ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 208 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 4141 - 4160 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 4141 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้าง | ตผ | 16/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับ
การจัดทำแผนปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้าง จำนวน 3 มติ ดังนี้ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2536 เรื่อง มาตรการปรับปรุงระบบข้อมูลเพื่อการตรวจสอบการบริหารงบประมาณของส่วนราชการ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน ที่ 5 ตุลาคม 2536 เรื่อง รายงานผลการติดตามแผนปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้าง และผลการตรวจสอบการปฏิบัติ งานตามแผนของผู้ตรวจสอบภายใน และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2543 เรื่อง การทบทวนมติคณะ รัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ เนื่องจากสำนักงาน การตรวจเงินแผ่นดินได้ออกประกาศคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อง การจัดทำแผนปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2546 ลงวันที่ 29 มกราคม 2546 เพื่อให้หน่วยรับตรวจถือปฏิบัติในเรื่องนี้แล้ว |
|||||||||||||||
| 4142 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 10 | กค | 16/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ
คลังเอเปค ครั้งที่ 10 ซึ่งจัดขึ้น เมื่อวันที่ 4 - 5 กันยายน 2546 ณ จังหวัดภูเก็ต โดยสาระสำคัญของการประชุม ฯ ได้หารือเกี่ยวกับ "การเชื่อมโยงเศรษฐกิจแนวใหม่ จากเศรษฐกิจฐานรากสู่ระดับภูมิภาคและระดับสากล (Local /Regional Link, Global Reach : A New APEC Financial Cooperation)" ภายใต้หัวข้อการประชุม 3 หัวข้อย่อย ซึ่งได้แก่ (1) การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Grass - Roots and SME Development) ที่ประชุม ฯ ได้หารือถึงแนวทางในการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและวิสาหกิจ ขนาดจิ๋ว และได้ตกลงที่จะดำเนินงานร่วมกับรัฐมนตรี APEC SMEs อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การสนับสนุนการพัฒนา วิสาหกิจเหล่านี้ โดยเฉพาะในด้านการเสริมสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การปรับปรุงระบบศุลกากร การให้แรง จูงใจด้านภาษี การบริหารจัดการที่ดี และภาวะของความเป็นผู้ประกอบการ ในการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังเอเปคได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องกับการ พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (2) การพัฒนาตลาดพันธบัตรในภูมิภาค (Regional Bond Market Development) ที่ประชุม ฯ ได้หารือถึงแนวทางในการสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคที่ส่งเสริมระบบการเงินที่ มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ และได้ตกลงที่จะดำเนินการร่วมกันเพื่อพัฒนาตลาดพันธบัตรให้เป็นแหล่งระดม เงินทุนระยะยาวที่มีประสิทธิภาพทั้งในระดับเขตเศรษฐกิจและระดับภูมิภาค รวมทั้งรับทราบความคืบหน้ามาตร การริเริ่มของเอเปคที่จะสนับสนุนการพัฒนาตลาดการแปลงสินทรัพย์ เป็นหลักทรัพย์และตลาดค้ำประกันพันธ บัตร (APEC Policy Initiative on Development of Securitization and Credit Guarantee Markets) เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของตลาดพันธบัตรและความน่าเชื่อถือของพันธบัตรและสนับสนุนการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ใหม่ ๆ (New Financial Products) ซึ่งรวมถึงตราสารหนี้ในสกุลเงินท้องถิ่นระยะยาว ตราสารอนุพันธ์ และหลัก ทรัพย์ที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง และ (3) ผลกระทบของการจัดตั้งเขตการค้าเสรีที่มีต่อระบบเศรษฐกิจด้านการ เงินและการคลัง (Fiscal and Financial Aspects of Regional Trade Arrangements) ที่ประชุม ฯ รับทราบ ความคืบหน้าของการสนับสนุนการค้าและการลงทุนที่เสรีและเปิดกว้างมากขึ้น โดยผ่านข้อตกลงทางการค้าภูมิ ภาค(Regional Trade Arrangements : RTA) ระหว่างสมาชิกเอเปคและผ่านระบบการค้าพหุภาคีที่เกิดขึ้นในช่วง ระยะเวลา 2 - 3 ปีที่ผ่านมา โดยให้การสนับสนุนการประสานความร่วมมือกันในการจัดทำข้อตกลงการค้าภูมิ ภาคที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโบกอร์และลดต้นทุน ซึ่งเกิดจากข้อตกลงทางการค้าที่หลากหลาย ทั้งนี้ ที่ประชุม ฯ ได้เห็นชอบที่จะร่วมมือกันในการสร้างความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันของระบบอัตรา ศุลกากรกฎหมายว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า และพิธีการศุลกากร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความบิดเบือน และในระหว่างการประชุม ฯ ครั้งนี้ ได้มีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ คลังเอเปค (Ministerial Retreat) ซึ่งมีการหารือเรื่อง การป้องกันธุรกรรมทางการเงินของผู้ก่อการร้าย และ การพัฒนาตลาดพันธบัตรในภูมิภาค นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคได้หารือร่วมกับกลุ่ม นักการเงินการธนาคาร สภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค และผู้แทนจากสภาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิ ภาคเอเชียแปซิฟิก เกี่ยวกับแนวทางในการสร้างความแข็งแกร่งของระบบการเงิน และการสนับสนุนความร่วม มือทางการเงินในภูมิภาค และการจัดประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 11 ที่เมืองซานดิ อาโก ชิลี ในระหว่างวันที่ 2-3 กันยายน 2547 |
|||||||||||||||
| 4143 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการโครงการกรุงเทพมหานคร เมืองสีเขียว สะอาดสดใส | นร | 16/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานความคืบหน้าการดำเนินการ
โครงการกรุงเทพมหานคร เมืองสีเขียว สะอาดสดใส ของกรุงเทพมหานคร สรุปได้ดังนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มี มติมอบหมายให้กรุงเทพมหานครพิจารณากำหนดแนวทางและแผนการดำเนินการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ และ เส้นทางจราจรต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางที่ผู้เข้าร่วมประชุมเอเปค ครั้งที่ 11 จะใช้ เดินทางผ่านเป็นประจำให้มีสภาพเขียวชอุ่ม สะอาด เรียบร้อย และสวยงาม โดยเร่งด่วน นั้น บัดนี้ กรุงเทพ มหานครได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ซึ่งผลการดำเนินการ ณ วันที่ 1 กันยายน 2546 ประกอบด้วย (1) การพัฒนาสภาพภูมิทัศน์และพื้นที่สีเขียวของเมือง ได้แก่ การปรับปรุงภูมิ ทัศน์เกาะรัตนโกสินทร์ชั้นใน ตกแต่งเมืองด้วยน้ำพุ 20 จุด ตกแต่งเมืองด้วยไม้ดอกไม้ประดับ ตกแต่งไม้ดอก ไม้ประดับบริเวณทางด่วนยกระดับ การปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนสายหลักสายรองในพื้นที่ 50 เขต โดยเฉพาะเส้น ทางที่เกี่ยวข้องกับการประชุม ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนสายหลักเข้าเมือง ปรับปรุงภูมิทัศน์สถานที่สำคัญ ตกแต่ง เมืองด้วยประติมากรรม และปรับปรุงภูมิทัศน์ที่ว่างของรัฐ เอกชน และบริเวณทางแยกต่างระดับ (2) การรักษา ความสะอาดและจัดระเบียบเมือง ได้แก่ การรักษาความสะอาด การปรับปรุงไฟฟ้าส่องสว่าง และการปรับปรุง ทางเท้าผิวจราจร (3) การพัฒนาเมืองและการฟื้นฟูเมือง ได้แก่ การปรับปรุงอาคารที่มีคุณค่า (4) การรักษา ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเมือง ได้แก่ การจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยให้มีร่มกันแดด เพื่อให้เกิดความเป็น ระเบียบเรียบร้อยดูสะอาดและสวยงาม และ (5) การสุขาภิบาลของอาหารของผู้ประกอบการร้านจำหน่าย อาหาร ได้แก่ การจัดหารถเข็นอาหารริมบาทวิถี จำนวน 666 คัน ในพื้นที่ 10 เขต |
|||||||||||||||
| 4144 | รายงานความคืบหน้าในการเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC ในปี 2546 | นร | 16/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานความคืบหน้าในการเตรียม
การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC ในปี พ.ศ. 2546 ในภาพรวมทั้งการเตรียมการด้านการจัดประชุม การเตรียม การด้านการรักษาความปลอดภัยและการจราจร และการเตรียมการด้านสารัตถะ โดยในส่วนของการเตรียมการ ด้านการจัดประชุม กิจกรรมที่ดำเนินการ ได้แก่ การก่อสร้างและปรับปรุงสถานที่จัดประชุม การจัดงานเลี้ยง อาหารค่ำและการแสดงทางวัฒนธรรม การจัดตั้ง Call Center ซึ่งเป็นศูนย์กลางข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทย ทั้งทาง ด้านการประชุม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว โดยจะจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และให้ บริการระหว่างวันที่ 12-21 ตุลาคม 2546 และการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ของกรุงเทพมหานคร ส่วนการเตรียม การด้านการรักษาความปลอดภัยและการจราจร กิจกรรมที่ดำเนินการ ได้แก่ การรักษาความปลอดภัยสถานที่จัด การประชุม สถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ และที่พักของผู้มาประชุม การรักษาความปลอดภัยและความพร้อมเกี่ยวกับ สถานที่จอดเครื่องบินและการเดินทางเข้า-ออก การดำเนินงานด้านการข่าว การเตรียมการความพร้อมของศูนย์ สนับสนุนด้านการจราจรและการป้องกันภัยต่าง ๆ และในส่วนของการเตรียมการด้านสารัตถะ ได้มีการเตรียม การยกร่างปฏิญญาผู้นำโดยฝ่ายไทยจะเป็นผู้ยกร่างปฏิญญาผู้นำความยาวไม่เกิน 3 หน้า โดยเน้น3 หัวข้อ คือ (1) การค้าและเศรษฐกิจ การประเมินผลการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกที่เมืองแคนคูน และการมุ่งสู่เป้า หมายโบกอร์ (2) ความมั่นคงและการต่อต้านการก่อการร้าย และ (3) การปฏิรูปเอเปค |
|||||||||||||||
| 4145 | การไฟฟ้านครหลวงขอความเห็นชอบในการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมสวัสดิการของพนักงาน | รง | 16/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติเห็นชอบ
เกี่ยวกับการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมสวัสดิการของพนักงานการไฟฟ้านครหลวงประเภทเงินกู้ยืมเพื่อความ จำเป็นและกู้ยืมเพื่อนำไปวางมัดจำ หรือชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินพร้อมบ้านอยู่อาศัยงวดแรก จากอัตราคงที่ร้อยละ 6 และ 8 ตามลำดับ เป็น อัตราลอยตัว เท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ประเภทฝากประจำ 12 เดือน บวกค่าดำเนินการร้อยละ 1 (ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 1.5+1 = 2.5) ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และเห็นชอบตาม ที่กระทรวงการคลังเสนอหลักเกณฑ์ให้รัฐวิสาหกิจ นำเงินจากงบทำการไปให้พนักงานกู้ยืมเพื่อเป็นสวัสดิการ โดย ถือปฏิบัติในแนวเดียวกัน โดยในส่วนของ รัฐวิสาหกิจประเภทสถาบันการเงินคิดอัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่าต้นทุนเฉลี่ยของแหล่งเงินทุนของธนาคาร สำหรับกรณี ของรัฐวิสาหกิจทั่วไปคิดอัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)สำหรับ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ประเภทฝากประจำ 12 เดือน บวกค่าดำเนิน การตามอัตราที่คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ พิจารณากำหนด โดยคำนึงถึงฐานะการเงินและต้นทุนโครงการของ รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง |
|||||||||||||||
| 4146 | การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ | นร | 16/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในการบังคับใช้กฎหมายและการปฏิบัติราชการ
ให้เป็นไปตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี นโยบายของกระทรวง หรือนโยบายของหน่วยงาน หากกระทรวงหรือส่วน ราชการ หรือหน่วยงานของรัฐใด เห็นว่า มีกฎหมาย กฎ หรือระเบียบฉบับใด ไม่ว่าจะอยู่ในความรับผิดชอบของ กระทรวง หรือหน่วยงานใดก็ตาม เป็นปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติราชการ เช่น กฎหมายที่หมดสภาพบังคับใช้ กฎหมายที่ไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งกฎหมายที่เป็นปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติราชการโดยตรง หรือทำให้การปฏิบัติราชการไม่สะดวก หรือขาดความคล่องตัวเท่าที่ควร หรือสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น หรือสร้าง ภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร เป็นต้น ให้เสนอไปยังรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อยกเลิก หรือพิจารณาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขต่อไป สำหรับกฎหมาย กฎ หรือระเบียบ ที่กระทรวงหรือส่วนราชการ ต่าง ๆ เป็นผู้รักษาการหรือรับผิดชอบอยู่ และไม่มีลักษณะดังกล่าว ให้กำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติให้ดำเนินการไปตาม ที่กฎหมายบัญญัติหรือกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยต้องไม่ละเลยหรือปล่อยให้มีการละเมิดกฎหมายอีกต่อไป
|
|||||||||||||||
| 4147 | การปรับปรุงระเบียบพิธีการเข้าเมืองเพื่อสนับสนุนผู้ถือบัตรสมาชิกพิเศษ Thailand Elite | กก | 16/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอเพิ่มเติมว่า กระทรวง
การท่องเที่ยวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ขอแก้ไขข้อความเกี่ยวกับพิธีการตรวจคนเข้าเมืองตามหนัง สือกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ กก 5201/1777 ลงวันที่ 3 กันยายน 2546 เป็น ดังนี้ 1. คนต่างด้าวที่เป็นสมาชิกบัตรเอกสิทธิพิเศษ Thailand Elite จะได้รับสิทธิพิเศษในการเดินทางเข้ามาใน ราชอาณาจักร โดยได้รับการอนุญาตเข้าราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (special entry visa) จากสถานทูต สถาน กงสุลกระทรวงการต่างประเทศ หรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองใช้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรภายในกำหนด เวลา 5 ปีโดยยกเว้นค่าธรรมเนียม 2. การอนุญาตให้ผู้ถือบัตรอยู่ในราชอาณาจักรให้อนุญาตครั้งละ 90 วันทุกครั้งที่เดินทางเข้ามา (multiple entry) และหากมีความประสงค์อยู่ต่อในราชอาณาจักรให้อนุญาตครั้งละ 90 วัน โดยให้ยื่นคำขอในประเทศไทยได้ และให้ชำระค่าธรรมเนียมด้วย และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการดำเนินการด้วยว่าการ กำหนดคุณสมบัติ รวมทั้งการคัดเลือกบุคคลที่จะสมัครเป็นสมาชิกบัตรเอกสิทธิ์พิเศษดังกล่าวให้คำนึงถึงปัจจัยด้าน ความมั่นคงปลอดภัย และกลุ่มบุคคลต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร (black list) ด้วย |
|||||||||||||||
| 4148 | การตรวจพิจารณาร่างกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา | นร | 16/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การตรวจพิจารณาร่างกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
โดยเห็นว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีนโยบายที่จะปฏิรูปกฎหมาย โดยเร่งดำเนินการปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ ที่ล้าสมัยให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในปัจจุบัน และยืดหยุ่นต่อ สถานการณ์ในอนาคต โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปยกร่างกฎหมาย หรือตรวจพิจารณาร่าง กฎหมายที่ส่วนราชการเสนอ รวมทั้งส่งประเด็นข้อกฎหมายไปเพื่อให้เสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณา ของคณะรัฐมนตรีเป็นจำนวนมากเป็นภาระหนักสำหรับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ประกอบกับนโยบาย สำคัญของรัฐบาล ตลอดจนการพัฒนาระบบราชการและรัฐวิสาหกิจจำเป็นต้องใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการ ขับเคลื่อน โดยต้องดำเนินการเป็นการเร่งด่วน ในขณะที่อัตรากำลังของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายังไม่ พอเพียง จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปพิจารณาดูแลแก้ไขปัญหาดังกล่าว หาก จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนในลักษณะใดให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||
| 4149 | กระทู้ถามที่ 455 ร. เรื่อง มาตรการเตรียมการป้องกันภัยทางอากาศ หลุมหลบภัย การพรางไฟและสถานที่ตั้งของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจที่สำคัญ | สผ | 16/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 455 ร.
เรื่อง มาตรการเตรียมการป้องกันภัยทางอากาศ หลุมหลบภัย การพรางไฟและสถานที่ตั้งของหน่วยราชการ และรัฐวิสาหกิจที่สำคัญ ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า จากสถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน ประเทศ ต่าง ๆ ยังมีการแสวงหาและสะสมอาวุธเพื่อใช้ในการทหาร มีการปรับปรุงและพัฒนาสมรรถนะกำลังรบทุก ด้านไม่ว่าทางบก ทางน้ำ และทางอากาศซึ่งมีการนำอากาศยานที่มีขีดความสามารถสูงมาประจำการเพื่อ ใช้ในการโจมตีทางอากาศ จึงมีความจำเป็นต้องมีการเตรียมการและการปฏิบัติการทุกอย่างเพื่อป้องกันและ บรรเทาภัยทางอากาศให้พร้อมเสมอ ซึ่งรัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทา สาธารณภัยจัดเตรียมแผนรองรับการป้องกันและบรรเทาภัยทางอากาศ รวมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติใน การป้องกันและบรรเทาภัยทางอากาศในส่วนของการเตรียมการล่วงหน้าก่อนเกิดภัย และการปฏิบัติเมื่อเกิด ภัย ส่วนการดำเนินการของหน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ กองอำนวยการประกันภัยฝ่ายพลเรือนแห่งราช อาณาจักร มีหน้าที่ในการสั่งการอำนวยการควบคุมกำกับดูแล และแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินการและการ ปฏิบัติงานในการป้องกันและบรรเทาภัยทางอากาศของประเทศ การประสานงานกับส่วนราชการและหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง และการดำเนินการอื่น ๆ ที่จำเป็นแก่การป้องกันและบรรเทาภัยทางอากาศ และกองอำนวย การป้องกันฝ่ายพลเรือน จังหวัดและเขตท้องที่ มีหน้าที่สั่งการ อำนวยการ ควบคุม กำกับดูแล และแนะนำ การดำเนินการและการปฏิบัติงานในการป้องกันและบรรเทาภัยทางอากาศในเขตท้องที่ ตลอดจนประสาน กับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการอื่น ๆ ที่จำเป็นแก่การป้องกันและบรรเทาภัยทาง อากาศ ได้แก่ การประชาสัมพันธ์ การเตรียมพร้อมด้านการสื่อสาร การเตรียมพร้อมด้านบุคลากรและ กำลังสนับสนุน การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดภัย รวมไปถึงการป้องกันและช่วยเหลือผู้ประสบภัย |
|||||||||||||||
| 4150 | กระทู้ถามที่ 1118 ร. เรื่อง การสร้างเขื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบบถาวร | สผ | 16/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1118 ร.
เรื่องการสร้างเขื่อนเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งแบบถาวร ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลได้มีโครงการ จัดทำแผนรวมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสักเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาพรวม ของลุ่มน้ำป่าสัก ในส่วนของโครงการสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก และขนาดกลาง ตามคลองต่าง ๆ ได้แก่ คลองห้วยหวาย อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ คลองซับลังกา สภาพพื้นที่ไม่มีความเหมาะสมที่จะก่อสร้างโครงการพัฒนาแหล่งน้ำได้ คลองลำห้วยเสา ได้ ดำเนินการก่อสร้างเป็นโครงการชลประทานขนาดเล็กในปีงบประมาณ พ.ศ. 2538 แล้วคือ โครงการปรับปรุง คลองท่าเสา พร้อมอาคารประกอบ ตำบลเพชรละคร อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนคลองห้วยยาง อยู่ ระหว่างศึกษาความเหมาะสมของโครงการ สำหรับการดำเนินการก่อสร้างโครงการชลประทานขนาดกลาง ใน บริเวณลุ่มน้ำป่าสัก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานได้วางแผนและดำเนินการก่อสร้างโครง การดังกล่าว จำนวน 17 โครงการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างกำลังก่อสร้าง สำรวจออกแบบ ก่อสร้างระบบส่งน้ำ ศึกษาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งศึกษาความเหมาะสมของโครงการ และในปัจจุบันสำนักชลประทานที่ 10 รับผิดชอบ พื้นที่ในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดลพบุรี และจังหวัดสระบุรี รวมทั้งพื้นที่บริเวณฝั่งตะวันออกหรือฝั่งซ้ายของ แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งตามกฎกระทรวงการแบ่งส่วนราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2545 สำนักชล ประทานที่ 10 เป็นหน่วยงานหนึ่งของกรมชลประทานรับผิดชอบพื้นที่ในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา |
|||||||||||||||
| 4151 | กระทู้ถามที่ 1146 ร. เรื่อง การใช้แรงงานเด็กและเยาวชนในกรุงเทพมหานคร | สผ | 16/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1146 ร. เรื่อง
การใช้แรงงานเด็กและเยาวชนในกรุงเทพมหานคร ของนายศิริ หวังบุญเกิด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพ มหานคร และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลได้มีมาตรการ ช่วยเหลือแรงงานเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร โดยการปรับปรุงกฎหมายด้านการคุ้มครองแรงงานเด็กเป็น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพื่อให้แรงงานเด็กได้รับสิทธิประโยชน์และการคุ้มครองมากขึ้น รวม ทั้งอาศัยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 โดยออกพระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้ตั้งแต่วัน ที่ 1 เมษายน 2545 กำหนดให้นายจ้างต้องแจ้งการจ้างลูกจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ต่อพนักงานตรวจแรงงาน ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่รับเด็กเข้าทำงาน เร่งรัดการตรวจการใช้แรงงานเด็ก นอกจาก นี้ ได้มีการบริการ โทรศัพท์สายด่วนหมายเลข 1546 และตู้ ปณ. 47 ดินแดง กทม. 10407 เพื่อรับแจ้งเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้ แรงงานเด็กอย่างไม่เป็นธรรม สำหรับการป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานครเข้าสู่ตลาดแรงงานก่อน วัยอันสมควร ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการได้ส่งเสริมด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยจัดบริการปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นให้แก่เด็กด้อยโอกาสทุกคน รวมถึงเด็กที่อยู่ในสถานประกอบการหรือแรงงาน เด็กด้วย รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้ครูนักเรียนในสถานศึกษาทุกระดับ มี ความรู้ ความเข้าใจเรื่องแรงงานเด็ก ด้วย ฯลฯ สำหรับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้ให้การ สงเคราะห์เด็กในสถานสงเคราะห์ตั้งแต่แรกเกิดถึง 18 ปี นอกจากนี้ ยังได้ให้การช่วยเหลือสงเคราะห์เด็กในครอบ ครัวยากจน และสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและไร้ที่พึ่งที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน ทั้งนี้ กระทรวงแรง งาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางสื่อต่าง ๆ ทั้งทางวิทยุโทร ทัศน์และหนังสือพิมพ์ ให้แก่นายจ้างลูกจ้าง ประชาชนทั่วไปและสื่อมวลชน เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการ ใช้แรงงานเด็กที่ถูกต้องและช่วยกันสอดส่องดูแลแจ้งเบาะแสเมื่อพบการใช้แรงงานเด็กที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายโดย วิธีต่าง ๆ เช่น จัดทำเอกสาร แผ่นพับ ฯลฯ |
|||||||||||||||
| 4152 | กระทู้ถามที่ 1191 ร. เรื่อง การจัดตั้งสถานีวิทยุ AM,FM และสถานีโทรทัศน์ในจังหวัดลพบุรี | สผ | 16/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1191
ร. เรื่อง การจัดตั้งสถานีวิทยุ AM, FM และสถานีโทรทัศน์ในจังหวัดลพบุรี ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุป ได้ว่า ขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีนโยบายที่จะดำเนินการจัดตั้งสถานีวิทยุ AM, FM และสถานีวิทยุโทรทัศน์ที่จังหวัด ลพบุรี เนื่องจากเขตบริการของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดชัยนาท สามารถที่จะส่ง สัญญาณวิทยุกระจายเสียงครอบคลุมพื้นที่จังหวัดลพบุรีได้เกือบทั้งหมดอยู่แล้ว และในส่วนของสถานีวิทยุ โทรทัศน์กรมประชาสัมพันธ์ได้ดำเนินการจัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ที่จังหวัดสิงห์บุรี ตามโครงการปรับปรุง ประสิทธิภาพการส่งวิทยุโทรทัศน์ทั่วประเทศ (โครงการเงินกู้ SAL) ซึ่งสามารถส่งสัญญาณแพร่ภาพออก อากาศครอบคลุมไปยังพื้นที่จังหวัดลพบุรีได้เกือบทั้งหมด และในอนาคตกรมประชาสัมพันธ์จะได้พิจารณา ดำเนินการจัดตั้งสถานีเครื่องส่งวิทยุโทรทัศน์เสริมจุดบอดที่อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรีเพิ่มเติม ตาม แผนความถี่วิทยุโทรทัศน์ของประเทศ พ.ศ. 2539 ซึ่งจะทำให้เขตบริการสถานีวิทยุโทรทัศน์ของกรมประชา สัมพันธ์ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดลพบุรีได้ทั้งหมด ทั้งนี้ ในส่วนความรับผิดชอบของกรมประชาสัมพันธ์เกี่ยว กับการจัดตั้งสถานี ฯ ดังกล่าวยังไม่มีโครงการที่จะดำเนินการแต่อย่างใดและยังมิได้มีการจัดทำงบประมาณ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547-2548 แต่ประการใด |
|||||||||||||||
| 4153 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดให้เตาเผาศพเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ ที่จะต้องถูกควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม และร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานค่าความทึบแสงของเขม่าควันจากปล่องเตาเผาศพ รวม 2 ฉบับ | นร | 09/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอร่างประกาศกระทรวงทรัพยา
กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดให้เตาเผาศพเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่จะต้องถูกควบคุมการปล่อยทิ้ง อากาศเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม และร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตร ฐานค่าความทึบแสงของเขม่าควันจากปล่องเตาเผาศพ รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ พิจารณาแล้ว และดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างประกาศ ฯ ทั้ง 2 ฉบับ เป็นการแก้ไขชื่อร่างประ กาศ ฯ ทั้ง 2 ฉบับ จากเดิมเป็น ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับ การปรับปรุงภาระหน้าที่ของกระทรวง ทบวง กรม ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ตัดนิยามคำว่า "เตาเผาศพ" ของร่างประกาศ ฯ ทั้ง 2 ฉบับออก เนื่องจากเตาเผาศพที่ประสงค์จะควบคุมตาม ร่างประกาศ ฯ ทั้ง 2 ฉบับนี้ มิได้มีความหมายแตกต่างไปจากความหมายที่ใช้อยู่ทั่วไป กับแก้ไขเขตพื้นที่ที่ใช้บังคับ ในร่างประกาศฉบับแรก ในส่วนที่ให้ใช้บังคับในเทศบาลทุกแห่ง เป็นให้ใช้บังคับในเขตเทศบาลเมือง และเขตเทศ บาลนคร เนื่องจากเทศบาลตำบลยังไม่มีความพร้อมที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดในร่างประกาศ ฯ นี้ และให้ตัดภาค ผนวกท้ายร่างประกาศฉบับที่สองออก เนื่องจากเห็นว่า วิธีการตรวจวัด คำนวณ เปรียบเทียบ และสรุปผลการ ตรวจวัดค่าความทึบแสง แบบเอกสารที่ใช้บันทึก และสรุปผลการตรวจวัดค่าความทึบแสง รวมทั้งลักษณะและ หน่วยวัดค่าความทึบแสงของแผนภูมิเขม่าควันของริงเกิลมานน์ เป็นเรื่องรายละเอียดที่ต้องแก้ไขให้เหมาะสมกับ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอยู่เสมอ จึงควรให้กรมควบคุมมลพิษกำหนดรายละเอียดเหล่านี้โดยประกาศในราชกิจจา นุเบกษา |
|||||||||||||||
| 4154 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. 2546) ออกตามความในพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ว่าด้วยอัตราค่าธรรมเนียมและการลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียม | พณ | 09/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. 2546)
ออกตามความในพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ว่าด้วยอัตราค่าธรรมเนียมและการลดหรือยกเว้นค่าธรรม เนียม (ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 23 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 และกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร รวมทั้งกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิลดหรือ ยกเว้นค่าธรรมเนียมหรือสิทธิบัตร) และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ทั้งนี้ ให้รับข้อ สังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสำนักเลขา ธิการคณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า การปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียม โดยลดและยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับสิทธิ บัตรและอนุสิทธิบัตรตามร่างกฎกระทรวงนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์นำสิ่งประดิษฐ์ หรือแบบผลิตภัณฑ์ของตนมาขอรับสิทธิบัตรมากขึ้น ดังนั้น เมื่อใช้บังคับไปได้ระยะเวลาหนึ่ง อัตราค่าธรรมเนียม ที่กำหนดอาจไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป จึงสมควรพิจารณาว่า หากจะนำแนวทางเกี่ยวกับ การกำหนดระยะเวลาการใช้บังคับกฎหมายมาใช้กับร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ เพื่อให้กฎหมายมีความเหมาะสมกับ สภาพการณ์ และสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2546 ที่เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรี เสนอว่าเพื่อให้กฎหมายที่บัญญัติขึ้นมีความทันสมัย สามารถใช้บังคับได้อย่างเหมาะสมกับสภาวการณ์ และเพื่อ ให้มีการพิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎหมายอยู่เสมอ ในการเสนอร่างกฎหมายในโอกาสต่อไป ควรพิจารณา กำหนดระยะเวลาการใช้บังคับกฎหมายฉบับนั้น ๆ ให้แน่นอน เช่น ให้มีผลใช้บังคับ 5 ปี หรือ 8 ปี เป็นต้น แล้ว ให้กฎหมายดังกล่าวสิ้นผลไปเมื่อกฎหมายใช้บังคับไปแล้วระยะหนึ่ง ส่วนราชการก็จะต้องพิจารณา หากจะให้ กฎหมายนั้นใช้บังคับต่อไปเมื่อพ้นกำหนดเวลา ส่วนราชการที่รับผิดชอบต้องเสนอร่างกฎหมายใหม่ และอาจ พิจารณาปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในขณะนั้นไปในคราวเดียวกันด้วย |
|||||||||||||||
| 4155 | การปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการในระยะต่อไป | นร | 09/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอว่า การปรับปรุงโครงสร้าง
ส่วนราชการ ในส่วนของการจัดโครงสร้างและการแบ่งอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของบางหน่วยงานในการปฏิบัติ งานจริงยังมีความซ้ำซ้อน และขาดความเชื่อมโยงระหว่างกันอยู่บ้าง อีกทั้งในขณะดำเนินการเรื่องนี้เมื่อปีก่อน (2545) ยังขาดความเชื่อมโยงกับกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ และกฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ แก่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญคนละส่วนกันกับการปฏิรูประบบราชการ สมควรที่ จะดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างของส่วนราชการในส่วนนี้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในขณะนี้ได้มอบให้สำนักงานคณะกรรม การพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) รับไปพิจารณาดำเนินการแล้วโดยในชั้นนี้เป็นเพียงการศึกษาปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งแนวทางการแก้ปัญหากว้าง ๆ เท่านั้นว่า จะต้องใช้มาตรการทางบริหารหรือนิติบัญญัติ ซึ่งเมื่อ ก.พ.ร. ดำเนิน การเสร็จแล้ว จะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการดำเนิน การของ ก.พ.ร. ด้วย ดังนี้ การปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการที่ได้ดำเนินการและประกาศใช้พระราชบัญญัติปรับ ปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ไปแล้วนั้น นับเป็นการดำเนินการในระยะแรก หาก ก.พ.ร. ได้พิจารณา ประกอบข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว เห็นสมควรปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างประการใดเพื่อให้เกิดความเหมาะสม สมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพสูงสุดของระบบราชการก็ให้ดำเนินการได้ สำหรับกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นกระทรวง ใหญ่แต่มีหน่วยงานและกลไกซึ่งสามารถเชื่อมโยงการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ จากส่วนกลางลงสู่พื้นที่ได้สัม ฤทธิ์ผลอย่างรวดเร็ว เช่น นโยบายปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น ดังนั้น หากจำเป็นจะต้องปรับโครงสร้างของ กระทรวงมหาดไทยให้กะทัดรัดและเข้มแข็งก็ควรต้องให้คงความสามารถในการเชื่อมโยงการดำเนินการตามนโยบาย ไว้ และควรปรับปรุงให้กระทรวงมหาดไทยสามารถดำเนินการตามภารกิจในด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยได้ อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ อาจจะต้องพิจารณาปรับปรุงอำนาจหน้าที่บางประการ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้ชัดเจนเหมาะสม เพื่อให้สามารถดำเนินการด้านต่าง ๆ ได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย |
|||||||||||||||
| 4156 | รายงานความคืบหน้าในการแปรรูปการประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 09/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานความคืบหน้าในการแปรรูปการประปา
นครหลวง (กปน.) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สรุปได้ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการปรับ แผนการนำรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนและกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยให้ กปน. เข้าจด ทะเบียนภายในครึ่งปีหลังของปี พ.ศ. 2546 และ กปภ. ภายในครึ่งปีหลังของปี พ.ศ. 2547 นั้น ความคืบหน้า ในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งสองแห่ง โดยในส่วนของ กปน. คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ (กนท.) ใน คราวประชุมเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2546 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการและแนวทางการแปรรูปตามที่กระทรวง มหาดไทยเสนอ โดยให้แปลงสภาพ กปน. ทั้งองค์กรเป็นบริษัท โดยดำเนินการตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาห กิจ พ.ศ. 2542 ซึ่งระยะเวลาในการดำเนินการแปลงสภาพองค์กรนับจากวันที่ได้รับอนุมัติในหลักการจากคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2546 จนกระทั่งจัดตั้งบริษัทแล้วเสร็จจะใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน ซึ่งคาด ว่าจะแล้วเสร็จทันภายในปี พ.ศ. 2546 ส่วนขั้นตอนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทยจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2547 นอกจากนี้ กนท. ได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งองค์กรกำกับดูแลบริษัทประปา นครหลวงเป็นการชั่วคราว รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการต่อไป สำหรับ กปภ. ได้ดำเนินการเพื่อรองรับการแปรรูปโดยเตรียมความพร้อมในด้านการบริหารกิจการภายใน แยก เป็น (1) ดำเนินการแล้วเสร็จ ได้แก่ การปรับปรุงโครงสร้างองค์กร การจัดทำแผนธุรกิจ และการจัดตั้งกอง ประสานงานการแปรรูป และ (2) อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ การติดตั้งระบบงานทางธุรกิจ ซึ่งคาดว่าจะ แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 และการจัดหาผู้ชำนาญการด้านการเงิน (Chief Finance Officer : CFO) ซึ่งอยู่ในช่วงการประกาศรับสมัคร ส่วนการจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาวิเคราะห์แนวทางในการแปรรูปกิจการ ประปาของ กปภ. ขณะนี้ได้จัดทำขอบเขตของงานและรวบรวมรายชื่อที่ปรึกษาจากกระทรวงการคลังเพื่อเชิญมา ยื่นข้อเสนอ ทั้งนี้ คาดว่า กปภ. จะแปลงสภาพตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 โดยจดทะเบียน เป็นบริษัทได้ในปลายปี พ.ศ. 2547 และจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ใน ช่วงปี พ.ศ. 2548 |
|||||||||||||||
| 4157 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2546 สำหรับจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ในการประชุมเอเปค 2003 | ตช | 09/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม (งบกลาง สศส./46) จำนวน 77,163,206 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาครุภัณฑ์สนับสนุนการปฏิบัติ ภารกิจการรักษาความปลอดภัยและการจราจรในการจัดประชุมเอเปค 2003 จำนวน 5 รายการ ทั้งนี้ ให้สำนัก งานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วยว่า การจัดหาครุภัณฑ์ ในรายการที่ 4 (เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ จำนวน 38 ชุด) นั้น อาจประสานกับกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อขอซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวภายใต้โครงการคอมพิวเตอร์เอื้อ อาทร ซึ่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำลังดำเนินการอยู่ และเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีคุณ ภาพสูงเพียงพอแก่การใช้งานได้ดี (high end) ก็จะทำให้ได้รับเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อย่างรวดเร็วทัน เวลาที่ต้องใช้และประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลงได้ตามสมควร |
|||||||||||||||
| 4158 | กระทู้ถามที่ 1031 ร. เรื่อง ขอให้กรมพัฒนาที่ดินเร่งดำเนินการบูรณะ ปรับปรุงพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรและอื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมให้แก่ราษฎรมีอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับราษฎร | สผ | 02/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1031 ร. เรื่อง
ขอให้กรมพัฒนาที่ดินเร่งดำเนินการบูรณะ ปรับปรุง พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรและอื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมให้แก่ราษฎรมีอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับราษฎร ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุป ได้ว่า (1) รัฐบาลมีนโยบายและแผนงานบูรณะ ปรับปรุง พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรและที่ดินให้กับ ราษฎรในภาพรวม โดยการบูรณะ ปรับปรุง และพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรในกรณีที่เป็นแหล่งน้ำขนาด เล็กทั้งโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และโครงการที่อยู่ในแผนงาน ซึ่งรัฐบาลได้ถ่ายโอนภารกิจให้กับองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบ พร้อมทั้งถ่ายโอนงบประมาณในการดำเนินการผ่านสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อ จัดสรรให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปดำเนินการตามที่ต้องการต่อไป สำหรับงานโครงการขนาดกลาง และ ขนาดใหญ่ที่ดำเนินการโดยหน่วยงานต่าง ๆ ได้มอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ ใน การพัฒนาที่ดินทำกินให้กับราษฎรได้มีการวางแผนการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ และจัดการที่ดินที่รกร้างว่าง เปล่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีแผนการพัฒนาและอนุรักษ์ทั้งดินและน้ำ ป้องกันการชะล้างและพังทลายของดิน ฯลฯ (2) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 กรมพัฒนาที่ดินได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการดำเนินการแผนงาน/โครง การพัฒนาแหล่งน้ำ เป็นจำนวน 10,275 แห่ง โดยเน้นการกระจายให้แก่ราษฎรอย่างทั่วถึงในพื้นที่ที่มีปัญหาการ ขาดแคลนน้ำ มีศักยภาพที่จะพัฒนาแหล่งน้ำ และเกษตรกรมีความพร้อมในการร่วมพัฒนากับภาครัฐ และพร้อมที่ จะบริหารจัดการการใช้ประโยชน์และบูรณะฟื้นฟูแหล่งน้ำที่สร้างขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การส่งเสริมพื้นที่ทำการ เกษตรและแหล่งน้ำ ประกอบด้วย แผนงาน/โครงการ 4 เรื่องหลัก ได้แก่ การก่อสร้างแหล่งน้ำขนาดเล็กเพื่อการ เกษตรกรรม การปรับปรุงพื้นที่และจัดทำระบบส่งน้ำในไร่นา การปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อเป็นแหล่งผลิต ชุมชน และการก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นาของเกษตรกร นอกจากนี้ ในช่วงปี พ.ศ. 2546 - 2549 ยังมีเป้าหมาย ในการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 15 ล้านไร่ พร้อมทั้งพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรอีกประมาณ 141,100 ไร่ |
|||||||||||||||
| 4159 | กระทู้ถามที่ 020 ร. เรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กับองค์การบริหารส่วนตำบล | สว | 02/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 120 ร. เรื่อง การปฏิบัติ
หน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านกับองค์การบริหารส่วนตำบล ของนายจำเจน จิตรธร สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสุโขทัย และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการ ปกครอง และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมีแนวทางในการดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของกำนัน ผู้ ใหญ่บ้านกับองค์การบริหารส่วนตำบล โดยได้ซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทอำนาจหน้าที่ของแต่ละฝ่ายที่ กฎหมายกำหนดไว้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติงานของแต่ละฝ่าย และเป็นการลดปัญหาความขัดแย้ง ที่อาจเกิดขึ้น กำหนดแนวทางการดำเนินการร่วมกัน และเมื่อถ่ายโอนภารกิจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพิ่มขึ้นแล้ว กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จะต้องลดบทบาทที่เคยได้รับมอบหมายในการทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือราชการ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จะเข้าไปมีบทบาทในการประสานงานเพื่อสนับสนุนการ ปฏิบัติงานขององค์การบริหารส่วนตำบล นั้น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการวางแผนพัฒนาองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2541 กำหนดให้กำนันในเขตพื้นที่ที่เป็นกรรมการพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นการเปิดโอกาสให้เสนอแนะในการวางแผนพัฒนาตำบล ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนได้อย่าง แท้จริง และได้แต่งตั้งคณะกรรมการปรับปรุงแก้ไขและกำหนดบทบาทหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านให้สอดคล้อง กับสถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีนโยบายและแผนที่จะปรับปรุงอำนาจหน้าที่ ตลอดจนบทบาทของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านกับองค์การบริหารส่วนตำบล โดยปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธ ศักราช 2457 รวมทั้งกำหนดแนวคิดในการออกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการบูรณาการการปฏิบัติ ระหว่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้านกับองค์การบริหารส่วนตำบล และกำหนดแนวคิดในการแก้ไขกฎหมายและระเบียบข้อ บังคับของกระทรวงมหาดไทย |
|||||||||||||||
| 4160 | การปรับปรุงคณะกรรมการโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง | ทส | 02/09/2546 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ประธานกรรมการทรัพยากรน้ำ
แห่งชาติเสนอเกี่ยวกับการปรับปรุงคณะกรรมการโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง โดยเปลี่ยนชื่อคณะกรรมการโครงการ พัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง เป็น คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม [(ผู้แทนไทยในคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) (Member of the MRC Council for Thailand)] เป็น ประธานกรรมการ และกรรมการอื่นอีก 22 คน โดยมีอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ [(ผู้แทนถาวรไทยสำรองในคณะกรรม การร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) (Alternate Member of the MRC joint Committee for Thailand)] เป็นกรรม การและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ ตัดสิน กำหนดแนวนโยบาย ท่าที และบทบาทของประเทศไทยที่เกี่ยวกับพันธ กรณี และโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ทำหน้าที่เป็น Thai National Mekong Committee Secretariat (TNMCS) ฯลฯ และให้กรมทรัพยากรน้ำ ทำหน้าที่เป็นสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย เป็นหน่วยงานกลาง ฝ่ายไทย (Focal Piont) ประสานงานกับสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขง คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติ ประเทศภาคี (ลาวกัมพูชา และเวียดนาม) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย ฯลฯ สำหรับองค์ประกอบคณะ ผู้แทนไทย ในคณะมนตรีและคณะกรรมการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนไทยในคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ปลัดกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนถาวรไทยในคณะกรรมการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และอธิบดีกรมทรัพยากร น้ำ ผู้แทนถาวรไทยสำรองในคณะกรรมการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
|
|||||||||||||||
.....
