสม   ความคุ้มค่าและ
ประโยชน์จากการที่ประชาชนจะได้รับการบริการที่ดี มีประสิทธิภาพเป็นสำคัญ  หากเห็นว่าองค์การมหาชน
ใดมีผลการดำเนินการไม่เหมาะสม   คุ้มค่า   และเป็นประโยชน์แก่ประชาชนเท่าที่ควร   อาจพิจารณายุบเลิก
ได้  และ (5)  การลดและคุมจำนวนบุคลากรภาครัฐต้องพิจารณาในภาพรวมของบุคลากรภาครัฐทั้งหมดทุก
ประเภท

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลความก้าวหน้าการถ่ายโอนบุคลากรตาม
พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542  สรุปได้
ว่า กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการถ่ายโอนบุคลากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามมติที่ประชุมคณะกรรม
การการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 8/2545 วันที่  28  ตุลาคม  2545  ที่มอบหมาย
ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานในการจัดสรรบุคลากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายในจังหวัด   โดย
กระทรวงมหาดไทยและสำนักงาน ก.พ. ได้ดำเนินการตามแผนดำเนินการถ่ายโอนบุคลากร โดยในส่วนของสำนัก
งาน ก.พ.  ได้จัดสัมมนาแนวทางปฏิบัติของศูนย์ปฏิบัติการถ่ายโอนบุคลากรจังหวัด  เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2545
และจัดปฐมนิเทศให้กับข้าราชการที่จะถ่ายโอนไปสู่ท้องถิ่น  เมื่อวันที่ 11 - 12 ธันวาคม 2545  สำหรับกระทรวง
มหาดไทยได้จัดประชุมชี้แจงแผนปฏิบัติการถ่ายโอนบุคลากรให้แก่หัวหน้าส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดเมื่อ
วันที่  14  พฤศจิกายน  2545   และแจ้งศูนย์ปฏิบัติการถ่ายโอนบุคลากรทุกจังหวัดจัดประชุมผู้บริหารองค์กรปก
ครองส่วนท้องถิ่น และข้าราชการลูกจ้างประจำที่ถ่ายโอนเพื่อจัดสรรบุคลากร เมื่อวันที่ 20 และ  22  พฤศจิกายน
2545     โดยให้เสนอคณะกรรมการข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่นระดับจังหวัดมีมติเห็นชอบการรับโอนให้
เสร็จภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2545 ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการถ่ายโอนบุคลากรจังหวัดได้ดำเนินการถ่ายโอนบุคลากร
รวม 2 ครั้ง  และได้รายงานผลการแต่งตั้งรับโอนบุคลากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว รวม  75  จังหวัด
โอนได้ 3,618 ราย คงเหลือที่โอนไม่ได้ 484 ราย

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น  พ.ศ. 2545  แก่การเลือกตั้งสมาชิกสภา
ท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... (ให้ใช้พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้อง
ถิ่น  พ.ศ. 2545  แก่การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นทุกประเภท  ตั้งแต่วันที่  1  มีนาคม  
2546 เป็นต้นไป) และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยเชิญผู้แทนคณะ
กรรมการการเลือกตั้ง ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย และผู้แทนกระทรวงการคลัง เข้าร่วมหารือเกี่ยวกับการเตรียม
ความพร้อมและภาระด้านงบประมาณ แล้วดำเนินการต่อไปได้

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) 
ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 (แก้ไขเพิ่มเติมลักษณะเครื่องแบบ
ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน  แพทย์ประจำตำบล) และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ
กฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์กระทรวงมหาด
ไทย พ.ศ. 2546-2551 สรุปได้ว่า กระทรวงมหาดไทยร่วมกับส่วนราชการ  รัฐวิสาหกิจในสังกัด  และบุคลากร
ทุกฝ่ายร่วมกันจัดทำวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์  ฯ  ขึ้น  โดยยึดกรอบแนวทางตามนโยบายและยุทธศาสตร์การ
พัฒนาของรัฐบาล แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ. 2545-2549 และหลักการแนวคิด
ของ "การบริหารรัฐกิจแนวใหม่" (New  Public  Administration) ที่ให้ความสำคัญกับการบริหารราชการเพื่อ 
"ประโยชน์สุขของประชาชน  เป็นธงนำการบริหาร" (Administration to Citizen Center) โดยมุ่งเพื่อให้  "บ้าน
เมืองน่าอยู่  เชิดชูคุณธรรม"  เป็นสำคัญ  ทั้งนี้  ยังเป็นพื้นฐานสำหรับการจัดทำงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. 
2547  และงบประมาณระยะปานกลางต่อไป โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมาย เพื่อให้บรรลุถึงวิสัยทัศน์
ดังกล่าว โดยมี  8  ยุทธศาสตร์หลัก  25  เป้าหมายสำคัญ และ  285  กลยุทธ์วิธีการ  โดย 8 ยุทธศาสตร์หลัก
ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่  1 ด้านความมั่นคงภายในและความสงบเรียบร้อย ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านบริการประชาชน  
ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการบริหารพัฒนาและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการพัฒนาเมือง
และชนบท ยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  ยุทธศาสตร์ที่ 6  ด้านการส่งเสริมการ
ปกครองท้องถิ่น  ยุทธศาสตร์ที่ 7  ด้านการบริหารการปกครองส่วนภูมิภาค  และยุทธศาสตร์ที่ 8  ด้านการ
บริหารจัดการ