ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 198 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 3941 - 3960 จากข้อมูลทั้งหมด 124248 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3941 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับสูงว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกัน ในห้วงการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 3 | คค. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับสูงว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกัน
ในห้วงการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ ๓
และให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม
บูรณาการแนวทางการดำเนินงานและแสวงหาความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ
โดยร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกันของประเทศต่าง ๆ
ภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt
and Road Initiative : BRI) ส่งเสริมความมั่นคง ยืดหยุ่น และยั่งยืน
ทั้งด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมขนส่ง การพัฒนาพลังงาน
การยกระดับการบริหารจัดการน้ำ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร
การยกระดับความเชื่อมโยงด้านกฎ ระเบียบในระดับทวิภาคีและพหุภาคี
และการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทางธุรกิจระหว่างประเทศ
โดยไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมายในระดับรัฐบาล รวมทั้งไม่มีการลงนาม
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงคนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรมีการวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
และสื่อสารผลลัพธ์ให้ทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3942 | การประชุมสมัชชาใหญ่สมัยสามัญขององค์การการท่องเที่ยวโลก ครั้งที่ 25 | กก. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสาร
จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างข้อมติให้เมืองซามาร์คันด์
สาธารณรัฐอุซเบกิสถานเป็นเมืองหลวงด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของโลก (๒)
ร่างมติเสนอการรับรองหัวข้อวันท่องเที่ยวโลกและการแต่งตั้งประเทศเจ้าภาพจัดงานวันท่องเที่ยวโลก
ปี พ.ศ. ๒๕๖๗ และ พ.ศ. ๒๕๖๘ (๓)
ร่างมติเสนอชื่อการเลือกประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชาใหญ่สมัยสามัญขององค์การการท่องเที่ยวโลก
ครั้งที่ ๒๖ และ (๔)
ร่างเอกสารยื่นรับหลักปฏิบัติสากลสำหรับการคุ้มครองนักท่องเที่ยวขององค์การการท่องเที่ยวโลก
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองและลงนามในเอกสารทั้ง ๔ ฉบับ ในการประชุมสมัชชาใหญ่สมัยสามัญขององค์การการท่องเที่ยวโลก
ครั้งที่ ๒๕ (The 25th Session of the UNWTO
General Assembly : 25th UNWTO GA) ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๐
ตุลาคม ๒๕๖๖ ณ เมืองซามาร์คันด์ สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน โดยร่างเอกสารทั้ง ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศไทยที่ให้ความสำคัญกับการแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์ในการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการท่องเที่ยวโลก
ซึ่งเป็นเวทีการประชุมระดับโลก
พร้อมทั้งเป็นการแสดงความพร้อมของประเทศไทยต่อนานาประเทศในการดำเนินการตามหลักปฏิบัติสากลด้านการท่องเที่ยว
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อมติและร่างเอกสารฯ รวม ๔ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3943 | การจัดทำร่างแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับปี พ.ศ. 2566-2570 | วธ. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำร่างแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับปี พ.ศ.
๒๕๖๖-๒๕๗๐ (Executive Program for Cultural Cooperation
for the Years 2023-2027 between the Ministry of Culture of the Kingdom of
Thailand and the Ministry of Culture and Tourism of the People’s Republic of
China) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างแผนปฏิบัติการฯ
โดยร่างแผนปฏิบัติการฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือทางวัฒนธรรมสำหรับปี
พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐ ในเรื่องต่าง ๆ เช่น
การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางด้านวัฒนธรรมในทุกระดับอย่างค่อยเป็นค่อยไป
การเพิ่มพูนการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างกันในสาขาทางด้านวัฒนธรรมที่หลากหลาย
และการสนับสนุนการเจรจาแลกเปลี่ยนทางวิชาการและวัฒนธรรมระหว่างกัน เป็นต้น
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนปฏิบัติการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงวัฒนธรรมรับข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นควรมีการส่งเสริมการดำเนินงานความร่วมมืออย่างสมดุลภายใต้แผนปฏิบัติการฯ
นอกจากการส่งเสริมจีนศึกษาและจีนร่วมสมัยแล้ว
ฝ่ายไทยควรจะได้มีการเผยแพร่องค์ความรู้ในเรื่องของไทยศึกษา
รวมทั้งเทศกาลประเพณีไทยต่าง ๆ แลกเปลี่ยนกับฝ่ายจีน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3944 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อการจัดตั้งกลไกประสานงานสำหรับการร่วมกันส่งเสริมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง | กต. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อการจัดตั้งกลไกประสานงานสำหรับการร่วมกันส่งเสริมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกลไกประสานงานภายใต้แผนความร่วมมือฯ
และกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับกลไกประสานงานระหว่างหน่วยงาน เช่น
ขอบเขตการดำเนินงานของทั้งสองฝ่ายภายใต้กลไกประสานงานใน ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑)
การตีความ การทบทวน และการปฏิบัติตามแผนความร่วมมือฯ (๒) การทบทวน
ปรับปรุงรายชื่อโครงการความร่วมมือภายใต้แผนความร่วมมือฯ (๓)
การร่วมกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติตามแผนความร่วมมือฯ และ (๔)
การแลกเปลี่ยนความร่วมมือในสาขาที่สอดคล้องกับแผนความร่วมมือฯ
หรือในสาขาอื่นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าเป็นประโยชน์ การจัดการประชุมของกลไกประสานงาน
การแบ่งค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดการประชุมกลไกประสานงานระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาและการปฏิรูปแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3945 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ | กต. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ
(Summit between ASEAN and the Gulf
Cooperation Council : ASEAN-GCC Summit) จำนวนสองฉบับ ได้แก่ (๑)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำทั้งสองฝ่ายในการกระชับความสัมพันธ์อาเซียน-GCC
ในความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ที่สองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน และ (๒)
ร่างกรอบความร่วมมืออาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ ค.ศ. ๒๐๒๔-๒๐๒๘ เป็นเอกสารแผนงานระหว่างอาเซียนกับ
GCC ระยะ ๕ ปี ระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๒๔-๒๐๒๘ ซึ่งระบุโครงการ
กิจกรรม และแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ระหว่างกัน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ได้ระบุถึงการแสวงหาความร่วมมือในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม
การปรับตัวและมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการขนส่ง ซึ่งไม่มีการระบุไว้ในร่างกรอบความร่วมมือฯ
จึงอาจพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อนำไปเป็นแนวทางการขยายการดำเนินความร่วมมือร่วมกันต่อไปในอนาคต
รวมทั้งควรวิเคราะห์และประเมินผลจากการร่วมรับรองร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารทั้งสองฉบับในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
3946 | ร่างแถลงการณ์ข่าวร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ข่าวร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
(Joint Press Communique between the
Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s
Republic of China) ในโอกาสการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี
และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ข่าวร่วมฯ โดยไม่มีการลงนาม
โดยร่างแถลงการณ์ข่าวร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการสะท้อนผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำระดับสูงของจีน
ระหว่างการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3947 | ขอให้พิจารณาประกาศพื้นที่ อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา และอำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส เป็นพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร | กอรมน. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบสรุปผลการประเมินพื้นที่ อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา
และอำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส
ประกอบการพิจารณาประกาศพื้นที่ที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑
ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนอ ๒. เห็นชอบ ๒.๑ ร่างประกาศ เรื่อง
พื้นที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ๒.๒ ร่างประกาศ เรื่อง การให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ๒.๓ ร่างประกาศ เรื่อง
กำหนดลักษณะความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๒๑
แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒.๔ ร่างข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๑๘
แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ รวม ๔ ฉบับ
ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3948 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก และนายพิชัย นริพทะพันธุ์) | นร.04 | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖)
เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก ๒. นายพิชัย นริพทะพันธ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3949 | การสนับสนุนการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ | นร. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้
สรุปว่ารัฐบาลจะไม่ละเลยเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
สานต่อนโยบาย Carbon Neutrality เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ
และจะใช้การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ นั้น
เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนดังกล่าว
ผ่านการส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero
Emission Vehicle) ซึ่งกำหนดเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ร้อยละ
๓๐ ของกำลังการผลิตยานยนต์ภายในประเทศภายในปี ๒๕๗๓
จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) มาใช้ในราชการแทนรถยนต์เดิมที่จะหมดอายุการใช้งานหรือที่จะต้องจัดซื้อจัดจ้างขึ้นใหม่เพื่อรองรับภารกิจใหม่หรือผู้ดำรงตำแหน่งใหม่
รวมทั้งให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพลังงานสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่าง
ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าวให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลังพิจารณากำหนดมาตรการและมาตรฐานเพื่อขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนรถสาธารณะทุกชนิด
[เช่น รถโดยสารประจำทาง
รถยนต์รับจ้าง (แท็กซี่) และรถสามล้อ] ให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
และดำเนินการตามขั้นตอนให้ถูกต้อง
เพื่อให้มีผลใช้บังคับโดยเร็วต่อไป ๓.
ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการเพื่อสนับสนุนการก่อสร้างโครงข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ
รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งานตามความจำเป็นเร่งด่วนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ๔.
ให้กระทรวงคมนาคมประสานความร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและสงเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาและกำหนดนโยบายและมาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปภายในมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
(EV) เช่น
การส่งเสริมให้เกิดตลาดรถยนต์ใช้แล้วสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
การส่งเสริมผู้ประกอบการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้า การกำจัดรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน (End
of Life Vehicle) และการนำชิ้นส่วนรถยนต์ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ (Recycle)
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์ให้ค่าเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้ามีความเหมาะสมและจูงใจให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ๕.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการทุน
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกพิจารณากำหนดนโยบายและมาตรการเพื่อส่งเสริมให้เกิดห่วงโซ่อุปทาน
(Supply Chain) ยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศอย่างครบวงจร
โดยเฉพาะการผลิตชิ้นส่วนสำคัญ (เช่น แบตเตอรี่ และระบบส่งกำลังด้วยไฟฟ้า)
ภายในประเทศ เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ภายในประเทศ
และรองรับการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญของภูมิภาค
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3950 | คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี (เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี) | นร.04 | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๗๐/๒๕๖๖ เรื่อง
แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ
และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ
รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย
และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๖
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3951 | ร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงการอุดมศึกษาและการวิจัยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสว่าด้วยความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม | อว. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงการอุดมศึกษาและการวิจัยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสว่าด้วยความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้ลงนามในร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงฯ โดยร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบการดำเนินความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานของทั้งสองประเทศบนพื้นฐานความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกิจกรรมความร่วมมือภายใต้ร่างแถลงการณ์เจตจำนงฯ ควรศึกษาข้อกฎหมายและกฎระเบียบที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันของสาธารณรัฐฝรั่งเศส
เพื่อเป็นประโยชน์ต่อแนวทางการดำเนินงานร่วมกันทั้งในส่วนของการแบ่งผลประโยชน์และสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
ซึ่งจะมีผลให้แถลงการณ์เจตจำนงฯ เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศอย่างเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
3952 | การป้องกันและแก้ปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง พื้นที่การเกษตร หมอกควัน และฝุ่นควัน PM2.5 | นร. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้ว่า
รัฐบาลจะแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นควัน PM2.5 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปีและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทุกคนด้วยการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจทั้งทางบวกและทางลบในภาคเกษตรกรรม
รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว นั้น
จึงขอมอบให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืน
โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานกรรมการ
และมีผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการให้ครบถ้วน
เพื่อเป็นกลไกเร่งรัดการจัดทำแผนและการดำเนินมาตรการเพื่อลดฝุ่นควัน PM2.5 ทั้งระบบ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ
ครอบคลุมทั้งการเผาในพื้นที่ป่า พื้นที่โล่ง และพื้นที่การเกษตร
รวมถึงการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาหมอกควันดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3953 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ และนายมติชน ชูทับทิม) | นร.04 | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้
ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖) เป็นต้นไป
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ๒. นายมติชน ชูทับทิม ดำรงตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3954 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 | นร. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ โดยในคราวประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๐
ตุลาคม ๒๕๖๖ ที่ประชุมได้พิจารณากรอบและแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ
แล้วมีความเห็นร่วมกันว่า
ควรจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในทุกภาคส่วนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐
และควรศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีมติเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการฯ
ขึ้น จำนวน ๒ คณะ ได้แก่
คณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐
และคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ
ได้จัดทำร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ทั้ง ๒ คณะดังกล่าว
รวมทั้งได้จัดทำสรุปสาระสำคัญผลการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่
๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๖ เรียบร้อยแล้ว
ตามที่คณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3955 | การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดกฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามแนวชายแดน | นร. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
ได้รับข้อร้องเรียนว่า
มีกลุ่มบุคคลได้กระทำความผิดกฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยการล่าและการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซียอยู่บ่อยครั้ง
ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย
รวมทั้งป้องกันปัญหาการรุกล้ำเขตแดนของต่างประเทศ
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อติดตาม ดูแล
และแก้ปัญหาการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าวข้างต้นโดยด่วน ทั้งนี้
ให้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานของประเทศเพื่อนบ้านตามความจำเป็นและเหมาะสมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3956 | การเร่งจับกุมผู้กระทำผิดในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี | นร. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
ในช่วงระยะเวลา ๑ ปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา
ได้เกิดคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นจำนวนมากกว่า ๓๓๐,๐๐๐ คดี
และมีมูลค่าความเสียหายโดยรวมมากกว่า ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท แต่สามารถจับกุมตัวผู้กระทำผิดเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือให้ได้รับการลงโทษได้เพียงจำนวนน้อย
ดังนั้น
จึงขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการทำงานกับกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเชิงรุก
ระดมกำลังปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
เพื่อติดตามและจับกุมตัวผู้กระทำผิดในคดีดังกล่าวมาลงโทษตามกฎหมายให้มากยิ่งขึ้น
รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการป้องกันการก่ออาชญากรรมดังกล่าวให้เท่าทันสถานการณ์และสร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้ทั่วถึงและต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3957 | การยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติรัสเซีย เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว | กต. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกำหนดให้
“สหพันธรัฐรัสเซีย” อยู่ในรายชื่อประเทศในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว
ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินเก้าสิบวัน
เป็นกรณีพิเศษ โดยมีเงื่อนไขให้มีผลบังคับใช้ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน
๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๗
เพื่อประโยชน์ต่อมิติเศรษฐกิจและการต่างประเทศกับสหพันธรัฐรัสเซีย
โดยเฉพาะด้านความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนที่เป็นรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒.
เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยวได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา
และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินเก้าสิบวัน เป็นกรณีพิเศษ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้
“สหพันธรัฐรัสเซีย”
อยู่ในรายชื่อประเทศผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยวได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน
๙๐ วัน ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๓๐
เมษายน ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทยแก้ไขบทอาศัยอำนาจของร่างประกาศให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเป็นหน่วยงานกลางในการประสานการกำกับ
ติดตาม ตรวจสอบ
และประเมินผลการเข้ามาของนักท่องเที่ยวสัญชาติรัสเซียร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ทั้งในมิติของหลักประติบัติต่างตอบแทนกับต่างประเทศ
มิติความมั่นคง มิติเศรษฐกิจ และมิติการท่องเที่ยว
เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน และผลประโยชน์แห่งชาติ รวมทั้งควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินมาตรการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดผลกระทบจากการให้สิทธิการยกเว้นการตรวจลงตรา
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการท่องเที่ยวไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนามัคคุเทศก์ให้ได้มาตรฐานทั้งทักษะด้านภาษาต่างประเทศ
และภาษารัสเซีย ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม
และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ รวมทั้งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ทราบในวงกว้าง
และเผยแพร่ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของประเทศไทย อาทิ
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism)
ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพอีกทางหนึ่ง
ตลอดจนพัฒนาระบบความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวที่สามารถเข้าถึงการแจ้งเหตุเตือนภัยหรือแจ้งเหตุประสบอันตรายได้อย่างสะดวก
เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจในการเดินทางมายังประเทศไทย
และสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีในระหว่างการพำนักในประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
3958 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (1. นายชัยเกษม นิติสิริ ฯลฯ จำนวน 5 ราย) | นร.04 | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๕ ราย ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. นายชัยเกษม นิติสิริ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ๒. นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ ดำรงตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ๓. พลตำรวจโท พัฒนวุธ อังคะนาวิน ดำรงตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๔. พันตำรวจเอก เกียรติพงษ์ ทองเพียร ดำรงตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๕. นายอรัญ พันธุมจินดา ดำรงตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3959 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ | นร.04 | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง รองนายกรัฐมนตรี (นายปานปรีย์ พหิทธานุกร)
เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
3960 | การเร่งรัดการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด | นร. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงยุติธรรมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการ
ดังนี้ ๑.๑
พิจารณาทบทวนกฎหมายและอนุบัญญัติต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งหมดที่อาจเป็นอุปสรรคและส่งผลต่อความสำเร็จในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางในการควบคุมวัตถุ/เคมีภัณฑ์และสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดชนิดต่าง
ๆ ตลอดจนเกณฑ์การกำหนดปริมาณยาเสพติดในการครอบครองของบุคคลที่เข้าข่ายเป็นผู้เสพยาเสพติดหรือเป็นผู้จำหน่ายยาเสพติดที่ต้องรักษาโทษตามกฎหมายให้ชัดเจน
ครบถ้วน ๑.๒ ลดปริมาณผู้เสพยาเสพติด โดยใช้วิธีชุมชนบำบัด
ซึ่งเป็นการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยเสพติดที่ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ
ทั้งนี้ ให้กำหนดเป็นตัวชี้วัด (KPI)
ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนและสามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องในการบูรณาการแผนงาน ประสานงาน ขับเคลื่อน
และติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในภาพรวม ทั้งนี้ มอบให้ พลตำรวจเอก
ชินภัทร สารสิน ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับดูการดำเนินการในภาพรวมของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดด้วย
|