ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 4 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 80 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมคาร์บอนไดออกไซด์ทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมคาร์บอนไดออกไซด์ทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมคาร์บอนไดออกไซด์ทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
เนื่องจากมาตรฐานดังกล่าวใช้คาร์บอนไดออกไซด์ทางการแพทย์มาเกิน ๕ ปีแล้ว
เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิชาการและมาตรฐานสากลที่ใช้ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
42 | นายกรัฐมนตรีลากิจในระหว่างวันที่ 26-28 เมษายน 2566 วันที่ 1-3 พฤษภาคม 2566 และวันที่ 8 พฤษภาคม 2566 | นร 05 | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
(นางสาวสาวิตรี ชำนาญกิจ) รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งว่านายกรัฐมนตรีได้ลากิจ
ดังนี้ ๑. วันพุธที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๖
ตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ น.-๑๖.๓๐ น. ๒. วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ เมษายน
๒๕๖๖ ตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ น.-๑๖.๓๐ น. ๓. วันศุกร์ที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๖
ตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ น.-๑๖.๓๐ น. ๔. วันจันทร์ที่ ๑ พฤษภาคม
๒๕๖๖ ตั้งแต่เวลา ๘.๓๐ น.-๑๓.๐๐ น. ๕.วันอังคารที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖
ตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ น.-๑๖.๓๐ น. ๖.วันพุธที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๖
ตั้งแต่เวลา ๘.๓๐ น.-๑๖.๓๐ น. ๗. วันจันทร์ที่ ๘ พฤษภาคม
๒๕๖๖ ตั้งแต่เวลา ๘.๓๐ น.-๑๖.๓๐ น.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
43 | การรับรองร่างปฏิญญาของการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม 77 บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน | วธ. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการรับรองร่างปฏิญญาของการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม
๗๗ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรับรองร่างปฏิญญาของการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม
๗๗ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยร่างปฏิญญาการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม
๗๗ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไตร่ตรองถึงความท้าทายรูปแบบใหม่ของภาควัฒนธรรมในประเทศสมาชิก
ตลอดจนมุ่งส่งเสริมความคิดริเริ่มที่จะดำเนินการในมิติด้านสังคมและเศรษฐกิจของวัฒนธรรม
เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
การสนับสนุนกลไกความร่วมมือและทางเลือกเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมในฐานะสินค้าสาธารณะแห่งโลก
รวมถึงส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีและเสริมสร้างขีดความสามารถในประเทศกำลังพัฒนา
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาของการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม
๗๗ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
44 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อว. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา
อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ
และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาดุริยางคศาสตร์ เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๑ ให้ถือเป็นหลักการว่า
เมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดอนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน
แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้ แต่โดยที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรดุริยางคศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชาดุริยางคศิลป์ (หลักสูตรใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๕) เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ และได้มีการเปิดการเรียนการสอนแล้วในสาขาวิชาดุริยางคศิลป์ในปี
๒๕๖๕ โดยจะมีผู้สำเร็จการศึกษาในปี ๒๕๖๘ ดังนั้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
เมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดอนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน
แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้
เพื่อให้พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับก่อนเปิดทำการสอน
ซึ่งจะรองรับศักดิ์และสิทธิ์แห่งปริญญาให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษา
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
45 | การแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์) | พน. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์
ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม
๒๕๖๖ เป็นต้นไป และได้รับผลตอบแทนตามที่กระทรวงการคลังเห็นชอบแล้ว
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๒) แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
46 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... | มท. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนลานกระบือ
จังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลลานกระบือ ตำบลจันทิมา และตำบลโนนหลวง อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท
ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค
บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สอดคล้องกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
รวมทั้งอนุรักษ์และสงวนที่เกษตรกรรมสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
และเป็นศูนย์กลางหลักของชุมชน ด้านการบริหาร การปกครอง ย่านพาณิชยกรรม
โดยได้มีการกำหนดแผนผังและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตผังเมืองรวมจำแนกออกเป็น ๑๐
ประเภท
ซึ่งแต่ละประเภทจะกำหนดลักษณะกิจการที่ให้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์การใช้ที่ดินแต่ละประเภทนั้น
ๆ รวมทั้งกำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ให้ดำเนินการในที่ดินแต่ละประเภท
ตลอดจนการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่ง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำหนดสัญญาลักษณ์สีแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไว้ในผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน
(สีเขียวมีกรอบและเส้นทแยงสีน้ำตาล) และเพิ่มข้อกำหนดการใช้ที่ดิน
(ที่ดินประเภทปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม)
ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการขอ
และการพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ.
๒๕๖๐ ในร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหรือระเบียบ
และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล
เกิดผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ คำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน
และเป็นไปตามกฎกระทรวงควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๖๐ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข
เรื่อง กำหนดประเภทหรือขนาดของกิจการ และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
ที่ผู้ขออนุญาตจะต้องดำเนินการก่อนการพิจารณาออกใบอนุญาต พ.ศ. ๒๕๖๑
และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง
หลักเกณฑ์ในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
เพื่อรักษาพื้นที่เกษตรกรรมและสภาพแวดล้อม
รวมถึงป้องกันและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากอุทกภัย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
47 | รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ครั้งที่ 18 (เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2565) | นร.11 สศช | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา
๒๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ครั้งที่ ๑๘ (เดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๖๕) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.) ในฐานะสำนักงานเลขานุการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. สรุปภาพรวมการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ สศช.
ได้รวบรวมและประมวลผลข้อมูลการดำเนินการปฏิรูปประเทศทั้ง ๑๓ ด้าน ประกอบด้วย ด้านการเมือง
ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านกฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านเศรษฐกิจ
ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านสาธารณสุข เป็นต้น ๒. สรุปผลการดำเนินการจัดทำ/ปรับปรุงกฎหมายปฏิรูปประเทศ โดยเป็นกฎหมายภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ
(ฉบับปรับปรุง) จำนวน ๔๕ ฉบับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๕ ประกอบด้วย (๑) กฎหมายที่ดำเนินการแล้วเสร็จ
๑๐ ฉบับ และ (๒) กฎหมายที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ๓๕ ฉบับ
(ซึ่งมีความคืบหน้ากว่ารอบที่ผ่านมา) ๓. การดำเนินการในระยะต่อไป หลังจากแผนปฏิรูปประเทศสิ้นสุดลงเมื่อวันที่
๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ โดยได้ดำเนินการปฏิรูปประเทศให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายของรัฐธรรมนูญฯ
ที่กำหนดแล้ว เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฯ
หน่วยงานรับผิดชอบหลักและหน่วยงานร่วมดำเนินการจะต้องนำประเด็นร่วมปฏิรูปประเทศมาดำเนินการอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกของแผนระดับที่
๒ แผนระดับที่ ๓ และการดำเนินการต่าง ๆ ของหน่วยงานได้เชื่อมโยงประเด็นปฏิรูปประเทศกับเป้าหมายแผนแม่บทย่อย
(Y๑) ของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
และเป้าหมายระดับหมุดหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๓
เพื่อใช้เป็นกรอบในการขับเคลื่อน ติดตาม ประเมินผลการดำเนินการในประเด็นปฏิรูปต่าง
ๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อให้เกิดการดำเนินการที่ต่อเนื่องและเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างยั่งยืน
ส่งผลให้การพัฒนาประเทศบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
48 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีฉบับใหม่ | สกพอ. | 04/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลี
และอนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ
ฉบับใหม่ของฝ่ายไทย โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีวัตถุประสงค์เป็นกรอบความร่วมมือในการส่งเสริมความสัมพันธ์ในด้านธุรกิจและอุตสาหกรรมระหว่างไทยและเกาหลีใต้
โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของไทย
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยบันทึกความเข้าใจฯ
ได้รับการลงนามและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ และมีอายุ ๓ ปี
(สิ้นสุดผลบังคับใช้วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕)
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรมุ่งเน้นส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนาในมิติต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภาคอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ผลักดันให้เกิดการลงทุนพัฒนาในระบบนิเวศทางธุรกิจและอุตสาหกรรม (Ecosystems) ของไทย
ซึ่งรวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
สำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลี และหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของทั้งสองประเทศสามารถแสวงหาโอกาสต้นแบบการพัฒนาที่เหมาะสมเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันและแบ่งปันข้อมูล
ตลอดจนเทคโนโลยีที่ทันสมัยภายใต้กรอบความร่วมมือฉบับนี้ โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
49 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2566 | นร.11 สศช | 28/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ
เช่น (๑) ความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่การปฏิบัติ (๒)
การดำเนินการของหน่วยงานของรัฐในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ :
ความก้าวหน้าการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
(๓) การติดตาม การตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ (๔)
ประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ และ (๕) นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและการปฏิรูปประเทศของรัฐบาลรวมถึงสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศให้ประชาชนทราบต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
50 | ความก้าวหน้าของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำเดือนมกราคม 2566 | นร.11 สศช | 21/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ
เดือนธันวาคม ๒๕๖๕ ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น (๑)
ความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ชาติ (๒) การดำเนินการของหน่วยงานของรัฐในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ
(๓) การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และ (๔)
ประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
51 | โครงการโคล้านครอบครัว | สทบ. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการโครงการโคล้านครอบครัว
วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้รัฐชดเชยต้นทุนการเงินให้สถาบันการเงิน
(ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) อัตราร้อยละ ๔ บาทต่อปี ภายในวงเงิน ๖๐๐
ล้านบาท โดยในปีแรกให้ใช้งบประมาณจากโครงการเพิ่มทุนกองหมู่บ้านและชุมชนเมือง
ระยะที่ ๓ จำนวน ๓๕๐ ล้านบาท เพื่อชดเชยต้นทุนการเงินให้กับสถาบันการเงิน
ภายในวงเงิน ๒๐๐ ล้านบาท และงบประมาณบริหารโครงการ ภายในวงเงิน ๑๕๐ ล้านบาท
และให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สบท.)
ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อชดเชยต้นทุนการเงินให้สถาบันการเงิน ในปีที่ ๒-๔
ภายในวงเงิน ๔๐๐ ล้านบาท
และมอบหมายให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ดำเนินโครงการตามอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เป้าหมายของโครงการและเจตนารมณ์ของรัฐบาลต่อไป
ตามที่สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ควรมีการติดตามตรวจสอบคุณสมบัติของกองทุนหมู่บ้านฯ
ที่จะเข้าร่วมโครงการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขที่กำหนด
และควรดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่มีความเชี่ยวชาญหรือหน่วยงานภายนอกที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปศุสัตว์
ทำหน้าที่ตรวจรับรองการได้มาของโค น้ำเชื้อ และเวชภัณฑ์ รวมทั้งค่าผสมเทียม
มีการจัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการภาครัฐต่อภาระทางการคลังในภาพรวมให้สอดคล้องกับรายรับ
และพิจารณาถึงความสามารถของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่จะเสนอตั้งงบประมาณรองรับ รวมถึงภาระทางการคลังทั้งในปัจจุบันและอนาคต
และควรให้ความสำคัญในการจัดทำหลักเกณฑ์การคัดเลือกเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำทางวิชาการและการบริหารจัดการแก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
ตลอดจนกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานโครงการอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อให้การดำเนินโครงการประสบความสำเร็จและมีความยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
52 | การปรับเพิ่มอัตราเงินตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ และเรื่อง ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2565 (เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567) | มท. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติการปรับเพิ่มอัตราเงินตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ และเรื่อง ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ (เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ดำเนินการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งให้ได้รับการยกเว้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่จะต้องคำนึงถึงภาระงบประมาณในระยะยาว ประกอบกับการดำเนินการใด ๆ ของรัฐ ที่ก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ ควรคงไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การปรับเพิ่มอัตราการตอบแทนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวต่อไป และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
53 | การปรับเพิ่มอัตราเงินตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ และเรื่อง ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2565 (เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567) | มท. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติการปรับเพิ่มอัตราเงินตอบแทนตำแหน่งกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง
และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ และเรื่อง
ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ (เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ดำเนินการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งให้ได้รับการยกเว้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่จะต้องคำนึงถึงภาระงบประมาณในระยะยาว
ประกอบกับการดำเนินการใด ๆ ของรัฐ
ที่ก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน
และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
ควรคงไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การปรับเพิ่มอัตราการตอบแทนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน
ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ) ทั้งนี้
เพื่อเป็นการลดผลกระทบงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวต่อไป
และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
54 | มาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2566-2570) | นร.10 | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบข้อเสนอมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ
(พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เพื่อให้ส่วนราชการและองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลนำไปปฏิบัติต่อไป และรับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ
(พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) พร้อมปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะ (เมื่อสิ้นสุดมาตรการ)
ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๖
เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ โดยมาตรการที่เสนอมาในครั้งนี้ต่อเนื่องจากมาตรการฉบับเดิม
ประกอบด้วย ๒ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ และ (๒)
มาตรการบริหารอัตรากำลังปกติ
โดยมาตรการฉบับใหม่แตกต่างไปจากมาตรการฉบับเดิมในเรื่องของหลักการที่มุ่งเน้นการควบคุมขนาดกำลังคนและงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐให้สมดุลกับบทบาทภารกิจของภาครัฐ
โดยในส่วนของมาตรการบริหารอัตรากำลังปกติกรณีการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการพลเรือนได้ปรับแนวทางการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุ
เป็น ๒ ช่วง ได้แก่ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๗ ให้ตรึงอัตรากำลัง
ไม่เพิ่มกรอบอัตรากำลังตั้งใหม่ในภาพรวม และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘–๒๕๗๐
ให้จัดสรรอัตราว่างตามขนาดของส่วนราชการ ซึ่งเป็นไปตามมาตรการฉบับเดิม
สำหรับการรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการฉบับเดิมครอบคลุมผลการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุข้าราชการพลเรือน
โดย อ.ก.พ. กระทรวงได้จัดสรรคืนให้ส่วนราชการทันที ๑๙,๑๒๑ อัตรา (ร้อยละ ๗๑.๔๐)
จากอัตราว่างทั้งหมด ๒๖,๗๘๑ อัตรา ๒. ให้ฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
สำนักงาน ก.พ.ร.
รวมทั้งส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงาน ก.พ.ร.
ที่เห็นควรพิจารณารายละเอียดจำนวนบุคลากรแต่ละประเภทที่ได้รับอนุมัติตามกรอบ
จำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบัน จำนวนอัตราเกษียณ จำนวนอัตราว่าง หรือองค์ประกอบอื่น ๆ
ที่เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์
การทบทวนหรือการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สอดคล้องกับภารกิจตามกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน
ตามสถานการณ์ด้านกำลังคนและงบประมาณในแต่ละปี
รวมถึงติดตามประเมินผลระดับความสำเร็จตามตัวชี้วัดและเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้
เพื่อที่จะนำไปทบทวนแนวทางการกำหนดเป้าหมายของมาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐในรอบถัดไป
และควรพิจารณาค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน เพื่อจูงใจในการทำงาน
รวมถึงการสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ในการจัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ส่วนราชการและองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลนำไปปฏิบัติ
ควรมุ่งเน้นความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาระบบราชการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) หมุดหมายที่ ๑๓
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
55 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2565/2566 | อก. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี
๒๕๖๕/๒๕๖๖ ทั้ง ๙ เขตคำนวณราคาอ้อย เป็นราคาเดียวทั่วประเทศ
โดยราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิต ปี ๒๕๖๕ /๒๕๖๖ ในอัตรา ๑,๐๘๐ บาท ต่อตันอ้อย ณ
ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ ๖๔.๘๐
บาทต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี
๒๕๖๕/๒๕๖๖ เท่ากับ ๔๖๒.๘๖ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ส่วนราชการอาจพิจารณาข้อผูกพันและระดับการอุดหนุนภายในโดยรวมของสินค้าเกษตรทุกรายการในแต่ละปีที่ไทยให้เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ผลิตสินค้าเกษตรในประเทศ
จะต้องไม่เกินจำนวนที่ไทยได้ผูกพันไว้ตามความตกลง AOA ให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจ่ายเงินชดเชยให้แก่โรงงานเท่ากับส่วนต่างดังกล่าวตามนัยมาตรา
๕๖ ของพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗
และแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๕
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายควรพิจารณาดำเนินการทบทวนระเบียบมาตรการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพิจารณาถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน เป้าหมาย
ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ
และควรพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนควบคู่กับการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
เพื่อลดต้นทุนและสร้างผลตอบแทนให้แก่ชาวไร่อ้อยที่สูงขึ้น
รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นเป็นแบบรายเขตคำนวณราคาอ้อยแทนการกำหนดเป็นราคาเดียวทั้งประเทศแต่ต้องไม่สูงกว่าที่กว่าที่กฎหมายกำหนด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
56 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2566 | นร.11 สศช | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
เห็นชอบ และรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๖
เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖
ที่ได้มีมติที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
และการจัดทำรายงานความกาวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
ราย ๓ เดือน ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ให้เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
57 | การกำหนดประเภทและรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำปี 2565 | กค. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลและผู้อำนวยการสำนักงานสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลชี้แจง
สรุปได้ว่า การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในครั้งนี้เป็นการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลตามนัยมาตรา
๑๓ (๗/๑) แห่งพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗
และที่แก้ไขเพิ่มเติมที่บัญญัติให้คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลมีอำนาจหน้าที่ในการออกประกาศกำหนดประเภทและรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาลโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ซึ่งมิได้มีลักษณะเป็นสลากกินรวบแบบที่เคยเกิดปัญหาขึ้นในอดีด
เนื่องจากเงินที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจะได้รับจากการจำหน่ายสลากดังกล่าวมิได้ตกเป็นรายได้ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลทั้งหมด
แต่จะจัดสรรร้อยละ ๖๐ เป็นเงินรางวัลและนำเข้าเป็นรายได้แผ่นดินไม่น้อยกว่าร้อยละ
๒๓ ซึ่งเป็นการจัดสรรตามที่พระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้นบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒ นอกจากนี้
สลากดังกล่าวกำหนดให้เป็นแบบสลากกินแบ่งรัฐบาล ๖ หลัก (Lottery 6 : L6)
และสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลข ๓ หลัก (Number 3 : N3)
ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเลือกซื้อเลขที่ต้องการได้มากยิ่งขึ้น
รวมทั้งช่วยแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคาและการพนันนอกระบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน
โดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้กำหนดวิธีการขายสลากดังกล่าว
โดยให้ความสำคัญกับการเปิดโอกาสให้ผู้ค้ารายย่อย ผู้พิการ และกลุ่มเปราะบาง
ได้มีโอกาสลงทะเบียนเป็นผู้ค้ากับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐเป็นลำดับต้นด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการการออกผลิตภัณฑ์ใหม่
[สลากกินแบ่งรัฐบาล
๖ หลัก (Lottery 6 : L6) และสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลข ๓ หลัก
(Number 3 : N3)] ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
และให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ควรมีข้อมูลความสัมพันธ์กับการกำหนดราคา วิธีการจำหน่าย
และการคัดเลือกตัวแทนจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าประเภทและรูปแบบของสลากกินแบ่งรัฐบาลดังกล่าว
สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการกำหนดให้มีสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้นได้
และให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลดำเนินการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน เช่น
ผลกระทบต่อผู้ค้าสลาก ผู้ด้อยโอกาส
และกำหนดวัตถุประสงค์ของการออกสลากรูปแบบดังกล่าวให้ชัดเจนก่อนดำเนินการต่อไป
เพื่อความรอบคอบในการดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง รอบคอบ ครบถ้วน
แล้วนำร่างประกาศกำหนดประเภทและรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาลเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
58 | ร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน
วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาวุธปืน
เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลนำอาวุธปืนที่ยังไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายนำอาวุธปืนมาขอรับใบอนุญาตตามกฎหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด
หรือนำอาวุธปืนที่ไม่อาจออกใบอนุญาตได้ตามกฎหมายมาส่งมอบให้นายทะเบียนท้องที่ภายในระยะเวลาที่กำหนดโดยไม่ต้องรับโทษ
รวมทั้งเพื่อจัดเก็บอัตลักษณ์และรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธปืน
อันจะส่งผลให้ปริมาณอาวุธปืนที่ไม่ถูกกฎหมายลดน้อยลง สามารถตรวจสอบได้
สามารถควบคุมตรวจสอบ กำกับและติดตาม การมีและใช้อาวุธปืนเหล่านี้ได้
ตลอดจนป้องกันการนำอาวุธปืนไปใช้ก่ออาชญากรรม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณาประเด็นตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา และรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
ที่เห็นว่า “หน่วยงานทหารที่ใกล้ที่สุด” ควรระบุให้ชัดเจน
เนื่องจากหน่วยงานทหารบางหน่วยไม่มีความพร้อมทางด้านอาคาร สถานที่ และกำลังพล ในการดำเนินการกำกับดูแลเก็บรักษาอาวุธปืนดังกล่าว
รวมถึงควรพิจารณานำเทคโนโลยีมาช่วยในการตรวจสอบการขึ้นทะเบียนปืนและปรับปรุงฐานข้อมูลให้ทันสมัยตลอดเวลา
ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น
การนำอาวุธปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตมาขึ้นทะเบียนควรมีการตรวจสอบหลักเกณฑ์มาตรฐานและประวัติอาชญากรรมของอาวุธปืนก่อนและการจัดเก็บข้อมูลอาวุธปืนควรดำเนินการจัดเก็บตั้งแต่ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนหรือการขอใบอนุญาต
ควรมีการกำหนดรายละเอียด วิธีการ และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างชัดเจน
ไว้ในกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง
ควรกำหนดมาตรการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการให้ความร่วมมือกับทางราชการ
รวมถึงมาตรการป้องกันมิให้เกิดการเรียกรับผลประโยชน์จากการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
59 | แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2566-2570 ฉบับทบทวน แผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และข้อเสนอโครงการของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่สอดคล้องกับเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาภาค พ.ศ. 2566-2570 | นร.11 สศช | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนพัฒนาจังหวัด ๗๖ จังหวัด
และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐ ฉบับทบทวน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนำความเห็นและข้อเสนอแนะไปปรับปรุงแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในระยะต่อไป ๑.๒ อนุมัติแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ของจังหวัด ๗๖ จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด ประกอบด้วย (๑)
เห็นควรสนับสนุนในกรอบวงเงิน (Y๑)
จำนวน ๑,๓๔๖ โครงการ งบประมาณ ๒๙,๓๑๔,๕๑๐,๙๐๐ บาท (๒)
เห็นควรสนับสนุนเกินกรอบวงเงิน (Y๒) จำนวน
๔๐๑ โครงการ งบประมาณ ๑๒,๕๘๘,๙๕๐,๗๕๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๑,๗๔๗ โครงการ งบประมาณรวม
๔๑,๙๐๓,๔๖๑,๖๕๐ บาท ๑.๓ อนุมัติข้อเสนอโครงการของส่วนราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาภาค พ.ศ.
๒๕๖๖-๒๕๗๐ รวมจำนวน ๓๖๔ โครงการ ทั้งนี้ ขอให้สำนักงบประมาณให้ความสำคัญและพิจารณาสนับสนุนงบประมาณโครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาภาคเป็นลำดับแรก
เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม
สอดคล้องตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ
และมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปดำเนินการประสานสำนักงบประมาณ
เพื่อดำเนินการตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นว่า ในการขับเคลื่อนแผนงานโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดต้องสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน และพิจารณาตามลำดับความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วน อีกทั้งควรมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการจัดสรรงบประมาณ สำหรับข้อเสนอโครงการของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ควรให้ความสำคัญและสนับสนุนงบประมาณโครงการที่มีผลกระทบต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคสูงอย่างมีระบบและครอบคลุม สอดคล้องกับศักยภาพและพื้นที่เป้าหมาย เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
60 | ขอความเห็นชอบการปรับปรุงอัตราค่าจ้างขั้นสูงสุดของพนักงานระดับรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด | กค. | 07/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงอัตราค่าจ้างขั้นสูงสุดของพนักงานระดับรองกรรมการผู้จัดการ
บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด จากเดิมอัตรา ๑๕๐,๐๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน เป็น ๑๘๐,๐๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ มีนาคม ๒๕๖๖)
เห็นชอบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลัง (บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงาน ก.พ.ร.
ที่ควรมีการจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในทุกมิติ
เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณและเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน
รวมถึงฐานะทางการเงินในอนาคต ควรบริหารค่าใช้จ่ายในภาพรวมด้วยความระมัดระวังและกำหนดแนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงให้เหมาะสมและรอบคอบ
พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อผลประกอบการขององค์กรและปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานให้ทันต่อสถานการณ์
และเพื่อให้การปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐในภาพรวม
กระทรวงการคลังควรกำกับให้บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด
ปฏิบัติตามแผนการหารายได้และแผนการบริหารความเสี่ยงทางการเงินจากการปรับปรุงอัตราค่าจ้างขั้นสูงสุด
ของพนักงานอย่างเคร่งครัด
และกำหนดตัวชี้วัดเพื่อติดตามประเมินผลสำเร็จของแผนดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัด
|