ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 82 จากทั้งหมด 336 หน้า แสดงรายการที่ 1621 - 1640 จากข้อมูลทั้งหมด 6703 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1621 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์เกี่ยวกับการเจรจา RCEP ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 27 | พณ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์เกี่ยวกับการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Joint Declaration on the Launch of Negotiations for the Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) มีสาระสำคัญเป็นการประกาศความคืบหน้าการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค และการขยายระยะเวลาการเจรจาให้สรุปผลการเจรจาภายในปี ๒๕๕๙ แทนเป้าหมายเดิมที่ผู้นำได้กำหนดให้สรุปผลการเจรจาภายในปี ๒๕๕๘ ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมในการแถลงการณ์ฯ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรเร่งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาการแลกเปลี่ยนข้อเรียกร้อง ข้อเสนอการเปิดตลาดการค้าบริการและการลงทุน ข้อบท และประเด็นทางเทคนิคอื่น ๆ ในส่วนที่เหลือ เพื่อให้เป้าหมายในการขยายระยะเวลาการเจรจาให้สรุปผลการเจรจาภายในปี ๒๕๕๙ บรรลุผลตามที่วางไว้ และเพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการผลักดันและให้ความร่วมมือในการเสริมสร้างความเชื่อมโยงภูมิภาคในทุกมิติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแถลงการณ์ดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1622 | การลงนามในร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความตกลงที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความตกลงฯ ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับสาธารณรัฐประชาชนจีน | พณ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความตกลงที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความตกลงฯ ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสาระสำคัญครอบคลุมข้อบทด้านพิธีการศุลกากร และการอำนวยความสะดวกทางการค้า การปรับปรุงกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ข้อผูกพันการเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๓ การปรับปรุงความตกลงด้านการลงทุนอาเซียนและจีน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมทั้งประเด็นที่จะเจรจาต่อไปในอนาคต และการมีผลบังคับใช้ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมเป็นผู้ลงนามร่างพิธีสารฯ ๑.๔ ภายหลังการลงนามแล้วให้นำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารเพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความตกลงที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบความตกลงฯ ระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๕ มอบหมายกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้พิธีสารฯ มีผลบังคับใช้ภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่ระบุไว้ในร่างพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวแล้ว ๑.๖ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารของพิธีสารฯ ดังกล่าวให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบันพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวแล้ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการเจรจาในอนาคตซึ่งครอบคลุมการเปิดเสรีสินค้าอ่อนไหวเพิ่มเติม ควรพิจารณาอย่างรอบคอบโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อนโยบายการสร้างและพัฒนาความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งควรมีการหารือในเรื่องคำจำกัดความ Territory ที่ปรากฏในเชิงอรรถของข้อบทกฎถิ่นกำเนิดสินค้าอาเซียน-จีน กับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยสรุปเป็นข้อตกลงร่วมกันของอาเซียนที่เป็นความเห็นเดียวกันก่อน ก่อนเสนอให้ฝ่ายจีนในการพิจารณาต่อไป เพื่อหาข้อสรุปที่สอดคล้องกันภายในอาเซียนและสามารถสรุปผลการเจรจาตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ นอกจากนี้ ควรใช้เวทีการเจรจาดังกล่าวผลักดันให้มีกลไกสำหรับการแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน โดยเฉพาะอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษีที่ผู้ส่งออกไทยมักประสบปัญหาในการส่งออกไปจีน เช่น ปัญหาความแตกต่างของแนวทางการปฏิบัติงานและกฎระเบียบข้อบังคับของจีนในแต่ละเมือง/มณฑล รวมทั้งขั้นตอนและวิธีการและกระบวนการนำเข้าที่มีความยุ่งยาก เป็นต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงเสรีทางการค้าได้อย่างเต็มที่ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำในร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการปรับเปลี่ยนได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1623 | มาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบในภูมิภาค | กค | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบในภูมิภาค โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ต้นแบบที่ใช้ในการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ และอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติพิธีการนำเข้า รวมทั้งควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ๑.๒ มอบหมายกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการแก้ไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการอนุญาตให้นำรถยนต์ที่ใช้แล้วเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๙ สำหรับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ต้นแบบที่ได้รับการรับรองจากกรมสรรพสามิตไม่ต้องขออนุญาตนำเข้าจากกระทรวงพาณิชย์ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรให้ครอบคลุมไปถึงชิ้นส่วนต้นแบบ การกำกับดูแลที่เหมาะสมในทางปฏิบัติโดยเฉพาะในการบริหารจัดการต้นแบบรถยนต์และรถจักรยานยนต์ภายหลังการดำเนินงานวิจัยพัฒนาสิ้นสุด การเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐและภาคการศึกษาที่มีความสนใจเข้าเยี่ยมชมพื้นที่และใช้เครื่องมืออุปกรณ์วิเคราะห์ทดสอบที่ทันสมัยเพื่อการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ หรือการทำวิจัย ในส่วนที่ไม่เป็นความลับ การให้ความสำคัญแก่ยานยนต์ต้นแบบที่สร้าง/ผลิตขึ้นในประเทศไทย (สภาพใหม่) หรือเคยผลิตขึ้นในประเทศไทย (สภาพใช้แล้ว นำมาทำการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะเพื่อปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ สมรรถนะที่ดีขึ้น) การยกร่างกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยให้หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรมการขนส่งทางบก ร่วมพิจารณาด้วย การเสนอข้อมูลและข้อเท็จจริง เช่น ปริมาณยานยนต์ต้นแบบที่นำเข้าเพื่อการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ จำนวนบริษัทที่ประสงค์จะนำเข้ายานยนต์ต้นแบบ จำนวนเงินที่รัฐต้องสูญเสียรายได้จากการให้ยกเว้นภาษี ความเพียงพอของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ เพื่อประกอบการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี การกำหนดแนวทางในการควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบยานยนต์ต้นแบบสำหรับใช้ในการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการนำออก ส่งออก หรือทำลายยานยนต์ต้นแบบภายหลังจากการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะแล้ว เพื่อป้องกันการนำยานยนต์ต้นแบบไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการต้องจัดให้มีบุคลากรวิจัยของไทยเข้าร่วมในการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบุคลากรวิจัยของไทย ตลอดจนมีระบบการติดตามและประเมินผลการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงรูปแบบของมาตรการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาที่มีความเหมาะสมในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อให้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้โดยเร็วต่อไป ๓. กำหนดหลักการและแนวทางการนำเสนอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปรับลดหรือปรับเปลี่ยนอัตราภาษีอากรหรือปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณอัตราเพื่อเสียภาษีอากรต่อคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๓.๑ การเสนอมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการปรับลดหรือปรับเพิ่มอัตราภาษีอากรหรือปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณอัตราเพื่อเสียภาษีอากรที่อาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่นำมาซึ่งการได้เปรียบในเชิงการค้าก่อนมาตรการมีผลใช้บังคับตามกฎหมาย เช่น การกักตุนสินค้า เป็นต้น ให้กระทรวงการคลังจัดทำข้อวิเคราะห์ผลกระทบในภาพรวมจากการดำเนินการดังกล่าว โดยเฉพาะผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐ และเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาไปในคราวเดียวกัน ๓.๒ หากมีความจำเป็นเร่งด่วนและกรณีไม่เข้าข่าย ตามข้อ ๓.๑ กระทรวงการคลังอาจเสนอมาตรการเพื่อขอความเห็นชอบในหลักการจากคณะรัฐมนตรีก่อนได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังต้องนำเสนอร่างกฎหมายที่จะออกตามมาตรการภาษีดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๒ สัปดาห์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1624 | การขอความเห็นชอบการเข้าร่วมเจรจาเพื่อปรับปรุงแก้ไขพิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจฉบับใหม่ของอาเซียน (ASEAN Protocol on Enhanced Dispute Settlement Mechanism: EDSM) และการทบทวนรายชื่อผู้แทนไทยที่จะทำหน้าที่ในคณะผู้พิจารณาและองค์กรอุทธรณ์ภายใต้พิธีสารฯ | พณ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. การเข้าร่วมเจรจาปรับปรุงแก้ไขพิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจฉบับใหม่ของอาเซียน (ASEAN Protocol on Enhanced Dispute Settlement Mechanism : EDSM) ในการประชุมคณะทำงานว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทของอาเซียน ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ๒. กรอบการเจรจาเพื่อปรับปรุงแก้ไขพิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียน และท่าทีการเจรจาฯ ของไทย มีวัตถุประสงค์หลัก คือ (๑) เพื่อให้กลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียนมีหลักการและกระบวนการที่ชัดเจน มีความเป็นธรรม ความโปร่งใส และสอดคล้องกับหลักการระหว่างประเทศที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และ (๒) เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาทบทวนรายชื่อผู้แทนไทยที่จะทำหน้าที่ในคณะผู้พิจารณาและองค์กรอุทธรณ์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1625 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูง ระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 | พณ | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อท่าทีไทยสำหรับการหารือกับญี่ปุ่น ได้แก่ การจัดตั้งกลไกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูง ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ความเชื่อมโยงในภูมิภาค การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประเด็นทางการค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากร ความร่วมมือด้านการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการท่องเที่ยว และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ใช้ท่าทีไทยข้างต้นประกอบการหารือสำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑ (The 1st High Level Joint Commission between Thailand and Japan : HLIC) ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม HLIC ไทย-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑ รวมถึงเอกสารที่เป็นผลการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1626 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 17/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการระดมทุนในตลาดทุนเพื่อนำมาสนับสนุนการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ โดยเร่งรัดการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ขนาดใหญ่ เป็นต้น ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) เพื่อให้การบริหารจัดการในส่วนของระบบรถไฟฟ้าและการเดินรถมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อประชาชนผู้ใช้บริการและประเทศเป็นสำคัญ ๑.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งรัดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้จ่ายงบประมาณ การลงทุนภาครัฐ การส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชน การนำเข้า-ส่งออก รวมทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยว ๑.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการยกระดับราคาสินค้าเกษตร โดยส่งเสริมการสร้างวงจรการผลิตที่เชื่อมโยงกันและเหมาะสมกับศักยภาพในแต่ละพื้นที่ ทั้งในด้านแหล่งผลิตวัตถุดิบ แหล่งการแปรรูปผลิตภัณฑ์ และแหล่งจัดจำหน่าย ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นในรูปแบบใหม่และมีความหลากหลายเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในแต่ละกลุ่มจังหวัด และเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ให้ใช้กลไก “ประชารัฐ” ที่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรพัฒนาเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ รวมทั้งให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ในเรื่องดังกล่าวด้วย ๒. ด้านการต่างประเทศ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการจัดการประชุมร่วมในระดับคณะรัฐมนตรีกับประเทศกลุ่มเป้าหมายทางเศรษฐกิจ (เช่น สหพันธรัฐรัสเซีย สิงคโปร์) เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้า เพิ่มบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก รวมทั้งพิจารณาการจัดทำข้อตกลงร่วมทางด้านการค้า (เช่น การแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรกรของไทยกับสินค้าของประเทศกลุ่มเป้าหมาย) และความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทยสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคติดต่อต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลที่สำคัญ เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น โดยให้ข่าวสารทั้งในด้านสถานการณ์ภาวะการระบาดของโรคและความรู้เกี่ยวกับการดูแลและป้องกันโรค รวมทั้งเฝ้าระวังและกำจัดพาหะนำโรคด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1627 | เอกสารสำคัญที่จะมีการรับรองในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 23 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 27 | กต | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๓ และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีรับรองเอกสารดังกล่าวในวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ มีสาระสำคัญระบุผลการดำเนินการตามเป้าหมายต่าง ๆ ภายใต้ประเด็นสำคัญของเอเปคประจำปี ๒๕๕๘ ได้แก่ การยกระดับวาระการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ การบ่มเพาะการมีส่วนร่วมของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในห่วงโซ่คุณค่าโลก การลงทุนในการพัฒนาทุนมนุษย์ การสร้างชุมชนที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ๑.๒ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๗ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ มีสาระสำคัญระบุถึงความคืบหน้าของการดำเนินการในด้านต่าง ๆ ภายใต้เอเปค โดยแบ่งเป็น ๓ ส่วน ได้แก่ (๑) ประเด็นต่อเนื่อง อาทิ เป้าหมายโบกอร์ การสนับสนุนการค้าระบบพหุภาคี การศึกษาการเปิดเสรีการค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กรอบความร่วมมือภาคบริการเอเปค และยุทธศาสตร์เอเปคเพื่อสร้างเสริมการเติบโตอย่างมีคุณภาพ (๒) สนับสนุนผลการประชุมรัฐมนตรีต่าง ๆ และ (๓) สนับสนุนการดำเนินงานภายใต้ประเด็นหลักของเอเปค ๒๐๑๕ ใน ๔ ประเด็น ได้แก่ การยกระดับวาระการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ การบ่มเพาะการมีส่วนร่วมของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ในห่วงโซ่มูลค่าโลก การลงทุนในการพัฒนาทุนมนุษย์ และการสร้างชุมชนที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1628 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติ รวม ๖ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุวาระเป็นเรื่องด่วน ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. ๒๕๐๙ พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์ พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. เพื่อให้การดำเนินการตามบทบัญญัติของกฎหมายตามข้อ ๑.๑ ถึงข้อ ๑.๓ เป็นไปด้วยความราบรื่น ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีคณะทำงานร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๓ ฉบับ มีผลบังคับใช้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1629 | การเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา | กต | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานเกี่ยวกับการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายไมตรีปาละ สิริเสนาประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ระหว่างวันที่ ๑-๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นการเยือนประเทศไทยครั้งแรกของประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ได้มีการเยือนอย่างเป็นทางการ ประกอบกับปี ๒๕๕๘ นี้เป็นปีที่ครบรอบ ๖๐ ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาด้วย โดยผลการเยือนมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ด้านการเมือง ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ โดยสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาได้ให้การสนับสนุนประเทศไทยในการดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในองค์การสหประชาชาติ (Group of 77 : G77) และการสมัครสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสประชาชาติ วาระปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ของประเทศไทย ๑.๒ ด้านเศรษฐกิจ ฝ่ายสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกายินดีที่จะอำนวยความสะดวกแก่นักธุรกิจไทยที่จะเข้าไปลงทุนในสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกษตร การก่อสร้าง การโรงแรมและธุรกิจบริการ เวชภัณฑ์ และการประมง ทั้งนี้ ฝ่ายสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประสงค์จะเรียนรู้ประสบการณ์ของไทยในด้านการพัฒนาและการบริหารจัดการการท่องเที่ยวด้วย ในการนี้ประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานสัมมนา "Thailand-Sri Lanka Business Forum" โดยมีนักธุรกิจไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกากว่า ๓๐๐ คน เข้าร่วมสัมมนาและได้มีการจับคู่ทางธุรกิจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาในฐานะฐานการลงทุนใหม่ ๑.๓ ด้านศาสนา ฝ่ายสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน ณ พุทธมณฑล ระหว่างวันที่ ๒-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยได้สักการะ และได้มอบพระพุทธรูปหินแกะสลักเพื่อเป็นของขวัญแก่ชาวไทย โดยประดิษฐานที่วัดธรรมาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งสะท้อนถึงความผูกพันและการเชื่อมโยงด้านพระพุทธศาสนาอันเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและประชาชนทั้งสองฝ่าย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานและแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาในสาขาอื่น ๆ โดยเฉพาะสาขาที่มีศักยภาพ เช่น การท่องเที่ยว ศาสนาและวัฒนธรรม และเครื่องประดับอัญมณี เป็นต้น เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1630 | ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ | นร05 | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติ รวม ๓ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ได้แก่ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. ๒๕๐๙ พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. เพื่อให้การดำเนินการตามบทบัญญัติของกฎหมายตามข้อ ๑.๑ ถึงข้อ ๑.๓ เป็นไปด้วยความราบรื่น ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีคณะทำงานร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๓ ฉบับมีผลใช้บังคับ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1631 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของเวทีความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกกับลาตินอเมริกา ครั้งที่ 7 (FEALAC FMM7) ณ สาธารณรัฐคอสตาริกา | กต | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานผลการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของเวทีความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกกับลาตินอเมริกา ครั้งที่ ๗ (7th Foreign Ministers Meeting of the Forum for East Asia-Latin America Cooperation : FEALAC FMM7) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ ณ สาธารณรัฐคอสตาริกา ซึ่งที่ประชุมรับทราบรายงานการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส FEALAC ครั้งที่ ๑๖ และผลการประชุมของสถาบันการเงินระหว่างภูมิภาคลาตินอเมริกาและเอเชีย ครั้งที่ ๑ การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม ได้แก่ เอกสาร Declaration of San Jose ซึ่งระบุสาขาความร่วมมือในกรอบ FEALAC เอกสาร “Guideline for FEALAC Working Process” ซึ่งเป็นข้อเสนอของไทยในการปรับปรุงกระบวนการทำงานของ FEALAC ให้มีประสิทธิภาพและมีความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมเพิ่มมากขึ้น และถ้อยแถลงร่วม FEALAC เรื่องเหตุการณ์ระเบิดที่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งรับทราบการสิ้นสุดวาระการเป็นประเทศผู้ประสานงาน FEALAC ของประเทศไทยและสาธารณรัฐคอสตาริกา และการส่งต่อหน้าที่ประเทศผู้ประสานงานวาระปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ให้กับสาธารณรัฐเกาหลีและกัวเตมาลา ๑.๒ มอบหมายให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับรายงานผลการประชุมดังกล่าวรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) โครงการของไทยและโครงการของประเทศสมาชิกอื่น ๆ ในกรอบ FEALAC (๒) การยกระดับเวที Business Forum ให้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องของ FEALAC และ (๓) การขับเคลื่อน FEALAC ให้มีพลวัตอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับโครงการที่น่าสนใจของสาธารณรัฐเกาหลีในการจัดสัมมนาด้านการค้าระหว่างภูมิภาคของประเทศสมาชิก FEALAC ในปี ๒๕๕๙ พร้อมทั้งหารือถึงแนวทางในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างภูมิภาคเอเชียตะวันออกและลาตินอเมริกา ซึ่งเห็นควรที่ประเทศไทยจะเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการดังกล่าว และควรพิจารณาเพิ่มเติมความร่วมมือด้านงานวิจัย พัฒนา การส่งเสริมและใช้ประโยชน์จากพืชพลังงานทดแทน ในหัวข้อโครงการของประเทศสมาชิกอื่น ๆ ในอนาคตของคณะทำงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมและการศึกษากับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา โดยเฉพาะประเทศบราซิลที่มีความก้าวหน้าเรื่องการพัฒนาการผลิตพลังงานชีวภาพและการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1632 | รายงานสรุปผลการรับฟังข้อพิจารณาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) | พณ | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสรุปผลการรับฟังข้อพิจารณาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับหลักการในการปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้า และร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ แต่มีข้อสังเกตในประเด็น (๑) การกำหนดให้รัฐวิสาหกิจอยู่ใต้ภายใต้บังคับของกฎหมาย และ (๒) ความเป็นอิสระในการบังคับใช้กฎหมายและความมีประสิทธิภาพในการใช้กฎหมาย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งรายงานสรุปผลการรับฟังข้อพิจารณาและข้อเสนอแนะดังกล่าวตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1633 | รายงานผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง รายงานการศึกษาพระราชบัญญัติ การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 | พณ | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง รายงานการศึกษาพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เนื่องจากมีหลักการที่สอดคล้องกับแนวทางการปรับปรุงกฎหมายการแข่งขันทางการค้าของกระทรวงพาณิชย์ และมีข้อเสนอให้ใช้คำว่า “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน” แทนคำว่า “ผู้ประกอบธุรกิจโฮลดิ้ง” ให้พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ลดจำนวนคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าจากเดิม ๑๖ คน เป็น ๗ คน จัดตั้งหน่วยงานอิสระปราศจากการแทรกแซงเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ รวมทั้งกำหนดบทลงโทษทางอาญาทั้งโทษจำคุกและโทษปรับโดยให้สอดคล้องกับความร้ายแรงของการกระทำผิด และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1634 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการชั่งตวงวัด หลักเกณฑ์ วิธีการชำระค่าธรรมเนียม และจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว พ.ศ. .... | พณ | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการชั่งตวงวัด หลักเกณฑ์ วิธีการชำระค่าธรรมเนียม และจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการชั่งตวงวัดในการแจ้งการประกอบธุรกิจ การชำระค่าธรรมเนียม และการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัวของผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1635 | การยื่นหนังสือให้สัตยาบันต่อความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลไทยและภูฏาน | พณ | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลใช้บังคับของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลไทยและภูฏานต่อประเทศภาคีตามข้อ ๑๒ ของความตกลงฯ ซึ่งระบุว่า ความตกลงฉบับนี้มีผลบังคับใช้ในวันที่ได้รับการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายของคู่ภาคีที่ได้ยืนยันว่าได้ดำเนินกระบวนการภายในเพื่อการมีผลใช้บังคับของความตกลงนี้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับโดยสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับถ้อยคำในหนังสือสถานเอกอัครราชทูตภูฏานประจำประเทศไทย ที่ RBE/BKK/Thai MoFA/2015 ลงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๐๑๕ ที่ใช้คำว่า “has ratified” และ “ratification” เนื่องจากไม่ตรงกับถ้อยคำในข้อ ๑๒ ของความตกลงฯ ที่ใช้คำว่า “written notification” จึงสมควรหารือกับภูฏานเพื่อให้เกิดความถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1636 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีในการนำเข้ากากถั่วเหลือง และออกประกาศนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2558 - 2560 | พณ | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐) ให้การนำเข้ากากถั่วเหลืองมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์เท่านั้น ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๐ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๐ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒. ให้ส่งร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ตาม ๑.๒ ให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยยกเลิกความในข้อ ๓ (๒) และข้อ ๕ แทนการปรับปรุงประกาศดังกล่าวทั้งฉบับ และในการยกเลิกข้อกำหนดที่ต้องมีหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบางส่วนในการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องรายงานการนำเข้าต่อกรมการค้าต่างประเทศ จึงควรมีการจัดเก็บข้อมูลการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการกำกับดูแลการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่ให้ส่งผลกระทบกับเกษตรกรในประเทศและสามารถบริหารจัดการการนำเข้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐) ที่มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดมาตรการรองรับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และปลาป่นที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ และให้รายงานสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรทั้ง ๓ รายการดังกล่าวทุกเดือน ในช่วงระยะเวลาที่มีการนำเข้าต่อคณะรัฐมนตรี ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการลดพื้นที่ปลูกข้าวโพดในพื้นที่ป่าที่เกษตรกรได้บุกรุกเข้าไปทำการเพาะปลูก เช่นเดียวกับแนวทางการลดพื้นที่ปลูกยางพาราตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ๕. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรของกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์และเพื่อการบริโภค ให้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1637 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง ครั้งที่ 2 (The Second APEC Structural Reform Ministerial Meeting) และผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค (Economic Committee : EC) ครั้งที่ 2/2558 | นร11 | 27/10/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคด้านการปฏิรูปโครงสร้าง ครั้งที่ ๒ (The Second APEC Structural Reform Ministerial Meeting) และผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค (Economic Committee : EC) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งการประชุมทั้งสองมีการอภิปรายในประเด็นต่าง ๆ เช่น การจัดทำยุทธศาสตร์การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ การปฏิรูปกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อสนับสนุน การพัฒนาและการค้าอย่างเท่าเทียมและเสรี การปรับตัวชี้วัดของความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ เป็นต้น และการดำเนินการในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้หลักการในที่ประชุมดังกล่าวมาปรับใช้กับประเทศไทย ๑.๒ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการยกระดับและขับเคลื่อนวาระใหม่สำหรับการปฏิรูปโครงสร้างเอเปค (Renewed APEC Agenda for Structural Reform : RAASR) สำหรับปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓ รวมทั้งการสร้างความชัดเจนถึงบทบาทของไทยในเวทีเอเปค โดยยึดเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นหลัก ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรให้เพิ่มองค์ประกอบผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในฐานะคณะกรรมการว่าด้วยการค้าและการลงทุน (Committee on Trade and Investment : CTI) ภายใต้เอเปค เข้าร่วมในการประชุม EC เพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้านสารัตถะภาคบริการ และบูรณาการการทำงานทีมประเทศไทยในเวทีเอเปค เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และความเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้าง การเพิ่มประสิทธิภาพและการพัฒนานวัตกรรมในภาคบริการ การสนับสนุนและส่งเสริมนวัตกรรมทางสังคม (Social Innovation) โดยเฉพาะนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับบริการด้านสาธารณสุข รวมทั้งการยกระดับและขับเคลื่อนวาระใหม่สำหรับการปฏิรูปโครงสร้างเอเปคที่เอื้ออำนวยให้การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนมีความง่ายและคล่องตัว (Ease of Ding Business : EoDB) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1638 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 20 (20th GMS Ministerial Conference) | นร11 | 27/10/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๒๐ (20th GMS Ministerial Conference) ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๘ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแผนการดำเนินงานระยะเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ โดยประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๒.๑ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและขยายด่านพรมแดน ทั้งในส่วนของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกการค้าและคมนาคมขนส่ง และการข้ามแดนของนักท่องเที่ยวในอนุภูมิภาค รวมถึงเร่งผลักดันการพัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงอนุภูมิภาคและรถไฟความเร็วปานกลางระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีน ให้เป็นรูปธรรม ๑.๒.๒ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลัง เร่งรัดดำเนินงานภายใต้ความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (CBTA) เช่น การตรวจสินค้าแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (Single Window Inspection : SW) การตรวจปล่อยสินค้าร่วมกันในบริเวณเดียวกัน (Single Stop Inspection : SS) และการกำหนดพื้นที่ควบคุมร่วมกัน (Common Control Area : CCA) รวมถึงเร่งเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านในเรื่องการกำหนดสิทธิการจราจรให้มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ๑.๒.๓ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เตรียมความพร้อมเพื่อเชื่อมโยงและขยายฐานการผลิตร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้หลักการ Thailand Plus One และเสริมสร้างขีดความสามารถของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการพัฒนาศักยภาพของ SMEs เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงการผลิตกับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ๑.๒.๔ กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับองค์กรเครือข่ายการพัฒนา อาทิ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ สถาบันลุ่มแม่น้ำโขง สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา และธนาคารพัฒนาเอเชีย ร่วมกำหนดแนวทางความร่วมมือเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และศักยภาพบุคลากรในอนุภูมิภาค ๑.๒.๕ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดศึกษาการจัดการผลกระทบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การจัดการความเสี่ยงและป้องกันผลกระทบเนื่องมาจากภัยธรรมชาติและภัยพิบัติต่าง ๆ และร่วมหารือในความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเรื่องการป้องกันการค้ามนุษย์ การเคลื่อนย้ายแรงงานผิดกฎหมาย และการป้องกันโรคติดต่อข้ามพรมแดน ๑.๒.๖ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ผลักดันการดำเนินงานเพื่อสร้างความเข้าใจและเพิ่มการมีส่วนร่วมของจังหวัด ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจและพื้นที่ชายแดนโดยประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สื่อมวลชน และภาคีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๗ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินงานของไทยในการพัฒนาเชิงพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้สามารถเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านได้ ๑.๒.๘ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินโครงการความร่วมมือภายใต้แผนงาน GMS ให้มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับวัตถุประสงค์ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ๑.๒.๙ สภาธุรกิจ GMS-BF ประเทศไทย เร่งศึกษาแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อป้องกัน ลดผลกระทบ และจัดการความเสี่ยงทางธุรกิจเนื่องมาจากภัยพิบัติและภัยธรรมชาติ และเร่งรัดกำหนดมาตรฐานคุณภาพผู้ประกอบการขนส่งสินค้าร่วมกับผู้ประกอบการในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรมีการประชุมหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอและมากขึ้น เพื่อร่วมกันพิจารณาผลักดันโครงการใหม่ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ มีการปฏิบัติตามแผนงาน GMS อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1639 | มาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | อก | 27/10/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบเป้าหมายวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small Medium Enterprises : SMEs) ที่จะให้การส่งเสริมและพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยกำหนดเป้าหมายส่งเสริม SMEs ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๙๗,๕๐๓ ราย ใช้งบประมาณในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงินรวม ๕,๐๙๗.๘๕ ล้านบาท และรับทราบในหลักการการใช้งบประมาณดำเนินการในส่วนที่ขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จากงบประมาณของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑,๔๓๗.๑๗ ล้านบาท และมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักในการบูรณาการการดำเนินงานในรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมติดตามประเมินผลการดำเนินงานต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน โดยเฉพาะเมื่อ SMEs ได้รับการวินิจฉัยสถานประกอบการแล้ว ควรสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพในการส่งต่อลูกค้า/ผู้ประกอบการไปยังหน่วยงานที่มีความสามารถเฉพาะที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การสนับสนุน SMEs ได้อย่างครบวงจรทุกด้าน และในการดำเนินโครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม โดยการให้กู้ยืมแก่วิสาหกิจขนาดย่อม และธุรกิจเกษตร ควรมีระบบพี่เลี้ยงเพื่อให้คำแนะนำทั้งด้านธุรกิจและเทคโนโลยี รวมทั้งควรมีการเสริมในด้านการสร้างตลาดสินค้าสำหรับ Start-up เช่น การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในประเทศกลุ่ม AEC เพื่อขยายตลาด และควรมีการประชาสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้ SMEs รับทราบอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะเรื่องระบบการส่งต่อเพื่อประสานความร่วมมือในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างครบวงจร นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาการให้สินเชื่อให้มีความรัดกุม รอบคอบ และเป็นเกณฑ์เดียวกัน และมีการติดตามและประเมินผลโครงการอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลสำเร็จของโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินโครงการในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1640 | ผลการประชุมร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับภาคเอกชน วันที่ 7 ตุลาคม 2558 | นร11 | 27/10/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับภาคเอกชน เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ เพื่อหารือเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการติดตามความคืบหน้าของมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ รวมทั้งมาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ในระยะเร่งด่วน ๒. เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒.๑ มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนงานและโครงการเพื่อรณรงค์ให้ผู้ประกอบการ SMEs จัดทำระบบบัญชีเดียวและเข้าสู่ระบบภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการมีองค์ความรู้และตระหนักถึงประโยชน์โดยให้มีการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้านบัญชีได้โดยง่าย พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่ดำเนินการอย่างถูกต้องให้สามารถเข้าถึงมาตรการและสิทธิประโยชน์จากความช่วยเหลือของภาครัฐและการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒.๒ มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนงานและโครงการเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงประโยชน์และส่งเสริมการจัดทำบัญชีครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนมีความรู้ทางด้านการใช้จ่ายเงินอย่างพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเองตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๒.๓ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านคณะทำงานขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกจังหวัดตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๘ ๒.๔ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.) จังหวัดและกลุ่มจังหวัดอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการของรัฐบาล ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแนวทางการปรับปรุงโครงสร้าง กรอ. จังหวัด โดยเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการซึ่งเป็นภาคการศึกษา ภาคประชาสังคม นักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นและชุมชน และให้ กรอ. จังหวัด ร่วมกับเครือข่ายภาคีการพัฒนาจังหวัด และสถาบันการศึกษาเสนอแผนพัฒนาพื้นที่ให้เศรษฐกิจและสังคมในระดับท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็ง อาทิ การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น วิสาหกิจชุมชน การพัฒนาสินค้า OTOP การท่องเที่ยว การสร้างตลาดกลางชุมชน การพัฒนาสถานศึกษา สาธารณสุข คนพิการและคนสูงอายุ เป็นต้น และเสนอต่อกระทรวงมหาดไทย และ กรอ. ส่วนกลาง เพื่อรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒.๕ ขอความร่วมมือภาคเอกชนทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้ความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์การดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลตามแนวทาง “ประชารัฐ” หรือ การสร้างความเข้มแข็งไปพร้อมกัน (Stronger Together) รวมทั้งช่วยสนับสนุนการจัดทำระบบบัญชีเดียวของ SMEs และการจัดทำบัญชีครัวเรือนของประชาชน โดยมุ่งไปยังกลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการ เกษตรกร และประชาชนไปยังสมาชิกและเครือข่ายทั่วประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
