ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 151 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 3001 - 3020 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3001 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 893 ร. เรื่องการสนับสนุนการประกวด "สรภัญญะ" ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ) | สผ | 22/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 893 ร. เรื่อง
การสนับสนุนการประกวด "สรภัญญะ" ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุป ได้ว่า (1) รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม ได้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมให้สถานศึกษาทั้งระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษาทั่วประเทศ ดำเนินการให้มีการจัดสวดมนต์หมู่ ทำนองสรภัญญะ เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒน ธรรม ประเพณีไทยตลอดมา โดยได้จัดให้มีการแข่งขันถึงระดับชาติ (2) รัฐบาลได้จัดให้มีโครงการอุดหนุนส่ง เสริมการจัดแข่งขันสวดมนต์หมู่ ทำนองสรภัญญะ ในระดับจังหวัด ระดับภาค ระดับประเทศ (ระดับชาติ) โดย เป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่อง และ (3) รัฐบาลได้สนับสนุนให้มีการถ่ายทอดวัฒนธรรมไปสู่คนรุ่นหลัง ซึ่งที่ผ่านมาบท สวดมนต์หมู่ทำนองสรภัญญะได้ใช้สวดในสถานศึกษาในวันสุดสัปดาห์ อันเป็นกิจกรรมสืบสานมรดกวัฒนธรรม ไทยทางพระพุทธศาสนาสืบต่อกันมาตามแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการได้ออกระเบียบว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้ พระของนักเรียน รวมทั้งได้ส่งเสริมสนับสนุนการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยที่เป็นประเพณีท้องถิ่น เช่น การขับร้อง สรภัญญะในระดับจังหวัด ระดับภาค ระดับชาติ และการประกวดในระดับเยาวชน นิสิต นักศึกษา จะปรากฏใน สาระมาตรฐานการเรียนรู้ ในส่วนของทบวงมหาวิทยาลัย ได้เน้นถึงภารกิจหลักของสถาบันอุดมศึกษา ได้แก่ การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ โดยจะได้สนับสนุนการดำเนินการอย่างจริงจัง และมีมาตรฐานต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
3002 | มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น ครั้งที่ 1/2546 | นร | 22/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เสนอมติคณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (กนภ.) ครั้งที่ 1/2546 เมื่อ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2546 รวม 3 เรื่อง ได้แก่ (1) การปรับปรุงระบบการวางแผนพัฒนาจังหวัด และ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารการพัฒนาเพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น พ.ศ. 2539 (2) แนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและ ท้องถิ่น และกรอบการใช้งบประมาณกองทุน กจภ. และ (3) กลยุทธ์การจัดการปัญหาความยากจนในปี งบประมาณ พ.ศ. 2546-2547 |
||||||||||||||||||||||||||||||
3003 | การจัดซื้ออุปกรณ์กีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ 2546 | มท | 22/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รายงานผล
การดำเนินการจัดซื้ออุปกรณ์กีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 โดยกำหนดแนวทาง ขั้นตอนการจัดซื้อ และกำหนดคุณลักษณะของอุปกรณ์กีฬา โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์เดิมที่กรมพลศึกษาได้เคย กำหนดไว้ ได้แก่ การกำหนดประเภท และวิธีการเลือกอุปกรณ์กีฬา กำหนดคุณลักษณะและมาตรฐานของอุปกรณ์ กีฬา และการกำหนดวิธีการจัดซื้อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และป้องกันอุปกรณ์กีฬาปลอมหรือไม่ได้ มาตรฐาน รวมทั้งการดำเนินการเกี่ยวกับกรณีที่มีการเสนอข่าวตรวจพบอุปกรณ์กีฬาปลอม และการดำเนินการ จัดซื้ออุปกรณ์กีฬาให้กับหมู่บ้าน/ชุมชน ทั้งนี้ ในงบประมาณปี พ.ศ. 2546 รายการจัดซื้ออุปกรณ์กีฬาขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นงบประมาณที่ตั้งไว้ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งได้จัดสรรและโอนงบประมาณนี้ ไปตั้งจ่ายให้จังหวัดต่าง ๆ เพื่อแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการจัดซื้อ ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2546 และในการจัดซื้ออุปกรณ์กีฬาเป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องเป็นหน่วยดำเนินการ มิได้ดำเนิน การจัดซื้อโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด เนื่องจากมีการถ่ายโอนภารกิจการจัดซื้อ ดังกล่าวจากกรมพลศึกษามาให้องค์กรปกครองส่วนท่องถิ่น และขณะนี้การดำเนินงานอยู่ในระหว่างขั้นตอนให้หมู่ บ้าน/ชุมชน เสนอความต้องการคัดเลือกชนิดและประเภทอุปกรณ์กีฬา เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดซื้อ ตามระเบียบ |
||||||||||||||||||||||||||||||
3004 | การเข้าไปมีส่วนร่วมสมยอมราคาในการประกวดราคาของนักการเมืองท้องถิ่น | นร | 22/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ขณะนี้ปัญหาที่นักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัด
ต่าง ๆ ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการสมยอมราคาในการประกวดราคาเพื่อดำเนินโครงการต่าง ๆ ของทางราชการ ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเชื่อมโยงไปสู่การใช้อิทธิพลก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมและความ ขัดแย้งด้านผลประโยชน์ระหว่างกัน และมีแนวโน้มว่าจะมีความรุนแรงและขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น หาก แต่ละจังหวัดสามารถควบคุมดูแลการจัดการประกวดราคาเพื่อดำเนินโครงการต่าง ๆ ในจังหวัดให้มีประสิทธิภาพ สามารถประหยัดงบประมาณ โดยการทำให้ผลการประกวดราคามีวงเงินต่ำกว่าวงเงินงบประมาณที่ได้รับการจัด สรรไว้ ก็จะมีเงินงบประมาณจำนวนหนึ่งเหลืออยู่ ซึ่งนำไปใช้ในการพัฒนาจังหวัดหรือท้องถิ่นเพิ่มเติมได้ จึงขอให้ กระทรวงมหาดไทยรับไปสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด กวดขัน ดูแล เอาใจใส่ และแก้ไขปัญหาการสมยอมราคา ดังกล่าวอย่างจริงจัง รวมทั้งพิจารณากฎหมายท้องถิ่นฉบับต่าง ๆ ที่ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการให้ผู้บริหารหรือ สมาชิกเข้าไปมีประโยชน์หรือส่วนได้เสียใด ๆ กับท้องถิ่นแตกต่างกันอยู่ และให้กระทรวงการคลังประสานปรับ ปรุงแก้ไขระเบียบ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับงบประมาณที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้จังหวัดและท้องถิ่นสามารถนำงบประมาณ ส่วนที่ประหยัดได้จากการประกวดราคาไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาจังหวัดหรือท้องถิ่นของตนได้โดยตรงต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3005 | ส่งสำเนาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ | ศร | 22/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเสนอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 1/2546
ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2546 เรื่อง ศาลปกครองส่งคำโต้แย้งของผู้ฟ้องคดี เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจ ฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 ว่า พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 8 วรรคสอง มาตรา 64 และมาตรา 65 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า พระราช บัญญัติ ฯ มาตรา 8 วรรคสอง ที่บัญญัติเกี่ยวกับขอบเขตพื้นที่การใช้อำนาจและหน้าที่ขององค์การบริหารส่วน จังหวัด มาตรา 64 และมาตรา 65 บัญญัติให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจออกข้อบัญญัติเก็บภาษีและค่า ธรรมเนียม ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 282 ซึ่งบัญญัติว่า "ภายใต้บังคับมาตรา 1 รัฐจะต้องให้ความเป็น อิสระแก่ท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น" มาตรา 283 บัญญัติ ว่า "ท้องถิ่นใดมีลักษณะที่จะปกครองตนเองได้ย่อมมีสิทธิได้รับจัดตั้งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" และมาตรา 284 บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหลายย่อมมีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายการปกครอง การบริหาร การบริหารงานบุคคล การเงินและการคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะ" |
||||||||||||||||||||||||||||||
3006 | กระทู้ถามที่ 203 เรื่อง การป้องกันการทุจริตในองค์การบริหารส่วนตำบล | สผ | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 203 เรื่อง การป้องกัน
การทุจริตในองค์การบริหารส่วนตำบล ของนายสุรชัย เบ้าจรรยา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชีรายชื่อ) และมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยสาระสำคัญของ คำตอบสรุปได้ว่า (1) กระทรวงมหาดไทยมีมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการร้องเรียนและการ ทุจริตขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ได้แก่ บทบาทของกระทรวงมหาดไทยในการกำกับดูแลโดยการ สั่งการให้จังหวัดและอำเภอทำการตรวจสอบด้านการเงิน การคลัง และบัญชีของ อบต. รวมทั้งการให้ความ ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การควบคุมภายในของ อบต. และการดำเนินการพัฒนาศักยภาพของ อบต. เพื่อป้องกันและลดปัญหาการทุจริต (2) มาตรการในการตรวจสอบงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลที่จ่ายให้ แก่ อบต. ได้แก่ อบต. ต้องนำเงินอุดหนุนทั่วไปไปดำเนินการจัดทำข้อบังคับงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม อบต. ที่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ต้องดำเนินการจัดทำแผนการปฏิบัติการ แผนการใช้จ่ายเงินและแผนความต้องการครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง และนำเงินอุดหนุนทั่วไปไปตั้งจ่ายในลักษณะ งบลงทุนในหมวดค่าครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ทั้งนี้ต้องระบุรายละเอียดในคำชี้แจงประกอบงบประมาณราย จ่ายในข้อบังคับงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ตั้งจ่ายจากเงินอุดหนุนทั่วไป และ (3) มาตรการเพื่อตรวจสอบ การดำเนินการก่อสร้างให้ได้มาตรฐาน ได้แก่ แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคากลาง แต่งตั้งผู้แทนชุมชนหรือ ประชาคมที่มีความรู้หรือประสบการณ์เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดซื้อจัดจ้าง และแต่งตั้งผู้ควบคุมงานก่อสร้างที่มี ความรู้ความชำนาญทางด้านช่างตามลักษณะของงานก่อสร้างจากพนักงานส่วนตำบล ข้าราชการหรือข้าราชการ ส่วนท้องถิ่น |
||||||||||||||||||||||||||||||
3007 | กระทู้ถามที่ 358 เรื่อง โครงการก่อสร้างถนนลาดยางในเขตอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ | สผ | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 358 เรื่อง โครงการก่อสร้าง
ถนนลาดยางในเขตอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ของนายสุรศักดิ์ นาคดี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ และ มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงชนบท ได้ดำเนินการตรวจสอบสายทางบ้านสวายตางวน - บ้านกระทุ่ม ตำบลหนองใหญ่ อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีระยะทางทั้งสิ้น 6.000 กิโลเมตร ผิวจราจรกว้าง 6 เมตร สภาพ เป็นถนนลูกรังและเป็นถนนในท้องถิ่นที่รองรับเข้าสู่หมู่บ้านระหว่าง 2 หมู่บ้านเท่านั้น จึงเป็นภารกิจที่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นจะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการก่อสร้าง โดยจะใช้งบประมาณ 18 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะท้องถิ่นที่ขาดแคลนงบประมาณและบุคลากรสามารถ ร้องขอให้กรมทางหลวงชนบทพิจารณาบรรจุโครงการถนนที่ได้จัดลำดับความสำคัญแล้วในท้องถิ่นของตนเอง เพื่อ สนับสนุนในด้านต่าง ๆ ได้ (2) ถนนสายบ้านห้วยลึก - บ้านหนองแวง ตำบลดอนมนต์ อำเภอสตึก จังหวัด บุรีรัมย์ มีระยะทาง 3.000 กิโลเมตร ปัจจุบันมีสภาพเป็นถนนลูกรัง ผิวจราจรกว้าง 8 เมตร อยู่ในความรับผิดชอบ ของกรมทางหลวงชนบท แต่เนื่องจากถนนสายนี้เป็นส่วนหนึ่งของถนนโครงข่ายสายรอง สายบ้านคูเมือง - บ้าน หนองกระทุ่ม ซึ่งมีระยะทางทั้งสิ้น 33.000 กิโลเมตร ได้รับงบประมาณก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแล้ว 5.836 กิโล เมตร ยังคงเหลือเป็นถนนลูกรังอีก 27.144 กิโลเมตร กรมทางหลวงชนบทจะพิจารณาจัดลำดับความสำคัญเพื่อ จัดเข้าแผนงานขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ตามขีดความสามารถของงบประมาณในแต่ละปีของประเทศต่อไป และ (3) กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการก่อสร้างถนนลาดยางทั้ง 2 สายดังกล่าว ตาม ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น |
||||||||||||||||||||||||||||||
3008 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 628 ร. เรื่อง การดำเนินการโครงการเรียนรู้ร่วมกันสรรค์สร้างชุมชน) | สผ | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 628 ร. เรื่อง
การดำเนินโครงการเรียนรู้ร่วมกันสรรค์สร้างชุมชน ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) โครงการเรียน รู้ร่วมกันสรรค์สร้างชุมชน มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งให้นิสิต นักศึกษา ได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง โดยให้นิสิต นัก ศึกษาได้มีงานทำชั่วคราวระหว่างปิดภาคเรียน ซึ่งนิสิต นักศึกษา จะได้รับประสบการณ์ตรงจากการทำกิจกรรม ร่วมกันในชุมชน โดยได้เรียนรู้ถึงขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นและความเป็นอยู่อย่างแท้จริงของชาวชุมชน และ ในขณะเดียวกันราษฎรในพื้นที่ยังจะได้รับการถ่ายทอดความรู้ในสาขาที่นิสิต นักศึกษา ได้เรียนหรือสามารถให้ ข้อเสนอแนะได้ เช่น การพัฒนาคุณภาพชีวิต หรือโครงการ/กิจกรรมที่ชุมชนกำลังดำเนินการอยู่ อาทิ โครงการ หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น โดยมีคณาจารย์ของสถาบันในท้องถิ่นทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา และทำ การประเมินผลปฏิบัติงาน ดังนั้น โครงการดังกล่าวจึงไม่ส่งผลกระทบอันเป็นการทำลายกิจกรรมการออกค่าย อาสาพัฒนาทั่วไป (2) การกำหนดพื้นที่การจัดกิจกรรมภาคสนามใน 76 จังหวัด ได้กำหนดพื้นที่จังหวัดละ 2 ชุมชน รวม 152 ชุมชน โดยให้มหาวิทยาลัย/สถาบันในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 16 แห่ง เป็นแกน กลางในการประสานงาน ให้คำแนะนำปรึกษาและสรุปประมวลผลงาน ทั้งนี้ จะพิจารณาจากความพร้อมในแต่ ละตำบลเพื่อจัดเป็นพื้นที่ในการดำเนินโครงการ ส่วนกิจกรรมหน่วยงานราชการเป็นผู้เสนอโครงการตามความ เหมาะสมกับสภาพของชุมชนและสังคมเป็นหลัก และ (3) การสมัครเข้าร่วมในโครงการ ทุกสถาบันการศึกษา ในระดับอุดมศึกษาทั้งภาครัฐ และเอกชน มีสิทธิที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยผู้สมัครจะต้องเป็นนิสิต นักศึกษา และ กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี หลักสูตรปกติชั้นปีที่ 3 ขึ้นไปในวันสมัคร มีความประพฤติดี สามารถร่วมงาน กับผู้อื่นได้ และสมัครใจเข้าร่วมโครงการ และร่วมปฏิบัติงานได้จนครบระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งจัดทำผลงาน สร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่ได้ปฏิบัติงานให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม ของทุกปี |
||||||||||||||||||||||||||||||
3009 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 744 ร. เรื่อง การกำจัดขยะมูลฝอยในเขตพื้นที่จังหวัดตรัง) | สผ | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 744 ร.
เรื่อง การกำจัดขยะมูลฝอยในเขตพื้นที่จังหวัดตรัง ของนายสุวรรณ กู้สุจริต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ตรัง และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลโดยกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีนโยบายให้จังหวัดตรังดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอยโดยจัดตั้งศูนย์จัดการ ขยะมูลฝอยเป็น 2 ศูนย์ โดยมีเทศบาลนครตรังและเทศบาลเมืองกันตังเป็นหน่วยงานหลัก รวมทั้งรัฐบาลได้ สนับสนุนงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 - 2545 เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการขยะมูลฝอย โดยงบประมาณที่ได้รับแบ่งเป็นการศึกษาและออกแบบราย ละเอียดการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอย จัดซื้อเครื่องจักรกลและรถบรรทุกขยะมูลฝอย ก่อสร้างถังหมัก สิ่งปฏิกูล และก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอย นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังได้สนับสนุนด้านการจัดการ ให้แก่ท้องถิ่นเพื่อส่งเสริม และเพิ่มประสิทธิภาพแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการกำจัดขยะมูลฝอย เช่น การสนับสนุนทางด้านวิชาการในรูปของโครงการนำร่อง การฝึกอบรมการเผยแพร่เอกสารทางวิชาการเกี่ยว กับการจัดการ และการวางแผนสิ่งแวดล้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ซึ่งส่วนหนึ่งจะเป็นการ ดำเนินการตามปกติในภูมิภาคและท้องถิ่นทั่วประเทศ |
||||||||||||||||||||||||||||||
3010 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 885 ร. เรื่อง ราษฎรได้รับความเดือดร้อนให้เร่งรัดก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยป่าเลา ตำบลป่าเลา อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์) | สผ | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 885 ร. เรื่อง
ราษฎรได้รับความเดือดร้อนให้เร่งรัดก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยป่าเลา ตำบลป่าเลา อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ของนายวิจิตร พรพฤฒิพันธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) รัฐบาลมีนโยบายที่จะก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยป่าเลา เพื่อแก้ไข ปัญหาน้ำท่วมให้แก่ราษฎรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์และบริเวณใกล้เคียง และสามารถเก็บกัก น้ำไว้ใช้สำหรับการอุปโภค-บริโภค การเกษตรและกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการจ้างเหมา สำรวจออกแบบ และคาดว่า จะดำเนินการก่อสร้างได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 (2) จากการพิจารณาผลราย งานโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยป่าเลา สามารถเก็บน้ำได้สูงสุด 10.200 ล้านลูกบาศก์เมตร คาดว่าจะใช้งบประมาณ ดำเนินงานก่อสร้างประมาณ 218 ล้านบาท และ (3) ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินโครงการดังกล่าวได้ รัฐบาลมี มาตรการป้องกันมิให้น้ำป่าไหลเข้าเขตเทศบาลและตำบลใกล้เคียงได้ เนื่องจากตามแผนงานพัฒนาเมืองของกรม ชลประทานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 มีโครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยลงสู่ท้องถิ่น โดยในจังหวัด เพชรบูรณ์ประกอบด้วย งานก่อสร้าง ฝายห้วยน้ำก้อ หมู่ที่ 4 ตำบลน้ำก้อ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ งบ ประมาณ 28,852,000 บาท |
||||||||||||||||||||||||||||||
3011 | แนวทางการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก | นร | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่มี
มติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการศึกษาของโครงการศึกษา รูปแบบการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการบริหารจัด การการใช้ประโยชน์โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก โดยให้กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รับไปดำเนินการในการแก้ไขปัญหาตามแนวทางดังกล่าว โดย พิจารณาภาพรวมทั้งระบบ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบ ประมาณ และข้อสังเกตของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย โดยข้อสังเกตของ คกก.3 มีดังนี้ (1) การออก แบบโครงสร้างของบ่อน้ำ ควรกำหนดโครงสร้างบ่อน้ำให้มีมาตรฐานเดียวกันและสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า (2) ควรมีข้อมูลด้านขนาดของพื้นที่ต่อจำนวนของแหล่งน้ำหรือขนาดของแหล่งน้ำเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาการขาด แคลนแหล่งน้ำในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน (3) การศึกษาเกี่ยวกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ ควรแบ่งแยกการบริหาร จัดการระหว่างแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคหรือบริโภคกับแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่งมีการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน (4) มีการเชื่อมโยงระหว่างนโยบายและการปฏิบัติทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค และ (5) การถ่ายโอนภารกิจไปสู่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรคำนึงถึงภารกิจความจำเป็น หรือความพร้อมของท้องถิ่นในการดำเนินโครงการ ฯ เป็นหลัก นอกจากนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการประมวลตัวเลข ค่าใช้จ่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และระบุถึงการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำของแต่ละหน่วยงานว่าได้ใช้ไป เพื่อการใดบ้าง ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า อำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการสงวน อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ซึ่งควรจะได้ มีการทำงานตามภารกิจหน้าที่ในเชิงรุกให้มากขึ้น และหากมีความจำเป็นก็อาจมีการว่าจ้างที่ปรึกษามาช่วยเหลือใน การดำเนินการด้วยก็ได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||
3012 | ยืนยันการขออนุมัติขยายหน่วยงานรับจัดทำหรือรับจ้างผลิตตามคำสั่งซื้อจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้เป็นกรณีพิเศษ | ศธ | 01/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงาน และรัฐวิสาหกิจ เกี่ยว
กับการขยายหน่วยงานรับจัดทำหรือรับจ้างผลิตตามคำสั่งซื้อจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้เป็นกรณีพิเศษ โดย ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐผู้จัดซื้อนมในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ที่มีความ ประสงค์จะจัดซื้อนมพร้อมดื่มจากกรมอาชีวศึกษา ให้จัดซื้อได้โดยวิธีกรณีพิเศษ โดยให้รับความเห็นเพิ่มเติมของ กระทรวงมหาดไทย และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย โดยในส่วนของ กระทรวงมหาดไทยมีความเห็นเพิ่มเติมว่า หน่วยงานที่จะรับจัดทำหรือรับจ้างผลิตของกระทรวงศึกษาธิการจะต้อง ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้การผลิตมีมาตรฐานและมีคุณ ภาพ ส่วนสำนักงบประมาณมีข้อสังเกตเกี่ยวกับรายได้อันเนื่องมาจากการจำหน่ายนมว่า ควรนำมาใช้เพื่อพัฒนา และปรับปรุง รวมทั้งจัดหาครุภัณฑ์ทดแทนของโรงงานแปรรูปน้ำนมที่เสื่อมสภาพและหมดอายุการใช้งาน เพื่อไม่ ให้เป็นภาระแก่งบประมาณแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า การจัดซื้อนมตามโครงการ ฯ มีปัญหา เกี่ยวกับการทุจริตและปัญหาอื่น ๆ อีกมาก หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อาจทำให้เด็กนักเรียนไม่ได้ดื่มนมที่มี คุณภาพ และโดยที่เรื่องนี้มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย จึงมอบให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปหารือกับกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ เพื่อศึกษาปัญหาทั้งระบบ และหาแนวทางใหม่ ๆ ในการแก้ไขปัญหา เช่น การแจกคูปองให้แก่เด็ก นักเรียน เพื่อนำไปซื้อนมจากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายได้อย่างเสรี แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3013 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 662 ร. เรื่อง การเตรียมความพร้อมของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเพื่อบริหารงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) | สผ | 01/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 662 ร. เรื่อง
การเตรียมความพร้อมของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเพื่อบริหารงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม ของนายนพดล อินนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชีรายชื่อ) และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการเพื่อรองรับนโยบายกระจายอำนาจการปกครองจากส่วนกลางไปยังส่วนท้องถิ่น เพื่อให้มีอำนาจหน้า ที่บริหารตนเองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ของตนเองนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา และในปี พ.ศ. 2546 ศูนย์วิจัย ฯ ได้รับงบประมาณในการจัดทำโครง การว่าจ้างหาความต้องการในการฝึกอบรมและดำเนินการจัดอบรมให้กับบุคลากรระดับท้องถิ่น จัดฝึกอบรมหลัก สูตรองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นกับการใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อม และหลักสูตรการจัดการมูลฝอย และ (2) จาก สภาพปัญหาการบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะการกำจัดขยะ มูลฝอยและการบำบัดน้ำเสีย แต่เนื่องจากความไม่พร้อมและการขาดการอบรมผู้บริหารระดับท้องถิ่นให้มีความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการโครงการนั้น โดยแท้จริงแล้วมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการขอจัดสรรงบ ประมาณมาให้อย่างต่อเนื่อง สำหรับหน่วยงานหลักที่กำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ กรมการปก ครอง กระทรวงมหาดไทย ได้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อนำไปอบรมผู้บริหารและพนักงานองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ตลอดจนองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ให้มีความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการและมีความ เข้าใจในกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง |
||||||||||||||||||||||||||||||
3014 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 716 ร. เรื่อง การจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่) | สผ | 01/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 716 ร. เรื่อง
การจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ ของนายนคร มาฉิม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก และให้ประกาศในราช กิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) กระทรวงมหาดไทยมีมาตรการในการจัดเก็บภาษี บำรุงท้องที่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ หรือที่สาธารณประโยชน์ ดังนี้ (1.1) ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือที่ ดินของรัฐที่ใช้ในกิจการของรัฐหรือสาธารณะโดยมิได้หาผลประโยชน์เจ้าของที่ดินไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ ตาม มาตรา 8 (2) แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 (1.2) การผ่อนผันให้ราษฎรที่บุกรุกทำกินอยู่ใน เขตป่าสงวนแห่งชาติได้อยู่อาศัยทำกินต่อไปเป็นการชั่วคราวถือว่าเป็นการครอบครองที่ดินอยู่อาศัยทำกินในฐานะ ผู้รับอนุญาต มิใช่ครอบครองในฐานะเจ้าของที่ดินจึงไม่อยู่ในข่ายที่จะต้องเสียภาษี ฯ และ (1.3) กรณีราษฎรเข้า ทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งหมดสภาพป่า แต่ยังมิได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงแนวเขตหรือถอนสภาพตามขั้น ตอนของกฎหมาย ยังคงถือว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติอยู่ จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี ฯ และ (2) กระทรวงมหาดไทยมีนโยบายและมาตรการในการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ ดังนี้ (2.1) การจัดเก็บภาษี ฯ ใน ทุกพื้นที่ต้องเป็นไปด้วยความเหมาะสมกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้เสีย ภาษี และก่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บอย่างแท้จริง (2.2) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถบริหาร การจัดเก็บภาษี ฯ และนำรายได้จากการจัดเก็บมาบริหารการพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ (3) แนวทางการจัดเก็บภาษี ฯ ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติจะเป็นไปโดยชัดเจน และในรูปแบบเดียวกัน สำหรับการ แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในการจัดเก็บภาษี ฯ ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้ในการ ประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ การจัดเก็บภาษี ฯ ปี พ.ศ. 2545 มีลักษณะ ใกล้เคียงกับปี พ.ศ. 2544 และทุกปีที่ผ่านมา กรณีองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัด พิษณุโลก ได้มีการแก้ไขและลดอัตราการจัดเก็บภาษี ฯ ลงเหลือไร่ละ 5 บาท โดยองค์การบริหารส่วนตำบลบ้าน กลางได้แจ้งให้ราษฎรผู้เสียภาษี ฯ มาขอรับเงินภาษีที่จ่ายเกินคืนแล้ว และกรณีที่องค์การบริหารส่วนตำบลบ้าน แยง อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จึงไม่ต้องเสียภาษี บำรุงท้องที่ |
||||||||||||||||||||||||||||||
3015 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | นร | 25/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานสรุปผลการดำเนินงานของส่วนราชการและ
รัฐวิสาหกิจตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2545 ของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยในส่วนของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ สภาผู้ แทนราษฎร มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำ ปี การบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปี การติดตามประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณ และการพัฒนาปรับ ปรุงระบบและกระบวนการงบประมาณ สำหรับคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ วุฒิสภา มีข้อสังเกตเกี่ยวกับนโยบาย งบประมาณและโครงสร้างงบประมาณ ประมาณการรายได้ของภาครัฐ งบประมาณค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจ การควบคุมการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การจัดสรรงบ ประมาณให้แก่หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ การจัดสรรงบประมาณ การกำกับดูแล และการตรวจสอบการ ใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการรักษา พยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ นโยบายในด้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การปฏิรูปการศึกษา ตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ การปรับอัตราเงินเดือนหรือ เงินค่าตอบแทนที่เรียกเป็นอย่างอื่น และการส่งเสริมให้เพิ่มมูลค่าทางด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และ พาณิชยกรรม แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
3016 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2546 และแนวทางการผ่อนผันสำหรับรายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในไตรมาสที่ 2 | กค | 25/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ (1) รับทราบรายงานผลการ
เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2546 และ (2) เห็นชอบแนวทางการผ่อนผันสำหรับรายการที่ไม่ สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 รวมทั้งรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่า การกระทรวงการคลัง (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอเพิ่มเติมว่า การเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการต่าง ๆ ในภาพ รวมจำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ 21 มีนาคม 2546 มีการเบิกจ่ายต่ำกว่าเมื่อ เปรียบเทียบกับการเบิกจ่ายในช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณที่แล้ว และให้รัฐมนตรีเร่งรัดและติดตามการเบิก จ่ายงบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานในสังกัดให้เกิดความรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบลงทุนซึ่งส่วนราชการ บางแห่งยังมิได้ขอเบิกจ่าย สำหรับผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2546 ประกอบด้วย การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำนวน 345,711 ล้านบาท การเบิกจ่ายเงินนอกงบ ประมาณ จำนวน 25,186 ล้านบาท การเบิกจ่ายเงินกู้ต่างประเทศ จำนวน 11,287 ล้านบาท และการเบิก จ่ายเงินของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 547,495 ล้านบาท ทั้งนี้ ผลการเบิกจ่ายเงินของภาครัฐตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2546 เมื่อหักรายการซ้ำซ้อน จำนวน 60,227 ล้านบาทแล้ว ทำให้การเบิกจ่ายเงินมี จำนวนรวมทั้งสิ้น 869,452 ล้านบาท ส่วนแนวทางการผ่อนผันสำหรับรายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ภาย ในไตรมาสที่ 2 เฉพาะรายการค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้างที่จะต้องก่อหนี้ผูกพันให้ทันภายในไตรมาสที่ 2 คณะกรรมการติดตามผลการใช้จ่ายเงินภาครัฐได้พิจารณาแนวทางการผ่อนผันไว้ดังนี้ (1) รายการที่เห็นควรผ่อน ผันถึงสิ้นไตรมาสที่ 3 (มิถุนายน 2546) ประกอบด้วย รายการที่อยู่ระหว่างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างก่อนไตร มาสที่ 2 รายการที่เป็นงบดำเนินการเอง และรายการที่มีปัญหาอุปสรรค เนื่องจากปัจจัยภายนอกหรือรายการ ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานอื่น (2) รายการที่เห็นควรผ่อนผันถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2546 ซึ่งถือ เสมือนเป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ ประกอบด้วย งบอุดหนุนที่จัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน ลักษณะงบลงทุน งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม และรายการค่า ครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้างของหน่วยงานที่มีผลกระทบเนื่องจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม |
||||||||||||||||||||||||||||||
3017 | รายงานผลการปฏิบัติงานการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด | มท | 25/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด
กระทรวงมหาดไทย (ศตส.มท.) รายงานผลการปฏิบัติงานต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด ของ ศตส.จังหวัด 75 จังหวัด เพิ่มเติม สรุปได้ดังนี้ (1) ผลการปราบปรามจับกุมผู้ค้า/ผู้ผลิต ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการจนถึงวันที่ 24 มีนาคม 2546 จับกุมเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 2,869 คน มีจังหวัดที่สามารถจับกุมเพิ่มจากสัปดาห์ก่อนอีก 10 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 68 จังหวัด ผู้ค้า/ผู้ผลิตเข้าแสดงตนต่อทางราชการเพิ่มขึ้น 255 คน และมีผู้เสพเข้า แสดงตนต่อทางราชการเพิ่มขึ้น 5,351 คน โดยมีผู้เสพได้รับการบำบัดโดยชุมชนแล้ว 63,371 คน (2) การ จับกุมผู้ค้ารายสำคัญและการยึดทรัพย์ จับกุมได้ 343 ราย ยึดทรัพย์ของผู้ค้ายาเสพติด 135 ราย มูลค่า ทรัพย์สิน 324,403,329 บาท (เพิ่มจากที่รายงานเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2546 จำนวน 90 ล้านบาทเศษ) (3) การดำเนินการเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพิ่ม อีก 60 คน ส่วนบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพิ่มขึ้น 8 คน สำหรับ ส่วนราชการอื่น ๆ ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการทางวินัยเพิ่มอีก 3 คน กระทรวงกลาโหม มีราย งานการตรวจสอบพบมีพฤติการณ์เพิ่มอีก 1 คน (4) การมอบนโยบายให้กับ ผู้บริหารในส่วนภูมิภาค ในช่วง สัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมระหว่างรัฐมนตรี ผู้บริหารระดับนโยบายที่เกี่ยว ข้องกับยาเสพติด รวมทั้งผู้บริหารในส่วนภูมิภาคในภาคใต้และภาคเหนือ เพื่อมอบนโยบายและมอบอำนาจ ในการบริหารจัดการ และ (5) การเน้นย้ำกับกลุ่มพลังแผ่นดินในการป้องปรามยาเสพติด ในรอบสัปดาห์ที่ ผ่านมาผู้บริหารระดับนโยบายของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประชุม ชี้แจง และจัดประชุมเพื่อสร้างความร่วมมือในการแก้ ปัญหายาเสพติดกับพลังแผ่นดิน |
||||||||||||||||||||||||||||||
3018 | กระทู้ถามที่ 370 เรื่อง ขอให้ลาดยางถนนภายในหมู่บ้าน | สผ | 18/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 370 เรื่อง ขอให้ลาดยาง
ถนนภายในหมู่บ้าน ของนายสมชัย ฉัตรพัฒนศิริ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา และมอบให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ ว่า (1) ถนนสาย นม 2010 บ้านหญ้าคา-บ้านหนองหัวฟาน ตำบลเมืองนาท อำเภอขามสะแกแสง จังหวัด นครราชสีมา ได้รับงบประมาณก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแล้ว เหลือระยะทางที่เป็นถนนลูกรัง 8.225 กิโลเมตร เป็นถนนโครงข่ายสายรอง ประชาชนสามารถใช้สัญจรไปมาเชื่อมโยงกับเส้นทางอื่น ๆ ได้จัดลำดับความสำคัญ เพื่อจัดเข้าแผนงานขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามขีดความสามารถของงบประมาณของประเทศต่อไป (2) ถนนสาย นม 3197 บ้านโนนเต็ง-บ้านหนองม่วง ตำบลหนองมะนาว อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา ได้รับงบ ประมาณก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแล้ว เหลือระยะทางที่เป็นถนนดิน 8.70 กิโลเมตร เป็นประเภทถนนในท้อง ถิ่น ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการก่อสร้างของท้องถิ่นตนเอง ทั้งนี้ ท้องถิ่น ที่ขาดแคลนงบประมาณและบุคลากร สามารถร้องขอให้กรมทางหลวงชนบทพิจารณาบรรจุโครงการถนนที่ได้ จัดลำดับความสำคัญแล้วในท้องถิ่นของตนเอง (3) ถนนสาย นม 2297 บ้านโนนเต็ง-บ้านโนนปอแดง ตำบล หนองบัว อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา ได้รับงบประมาณก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแล้ว เหลือระยะทางที่ เป็นถนนดิน 15.23 กิโลเมตร เป็นถนนโครงข่ายสายรอง สามารถเชื่อมออกไปสู่ถนนทางหลวงแผ่นดิน ได้ จัดลำดับความสำคัญเพื่อจัดเข้าแผนงานขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามขีดความสามารถของงบประมาณ ของประเทศต่อไป (4) ถนนสาย นม 3262 บ้านกุดไผ่-บ้านห้วยสามขา ตำบลทัพรั้ง กิ่งอำเภอพระทอง คำ จังหวัดนครราชสีมา ได้รับงบประมาณก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแล้ว เหลือระยะทางที่เป็นถนนดิน 9.340 กิโลเมตร เป็นประเภทถนนในท้องถิ่น จะพิจารณาดำเนินการในลักษณะเดียวกับ สาย นม 3197 ทั้งนี้ ถนน สายทางทั้ง 4 สาย อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อมูลและจัดลำดับความสำคัญให้เหมาะสมกับกรอบงบประมาณ ปี พ.ศ. 2547 จึงไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าถนนดังกล่าวจะได้รับจัดสรรงบประมาณในปี พ.ศ. 2547 หรือ ปีต่อไป หากประชาชนมีความเดือดร้อนหรือไม่สะดวกในด้านการใช้ถนนสามารถร้องขอผ่านองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นไปยังสำนักงานสาขาของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทในจังหวัดนั้น ๆ เพื่อขอความร่วม มือในการปรับปรุงถนนดังกล่าวเป็นการชั่วคราว |
||||||||||||||||||||||||||||||
3019 | กระทู้ถามที่ 876 ร. เรื่อง การดำเนินการให้มีการปฏิรูปโครงสร้างภาษีด้วยการให้มีการจัดเก็บภาษีมรดกและทรัพย์สิน | สผ | 18/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 876 ร. เรื่อง การดำเนิน
การให้มีการปฏิรูปโครงสร้างภาษีด้วยการให้มีการจัดเก็บภาษีมรดกและทรัพย์สิน ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น โดยให้แก้ไขชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากเดิม "นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์" เป็น "นายสุชาติ เชาว์วิศิษฐ" เพื่อให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) กระทรวงการคลังใช้นโยบายด้านการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเพิ่มอุปสงค์รวมภายในประเทศและการลดภาษีให้กับประชาชน ในขณะเดียวกันกระทรวงการคลัง ก็มีหน้าที่จัดเก็บรายได้ให้เพียงพอกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยหลักการแล้วในขณะที่กำลังใช้นโยบาย การคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการในการเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลจะต้องเป็นมาตรการที่ไม่ก่อให้เกิดผล กระทบต่อการบริโภคของประชาชน (2) กระทรวงการคลังได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการที่จะปรับปรุง ระบบภาษีทรัพย์สิน ให้เป็นระบบภาษีที่มีประสิทธิภาพและความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อเพิ่มและเป็น แหล่งรายได้ที่สำคัญขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำกฎหมายภาษีทรัพย์สินโดย รวมภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่เข้าเป็นภาษีเดียวกัน ปรับปรุงและขยายฐานภาษี ยกเลิกการ ยกเว้นภาษีในหลายกรณีที่ไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดให้ฐานภาษี คือ "ราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง" ตามประกาศของคณะกรรมการกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ นอกจากนี้ ได้มีการกำหนด ประเด็นสำคัญของการจัดทำกฎหมายดังกล่าว มีการบังคับใช้ภาษีกับประชาชนแต่ละกลุ่มโดยเท่าเทียมกัน |
||||||||||||||||||||||||||||||
3020 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาปัญหาชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน | สผ | 18/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการพิจารณาศึกษา
ปัญหาชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาชายแดนไทยกับประเทศ เพื่อนบ้าน สภาผู้แทนราษฎร และมอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ฯ ไป พิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยผลการ พิจารณาศึกษาปัญหาดังกล่าว คณะกรรมาธิการ ฯ ได้กำหนดกรอบและแนวทางการพิจารณาศึกษาตามลักษณะ ของปัญหาข้อเท็จจริง โดยแบ่งเป็นกลุ่มปัญหาหลัก รวมทั้งได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกลุ่มปัญหาหลัก ดังนี้ (1) กลุ่มปัญหาด้านความมั่นคง ได้แก่ กรณีปัญหาเขตแดน รัฐบาลควรใช้แนวทางสันติวิธีด้วยการเจรจาใน ทุกระดับและทุกปัญหา กรณีปัญหายาเสพติด ควรส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในการ ป้องกันและปราบปรามร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม และกรณีปัญหาการไม่ได้สัญชาติไทยของผู้อพยพ ควรเร่งรัด การให้สัญชาติไทยให้แก่ผู้อพยพเชื้อสายไทย (2) กลุ่มปัญหาด้านแรงงานต่างด้าว ควรมีมาตรการควบคุมและจัด ทำทะเบียนประวัติคนต่างด้าวอย่างเข้มงวด สำรวจจำนวนความต้องการแรงงานต่างด้าวของผู้ประกอบการ และ ผลักดันแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (3) กลุ่มปัญหาด้านสาธารณสุข ควรหามาตรการเพื่อป้อง กันความเสียหายที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อที่มาจากแรงงานต่างด้าว มาตรการรองรับภาระค่าใช้ จ่ายในการดูแลรักษาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองและผู้อพยพ และมาตรการเพื่อให้ชาวมุสลิมที่สำเร็จการ ศึกษาด้านการแพทย์จากประเทศในตะวันออกกลางให้ได้เป็นแพทย์ถูกต้องเพื่อรักษาคนไทยอย่างเพียงพอ (4) กลุ่มปัญหาด้านการค้าขายชายแดน ควรมีมาตรการป้องกันมิให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมให้การ ค้าขายและท่องเที่ยวเป็นไปอย่างต่อเนื่อง (5) กลุ่มปัญหาด้านการต่างประเทศ ควรส่งเสริมความร่วมมือเพื่อให้ ประเทศในภูมิภาคมีความเข้มแข็งในทุกด้าน ตลอดจนส่งเสริมโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ระหว่างประเทศที่มี อยู่แล้วอย่างต่อเนื่องและส่งเสริมโครงการความร่วมมือใหม่ ๆ ให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และ (6) กลุ่มปัญหา ด้านความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ควรมีมาตรการส่งเสริมความสัมพันธ์และร่วมมือในการปฏิบัติงาน ร่วมกันของเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน กรณีปัญหาการโจรกรรมรถยนต์ ปัญหา โจรผู้ร้ายตามบริเวณชายแดน กับให้ความสำคัญและสนับสนุนงบประมาณดำเนินการเก็บกู้กับระเบิด ทุ่นระเบิด ที่ตกค้างตามแนวชายแดนให้หมดไปโดยเร็ว |
.....