ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 4 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 80 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 10 และร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ 1 | กค. | 23/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
ครั้งที่ ๑๐ (Joint Statement of the 10th ASEAN
Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting) และร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอาเซียน
ครั้งที่ ๑ (Joint Statement of the 1st ASEAN Finance and
Health Ministers’ Meeting) เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมที่จะมีการรับรองในการประชุมดังกล่าว
ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ทั้ง ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนในการดำเนินการประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ
ใน ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ ความร่วมมือระหว่างภาคสาธารณสุขและภาคการคลัง
ความมั่นคงทางอาหาร และการใช้สกุลเงินท้องถิ่นเพื่อการทำธุรกรรม และเป็นการแสดงความตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการคลังและสาธารณสุขเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านสาธารณสุขและเงินทุนในภูมิภาคอาเซียนเพื่อป้องกันและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับโรคระบาด
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง ๒ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||
22 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย) | ปปง. | 15/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย
ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๒)
|
|||||||||||||||||||||||||||
23 | ตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPls) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.12 | 08/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ดังนี้ ๑. ประเด็นนโยบายสำคัญ (Agenda) จำนวน ๕ ประเด็น
และห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ได้แก่ (๑)
การบริหารจัดการและอนุรักษ์พื้นฟูน้ำทั้งระบบ (๒) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (๓)
รายได้จากการท่องเที่ยว (๔) รายได้ของผู้ประกอบการ SMEs และ OTOP
(๕) การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 และ PM10 ๒.
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมาย ๓. (ร่าง)
ตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
โดยมอบหมายให้ ก.พ.ร. เป็นผู้พิจารณาการกำหนดตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย
และรายละเอียดของ Joint KPIs
โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. นำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนส่วนราชการ จังหวัด
และองค์การมหาชน ที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒
และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่ไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจนำ Joint KPIs
ไปขับเคลื่อนหน่วยงานของรัฐวิสาหกิจและส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน
ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ๖. ให้กรมบัญชีกลางนำ Joint KPIs
ไปขับเคลื่อนองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ และทุนหมุนเวียนอื่นภายใต้ระบบการประเมินของกรมบัญชีกลาง
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ ๗. ให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ และไม่อยู่ในระบบการประเมินของกรมบัญชีกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานอื่น ๆ นำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนภายในหน่วยงาน
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ ๘.
ให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายระดับชาติ ได้แก่
คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ
คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และคณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล
หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่ชาตินำ Joint KPIs
เสนอแก่คณะกรรมการนโยบายระดับชาติที่เกี่ยวข้อง
เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเด็นนโยบายสำคัญ ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น
ในการกำหนดตัวชี้วัด ค่าเป้าหมาย และรายละเอียดของตัวชี้วัด ควรให้สำนักงาน ก.พ.ร.
หารือร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อให้ตัวชี้วัดมีรายละเอียดที่ครบถ้วน เหมาะสม
สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวในปัจจุบัน
และสามารถขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุตามค่าเป้าหมายที่กำหนดได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหลักธรรมาภิบาลโดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
24 | กรอบแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.12 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยกรอบแนวทางการประเมินของส่วนราชการ
กำหนดให้กระทรวงมีบทบาทหลักเป็นผู้รับผิดชอบในการพิจารณากำหนดตัวชี้วัดและติดตามการประเมินผลการปฏิบัติงานของกระทรวงและส่วนราชการในสังกัดกระทรวงผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการระดับกระทรวง
สำหรับกรอบและแนวทางการประเมินของจังหวัดมุ่งเน้นการบูรณาการการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายระดับชาติและนโยบายสำคัญของรัฐบาลเช่นเดียวกับส่วนราชการ
โดยให้กระทรวงมหาดไทยมีบทบาทหลักในการพิจารณาความเหมาะสม ตัวชี้วัด น้ำหนัก
และค่าเป้าหมาย รวมทั้งติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของจังหวัดผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการจังหวัด
ทั้งนี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ในหัวข้อองค์ประกอบการประเมิน รอบระยะเวลาการประเมิน และกลไกการประเมิน
สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีหลังยุบสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา
๑๖๙ (๑) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เป็นการดำเนินการในลักษณะงานปกติตามที่กฎหมายกำหนดไว้
ไม่ได้เป็นการกำหนดนโยบายขึ้นใหม่
จึงไม่เป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
และให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนากยรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ
และสำนักงาน ก.พ. และข้อเสนอแนะของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรมีการศึกษาและทำความเข้าใจในบริบทของแต่ละส่วนราชการเพื่อนำมากำหนดเป็นตัวชี้วัดร่วมกันจะมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่า
ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ให้ ก.พ.ร. กำหนดหลักเกณฑ์ แนวทาง และกรอบเวลาในรอบการประเมินครั้งที่ ๑ ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน
เพื่อให้คะแนนการประเมินสามารถสะท้อนผลการดำเนินงานของหน่วยงานได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
และเกี่ยวกับขั้นตอนการประเมินการดำเนินงานของส่วนราชการและจังหวัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพฯ
ซึ่งกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗
และโดยที่ผลการประเมินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินการปฏิบัติราชการผู้บริหารของส่วนราชการ
ดังนั้น หากมีการเร่งรัดกระบวนการประเมินดังกล่าว
จะทำให้การดำเนินการมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติการผู้บริหารของส่วนราชการ
และกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๒ มากยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. .... | นร.09 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม
พ.ศ. .... ของกระทรวงมหาดไทย ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม
เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับประเภทของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรมในปัจจุบัน โดยกำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรมต้องดำเนินการตามที่กำหนดในส่วนที่เกี่ยวกับโครงสร้างโรงแรม
ระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย ระบบทางหนีไฟ ลักษณะภายในและภายนอกของอาคาร และการนำอาคารลักษณะพิเศษมาใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
26 | การพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | ยธ. | 18/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ในอัตราไม่เกิน ๑๓,๑๑๖ อัตรา โดยแบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง
และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไม่เกินร้อยละ
๒.๕ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง จำนวน ๓๖๘,๒๐๘ อัตรา คิดเป็นอัตราไม่เกิน ๙๒๐๕ อัตรา ให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไม่เกินร้อยละ ๑.๕
ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน ๒๖๐,๗๑๙ อัตรา คิดเป็นอัตราไม่เกิน ๓,๙๑๑ อัตรา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนปรับลดการพิจารณาบำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดประเภทเกื้อกูลให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเท่าที่จำเป็น
รวมทั้งให้พิจารณาคัดเลือกและจัดสรรอัตราบำเหน็จความชอบให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการพิจารณาบำเหน็จความชอบดังกล่าวแก่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรงก่อนเป็นลำดับแรก |
|||||||||||||||||||||||||||
27 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสมทบเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก (Numbers 3 : N3) พ.ศ. .... ร่างประกาศสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เรื่อง กำหนดประเภทและรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก (Lottery 6 : L6) และร่างประกาศสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เรื่อง กำหนดประเภทและรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก (Numbers 3 : N3) รวม 3 ฉบับ | กค. | 18/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสมทบเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก
(Numbers ๓ : N๓)
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
และวิธีการจัดสรรเงินจากการจำหน่ายสลากฯ N๓ เพื่อเป็นเงินสมทบเงินรางวัลในงวดถัดไปแต่ไม่เกินหนึ่งงวด
และหากการออกรางวัลงวดถัดไปไม่มีผู้ถูกรางวัลอีกให้นำเงินสมทบรางวัลในงวดก่อนหน้านำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. เห็นชอบร่างประกาศสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
เรื่อง กำหนดประเภทและรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก
(Lottery ๖
: L๖) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดประเภทและรูปแบบสลากฯ
L๖ เช่น เป็นสลากฯ ประเภทไม่สมทบเงินรางวัล (งวดใดไม่มีผู้ถูกรางวัล
ให้นำเงินรางวัลส่งเป็นรายได้แผ่นดิน) ประกอบด้วยตัวเลข ๖ หลัก ตั้งแต่
๐๐๐๐๐๐-๙๙๙๙๙๙ (กำหนดหมายเลขไว้ล่วงหน้า)
และมีวิธีการจำหน่ายทั้งรูปแบบใบและรูปแบบดิจิทัล และร่างประกาศสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
เรื่อง กำหนดประเภทและรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก (Numbers ๓ : N๓) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดประเภทและรูปแบบสลากฯ N๓
เช่น เป็นสลากฯ ประเภทสมทบเงินรางวัล (สมทบได้ไม่เกิน ๑ งวด
หากไม่มีผู้ถูกรางวัลอีกให้นำเงินสมทบเงินรางวัลในงวดก่อนหน้าส่งเป็นรายได้แผ่นดิน)
ประกอบด้วยตัวเลข ๓ หลักตั้งแต่ ๐๐๐-๙๙๙ (ไม่กำหนดหมายเลขไว้ในระบบล่วงหน้า
ผู้ซื้อสามารถเลือกตัวเลขได้ตามต้องการ) และมีวิธีการจำหน่ายเป็นแบบดิจิทัล
ทั้งนี้ สลากฯ L6 และสลากฯ N๓
จะมีการออกรางวัลทุกวันที่ ๑ และวันที่ ๑๖ ของเดือน หรือตามวันที่สำนักงานสลากฯ
กำหนด รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าการจัดสรรเงินได้จากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลักในแต่ละงวดเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานไม่เกินร้อยละ
๑๗ นั้น
ควรมีการปรับลดอัตราการจัดสรรเพื่อความเหมาะสมและสอดคล้องกับการจำหน่ายซึ่งเป็นรูปแบบดิจิทัลแล้ว
โดยอาจนำไปเพิ่มในส่วนของการจัดสรรเงินได้ที่ได้จากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลไปจัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการดำเนินการช่วยเหลืองานภาคประชาสังคมและชุมชนที่เข้มแข็งต่อไป
และควรระมัดระวังรูปแบบทางการตลาดและการประชาสัมพันธ์
ซึ่งไม่ควรเป็นการสร้างแรงจูงใจในการซื้อสลากโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติ ประจำเดือนพฤษภาคม 2566 | นร.11 สศช | 18/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติ
ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖ ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น (๑)
ความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่การปฏิบัติ (๒)
การดำเนินการของหน่วยงานของรัฐในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ (๓) การติดตาม
การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ (๔) ประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ
และ (๕)นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับรอบรายงานความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติเป็นรอบการรายงานทุก
ๆ ๖ เดือน (เดิมรายงานคณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน)
และประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการรับผิดชอบติดตาม
เร่งดำเนินการรายงานความคืบหน้าของการดำเนินการในระบบ eMENSCR อย่างต่อเนื่อง ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2564 | กค. | 11/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน
ประจำปีบัญชี ๒๕๖๔ เป็นการรายงานสถานะทางการเงินของทุนหมุนเวียนในภาพรวม
ผลการประเมินการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน
ข้อสังเกตการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงและประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน
และบทบาทของทุนหมุนเวียนที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ.
๒๕๕๘ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
30 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง กรณีการขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมาตรา 169 (3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ของกระทรวงการต่างประเทศ | นร 05 | 20/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
กรณีการขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมาตรา ๑๖๙ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ของกระทรวงการต่างประเทศ กรณีการขออนุมัติวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๒๒,๙๕๒,๔๘๓.๗๘ บาท
เพื่อชำระเป็นเงินอุดหนุนองค์การระหว่างประเทศที่ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกตามมาตร ๑๖๙
(๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ของกระทรวงการต่างประเทศ [ชำระเป็นค่าบำรุงงบประมาณปกติ (Regular Budget)
ของสหประชาชาติ ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๓]
ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติ ประจำเดือนเมษายน 2566 | นร.11 สศช | 06/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติ ประจำเดือนเมษายน ๒๕๖๖
ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น (๑)
ความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่การปฏิบัติ (๒)
การดำเนินการของหน่วยงานของรัฐในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ (๓) การติดตาม
การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ (๔) ประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ
และ (๕) นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้มอบหมายทุกหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญในการติดตามเร่งรัดโครงการที่มีผลการดำเนินการต่ำกว่าเป้าหมาย
รวมทั้งดำเนินการวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคที่ทำให้การดำเนินการเกิดความล่าช้า
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
32 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติ ประจำเดือนมีนาคม 2566 | นร.11 สศช | 23/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติ
ประจำเดือนมีนาคม ๒๕๖๖ ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น (๑)
ความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่การปฏิบัติ (๒)
การดำเนินการของหน่วยงานของรัฐในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ (๓) การติดตาม
การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ (๔)
ประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ และ (๕) นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้มอบหมายทุกหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญในการติดตามเร่งรัดโครงการที่มีผลการดำเนินการต่ำกว่าเป้าหมาย
รวมทั้งดำเนินการหาวิธีแก้ไข ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33 | รายงานสรุปผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ประจำปี 2565 | นร.11 สศช | 23/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ประจำปี ๒๕๖๕
สรุปได้ ดังนี้ (๑) ผลการดำเนินการของแผนการปฏิรูปประเทศ ๑๓ ด้าน เช่น
ด้านการเมือง มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ
เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายสาธารณะ ด้านกฎหมาย
มีการผลักดันให้มีกลไกการออกกฎหมายเท่าที่จำเป็น ด้านเศรษฐกิจ
มีการกำหนดนโยบายและมาตรการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ/นักลงทุนต่างชาติเข้ามาในไทย
ด้านสังคม
มีการขึ้นทะเบียนคนพิการเพื่อให้ได้รับสิทธิสวัสดิการและความช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง
และด้านสาธารณสุข มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขใน
๗๖ จังหวัด และกรุงเทพมหานคร (๒) ประเด็นท้าทายของการปฏิรูปประเทศ เช่น
การลดบทบาทภารกิจของภาครัฐให้เหลือเท่าที่จำเป็น
การพัฒนากำลังคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน การจัดระบบบริการสาธารณสุข
และการปรับปรุงกระบวนการปราบปรามการทุจริตที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และ (๓)
การดำเนินการต่อไปเพื่อให้ผลสัมฤทธิ์มีความยั่งยืนหลังจากสิ้นสุดการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ
เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕
โดยมีผลจากการปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกของแผนระดับที่ ๒ แผนระดับที่ ๓
และการดำเนินการต่าง ๆ
ต่อไปและจะต้องให้ความสำคัญในการประยุกต์ใช้หลักการวงจรบริหารงานคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะเลขานุการของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
34 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 6/2566 | นร.11 สศช | 16/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๖ ประกอบด้วย (๑) อนุมัติให้สถาบันวัคซีน เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและทดสอบวัคซีน
และเภสัชภัณฑ์ในลิงมาร์โมเส็ท และโครงการศึกษาความปลอดภัย (Safety) ความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Immunogenicity) และประสิทธิภาพ (Vaccine Efficacy) ของแคนดิเดตซับยูนิตวัคซีน
สำหรับป้องกันโรคโควิด-๑๙
ที่ใช้พืชเป็นแหล่งผลิตในมนุษย์ระยะที่ ๒a โดยขยายระยะเวลาดำเนินโครงการทั้งสอง
เป็นสิ้นสุดภายในวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ (๒) มอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานดำเนินโครงการจัดทำรายงานความก้าวหน้าของโครงการและแผนการดำเนินงานที่ได้มีการปรับแผนพร้อมการบริหารความเสี่ยง
เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการดำเนินโครงการฯ จะสามารถแล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
(๓) อนุมัติให้จังหวัดเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
๔๑ โครงการกรอบวงเงิน ๒๐๓.๒๔๗๖ ล้านบาท (๔) มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย เร่งดำเนินการประสานจังหวัดในการตรวจสอบการดำเนินโครงการของหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการโดยใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยกรณีที่จังหวัดไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรี
ให้เร่งรัดจังหวัดดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการและ/หรือเสนอขอยกเลิกการดำเนินโครงการตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ต่อไป และ (๕) มอบหมายให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการ
เร่งปรับปรุงรายละเอียดของโครงการในระบบ eMENSCR ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
พร้อมทั้งเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและกระทรวงต้นสังกัดรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และบรรลุผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามที่กำหนดไว้
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
35 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | นร.12 | 09/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
และเห็นชอบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ |
|||||||||||||||||||||||||||
36 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด สมัยที่ 16 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ 11 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ 11 | ทส. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด
สมัยที่ ๑๖ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ
สมัยที่ ๑๑ และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน
สมัยที่ ๑๑ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของกรอบการเจรจาและท่าทีของประเทศไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคี ๓
อนุสัญญาให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||
37 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (ฉบับ ..) พ.ศ. .... | อว. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา
อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ
และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการพยาบาลศาสตร์
สาขาวิชาการแพทย์แผนไทย สาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์
และสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ เพิ่มขึ้น รวมทั้งสีประจำคณะพยาบาลศาสตร์ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๑ ให้ถือเป็นหลักการว่า
เมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดอนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน
แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้ แต่โดยที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าสภามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีได้อนุมัติหลักสูตร
ดังนี้ (๑) หลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต (๒) หลักสูตรศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชาศิลปกรรมพื้นถิ่น (๓) หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต
สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล (๕ ปี) (๔) หลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต
สาขาวิชาแพทย์แผนไทย และได้เปิดการเรียนการสอนแล้วในสาขาวิชาดังกล่าว
ก่อนเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา
ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยะฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตและหลักสูตรศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต
มีผู้สำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา ๒๕๖๕ (พ.ศ. ๒๕๖๖)
และจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรประมาณเดือนกันยายน ๒๕๖๖ ส่วนหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต
และหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิตจะสำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา ๒๕๖๗ (พ.ศ. ๒๕๖๘)
และจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรประมาณเดือนกันยายน ๒๕๖๘ ดังนั้น
กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
เมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดอนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน
แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้น
เพื่อให้พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับก่อนเปิดทำการสอน
ซึ่งจะรองรับศักดิ์และสิทธิ์แห่งปริญญาให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
38 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 29 [Joint Statement of the Twenty - Ninth ASEAN Socio - Cultural Community (ASCC) Council] | พม. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๒๙ [Joint Statement of the Twenty-Ninth ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council] และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะมนตรีประชาคมอาเซียนและวัฒนธรรมอาเซียน
ครั้งที่ ๒๙ [29th ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council Meeting] ให้การรับรองร่างถ้อยแถลงสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมอาเซียนและวัฒนธรรมอาเซียน
ครั้งที่ ๒๙ ในวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
มีสาระสำคัญเพื่อสนับสนุนและชื่นชมความก้าวหน้าและความสำเร็จในการดำเนินงานภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
ภายใต้แนวคิด “อาเซียนเป็นศูนย์กลาง สรรสร้างความเจริญ” “ASEAN
Matters : Epicentrum of Growth”ตลอดจนการรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานต่าง
ๆ ภายใต้ประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ในกรณีที่มีการปรับแก้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ในฐานะส่วนราชการเจ้าของเรื่องพิจารณาให้ร่างสุดท้ายของร่างถ้อยแถลงร่วมดังกล่าวเป็นไปตามแนวทางในข้อ
๑.๑ ไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ครั้งที่ ๒๙
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
39 | รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ไตรมาสที่ 2) | นร.07 | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ (ไตรมาสที่
๒) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ ทั้งนี้
การจัดทำรายงานดังกล่าวเป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
40 | การพิจารณาความเหมาะสมของโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในภาพรวม | นร 05 | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า ในระยะเวลาที่ผ่านมากระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือค่าฟ้าไฟเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้นมาเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของกลุ่มเปราะบาง อย่างไรก็ตาม การดำเนินมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวยังมีข้อจำกัดหลายประการทำให้ไม่สามารถให้การช่วยเหลือดูแลประชาชนในกลุ่มเปราะบางได้อย่างเหมาะสมและครอบคลุม
ดังนั้น
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมของโครงสร้างอัตราไฟฟ้าในภาพรวม
โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางและผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มอื่น ๆ อย่างครอบคลุม
เพื่อให้อัตราไฟฟ้าสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและมีกลไกในการสนับสนุนการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าให้แก่กลุ่มเปราะบางที่เหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเกินความจำเป็น
|