ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 205 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 4081 - 4100 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 4081 | ขอสนับสนุนงบกลางของปีงบประมาณ 2547 โครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย และเรื่องขอรับการสนับสนุนงบกลาง ปีงบประมาณ 2547 โครงการห้วยแม่ประจันต์ (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี และขออนุมัติโครงการปรับปรุงอ่างเก็บน้ำยางชุม (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ | กษ | 29/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่
มีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอการขอสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือ จำเป็นเกี่ยวกับโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยในเขตพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย สุโขทัย ปทุมธานี และประจวบคีรีขันธ์ โดยเห็นชอบในหลักการในส่วนของโครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำและ อาคารประกอบ ขุดลอกคลองระบายน้ำเพื่อบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำหรับ โครงการ ฯ ในพื้นที่อื่น ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย สุโขทัย และปทุมธานี นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) จัดทำรายละเอียดการดำเนินการในแต่ละโครงการ โดยใช้หลักการบูรณาการการแก้ไขปัญหา น้ำท่วมทั้งระบบ พร้อมทั้งจัดทำแผนที่รายละเอียดการดำเนินการโครงการ ฯ และขั้นตอนการดำเนินการให้เห็น ภาพรวมที่ชัดเจน แล้วนำเสนอ คกก.3 อีกครั้งหนึ่ง กับเห็นชอบให้ดำเนินการโครงการห้วยแม่ประจันต์ (อันเนื่อง มาจากพระราชดำริ) อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี และโครงการปรับปรุงอ่างเก็บน้ำยางชุม (อันเนื่อง มาจากพระราชดำริ) อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้ งบประมาณที่จะใช้ดำเนินการโครงการ ฯ ให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ปรับแผนงาน/โครงการ จากงบประมาณปกติเพื่อนำมาเจียดจ่าย ใช้ดำเนินการตามความจำเป็นเร่งด่วนก่อน และหากไม่เพียงพอ ก็ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำความตกลงใน รายละเอียดกับสำนักงบประมาณ เพื่อขอเบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ต่อไป |
|||||||||||||||
| 4082 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเหนือ | นร | 25/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติราย
งานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาค เหนือ โดยมีผลการดำเนินการ ดังนี้ (1) โครงการภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 1 การส่งเสริมสนับสนุนอุตสาหกรรม ซอฟต์แวร์ภาคเหนือ ประกอบด้วย โครงการจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มหาวิทยา ลัยเชียงใหม่ อยู่ระหว่างการปรับปรุงรายละเอียดโครงการ ฯ โครงการพัฒนาและสนับสนุนอุตสาหกรรมซอฟต์ แวร์ สำหรับช่องทางสู่ความเป็นเลิศในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน (Detroit of Asia) และการเป็นครัวโลก (Kitchen of the World) ของมหาวิทยาลัยนเรศวร อยู่ระหว่างรอความคิดเห็นจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสน เทศและการสื่อสาร เพื่อปรับรายละเอียดโครงการ ฯ และโครงการ IT Knowledge Park ของเขตอุตสาหกรรม ซอฟต์แวร์แห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ อยู่ระหว่างการส่งรายละเอียด โครงการ ฯ ที่ปรับปรุงแล้วให้กับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ ฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ และ (2) โครง การภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 2 การส่งเสริมสนับสนุนหัตถอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย โครงการ เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันเขตเศรษฐกิจล้านนา โครงการจัดตั้งศูนย์บริการออกแบบสินค้าหัตถ กรรม โครงการสร้างแนวโน้มแฟชั่นรูปสินค้าหัตถกรรม "ล้านนาสไตล์" อยู่ระหว่างการปรับปรุงรายละเอียดเอก สารโครงการ และโครงการเชียงใหม่เมืองแห่งการแสดงสินค้าหัตถกรรม อยู่ระหว่างการพิจารณาโครงการของ จังหวัดเชียงใหม่เพื่อนำเสนอรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยลงนาม และดำเนินการตามขั้นตอนการขอรับการสนับ สนุนงบประมาณ สำหรับการดำเนินการแปลงยุทธศาสตร์ภาคเหนือไปสู่การปฏิบัติ ของสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้มีการจัดตั้งคณะทำงานภายในสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และจัดส่งรายงาน พร้อมมติคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบพร้อมทั้งขอให้ส่งผู้แทนเข้าร่วมในการจัดทำแผนปฏิบัติการ และขณะนี้สำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคเหนือ (สพน.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ประชุมจัดทำ ร่างแผนปฏิบัติการ โดยจะมีการประชุมจัดทำแผนปฏิบัติการที่สมบูรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในส่วนกลาง ในเดือนพฤศจิกายน 2546 |
|||||||||||||||
| 4083 | การปรับปรุงโครงสร้างและกำหนดตำแหน่งข้าราชการตำรวจในกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว | ตช | 25/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) เสนอการปรับปรุง
โครงสร้างและกำหนดตำแหน่งข้าราชการตำรวจในกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว โดยการตัดโอนและปรับ ระดับตำแหน่ง จำนวน 3 ตำแหน่ง ตามมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ( ก.ตร.) ครั้งที่ 15/2546 เมื่อ วันที่ 24 ตุลาคม 2546 ทั้งนี้ สำหรับเงินประจำตำแหน่งที่เพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ให้สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติปรับเกลี่ยอัตรากำลัง และงบประมาณภายในกรอบอัตรากำลัง และวงเงินงบประมาณที่ได้รับ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 สำหรับในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตาม ความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||
| 4084 | แนวทางการจัดหาพัสดุโดยการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ในภูมิภาค | กค | 25/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแนวทางการจัดหาพัสดุโดยการประมูลด้วย
ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ในภูมิภาค และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจ หน้าที่พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการจัดหาพัสดุโดยการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (คณะกรรมการ e- Auction) เป็นการประจำหรือเป็นครั้งคราวไป โดยคณะกรรมการดังกล่าว ประกอบด้วย ข้าราชการระดับ 8 ขึ้นไป เป็นประธาน ข้าราชการระดับ 6 ขึ้นไป อย่างน้อย 2 คน เป็นกรรมการ และเจ้าหน้าที่สำนักงานจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ ส่วนหน้าที่ของหน่วยงานในภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้ คณะอนุกรรมการจัดซื้อ จัดจ้างจังหวัด แต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (กจบ.) ทำหน้าที่ กำกับดูแล บริหาร ตรวจสอบ การจัดซื้อจัดจ้างในภาพรวมของจังหวัด สำนักงานคลังจังหวัด กำกับดูแล ให้คำปรึกษาหารือแก่ หน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามแนวทาง หลักเกณฑ์ กฎและระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด สำนัก งานจังหวัด เป็นหน่วยงานปฏิบัติ ประสานงานหน่วยงานต่าง ๆ ในการจัดประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ใน แต่ละครั้ง และมีหน้าที่จัดหาศูนย์การประมูล (Auction Center) ตามมาตรฐานที่กระทรวงการคลังกำหนด และมหาวิทยาลัย ทำหน้าที่เป็นศูนย์จัดฝึกอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีทักษะ และความพร้อมสำหรับการ ประมูล ฯ นอกจากนี้ ให้มีผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Market Place Service Provider) ทำ หน้าที่จัดประมูล ฯ แก่หน่วยงานของภาครัฐภายในจังหวัด โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณากำหนดพื้นที่ การให้บริการ (Zoning) ของผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ตามกลุ่มบริหาร Cluster ในระบบการ บริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ โดยผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์สามารถคิดค่าธรรมเนียมในการ ให้บริการจากผู้ค้าที่ชนะการประมูล ในอัตราไม่เกินร้อยละ 3 ของมูลค่าซื้อขาย โดยค่าธรรมเนียมในการ บริการประมูลแต่ละครั้งต้องไม่เกิน 300,000 บาท สำหรับขั้นตอนในการดำเนินการจัดหาพัสดุ ให้ดำเนิน การตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดหาพัสดุโดยการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่ เห็นควรเร่งดำเนินการปรับปรุง แก้ไขกฎระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการประมูล ฯ และ พัฒนาระบบจัดซื้อจัดจ้าง (e-Procurement) ให้สามารถดำเนินการได้สมบูรณ์เต็มรูปแบบ พร้อมทั้งเตรียม ความพร้อมให้กับผู้ประกอบการและบุคลากรภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||
| 4085 | ขออนุมัติการลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding, MOU) "โครงการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการจัดการน้ำเสีย" ในโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสวีเดน | ทส | 25/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยเห็นชอบบันทึกความ
เข้าใจ (Memorandum of Understading, MOU) "โครงการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการจัดการน้ำเสีย" ในโครง การความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสวีเดน และอนุมัติให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมไปประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ กระทรวงมหาดไทยมีข้อคิด เห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ในร่างบันทึกความเข้าใจ ฯ (ฉบับภาษาไทย) ข้อ 4 การยกเลิกโครงการในกรณี ที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ/กฎเกณฑ์ ไม่ควรใช้ทับศัพท์ว่า "การคอรัปชั่น" แต่ควรใช้คำว่า "ทุจริต" ซึ่งมีความหมาย ว่า "เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง หรือผู้อื่น" และยังครอบคลุมถึงการฉ้อ โกงอยู่แล้ว และหนังสือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ ทส 0305/2291 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2546 แจ้งว่ารัฐบาลไทยต้องสมทบเงินผ่านกรมวิเทศสหการอีก 2.77 ล้านบาท แต่ในบันทึกความเข้าใจ ฯ มิ ได้ระบุถึงในส่วนนี้ รวมทั้งตามบันทึกความเข้าใจ ระบุว่า Swedish International Development Cooperation Agency (SIDA) มีหน้าที่รับผิดชอบจัดหาเงินงบประมาณ 8 ล้านเหรียญสวีเดน (ไม่ได้สนับสนุนผู้เชี่ยวชาญ) และกรมควบคุมมลพิษและเทศบาลนครเชียงใหม่มีหน้าที่ความรับผิดชอบ 6 ประการ ซึ่งประการหนึ่ง คือ จัด หาบุคลากร สิ่งอำนวยความสะดวก และทรัพยากรอื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้ แต่การดำเนินโครงการจะจัดจ้าง บริษัทที่ปรึกษาจากสวีเดนเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงฟื้นฟูระบบรวบรวมและระบบบำบัดน้ำเสียของเทศบาล และการจัดการน้ำเสียที่เหมาะสมสำหรับชุมชนขนาดเล็กริมแม่น้ำ ของกรมควบคุมมลพิษ และโครงการเสริม สร้างสมรรถนะการบริหารจัดการน้ำเสียเทศบาลนครเชียงใหม่ ของเทศบาลนครเชียงใหม่ ซึ่งโดยทั่วไปจะรวม ค่าใช้จ่ายในการจัดหาบุคลากร สิ่งอำนวยความสะดวก และทรัพยากรอื่น ๆ สำหรับดำเนินงานให้สำเร็จแล้ว ดังนั้น จึงอาจจะเป็นการจัดการซ้ำซ้อนได้ ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่า โครงการนี้มีการดำเนิน การด้านการจัดการน้ำเสียในเทศบาลนครเชียงใหม่ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยว จึงควรมีการพิจารณาการกระจาย ภาระบรรทุก (Loading) ของน้ำทิ้งหลังการบำบัดลงสู่แหล่งรองรับน้ำทิ้ง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของความ สามารถในการรับภาระบรรทุกของแหล่งน้ำซึ่งรองรับน้ำทิ้งดังกล่าว รวมไปถึงการพิจารณาการดำเนินการจัด การกากตะกอนหลังจากการบำบัดน้ำทิ้งแล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของ พื้นที่ได้ |
|||||||||||||||
| 4086 | เว็บไซต์ของส่วนราชการ | นร | 25/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การบริหารราชการในรูปแบบของรัฐบาลอิเล็ก
ทรอนิกส์ (e-government) จะต้องมีความพร้อมในด้านของสำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ (e-office) ซึ่งระบบการ บริหารงานการคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Government Financial Management Information System -GFMIS) จะเป็นระบบสนับสนุน (back office) ที่จะเริ่มใช้ในหน่วยงานระดับจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 ในขณะที่เว็บไซต์ (website) ของกระทรวง กรม จะเป็นระบบที่ให้บริการ หรือติดต่อกับประชาชน (front office) ซึ่งปัจจุบันยังมีเว็บไซต์ของหลายส่วนราชการที่มีลักษณะเป็นการให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์ทางเดียว ยังไม่สามารถ ให้บริการหรือติดต่อโต้ตอบกับผู้ใช้บริการ ดังนั้น จึงขอให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงได้กำชับให้ปลัดกระทรวงและอธิบ ดีดำเนินการปรับปรุงให้เว็บไซต์ที่ตนรับผิดชอบสามารถให้บริการให้ติดต่อโต้ตอบกับผู้ใช้บริการได้ภายในวันที่ 1 เมษายน 2547 |
|||||||||||||||
| 4087 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือกิจการอุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือภายในประเทศ | นร | 18/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยอนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือกิจการอุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือ ภายในประเทศ จำนวน 10 ฉบับ และเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การจัดหาเรือโดยประกอบและต่อเรือและซ่อม เรือของทางราชการ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการอุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือภายใน ประเทศ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาห กรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน เป็นต้น โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับเป็นเจ้าของเรื่องร่วมกันพิจารณากำหนดนโยบายในการ ส่งเสริมสนับสนุนกิจการอุตสาหกรรมต่อเรือภายในประเทศ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||
| 4088 | การประชุมเพื่อรายงานความก้าวหน้าในการจัดทำแผนปฏิบัติการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 มิถุนายน 2546 | ทส | 18/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการ
ประชุมเพื่อรายงานความก้าวหน้าในการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 มิถุนายน 2546 ครั้งที่ 3/2546 ของหน่วยงานที่รับผิดชอบ รวม 7 แผนงาน ดังนี้ (1) แผนงานระบบข้อมูล ที่ดิน ได้มีการศึกษาพัฒนาระบบข้อมูลที่ดิน ทะเบียนที่ดิน และแผนที่มาตรฐาน เพื่อเป็นข้อมูลการบริหารจัด การทรัพยากรดินและที่ดินของชาติเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน และการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งองค์กร มหาชนดูแล (2) แผนงานปรับปรุงองค์กรบริหารจัดการที่ดินได้จัดทำโครงการศึกษาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยว กับคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ โดยว่าจ้างศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ดำเนิน การ ระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน (สิงหาคม 2546 - มกราคม 2547) (3) แผนงานกำหนดเขตการ ใช้ประโยชน์ที่ดิน ได้ดำเนินโครงการศึกษาความเป็นไปได้ และแนวทางกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินและ มาตรการที่มีผลบังคับ โดยว่าจ้างสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินงานใน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 และโครงการนำร่องให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 (4) แผนงานอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ทรัพยากรดินและที่ดิน อยู่ระหว่างการประสานงานรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (5) แผนงานคุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตร กรรม ได้ศึกษาทบทวนรายงานการศึกษา กรณีให้มีการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (6) แผนงานปรับปรุงระบบภาษีที่ดินได้จัดทำโครงการศึกษาความเหมาะสมในการปรับปรุงระบบและวิธีการจัด เก็บภาษีที่ดิน และโครงการนำร่องให้ชุมชนท้องถิ่นกำหนดอัตราภาษี และการบริหารเงินภาษี และ (7) แผนงานปรับปรุงสิทธิในที่ดิน กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดิน ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแผนงาน ดังกล่าว โดยมีความเห็น 3 ประการ กล่าวคือ การปรับระบบเอกสารสิทธิให้เป็นระบบเดียวกัน ควรออก เป็นโฉนดที่ดิน สิทธิในที่ดินที่ได้รับตามกฎหมายแต่ละฉบับที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ของกฎหมาย นั้น ๆ จึงไม่ควรต้องแก้ไขรวมให้เป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน แต่ให้มีการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องในเรื่อง กำหนดระยะเวลาห้ามโอน การกำหนดสิทธิในที่ดิน และการใช้ประโยชน์ที่ดิน ส่วนการออกโฉนดที่ดินให้แก่ ชุมชน จากการศึกษาในเบื้องต้นมีปัญหาว่า ชุมชนจะถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้หรือไม่ อย่างไร แนวทางที่น่า จะมีความเป็นไปได้ คือ ออกในนามสหกรณ์ หรือนิติบุคคล และขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติม |
|||||||||||||||
| 4089 | การใช้ประโยชน์ท่าเรือเมืองทวาย | คค | 11/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานเรื่อง การใช้ประโยชน์ท่าเรือเมืองทวาย
สรุปได้ว่า เส้นทางสายทวาย-กาญจนบุรี เป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายทางหลวงอาเซียน ที่จะเชื่อมโยงระหว่าง ท่าเรือทวาย (พม่า)-ท่าเรือแหลมฉบัง (ไทย)-ท่าเรือสีหนุวิลล์ (กัมพูชา) ซึ่งขณะนี้เส้นทางในกัมพูชาที่เชื่อม ต่อกับชายแดนไทย จากเกาะกง-สะแรอัมเปิล รัฐบาลไทยได้ตกลงให้ความช่วยเหลือในการก่อสร้างเป็นถนน ลาดยาง พร้อมก่อสร้างสะพานขนาดใหญ่ 4 แห่ง ดังนั้น การเชื่อมต่อทางด้านตะวันตกระหว่างไทยกับพม่า จากกาญจนบุรี-ทวาย จะทำให้มีเส้นทางที่เชื่อมต่อกันได้ตลอด โดยการปรับปรุงเส้นทางในฝั่งไทยให้เชื่อมต่อ กับเส้นทางในฝั่งพม่าพิจารณาได้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก ก่อสร้างถนนลาดยาง 2 ช่องจราจร จากบ้านพุ น้ำร้อน-ชายแดนไทย/พม่า ระยะทาง 5 กิโลเมตร วงเงินค่าก่อสร้างประมาณ 35 ล้านบาท และระยะต่อ ไปปรับปรุงขยายถนนลาดยางเดิมให้มีมาตรฐานสูงขึ้น จากกาญจนบุรี-ชายแดนไทย/พม่า ตามความจำเป็น ของปริมาณจราจรในอนาคต สำหรับข้อดีของการใช้ประโยชน์ท่าเรือทวาย คือ เป็นทางเลือกอีกด้านหนึ่งของ ไทยในการขนส่งสินค้าไปยังกลุ่มประเทศเอเชียตะวันตกและยุโรป ซึ่งจะทำให้ค่าขนส่งสินค้าต่าง ๆ ของไทย ในภาพรวมถูกลง เป็นการเปิดโอกาสให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ได้มากขึ้น และได้ใช้ ประโยชน์ท่าเทียบเรือระนอง เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางฝั่งไทยตามแผนพัฒนาพื้นที่สามเหลี่ยมบางสะพาน-ชุมพร -ระนอง และตามนโยบายรัฐบาลที่จะมีการเชื่อมโยงพม่า-ไทย (ทวาย-ปกเปี้ยน-บางสะพาน) รวมทั้งการ เชื่อมโยงการขนส่งทางชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทยกับท่าเรือเมืองทวาย และเมาะละแหม่งของพม่า ไปยังเมืองท่าจิตตะกองของบังกลาเทศ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การที่มีเส้นทางเชื่อมโยงระหว่าง ประเทศจะช่วยส่งเสริมความเข้าใจที่ดีต่อกัน เนื่องจากแต่ละฝ่ายก็จะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ข้อเสีย คือ การมีท่าเรือที่ทวาย อาจจะลดบทบาทของท่าเรือไทยในฝั่งทะเลอันดามันลงบ้าง และความเสี่ยงในเรื่องการใช้ เส้นทางดังกล่าวเพื่อขนส่งสินค้าไทยผ่านท่าเรือทวายไปยังจุดหมายปลายทาง |
|||||||||||||||
| 4090 | ผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 22 กรกฎาคม 2546 (เรื่อง การแก้ไขปัญหาราคาอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ) | กษ | 11/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินงานการแก้ไขปัญหา
ราคาอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ โดยได้มีการจดทะเบียนพื้นที่เพาะปลูกอ้อยและกำกับดูแลและส่งเสริมให้มีการ ปลูกในบริเวณที่เหมาะสม ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงเขตเกษตรเศรษฐกิจสำหรับอ้อยโรงงานที่ได้ประกาศใช้ไปแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2544 ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์พัฒนาการผลิตอ้อยโรงงาน เพื่อใช้สำหรับการส่งเสริมให้มีการปลูก อ้อยในเขตเกษตรเศรษฐกิจ ฯ ดังกล่าวต่อไป รวมทั้งเร่งรัดพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อ ลดต้นทุนการผลิต โดยกำหนดเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อย ระหว่างปี พ.ศ. 2547 - พ.ศ. 2551 เมื่อ สิ้นสุดยุทธศาสตร์ ฯ ในปี พ.ศ. 2551 จะเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 15 ตันต่อไร่ และเพิ่มความหวานให้ได้ไม่ ต่ำกว่า 13 ซี.ซี.เอส. พร้อมทั้งกำหนดแผนงานและโครงการที่จะต้องดำเนินการ เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงาน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเรียบร้อยแล้ว และได้มีการปรับปรุงบทบาทขององค์กรให้มีบทบาทในงานด้าน วิจัยและพัฒนาเนื่องจากตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 ไม่ได้กำหนดบทบาทไว้อย่างชัดเจน ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับอ้อย จึงทำให้งานวิจัยทำได้ในขีดจำกัดตามจำนวนงบประมาณ ที่ได้รับ ดังนั้น เพื่อให้งานด้านการวิจัยและพัฒนาอ้อยครอบคลุมทุกสาขาและสามารถสนับสนุนการพัฒนาของ อุตสาหกรรมน้ำตาลได้อย่างต่อเนื่อง กระทรวงเกษตร ฯ โดยกรมวิชาการเกษตร จะได้ดำเนินการของบประมาณ จากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมาสมทบเพิ่มเติม ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโน โลยี (ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ) มีส่วนร่วมดำเนินการในด้านการวิจัยและพัฒนาประสิทธิ ภาพการผลิตอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อลดต้นทุนการผลิตด้วย |
|||||||||||||||
| 4091 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองท่าเรือน้ำลึกสงขลา จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... | มท | 11/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
เมืองท่าเรือน้ำลึกสงขลา จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้ว ดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฉบับนี้เป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ ตำบลชิงโค ตำบลทำนบ ตำบลหัวเขา ตำบลสทิงหม้อ อำเภอสิงหนคร และตำบลบ่อยาง ตำบลเกาะยอ ตำบลเขา รูปช้าง ตำบลพะวง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา มีกำหนดห้าปี ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกต ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการประกาศใช้บังคับผังเมืองรวม มาตรา 27 ในท้องที่ใด จะส่งผลเป็น การห้ามบุคคลใดใช้ประโยชน์ที่ดินผิดไปจากที่กำหนดไว้ในผังเมืองรวมหรือปฏิบัติการใด ๆ ซึ่งขัดกับข้อกำหนด ของผังเมืองนั้น เช่น พื้นที่ประเภทที่อยู่อาศัย บุคคลใดจะนำพื้นที่บริเวณนั้นสร้างโรงงานอุตสาหกรรมหรืออาคาร พาณิชย์ไม่ได้ หากผู้ใดผ่าฝืน คณะกรรมการผังเมืองมีอำนาจสั่งให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลง หรือระงับการดำเนิน การได้ และผู้ไม่ปฏิบัติตามมีความผิดต้องรับโทษทางอาญาตามมาตรา 83 และในการตรากฎกระทรวงให้ใช้บังคับ ผังเมืองรวม มาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518 ได้กำหนดระยะเวลาการใช้บังคับไว้เป็น เวลาไม่เกิน 5 ปี โดยในระหว่างการใช้บังคับให้ดำเนินการปรับปรุงผังเมืองเดิมให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปให้แล้วเสร็จ ก่อนครบเวลาการใช้บังคับ และหากไม่สามารถปรับปรุงให้แล้วเสร็จก่อน กำหนดเวลา ก็ขยายเวลาได้อีก 2 ครั้ง ๆ ละ 1 ปี ดังนั้น เมื่อกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมฉบับเดิมสิ้นอายุ ลง และไม่สามารถประกาศใช้บังคับผังเมืองรวมฉบับใหม่ให้ต่อเนื่องได้ การใช้บังคับผังเมืองรวมในพื้นที่ดังกล่าว ก็จะเกิดช่องว่างในระหว่างเวลาที่กฎกระทรวงฉบับเดิมสิ้นสุดลงจนถึงการประกาศใช้บังคับกฎกระทรวงฉบับใหม่ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวจะไม่มีกฎหมายที่ให้อำนาจในการควบคุมการใช้ประโยชน์ในพื้นที่นั้น ๆ เจ้าของหรือผู้ ครอบครองที่ดินในพื้นที่นี้จึงอาจใช้ช่วงโอกาสนี้ดำเนินการใช้พื้นที่ที่ไม่เป็นไปตามผังเมืองรวมเดิมกำหนดไว้ โดย เจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจทักท้วงได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ในอนาคตได้ จึงเห็นว่า ในการ ออกกฎกระทรวงเพื่อขยายระยะเวลาการใช้บังคับผังเมืองรวมควรเร่งดำเนินการให้มีผลต่อเนื่องกัน ไปพิจารณา ดำเนินการ เพื่อให้มีการตรากฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในลักษณะนี้ให้มีผลใช้บังคับต่อเนื่องกัน |
|||||||||||||||
| 4092 | การศึกษาความเหมาะสมในการนำภาษีทรัพย์สินหรือภาษีมรดกมาใช้ | นร | 04/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเรื่อง การแปลงสิน
ทรัพย์เป็นทุน โดยรับทราบความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขความยากจนโดยจัดระบบที่ดินใหม่ เพื่อให้มีการ นำที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาให้กับประชาชนที่ต้องการใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ ซึ่งแนวทางดำเนินการ ประการหนึ่งเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ได้แก่ การจัดให้มีระบบภาษีที่ดินที่ทันสมัย เหมาะสม รวมทั้งได้มีมติเกี่ยวกับผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินของชาติ โดยอนุมัติตามมติคณะ กรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 โดยให้หน่วยงานหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการ จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินของชาติทั้ง 7 แผนงาน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งรวมถึงแผนงานปรับปรุง ระบบภาษีที่ดิน เพื่อเป็นการรองรับนโยบายการจัดระบบที่ดินที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ จึงมอบให้รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลังรับไปเร่งรัดติดตามการดำเนินการปรับปรุงระบบภาษีที่ดินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตัดสินใจในเชิงนโยบายต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้ครอบคลุมไปถึง ความจำเป็นเหมาะสมของการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีมรดกด้วย
|
|||||||||||||||
| 4093 | กระทู้ถามที่ 857 ร. เรื่อง การก่อสร้างปรับปรุงทางหลวง สายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอมะนัง จังหวัดสตูล | สผ | 04/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 857 ร.
เรื่อง การก่อสร้างปรับปรุงทางหลวงสายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอ มะนัง จังหวัดสตูล ของนายสนั่น สุธากุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล และให้ประกาศในราชกิจจา นุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท ตรวจสอบทางหลวงสายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอมะนัง จังหวัดสตูล แล้วปรากฎว่า สายทางดังกล่าวมีระยะทาง 11.50 กิโลเมตร โดยช่วง กม. 0+000-6+850 เป็นถนนลาด ยาง อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนช่วง กม. 6+850-11+500 เป็นถนนลูกรัง อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท แต่เนื่องจากการปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม โดยกรม ทางหลวงชนบทเป็นหน่วยงานที่เกิดจากการรวมหน่วยงานด้านถนน ของกรมโยธาธิการ และกรมการเร่งรัด พัฒนาชนบท ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องจัดระบบการบริหารงานให้สอดคล้องกับภารกิจตามที่กฎกระทรวง กำหนดและกำลังดำเนินการศึกษาถนนทั้งหมดที่เคยอยู่ในความรับผิดชอบว่า สอดคล้องกับภารกิจหลักหรือ ไม่ หากสายทางดังกล่าวมีความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ แล้ว กรมทางหลวงชนบทจะพิจารณาจัดลำดับความ สำคัญ และจัดเข้าแผนในการของบประมาณเพื่อสนับสนุนต่อไป นอกจากนี้ การปรับปรุงถนนลูกรังให้เป็น ถนนลาดยางต้องสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในอันที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม แต่เนื่องจาก งบประมาณที่จำกัด และรัฐบาลมีภาระที่จะต้องพัฒนาประเทศในอีกหลายด้าน ซึ่งทุกด้านจำเป็นที่จะต้องใช้ งบประมาณในการพัฒนาทั้งสิ้น ดังนั้น หากถนนดังกล่าวมีความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ แล้ว กรมทางหลวง ชนบทจะได้พิจารณาจัดเข้าแผนงานเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป |
|||||||||||||||
| 4094 | คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย | มท | 04/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่
ของคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย คณะที่ 1 และคณะที่ 2 ดังนี้ กรรมการคณะที่ 1 ประกอบด้วย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (ที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย) เป็นประธานกรรมการ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายกระทรวงมหาดไทย นายชำนาญ พจนา นายสวัสดิ์ ส่งสัมพันธ์ นายจินต์ วิภาตะกลัศ นายสกล วนิชชานนท์ นายสุพล ยุติธาดา รศ.ดร.กมลชัย รัตนสกาววงศ์ นายเอกศักดิ์ ตรีกรุณาสวัสดิ์ นาย ชูเกียรติ รัตนชัยชาญ นายวิศิษฐ์ สิงคิรัตน์ นางสาววัณณนา บุนนาค ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สำนักงาน ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการ นิติกร 8 ว สำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็น กรรมการและเลขานุการ และนิติกรสำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการและผู้ช่วย เลขานุการ ส่วนกรรมการคณะที่ 2 ประกอบด้วย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (ที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยมอบ หมาย) เป็นประธานกรรมการ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายกระทรวงมหาดไทย นายชัยวัฒน์ หุตะเจริญ พันตรีสิ โรตม์ สุวรรณนาคินทร์ นายอารยะ วิวัฒน์วานิช นายทวีศักดิ์ วรพิวุฒิ นายทรงชัย ประสาธน์วนิช พลตำรวจตรี เชวง แก้วไชโย รศ.สุนทร มณีสวัสดิ์ นายสงขลา วิชัยขัทคะ นายสมหมาย จันทร์เรือง นายเอนก เกษมสุข ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการ นิติกร 8 ว สำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการและเลขานุการ และนิติกร สำนักกฎหมาย สำนักงานปลัด กระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ |
|||||||||||||||
| 4095 | โครงการขยายบริการโทรศัพท์ 565,500 เลขหมาย ของบริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) | นร | 04/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่
มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอโครงการขยายบริการโทรศัพท์ จำนวน 565,500 เลขหมาย ของบริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 8,045.32 ล้านบาท โดยใช้เงิน ลงทุนจากรายได้ของบริษัท ฯ ทั้งหมด ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติแล้ว ทั้งนี้ ให้บริษัท ฯ รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้ง ประเด็นอภิปรายของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย โดยประเด็นอภิปราย ที่ประชุมเห็นว่า โดยที่บริษัท ฯ ได้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทมหาชนแล้ว พร้อมทั้งมุ่งเน้นการให้บริการให้กว้างไกลและมีประสิทธิภาพ (Universal Service Organization : USO) ดังนั้น บริษัท ฯ ควรต้องเร่งจัดทำแผนแม่บทให้มีลักษณะเป็นแผนรวม เชิงธุรกิจ (Business Plan) มีการวางแผนการให้บริการในทุกพื้นที่อย่างทั่วถึงและกำหนดเป้าหมายว่าจะดำเนิน การในพื้นที่ใดบ้าง และจะดำเนินการอย่างไร รวมถึงเมื่อดำเนินการให้บริการไปแล้ว ผลตอบแทนและผลกำไรที่ บริษัท ฯ ควรจะได้รับกลับคืนมาอย่างไร (Service in return) เนื่องจากปัจจุบันบริษัท ฯ เป็นรูปแบบขององค์กร ที่ต้องได้รับผลประโยชน์ตอบแทนด้วย (Profit Organization) ในส่วนของการขยายเลขหมายการให้บริการโทร ศัพท์ บริษัท ฯ ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพราะเป็นการดำเนินการเชิงธุรกิจซึ่งต้องแข่งขันกับเวลา (Economy of Speed) และเป็นข้อได้เปรียบของการแข่งขันเชิงธุรกิจอีกด้วย และต้องพิจารณาทบทวนการจัด ลำดับความสำคัญของความต้องการของผู้รอคอยการติดตั้ง (Waiting List) ให้มีการกระจายความต้องการ (Waiting List) ของผู้ต้องการให้ทั่วถึงทุกพื้นที่อย่างมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน และควรศึกษาด้วยว่า ในแต่ละพื้นที่ที่จะขยาย การบริการสามารถครอบคลุมการให้บริการในพื้นที่ดังกล่าวอย่างทั่วถึงหรือไม่ หากยังไม่ทั่วถึง ก็ควรวางแผน การขยายบริการไว้รองรับให้พร้อมเพื่อมิให้ต้องขยายการลงทุนเพิ่มเติมขึ้นอีกในภายหลัง และให้กระทรวงเทค โนโลยีสารสนเทศ ฯ รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ไปประสานกับบริษัท ฯ เพื่อพิจารณาดำเนินการปรับปรุง ขยายเครือข่ายการให้บริการ ซึ่งในบางจังหวัดที่มีเขตติดต่อกับกรุงเทพมหานคร เช่น สมุทรสาคร และนครปฐม เป็นต้น ยังเป็นระบบใช้เลข 6 ตัว ซึ่งทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายแก่ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ในการติดต่อกับกรุงเทพ มหานครและปริมณฑลมาก เนื่องจากต้องใช้ระบบทางไกล จึงสมควรปรับปรุงขยายเครือข่ายการให้บริการให้ เป็นเครือข่ายเดียวกับโทรศัพท์ในเขตกรุงเทพมหานครต่อไป |
|||||||||||||||
| 4096 | ขอความเห็นชอบโครงการด้านการเกษตร | กษ | 04/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการ
โครงสร้างพื้นฐานทางด้านการเกษตรเพื่อจัดการสินค้าคงเหลือชุมชนให้เหมาะสมจากธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รวมทั้งรับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ที่สนับสนุนช่วยเหลือ สถาบันเกษตรกร โดยผลการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการเกษตรเพื่อจัดการสินค้าคง เหลือชุมชน ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ส่งโครงการให้ ธ.ก.ส. พิจารณาให้เงินกู้แก่ สถาบันเกษตรกร นั้น ธ.ก.ส. ได้พิจารณาเงินกู้โครงการตามหลักเกณฑ์ที่ ธ.ก.ส. กำหนด โดยโครงการที่ได้รับการ สนับสนุนช่วยเหลือในปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ได้แก่ โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ โครงการลดภาระ หนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยตามนโยบายรัฐบาลผ่านสถาบันเกษตรกร โครงการสนับสนุนสินเชื่อในการจัดหาปุ๋ย เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ปี 2544/45 โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพผลิตผลการเกษตรของสถาบัน เกษตรกร โครงการเร่งรัดกระจายพันธุ์มันสำปะหลังพันธุ์ดี และโครงการสนับสนุนให้สมาชิกสหกรณ์ใช้ปุ๋ยพืชสด เพื่อรักษาและปรับปรุงคุณภาพดิน สำหรับโครงการที่ได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ได้แก่ โครงการลดภาระหนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยตามนโยบายรัฐบาลผ่านสถาบันเกษตรกร โครงการสนับสนุน สินเชื่อในการจัดหาปุ๋ยเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ปี 2544/45 และโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพผลิต ผลการเกษตรของสถาบันเกษตรกร
|
|||||||||||||||
| 4097 | ยืนยันการขอทบทวนโครงการจัดหาเรืออเนกประสงค์เพื่อขจัดคราบน้ำมัน ค้นหา ช่วยเหลือชีวิตและดับเพลิง และเรือฝึกนักเรียนเดินเรือพาณิชย์ สำหรับศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี ของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี | คค | 04/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7) ที่มี
มติเห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอของกระทรวงคมนาคม โดยให้ชะลอการดำเนินโครงการจัดหาเรืออเนกประสงค์ เพื่อขจัดคราบน้ำมัน ค้นหา ช่วยเหลือชีวิต และดับเพลิง ขนาดไม่ต่ำกว่า 1,000 ตันกรอส จำนวน 1 ลำ ไว้ก่อน จนกว่าจะมีความจำเป็นจึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง และให้ดำเนินการโครงการจัดหาเรือฝึกนักเรียนเดิน เรือพาณิชย์ สำหรับศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวีขนาดไม่เกิน 5,000 ตันกรอส จำนวน 1 ลำ และเครื่องมือฝึกจำลอง (Simulator) ในวงเงิน 1,650 ล้านบาท ต่อไป โดยขอรับจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการ แทนการใช้เงินกู้จากต่างประเทศ รวมทั้งขยายระยะเวลาการดำเนินการจาก 3 ปี เป็น 7 ปี (พ.ศ. 2543-2549) โดยให้กระทรวงคมนาคมหารือสำนักงบประมาณ ในการพิจารณาปรับงบประมาณในส่วนของกระทรวงคมนาคม สำหรับโครงการที่ไม่เร่งด่วน หรือมีความจำเป็นน้อย เพื่อจัดสรรเงินงบประมาณมาดำเนินโครงการจัดหาเรือ ฝึก ฯ ต่อไป และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ที่เห็นควรให้เร่งดำเนินโครงการจัดหาเรืออเนกประสงค์ ฯ เพื่อเป็นเครื่องมือที่สำคัญของประเทศหากเกิด ปัญหาอุบัติภัยขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันการณ์ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้พิจารณาจัดหา เรือให้มีลักษณะและขนาดที่เหมาะสมกับการเรียน การสอนเท่านั้น โดยจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อใช้ในการ ดำเนินโครงการแทนการใช้เงินกู้จากต่างประเทศ เพื่อมิให้เป็นการเพิ่มภาระหนี้เงินกู้ของประเทศ และให้ขยาย ระยะเวลาจาก 3 ปี เป็น 7 ปี (พ.ศ. 2543-2549) ไปพิจารณาดำเนินการปรับปรุงจัดทำข้อเสนอ และราย ละเอียด เหตุผลความจำเป็นเพิ่มเติม แล้วนำเสนอประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไปได้ ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยให้ปรับแผนการดำเนินงานและขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจัดหาเรือ ฝึก ฯ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2547-2549 เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาในการจัดหา โดยมีค่าใช้จ่ายโครง การในวงเงินทั้งสิ้น 1,150,000,000 บาท โดยเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 230,000,000 บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548-พ.ศ. 2549 อีก จำนวน 920,000,000 บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||
| 4098 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายฤดูการผลิต ปี 2544/2545 | อก | 04/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอผลการประชุมหารือส่วนราชการ
ที่เกี่ยวข้องเรื่อง การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิต ปี 2544/2545 ของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งผลการหารือในเรื่องดังกล่าว กระทรวงอุตสาหกรรม เสนอว่า เนื่องจากราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นในฤดูการผลิต ปี 2544/2545 เป็นการเห็นชอบร่วมกันของทุกฝ่ายและได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ในขณะที่การกำหนด ราคาขั้นสุดท้ายของฤดูการผลิต ปี 2544/2545 ยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้น คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายจึงใช้ ดุลพินิจตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2537 ในการกำหนดราคาขั้นสุดท้าย โดยคำนึงถึงผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นที่กำหนดไว้แล้ว พร้อมทั้งนำหลักการของการ กำหนดราคาขั้นต้นในฤดูการผลิต ปี 2545/2546 มาดำเนินการปรับปรุงผลตอบแทนการผลิต ฯ ขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิต ปี 2544/2545 เพื่อเป็นการรักษาเจตนารมณ์ดั้งเดิมของกฎหมาย ซึ่งในการกำหนดราคาขั้นต้น ของฤดูการผลิตปี 2545/2546 ทั้งฝ่ายชาวไร่อ้อยและโรงงานเห็นชอบให้ปรับปรุงวิธีการกำหนดราคาขั้นต้นให้ เป็นไปตามหลักการของระบบ 70/30 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับการกำหนดราคาขั้นต้นของฤดูการผลิต ปี 2544/2545 และผลจากการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้กองทุนจ่ายเงินชดเชยให้แก่โรงงานจากผลตอบแทน การผลิต ฯ ขั้นสุดท้ายต่ำกว่าขั้นต้นเหลือเพียง 2 เขต รวมเป็นเงิน 73.45 ล้านบาท โดยไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย เกินกว่าความเป็นจริงรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 343.66 ล้านบาท |
|||||||||||||||
| 4099 | กระทู้ถามที่ 1002 ร. เรื่อง ขอให้จัดงบประมาณให้องค์การบริหารส่วนตำบลหรือองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทคอนกรีตบริเวณตลาดปลา อำเภอชัยบาดาล และอำเภอท่าหลวง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว | สผ | 04/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1002 ร.
เรื่อง ขอให้จัดงบประมาณให้องค์การบริหารส่วนตำบลหรือองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทคอนกรีตบริเวณตลาด ปลา อำเภอชัยบาดาล และอำเภอท่าหลวง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ตลาดปลา ท่ามะกอก ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี มีลักษณะการก่อสร้างเป็นแผงหลังคาสูง 3 เมตร กว้าง 7 เมตร ยาว 150 เมตร แบ่งเป็นแผงจำนวน 120 แผง ปัจจุบันตลาดดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของ องค์การบริหารส่วนตำบลชัยบาดาล ซึ่งได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาตลาดปลาท่ามะกอก โดยมีโครงการ ก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดผิวการจราจรกว้าง 7.00 เมตร ยาว 40.00 เมตร หนา 0.10 เมตร ใช้งบ ประมาณในการก่อสร้างจำนวน 85,000บาท สำหรับในส่วนที่เหลือนั้น องค์การบริหารส่วนตำบลชัยบาดาลจะ ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จต่อไป |
|||||||||||||||
| 4100 | กระทู้ถามที่ 1122 ร. เรื่อง ขอให้ส่งเสริมการเลี้ยงแกะ | สผ | 04/11/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1122 ร. เรื่อง
ขอให้ส่งเสริมการเลี้ยงแกะ ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราช กิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายที่จะ ส่งเสริมการเลี้ยงแกะ ทั้งแกะพันธุ์เนื้อ แกะพื้นเมืองไทย โดยได้ทำการปรับปรุงพันธุ์ให้เหมาะสมและให้ได้ผลผลิตที่ ดี ส่วนแกะพันธุ์ขน กรมปศุสัตว์ได้ทำการวิจัยและส่งเสริมการเลี้ยงอยู่แล้วในจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศเหมาะสมแก่การเลี้ยงแกะพันธุ์ขน อย่างไรก็ตามตลาดของแกะเป็นตลาดขนาดเล็ก เพราะมี ผู้เลี้ยงปริมาณน้อย จึงต้องติดต่อหาตลาดเอง หรือในรายที่มีการซื้อขายกันเป็นประจำจะมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อ หน้าฟาร์ม สำหรับการส่งเสริมการเลี้ยงแกะให้แพร่หลายในจังหวัดลพบุรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยปศุสัตว์ ยังไม่มีการส่งเสริมให้เลี้ยงแกะเนื้อในจังหวัดลพบุรี เนื่องจากการเลี้ยงแกะยังไม่น่าจะทำเป็นอาชีพหลักอย่างเดียว ได้ หากเกษตรกรในจังหวัดลพบุรีต้องการเลี้ยงแกะเนื้อ ก็สามารถเลี้ยงได้ เนื่องจากมีพืชอาหารใบไม้สมบูรณ์และ ใกล้ตลาดผู้บริโภค โดยเกษตรกรที่สนใจการเลี้ยงแกะ สามารถขอรับเอกสารคำแนะนำการเลี้ยงได้ที่กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ |
|||||||||||||||
.....
