คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้

๑. รับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ พร้อมข้อเสนอแนะ ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ

๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) สำนักงบประมาณ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ โดยให้กระทรวงมหาดไทยสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้

๑. รับทราบรายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (เรื่อง การบริหารจัดการของเรือนจำในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง กรณีการดำเนินงานด้านสุขาภิบาลอาหาร น้ำดื่ม-น้ำใช้ และโภชนาการของผู้ต้องขังในเรือนจำ) ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ จากเดิม สิ้นสุดเดือนกันยายน ๒๕๖๘ เป็น สิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ

และให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น

สำนักงบประมาณ เห็นควรติดตามและประเมินผลการดำเนินมาตรการดังกล่าว เพื่อรายงานผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบด้วย

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ประจำปี ๒๕๖๗ ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย และการประชุมสามัญ ประจำปี ครั้งที่ ๓๓ แล้ว สรุปได้ ดังนี้ ๑) รายงานประจำปี เป็นภารกิจระบุกิจกรรมสำคัญในด้านปริมาณสำรองปิโตรเลียม ด้านการผลิตและพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติ โดยในปี ๒๕๖๗ มีก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้จากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ถูกส่งเข้าไทย รวมทั้งสิ้น ๑๔๐.๙๑ พันล้านลูกบาศก์ฟุต และส่งเข้ามาเลเซีย รวมทั้งสิ้น ๑๙๘.๑๑ พันล้านลูกบาศก์ฟุต และ ๒) รายงานงบการเงินองค์กรร่วมฯ มีรายได้จากการขายปิโตรเลียม แปลง A - 18 และแปลง B - 17 - 01 จำนวน ๒,๑๙๓.๗๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นรายรับสุทธิขององค์กรร่วมฯ (หลังหักค่าใช้จ่าย) จำนวนทั้งสิ้น ๔๑๗.๒๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในส่วนของสถานะกองทุนองค์กรร่วมฯ ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ มีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๒๓๒.๓๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ องค์กรร่วมฯ ได้นำส่งรายได้ให้รัฐบาลทั้งสองประเทศ และรายได้นำส่งให้รัฐบาลทั้งสองประเทศ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๖๙.๖๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เป็นการนำส่งรายได้จากการขายปิโตรเลียมของเดือน พฤศจิกายน ๒๕๖๖ - ตุลาคม ๒๕๖๗) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๓ ราย ตามลำดับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้

๑. นายทรงศักดิ์ ทองศรี                 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

๒. นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์              รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

๓. นางสาวศศิธร กิตติธรกุล             รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นว่า เพื่อให้การปฏิบัติราชการของส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นแบบแผนเดียวกัน จึงมีมติเห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามหลักการบริหารราชการแผ่นดินในกรณีการรักษาราชการแทนโดยเคร่งครัดว่า การรักษาราชการแทนเป็นหลักการที่ใช้เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างต่อเนื่องในระหว่างที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งหรือผู้ดำรงตำแหน่งไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ การรักษาราชการแทนจึงเป็นกรณีชั่วคราว ไม่ควรที่จะให้มีการรักษาราชการแทนยาวนานเกินจำเป็น เพราะจะขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการรักษาราชการแทน อีกทั้งยังจะเป็นช่องทางให้เกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบอันส่งผลต่อระบบราชการได้ จึงไม่ควรให้มีการรักษาราชการแทนเกิน ๑๘๐ วัน เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น ตามข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนกรอบแนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๔) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ (เรื่อง การทบทวนแนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ) โดยการปรับปรุงรายละเอียดตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ” ตามผลการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. เป็นผู้พิจารณากำหนดหรือปรับปรุงแนวทางการประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญ ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือเทียบเท่า และผู้ว่าราชการจังหวัด ให้มีความเหมาะสมได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และที่รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) เสนอเพิ่มเติมว่า การกำหนดตัวชี้วัดเพื่อประเมินผลการปฏิบัติราชการผู้บริหารของส่วนราชการ มิติด้านผลสัมฤทธิ์ ข. การดำเนินการในวาระเร่งด่วนหรือภารกิจที่ถูกมอบหมายเป็นพิเศษ (Urgency/assigned Tasks) นั้น เห็นควรที่คณะรัฐมนตรีจะกำหนดให้มีตัวชี้วัดเพิ่มเติมให้ครอบคลุมการดำเนินการตามนโยบายสำคัญเร่งด่วนต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น การยกเลิกกฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และสร้างภาระที่ไม่จำเป็นแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ (Guillotine) การขับเคลื่อนให้ไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการให้บรรลุผลโดยเร็วต่อไป

ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้

กระทรวงการคลัง เห็นควรพิจารณากำหนดตัวชี้วัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจที่ดำเนินงานตามปีงบประมาณ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้สอดคล้องกับมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ (Front Load) ตามที่คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๘ ด้วย

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเสนอ ดังนี้

๑. ให้ความเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ ๒๕๗๐ - ๒๕๗๓) เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาจัดทำกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บหรือหารายได้ การจัดทำงบประมาณและการก่อหนี้ของหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑

๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังหารือในรายละเอียดการดำเนินการตามแผนการคลังระยะปานกลางฯ ให้เป็นรูปธรรม และนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบต่อไป

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ ๕ ณ กรุงเทพมหานคร ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ๒๕๖๘ ซึ่งนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนมีกำหนดการจะเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการและเข้าร่วมประชุม MLC ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำเอกสาร/ข้อตกลงต่าง ๆ ไว้ให้พร้อมสำหรับการลงนามร่วมกับฝ่ายจีนโดยด่วน รวมทั้งให้เตรียมการต้อนรับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนและผู้นำประเทศต่าง ๆ รวมตลอดถึงความพร้อมและการอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับการจัดการประชุมดังกล่าวข้างต้น เช่น สถานที่ประชุม สถานที่พัก การจัดเลี้ยง การจัดรถนำขบวน การรักษาความปลอดภัย ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เหมาะสม และสมเกียรติด้วย

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก (Facebook) ไปแล้วก่อนหน้านี้เกี่ยวกับผลการหารือทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย (Mr. Anwar Ibrahim) กรณีฝ่ายกัมพูชาได้วางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตอธิปไตยของประเทศไทย และส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บข้อเท้าขาด อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อถ้อยแถลง (Joint Declaration) ที่ได้ลงนามร่วมกันไว้ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย และเป็นเหตุให้ประเทศไทยจำเป็นต้องประกาศระงับการดำเนินการตามถ้อยแถลงดังกล่าวไว้ก่อน นั้น เพื่อให้ประชาชนชาวไทยและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องสำคัญนี้อย่างชัดเจน ถูกต้อง ตรงกัน จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้

๑. ให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศเร่งชี้แจงและเน้นย้ำให้ประชาชนทราบอย่างชัดเจนโดยทั่วกันว่า สหรัฐอเมริกาจะไม่นำประเด็นที่ประเทศไทยระงับการดำเนินการตามถ้อยแถลงฯ มาเป็นเงื่อนไขการเจรจาภาษีทางการค้าระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้

๒. ให้กระทรวงกลาโหมเร่งดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยดำเนินการฝ่ายเดียว เพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยรักษาคำมั่นที่ให้ไว้กับทุกฝ่าย ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหม เชิญคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทยเข้าร่วมสังเกตการณ์การเก็บกู้ทุ่นระเบิดดังกล่าวด้วยอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแอบอ้างว่าประเทศไทยมีการดำเนินการใด ๆ อันเป็นการละเมิดต่อถ้อยแถลงดังกล่าว

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากที่ได้รับโอกาสตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนในโอกาสการเฉลิมฉลองครบรอบ ๕๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ นั้น เพื่อเป็นการสานต่อและส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้

๑. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่ได้จัดทำความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในด้านต่าง ๆ ไปแล้ว และที่กำลังจะจัดทำในอนาคต ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนความร่วมมือและความสัมพันธ์ด้านต่าง ๆ ในทุกมิติอย่างต่อเนื่องและรอบด้าน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชนในภาพรวม เช่น การอำนวยความสะดวกทางการค้า การตรวจสอบสินค้า การขนส่ง การดึงดูดการค้าการลงทุน การส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว การยกระดับมาตรฐานด้านการศึกษา

๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการตรวจสอบ การกักกัน และการออกใบรับรองสุขอนามัยสำหรับสินค้าเกษตรต่าง ๆ ทั้งสินค้าพืช ปศุสัตว์ และประมง ที่จะส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ให้มีความปลอดภัยได้มาตรฐาน และสามารถส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง

๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการส่งเสริมและผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนให้เพิ่มมากขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและประเภทสินค้า

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๙๗,๐๘๘,๒๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ และรายการที่เกี่ยวข้อง ของสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๘ วรรคสอง และให้สำนักงาน ป.ป.ช. จัดทำแผนการดำเนินการ ตลอดจนปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ

ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง และข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย