ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1414 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 28261 - 28280 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28261 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหัวกุญแจ - หนองไผ่แก้ว จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | มท | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหัวกุญแจ-หนองไผ่แก้ว จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลหนองซาก ตำบลบ้านบึง ตำบลหนองอิรุณ ตำบลคลองกิ่ว และตำบลหนองไผ่แก้ว อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
28262 | รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประจำปี พ.ศ. 2554 | ปง | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ด้านการปราบปรามการฟอกเงิน ๑.๑.๑ การรับรายงานธุรกรรม สำนักงาน ปปง. ได้รับรายงานการทำธุรกรรม จำนวนทั้งสิ้น ๑,๘๖๗,๔๕๗ ธุรกรรม ได้แก่ ธุรกรรมเงินสด จำนวน ๙๓๓,๔๘๒ ธุรกรรม ธุรกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน จำนวน ๗๖๒,๘๒๘ ธุรกรรม ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย จำนวน ๑๖๖,๕๗๘ ธุรกรรม กิจกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย จำนวน ๒๘๓ ธุรกรรม และเงินสดข้ามแดน จำนวน ๔,๒๘๖ ธุรกรรม ๑.๑.๒ การดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยและกิจกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย ดำเนินการได้ จำนวน ๗๑ เรื่อง ส่งให้หน่วยงานภายนอกสำนักงาน ปปง. ดำเนินการ จำนวน ๑๒ เรื่อง และเก็บเป็นฐานข้อมูล จำนวน ๓ เรื่อง ๑.๑.๓ การแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ดำเนินการทั้งสิ้น จำนวน ๑,๐๗๑ ครั้ง แบ่งเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานภายในประเทศ (ธนาคาร/หน่วยงานราชการ) จำนวน ๘๙๙ ครั้ง และการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานต่างประเทศ จำนวน ๑๗๒ ครั้ง ๑.๑.๔ การดำเนินการตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับแจ้งแยกตามความผิดมูลฐานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น จำนวน ๔๑๙ คดี เป็นคดีที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ เช่น ความผิดมูลฐานยาเสพติด จำนวน ๒๕๕ คดี ลักลอบหนีศุลกากร จำนวน ๕๙ คดี ทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำนวน ๓๒ คดี เป็นต้น ๑.๑.๕ สถานะการดำเนินการกับทรัพย์สิน ตั้งแต่วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๓-๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ มูลค่าทรัพย์สินรวม ๔,๑๒๗,๖๖๔,๕๑๘.๙๗ บาท โดยศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน ๕๖๐ คดี มูลค่าทรัพย์สิน ๒,๔๙๓,๖๒๐,๓๗๐.๐๙ บาท ศาลยกคำร้อง จำนวน ๔๓ คดี มูลค่าทรัพย์สิน ๕๓๓,๗๒๐,๒๓๔.๐๓ บาท คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จำนวน ๓๑ คดี มูลค่าทรัพย์สิน ๕๐๐,๒๑๖,๕๓๑.๗๐ บาท ๑.๒ การบริหารจัดการทรัพย์สินที่ได้จากการยึดและ/หรืออายัดทรัพย์สิน ๑.๒.๑ เก็บรักษาทรัพย์สินที่ยึดและ/หรืออายัดทรัพย์สิน ตั้งแต่วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๓-๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ มีมูลค่าทั้งสิ้น ๓,๑๕๕,๕๖๓,๔๗๑.๑๐ บาท ๑.๒.๒ นำทรัพย์สินที่ศาลสั่งตกเป็นของแผ่นดินส่งกระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓-๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ จำนวน ๑๗ คดี รวมมูลค่าทรัพย์สิน ๗,๓๖๘,๑๑๖.๐๔ บาท ๑.๒.๓ ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓-๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ นำทรัพย์สินส่งคืนเจ้าของ จำนวน ๖ คดี มูลค่าทรัพย์สินที่นำส่ง ๒,๓๗๘,๔๘๘.๙๗ บาท ๑.๒.๔ การบริหารจัดการทรัพย์สินที่ไม่เหมาะสมที่จะเก็บรักษาไว้เพราะจะเป็นภาระราชการ โดยระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓-๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ได้ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สิน จำนวน ๕๘ รายการ มูลค่าทรัพย์สิน ๕,๔๓๘,๔๗๐ บาท และดำเนินการบริหารจัดการทรัพย์สินโดยวิธีอื่น ๆ ได้แก่ ให้ผู้มีส่วนได้เสียรับไปดูแลและใช้ประโยชน์โดยมีสัญญาค้ำประกัน จำนวน ๑ รายการ แต่งตั้งผู้จัดการบริหารดูแล จำนวน ๑ รายการ และบริหารจัดการทรัพย์สินประเภทให้เช่า จำนวน ๖ รายการ ๑.๒.๕ ส่งเจ้าหน้าที่สำรวจทรัพย์สินที่คณะกรรมการธุรกรรมหรือเลขาธิการ ปปง. แล้วแต่กรณี ได้มีคำสั่งยึดและ/หรืออายัดไว้ทั่วประเทศ รวมทรัพย์สินที่สำรวจ จำนวน ๑๕๙ รายการ มูลค่า ๒๓๖,๘๑๐,๑๗๙ บาท ๑.๒.๖ ดำเนินการบริหารจัดการกองทุน จำนวน ๑๐ รายการ มูลค่าทรัพย์สิน ๘๐๕,๘๑๔.๐๗ บาท ๑.๓ ด้านการป้องกันการฟอกเงิน ๑.๓.๑ ส่งเสริมและประสานความร่วมมือกับภาคประชาชน ได้แก่ โครงการสายลับ ปปง. โครงการเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จัดโครงการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแก่ประชาชน เป็นต้น ๑.๓.๒ ส่งเสริมและประสานความร่วมมือกับต่างประเทศ ได้แก่ จัดทำบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน งานความร่วมมือในฐานะสมาชิกกลุ่มองค์กรระหว่างประเทศ/ความร่วมมือในภูมิภาค การฝึกอบรม/ดูงาน เป็นต้น ๒. เห็นชอบให้นำความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรสนับสนุนให้บุคลากรของส่วนราชการได้เข้ารับการอบรมความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย รวมทั้งการดำเนินการแก้ไขปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแล้ว เช่น การประกาศใช้บังคับกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วเป็นข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี และให้นำรายงานพร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
28263 | การให้สัตยาบันความตกลงอาเซียนด้านศุลกากร (ASEAN Agreement on Customs) | กค | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้สัตยาบันความตกลงอาเซียนด้านศุลกากร เพื่อให้เป็นไปตามย่อหน้าที่ ๑ ของข้อ ๖๓ แห่งความตกลงอาเซียนด้านศุลกากร ที่ระบุให้ความตกลงนี้จะมีผลใช้บังคับหลังจากรัฐสมาชิกได้บอกกล่าวหรือในกรณีจำเป็นได้เก็บรักษาสัตยาบันสารไว้กับเลขาธิการอาเซียนในเวลาที่เสร็จการดำเนินขั้นตอนภายในประเทศของตน ซึ่งจะต้องไม่เกิน ๑๘๐ วัน หลังจากที่มีการลงนามความตกลงนี้ สำหรับสาระสำคัญของความตกลงฯ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านศุลกากรของประเทศสมาชิกอาเซียน ส่งเสริมให้มีการจัดทำกระบวนการทางศุลกากร พิธีการศุลกากร วิธีปฏิบัติในการควบคุมทางศุลกากร รวมถึงการจัดการเคลื่อนย้ายสินค้าและยานพาหนะให้เรียบง่าย สอดคล้องกัน และทันสมัย ซึ่งจะช่วยให้อาเซียนบรรลุการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายใต้เป้าหมายของการเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) ได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินงานในเรื่อง National Single Window ระบบศุลกากรผ่านแดน และร่วมมือกับศุลกากรของประเทศสมาชิกในการควบคุมพรมแดนร่วมกันให้เกิดผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว รวมถึงเพิ่มบทบาทของไทยในการให้ความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาศักยภาพและมาตรฐานทางด้านศุลกากร อาทิ ระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ และการให้บริการด่าน ๒๔ ชั่วโมง เพื่อให้การดำเนินงานตามความตกลงฯ เกิดประโยชน์ในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ และอำนวยความสะดวกกิจกรรมเศรษฐกิจของภาคเอกชนไทยเชื่อมโยงประเทศในภูมิภาคได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28264 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวง แผ่นดินหมายเลข 3097 สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (พระประโทน) - บรรจบทางหลวงพิเศษหมายเลข 35 (บ้านปอ) ที่บ้านศรีพิพัฒน์ บ้านหนองบัว บ้านหลักสาม บ้านทุ่งอินทรีย์ และที่บ้านท้ายวัดใหญ่ พ.ศ. .... | คค | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๙๗ สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔ (พระประโทน)-บรรจบทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๕ (บ้านปอ) ที่บ้านศรีพิพัฒน์ บ้านหนองบัว บ้านหลักสาม บ้านทุ่งอินทรีย์ และที่บ้านท้ายวัดใหญ่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๙๗ สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔ (พระประโทน)-บรรจบทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๕ (บ้านปอ) ที่บ้านศรีพิพัฒน์ บ้านหนองบัว บ้านหลักสาม บ้านทุ่งอินทรีย์ และที่บ้านท้ายวัดใหญ่ ในท้องที่อำเภอบ้านแพ้ว และอำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เพื่ออำนวยความสะดวก และความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
28265 | แนวทางเลือกเพื่อตัดสินอนาคตของ COBSEA | ทส | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเจราจาโดยกำหนดท่าทีของประเทศไทยในการลำดับทางเลือกเพื่อตัดสินอนาคตของแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออก (Coordinating Body on the Seas of East Asia : COBSEA) ตามทางเลือกที่ ๒ ที่เสนอโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ให้คงสถานะปัจจุบัน (Status Quo) และสนับสนุนเงินบริจาค จำนวน ๑๕๑,๖๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ โดยค่าใช้จ่ายเป็นเงินบริจาคดังกล่าว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการประชุมประจำปีระหว่างรัฐบาลขององค์กรผู้ประสานงานเพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออก (Intergovernmental Meeting : IGM of COBSEA) ครั้งที่ ๒๑ ให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
28266 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลบ้านนา อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลบ้านนา อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลบ้านนา อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
28267 | ขออนุมัติลงนามพิธีสาร 2 ว่าด้วยสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ 5 แนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | คค | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการลงนามร่างพิธีสาร ๒ ว่าด้วยสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ แนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และนำเสนอร่างพิธีสารฯ เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบและให้พิธีสารมีผลบังคับใช้ เมื่อประเทศไทยมอบเอกสารแจ้งการเป็นภาคีพิธีสารฯ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมาย ลงนามร่างพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมที่มิใช่สาระสำคัญ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมายเป็นผู้ใช้ดุลพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมายเป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการต่อไป ส่วนราชการเจ้าของเรื่องจะต้องเสนอร่างพิธีสารฯ เพื่อขอรับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนาม และเมื่อลงนามแล้วจะต้องเสนอเสนอพิธีสารฯ เพื่อขอรับความเห็นชอบของรัฐสภาก่อนที่จะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน โดยก่อนการแสดงเจตนาให้พิธีสารฯ มีผลผูกพัน จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๙๐ วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ กล่าวคือ จะต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของพิธีสารฯ และในกรณีการปฏิบัติตามพิธีสารฯ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนหรือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมจะต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนั้นอย่างรวดเร็ว เหมาะสมและเป็นธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28268 | การจัดทำข้อตกลงว่าด้วยการแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลบังกลาเทศ | พณ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติการลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลบังกลาเทศ โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิได้ทำให้สาระสำคัญในข้อตกลงฯ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ให้อยู่ในดุลพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่จะดำเนินการได้ สำหรับสาระสำคัญของข้อตกลงฯ มีดังนี้ ๑.๑ รัฐบาลไทยและรัฐบาลบังกลาเทศตกลงที่จะซื้อขายข้าวนึ่งปริมาณไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ ตันต่อปี ระหว่างปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ โดยมีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตข้าวของแต่ละประเทศ และระดับราคาซื้อขายในตลาดโลก ซึ่งรัฐบาลไทยจะมอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานดำเนินการ ในขณะที่รัฐบาลบังกลาเทศจะมอบหมายให้หน่วยงานอาหารภายใต้กระทรวงอาหารเป็นหน่วยงานดำเนินการ ๑.๒ การทำข้อตกลงซื้อขายข้าวจะลงนามร่วมกันระหว่างประเทศผู้ซื้อและประเทศผู้ขาย โดยเป็นไปตามหลักการค้าระหว่างประเทศ ๑.๓ ประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถขอแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ได้โดยการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร และอีกประเทศหนึ่งจะแจ้งตอบเป็นลายลักษณ์อักษรต่อข้อเสนอดังกล่าวภายในระยะเวลา ๑ เดือนหลังจากได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการแล้ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการแก้ไขถ้อยคำบางประการ ไปดำเนินการแก้ไขร่างข้อตกลงฯ ให้ชัดเจนและสอดคล้องกับรูปแบบในการทำความตกลงก่อนการลงนาม รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้โอกาสในความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลบังกลาเทศขยายตลาดข้าวชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะข้าวคุณภาพดีที่มีความต้องการของตลาดในบังกลาเทศ เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว ๑๐๐% เป็นต้น ตลอดจนผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและสร้างโอกาสทางการตลาดมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
|||||||||||||||||||||||||||
28269 | ร่างปฏิญญาดูชานเบสำหรับการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 11 | กต | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาดูชานเบ (Dushanbe Declaration) สำหรับการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) ครั้งที่ ๑๑ โดยร่างปฏิญญาดูชานเบ เป็นเอกสารรับทราบความคืบหน้าในการดำเนินงานที่ผ่านมา และระบุถึงแนวทางการดำเนินงานในอนาคตของกรอบความร่วมมือ ACD รวมทั้งการเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกดำเนินนโยบายเศรษฐกิจสีเขียวในบริบทของการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม การลดความยากจน การรักษาสิ่งแวดล้อม การลดผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงทางอาหาร และพลังงาน ตลอดจนยืนยันพันธกรณีในกรอบสหประชาชาติด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเสนอให้ประเทศสมาชิกทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals-MDGs) ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการปรับถ้อยคำบางประการในร่างปฏิญญาดูชานเบ ในส่วนของประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) และประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ (Rio+20) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28270 | รายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ณ จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดตาก | นร01 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) และคณะ ณ จังหวัดสุโขทัย เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และจังหวัดตาก เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดสุโขทัย ๑.๑ ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง รวม ๙ อำเภอ ราษฎรได้รับความเดือดร้อน จำนวน ๕๑,๙๙๐ ครัวเรือน จำนวน ๑๗๗,๗๙๔ คน ในการให้ความช่วยเหลือ จังหวัดมอบอำนาจให้อำเภอ จำนวนอำเภอละ ๒ ล้านบาท ช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยแล้งเป็นกรณีเร่งด่วน ๑.๒ จังหวัดได้เสนอกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อขอขยายวงเงินทดรองราชการ จำนวน ๙ อำเภอ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๑๒๖,๐๔๙,๓๗๕ บาท เพื่อให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยแล้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อนำเสนอกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พิจารณาอนุมัติ ๑.๓ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามข้อเท็จจริงในพื้นที่ หมู่ที่ ๔ ตำบลคลองกระจง และหมู่ที่ ๑๐ ตำบลย่านยาว อำเภอสวรรคโลก จากสภาพข้อเท็จจริงจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาให้แก่ราษฎรในทุก ๆ ด้านแล้ว ๒. จังหวัดตาก ๒.๑ ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง รวม ๙ อำเภอ ราษฎรได้รับความเดือดร้อน จำนวน ๕๕,๖๕๘ ครัวเรือน จำนวน ๑๖๘,๕๘๗ คน ในการให้ความช่วยเหลือ จังหวัดได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งระดับจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่น โดยประชาสัมพันธ์ให้ราษฎรได้ทราบและเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ และจังหวัดได้จัดสรรเงินให้อำเภอ จำนวนอำเภอละ ๓ ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยแล้งเป็นกรณีเร่งด่วน ๒.๒ จังหวัดได้เสนอกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อขอขยายวงเงินทดรองราชการ จำนวน ๙ อำเภอ จำนวน ๕๗ โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙๖,๖๗๕,๕๑๕ บาท เพื่อให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยแล้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อนำเสนอกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพิจารณาเพื่อนำเสนอกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พิจารณาอนุมัติ ๒.๓ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ได้นำมาตรการดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งแจ้งแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชนได้รับทราบเกี่ยวกับมาตรการที่รัฐบาลได้กำหนดในช่วง ๙๐ วัน ระวังอันตรายด้านภัยแล้ง ในระหว่างวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และได้เดินทางไปตรวจสภาพพื้นที่สะพานมิตรภาพไทย-พม่า ตรวจสภาพเศรษฐกิจและการค้าชายแดนอำเภอแม่สอด โดยตรวจเยี่ยมและพบปะประชาชนในบริเวณตลาดริมเมย รวมทั้งติดตามการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในการขยายพื้นที่ริมสะพานครอบคลุมพื้นที่ริมแม่น้ำเพื่อก่อสร้างเป็นลานจอดรถ และการเตรียมการก่อสร้างอาคารศูนย์รวมบริการ One Stop Service ในการรวมส่วนราชการที่ให้บริการในพื้นที่ชายแดน เช่น ด่านศุลกากรและด่านตรวจคนเข้าเมืองให้อยู่ในบริเวณพื้นที่เดียวกัน นอกจากนี้ ได้ติดตามการเตรียมความพร้อมในการขยายท่าอากาศยานแม่สอดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
28271 | ผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส (ระหว่างวันที่ 4 - 5 กุมภาพันธ์ 2556) | นร04 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ (Official Visit) ของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๔-๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เพื่อสานต่อผลการเยือนฝรั่งเศสของนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามตารางติดตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศได้จัดทำ ดังนี้
๑. การเชิญประธานาธิบดีฝรั่งเศสเยือนไทย ๒. การลงทุนของฝรั่งเศสในไทยและในทวาย ฝ่ายฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนในสาขาโครงสร้างพื้นฐาน และสาขาอื่น ๆ ได้แก่ การขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อากาศยาน ระบบราง พลังงาน สาธารณสุข อวกาศ และยุทโธปกรณ์ โดยฝ่ายไทยได้เชิญชวนให้ฝรั่งเศสเข้ามาสำรวจลู่ทางการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมอากาศยาน และเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมทวาย ๓. การเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป (Thai-EU Free Trade Agreement : FTA) ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า กลไกของ FTA ของไทย-สหภาพยุโรป จะช่วยขยายการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศให้เพิ่มมากขึ้น โดยฝ่ายไทยคาดว่าจะเริ่มเจรจากับสภาพยุโรปได้ภายในครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ ๔. ความร่วมมือในการวิจัยสาขาพลังงานทดแทน ฝ่ายไทยประสงค์ที่จะร่วมมือกับสถาบันวิจัยของฝรั่งเศสในสาขาพลังงานทดแทนโดยเฉพาะเชื้อเพลิงชีวภาพและ Smart grids ซึ่งฝ่ายฝรั่งเศสรับที่จะมอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องหารือกับฝ่ายไทยต่อไป ๕. ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในแอฟริกา ฝ่ายไทยต้องการเพิ่มพูนบทบาทในกรอบความร่วมมือแบบใต้-ใต้ กับแอฟริกา เน้นด้านการเกษตร สาธารณสุข การศึกษาและพัฒนาทักษะ และสินค้าผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน โดยจะมีการจัดการประชุม Thai-Africa Summit ซึ่งฝ่ายฝรั่งเศสจะมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีช่วยฯ กำกับดูแลด้านการพัฒนาหารือกับฝ่ายไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
28272 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | นร01 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมระยะเวลา ๕ ปี (เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖-เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑) ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๒๓ วรรคท้าย สำหรบการเช่ารถยนต์ จำนวน ๘ คัน ในกรอบวงเงิน ๑๑,๘๘๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แผนงานพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารราชการแผ่นดิน ผลผลิตการพัฒนาติดตามและประเมินผลการปฏิบัติราชการและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน งบดำเนินงาน รายการค่าเช่ารถยนต์ จำนวน ๘ คัน เป็นเงิน ๑,๑๘๘,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๑ อีกจำนวน ๑๐,๖๙๒,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28273 | การดำเนินการโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต | กค | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและรับทราบการพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การดำเนินการโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต) จากเดิม กำหนดให้จัดทำร่างกฎหมายรองรับการดำเนินการโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคตในระยะยาว โดยให้ควบรวมกฎหมายกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นส่วนหนึ่งและให้มีผลบังคับใช้ภายในปีการศึกษา ๒๕๕๖ เป็น ให้มีผลบังคับใช้ภายในปีการศึกษา ๒๕๕๗ และดำเนินการโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคตจนถึงปีการศึกษา ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังเร่งรัดติดตามร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อให้มีผลใช้บังคับภายในปีการศึกษา ๒๕๕๗ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับชื่อร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... เป็น “ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต” ซึ่งสาระสำคัญในรายละเอียดควรสะท้อนเจตนารมณ์หลักของนโยบายในการเปิดโอกาสให้นักเรียนหรือนักศึกษาได้เรียนต่ออย่างเต็มที่ การแบ่งเบาภาระผู้ปกครองที่อาจมีบุตรหลายคน การกระตุ้นและผลักดันให้สถาบันการศึกษาแข่งขันการพัฒนาคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการสร้างวินัยและความรับผิดชอบแก่นักเรียน นักศึกษา และเป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นในลักษณะเป็นกองทุนหมุนเวียนที่จะต้องใช้หมุนเวียนเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียนหรือนักศึกษารุ่นต่อไป ซึ่งจะต้องบริหารกองทุนฯ ให้สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองในอนาคต เพื่อลดภาระงบประมาณของภาครัฐในการจัดสรรสมทบเข้ากองทุนฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28274 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางอรอนงค์ วัชรเศรษฐกุล) | กค | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางอรอนงค์ วัชรเศรษฐกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28275 | รายงานความคืบหน้าของการส่งมอบอุปกรณ์เครื่องผลิตไฟฟ้าที่ไทยบริจาคให้แก่เมียนมาร์ | พน | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าของการส่งมอบอุปกรณ์เครื่องผลิตไฟฟ้าที่ไทยบริจาคให้แก่เมียนมาร์ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงพลังงานได้ส่งมอบอุปกรณ์เครื่องผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซเครื่องแรก (จากโรงไฟฟ้าหนองจอก) ให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เรียบร้อยแล้ว ในระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ณ ท่าเรือกรุงย่างกุ้ง โดยมีผู้ว่าการการไฟฟ้า กระทรวงไฟฟ้าของเมียนมาร์ เป็นผู้ลงนามการรับมอบอุปกรณ์เครื่องผลิตไฟฟ้าฯ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไฟฟ้าของเมียนมาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไฟฟ้าและอุตสาหกรรมของภาคย่างกุ้ง พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงไฟฟ้าของเมียนมาร์ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมการขนถ่ายอุปกรณ์ และการรับมอบระหว่างฝ่ายไทยกับฝ่ายเมียนมาร์ ณ ท่าเรือกรุงย่างกุ้ง ในวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๒. กระทรวงพลังงานได้ประสานงานกับกระทรวงไฟฟ้าของเมียนมาร์เป็นการเบื้องต้นเกี่ยวกับกำหนดส่งมอบอุปกรณ์เครื่องผลิตไฟฟ้าหน่วยที่สอง (โรงไฟฟ้าลานกระบือ) ให้แก่เมียนมาร์ โดยคาดว่าจะส่งมอบอุปกรณ์เครื่องผลิตไฟฟ้าฯ ณ ท่าเรือกรุงย่างกุ้ง ได้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม หรือต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ๓. ในการดำเนินการตามข้อ ๑ และ ๒ กระทรวงพลังงานได้ประสานงานผ่านกระทรวงการต่างประเทศ (สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง) อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
28276 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่ออกภายใต้ พ.ร.ก. ช่วยเหลือ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง ที่ครบกำหนดในเดือนมกราคม 2556 | กค | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๕๕ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ที่ครบกำหนดในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับโครงสร้างหนี้ออกภายใต้ พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง ที่ครบกำหนดในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ จำนวน ๒ รุ่น วงเงินรวม ๑๔,๗๕๕ ล้านบาท ได้แก่ ๑.๑ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ งวดที่ F5/182/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๖ จำนวน ๙,๕๐๐ ล้านบาท ชำระจากเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง ๑.๒ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ งวดที่ F6/182/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๖ จำนวน ๕,๒๕๕ ล้านบาท ชำระจากเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท และจากการกู้เงินระยะสั้น จำนวน ๒,๒๕๕ ล้านบาท ๒. การออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๔ (LB236A) อายุคงเหลือ ๑๐.๔๑ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๒๕ ต่อปี วงเงิน ๑๔,๕๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๖ เพื่อนำไปชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น และเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง โดยยังคงค้างการชำระคืนเงินทดรองจ่าย จำนวน ๒๕๕ ล้านบาท (๑๔,๗๕๕-๑๔,๕๐๐) และจะชำระคืนในการปรับโครงสร้างหนี้ในโอกาสต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
28277 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร10 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎ ก.พ.ฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๒ ดังนี้
๑. กำหนดให้ข้าราชการที่ลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรไม่เกิน ๑๕ วันทำการ และที่ได้รับเงินเดือนระหว่างการลานั้น และข้าราชการที่ลาไปฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ ได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนระหว่างลาได้ตามผลการปฏิบัติราชการในรอบการประเมินนั้น ๆ โดยไม่นับรวมวันลาดังกล่าวในหลักเกณฑ์ที่งกำหนดให้ข้าราชการมีวันลาไม่เกิน ๒๓ วันในแต่ละรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการ ๒. กำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมในกรณีที่ข้าราชการลาไปฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพเฉพาะเหตุจากการปฏิบัติราชการในหน้าที่หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทำการตามหน้าที่ หากการลานั้นครอบคลุมทั้งรอบการประเมินและส่งผลให้ไม่สามารถประเมินผลการปฏิบัติราชการได้ เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์ให้ข้าราชการดังกล่าวได้รับการพิจารณาให้ได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นเมื่อข้าราชการผู้นั้นกลับมาปฏิบัติราชการ ในอัตราไม่เกินร้อยละ ๓ ของฐานเงินเดือนข้าราชการผู้นั้นในแต่ละรอบการประเมิน โดยให้ใช้ผลการเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพประกอบการพิจารณาด้วย ๓. กำหนดวันใช้บังคับตั้งแต่รอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป |
|||||||||||||||||||||||||||
28278 | การกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการสำนักงานธนานุเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ 2556 จำนวน 700 ล้านบาท | พม | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กู้ยืมเงินเพื่อใช้หมุนเวียนสำหรับรับจำนำและใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๗๐๐ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประเมินผลการดำเนินงานของสำนักงานธนานุเคราะห์และพิจารณาแนวทางการดำเนินงานของสำนักงานธนานุเคราะห์เพื่อให้เป็นกลไกช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่ผู้มีรายได้น้อย โดยให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงเงินทุนระยะสั้นได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
28279 | รายงานสถานการณ์และการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี พ.ศ. 2555 | พม | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์และการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์การค้ามนุษย์ ประเทศไทยยังคงมีสถานะของการค้ามนุษย์ ๓ สถานะ คือ ประเทศต้นทาง ประเทศทางผ่าน และประเทศปลายทาง ซึ่งประเทศไทยมีกรอบในการดำเนินงานของหน่วยงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ด้วยการใช้หลักการทำงานแบบสหวิชาชีพ ได้แก่ การป้องกัน การดำเนินคดี การคุ้มครองช่วยเหลือ และนโยบายการขับเคลื่อน รวมทั้งยังมีความพยายามที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และมีแนวทางการดำเนินงานเพื่อสกัดกั้นขบวนการค้ามนุษย์และเพิ่มความร่วมมือกับผู้เสียหายในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ๒. จำนวนคดี การดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๐๗ คดี ในจำนวนนี้เป็นคดีพิเศษ ๒ คดี ส่วนใหญ่เป็นคดีค้ามนุษย์ในรูปแบบการแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี รองลงมาเป็นรูปแบบการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ และรูปแบบการนำคนมาขอทาน ตามลำดับ โดยมีคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน จำนวน ๒๖๐ คดี อยู่ในชั้นพนักงานอัยการ จำนวน ๓๘ คดี และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จำนวน ๔ คดี และมีคำพิพากษาจากศาลชั้นต้นแล้ว จำนวน ๕ คดี ๓. การดำเนินการในด้านต่าง ๆ ประเทศไทยมีนโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๙ เป็นกรอบในการดำเนินงานของหน่วยงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ด้วยการใช้หลักการการทำงานแบบสหวิชาชีพและหลักการ 5Ps ซึ่งประกอบด้วย ด้านการป้องกัน (Prevention) การดำเนินคดี (Prosecution) การคุ้มครองช่วยเหลือ (Protection) นโยบายและการขับเคลื่อน (Policy) และหุ้นส่วนความร่วมมือ (Partnership) โดยแต่ละปีจะมีการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีร่วมกัน เพื่อให้เกิดการประสานการปฏิบัติให้ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และป้องกันมิให้ปัญหาเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ตลอดจนสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนให้เป็นเครือข่ายการเฝ้าระวังและต่อต้านการค้ามนุษย์ ๔. แนวทางการดำเนินงานในอนาคต ได้แก่ การเร่งรัดการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในรูปแบบประมง การเสริมสร้างศักยภาพการบังคับใช้กฎหมายและความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดีให้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง การเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวน ขยายผลปราบปรามและจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดบริการทางสังคม รวมทั้งพัฒนากระบวนการส่งกลับและการคืนสู่สังคม การเสริมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังจากทุกภาคส่วนและในทุกระดับเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อกำหนดมาตรการและวิธีการในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ให้ทันกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคต และการพัฒนาระบบข้อมูลและสารสนเทศการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้มีประสิทธิภาพและทันสมัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
28280 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ เล่ม 1 ข้อกำหนดเกณฑ์คุณภาพต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ เล่ม ๑ ข้อกำหนดเกณฑ์คุณภาพต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒. กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ เล่ม ๑ ข้อกำหนดเกณฑ์คุณภาพต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. ๑๕ เล่ม ๑-๒๕๕๕ ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ ๔๔๒๐ (พ.ศ. ๒๕๕๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ เรื่อง แก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ เล่ม ๑ ข้อกำหนดเกณฑ์คุณภาพ (แก้ไขครั้งที่ ๑) ลงวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ |
.....