ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1415 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 28281 - 28300 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28281 | สรุปผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สปป.ลาว | พณ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการเดินทางเยือน สปป.ลาว ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๕ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การหารือกับนายหุมพัน อินธะราช (Mr. Houmphan Intarath) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สปป.ลาว ๑.๑ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สปป.ลาว ยินดีที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยเยือน สปป.ลาว เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา อย่างไรก็ดี เนื่องจากฝ่าย สปป.ลาว เห็นควรให้มีการลงนามความร่วมมือระดับกระทรวงก่อน จึงยังไม่สามารถลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาไทยกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา สปป.ลาว ตามที่หารือกันไว้ได้ ๑.๒ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยกล่าวว่า การหารือความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาในวันนี้จะนำไปสู่การขยายผลถึงความร่วมมือด้านอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสองกระทรวงในอนาคตซึ่งอาจรวมเรื่องชั่ง ตวง วัด ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ของไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สปป.ลาว ดูแลอยู่ นอกจากนี้ ไทยได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อปี ๒๕๓๘ ทำให้ไทยมีประสบการณ์ในการพัฒนากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อรองรับการเป็นสมาชิก WTO และยินดีที่จะร่วมมือแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์กับ สปป.ลาว ทั้งนี้ ไทยได้กำหนดให้ปี ๒๕๕๖ เป็นปีแห่งการต่อต้านการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ซึ่งจะบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม ๒๔ หน่วยงาน ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะจะเน้นการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดรายใหญ่ รวมทั้งจะเร่งรัดภารกิจฟื้นฟูผู้ประกอบการรายย่อย การรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา โดยมีการทำแผ่นป้ายรณรงค์ มีความร่วมมือกับภาคเอกชน จึงเห็นว่านอกจากความร่วมมือระดับกระทรวง และกรมฯ แล้ว น่าจะสร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนด้วย ๒. การหารือกับนายโบเวียงคำ วงศ์ดาลา (Dr. Boviengham Vongdala) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สปป.ลาว ๒.๑ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยได้แจ้งให้ทราบวัตถุประสงค์ของการเยือน สปป.ลาว ครั้งนี้ เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาไทย-ลาว ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีการลงนามสรุปผลการประชุม (Minutes of the meeting) ระหว่างอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาไทยกับอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา สปป.ลาว และหลังจากนี้จะได้ยกระดับความร่วมมือดังกล่าวเป็นบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระดับกระทรวงต่อไป โดยนอกจากความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาแล้วยังมีเรื่อง ชั่ง ตวง วัด ซึ่งทั้งสองกระทรวงน่าจะสามารถดำเนินความร่วมมือกันได้ ๒.๒ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยเสนอให้ภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในกลไกความร่วมมือเพื่อให้การดำเนินงานมีความเข้มแข็งและประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สปป.ลาว สนับสนุน โดยแจ้งว่า สปป.ลาว จะเข้าเป็นสมาชิก WTO ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ การเข้าเป็นสมาชิก WTO ดังกล่าวจะทำให้ สปป.ลาว ต้องพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งความร่วมมือระหว่างไทย-สปป.ลาว จะช่วยให้ สปป.ลาว เรียนรู้จากไทยในฐานะประเทศที่มีประสบการณ์ในการเข้าเป็นสมาชิก WTO แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
28282 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2555/56 | พณ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้า สถานการณ์ และแนวโน้มของการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายมันสำปะหลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ (ณ วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) ๑.๑ การเปิดจุดรับจำนำของลานมัน/โรงแป้ง มีผู้ประกอบการลานมันและโรงแป้งสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และเปิดเป็นจุดรับจำนำ รวม ๖๐๓ ราย แยกเป็น ลานมัน ๕๕๑ ราย โรงแป้ง ๕๒ ราย ๑.๒ ปริมาณการรับจำนำ รวมทั้งสิ้น ๕,๔๑๖,๐๒๘ ตัน แยกเป็น ลานมัน ๓,๓๖๙,๘๙๖ ตัน และโรงแป้ง ๒,๐๔๖,๑๓๑ ตัน คิดเป็นร้อยละ ๖๒ และ ๓๘ ตามลำดับ ซึ่งองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้ออกใบประทวนให้เกษตรกร ๑๙๔,๓๒๕ ใบ แยกเป็น ลานมัน ๙๐,๒๑๗ ใบ โรงแป้ง ๑๐๔,๑๐๘ ใบ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้จ่ายเงินให้เกษตรกร ๕๕,๗๘๖ สัญญา จำนวนเงิน ๗,๖๑๖.๑๖๙ ล้านบาท ๑.๓ การอนุมัติโกดังกลางเก็บผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง รวมทั้งสิ้น ๑๐๔ แห่ง แบ่งเป็น โกดังกลางมันเส้น ๘๕ แห่ง ในพื้นที่ ๒๓ จังหวัด ความจุ ๒,๗๑๑,๗๕๐ ตัน และโกดังกลางแป้งมัน ๓๘ แห่ง ในพื้นที่ ๑๔ จังหวัด ความจุ ๕๙๔,๙๖๐ ตัน และได้อนุมัติผู้ประกอบการตรวจสอบคุณภาพมันสำปะหลังที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการค้าต่างประเทศ จำนวน ๙ บริษัท ๑.๔ การเปิดจุดรับจำนำในส่วนเอทานอล มีโรงงานเอทานอลสมัครเข้าร่วมโครงการฯ รวม ๖ ราย ซึ่งโรงงานเอทานอลจะแจ้งแผนการรับมันสำปะหลังตามโครงการฯ และจัดทำสัญญาซื้อขายกับ อคส. เป็นรายไตรมาส โดยในไตรมาสที่ ๑ เป็นการรับมันสำปะหลังทั้งในรูปหัวมันสดและมันเส้น ส่วนไตรมาสที่ ๒-๔ เป็นการรับมันเส้นจากโครงการฯ สำหรับเป้าหมายการรับมันสำปะหลังจากโครงการฯ ในไตรมาสที่ ๑ มีปริมาณทั้งสิ้น ๔๑๕,๔๘๘.๕๔ ตันหัวมันสด แบ่งเป็น การรับหัวมันสด จำนวน ๒๑๐,๔๒๕.๐๐ ตัน และมันเส้น จำนวน ๘๔,๗๓๗.๐๐ ตัน (๒๐๕,๐๖๓.๕๔ ตันหัวมันสด) ทั้งนี้ ปริมาณการรับมันสำปะหลังจากโครงการฯ ในส่วนของเอทานอล ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ถึง ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เป็นเพียงการรับในรูปหัวมันสดเท่านั้น โดยมีปริมาณรวมทั้งสิ้น ๑๗,๒๖๑.๗๘ ตัน คิดเป็นเอทานอลประมาณ ๒,๗๕๗,๔๗๒.๘๔ ลิตร (อัตราแปรสภาพหัวมันสด : เอทานอล = ๖.๒๖ : ๑) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงานจะกำกับดูแลให้เป็นไปตามแผนในการช่วยดูดซับมันสำปะหลังและลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ๒. สถานการณ์และแนวโน้ม ๒.๑ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ผลผลิตปี ๒๕๕๕/๕๖ ประมาณ ๒๗.๕๕ ล้านตัน ต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ ๑.๘๒ บาท เทียบกับปีที่ผ่านมามีผลผลิตประมาณ ๒๖.๖๐ ล้านตัน ต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ ๑.๗๗ บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๕๖ และ ๒.๘๒ ตามลำดับ ปัจจุบันผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วร้อยละ ๖๒.๗๕ หรือประมาณ ๑๗.๒๙ ล้านตัน ๒.๒ ราคาหัวมันสดที่เกษตรกรจังหวัดนครราชสีมาขายได้ (เชื้อแป้งร้อยละ ๒๕) ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ กิโลกรัมละ ๒.๐๕-๒.๒๕ บาท ส่วนจังหวัดอื่น ๆ เช่น จังหวัดกำแพงเพชร อุทัยธานี อุดรธานี อุบลราชธานี ระยอง สระแก้ว และชลบุรี อยู่ระหว่างกิโลกรัมละ ๑.๙๕-๒.๕๕ บาท สำหรับราคาส่งออก F.O.B. (Free on Board) มันเส้นตันละ ๒๒๘-๒๓๐ ดอลลาร์สหรัฐ (๖.๗๕-๖.๘๐ บาท/กิโลกรัม) ต่ำกว่าช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา กิโลกรัมละ ๐.๕๘ บาท และแป้งมันตันละ ๔๕๐-๔๖๐ ดอลลาร์สหรัฐ (๑๓.๓๐-๑๓.๖๐ บาท/กิโลกรัม) ต่ำกว่าช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา กิโลกรัมละ ๐.๑๓ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๖.๖๑ และ ๐.๙๖ ตามลำดับ ๒.๓ การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในปี ๒๕๕๕ (เดือนมกราคม-ธันวาคม) มีปริมาณรวมทั้งสิ้น ๘.๓๕๐ ล้านตัน มูลค่า ๘๕,๖๓๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ ๒๒.๖๗ และ ๙.๕๘ ตามลำดับ ตลาดส่งออกมันเส้น ร้อยละ ๙๙ ส่งออกไปยังประเทศจีน ส่วนตลาดส่งออกแป้งมัน ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี อินโดนีเซีย และไต้หวัน ๒.๔ การระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำยุทธศาสตร์การระบายมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยระบายด้วยวิธี (๑) เจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) (๒) ขายเป็นการทั่วไป (๓) ขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) (๔) ขายให้แก่ผู้ผลิตเอทานอลที่นำไปผลิตเป็นพลังงานทดแทน ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒.๕ แนวโน้มตลาดมันสำปะหลัง คาดว่าราคาหัวมันสดที่เกษตรกรขายได้จะเคลื่อนไหวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ประกอบกับผลกระทบจากภาวะภัยแล้งทำให้ปริมาณผลผลิตลดต่ำกว่าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ไว้ โดยราคาส่งออกมันเส้นเมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับจำนำในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ คาดว่าจะมีปริมาณใกล้เคียงกับเป้าหมาย ๑๐ ล้านตัน |
|||||||||||||||||||||
28283 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมกราคม 2556 | พณ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ๑.๑ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๔.๔๔ เทียบกับดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๔.๒๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าหมวดอาหารสดและพลังงาน โดยดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๘ จากการสูงขึ้นของราคาเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๑.๐๓ สินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ เนื้อสุกร ไก่สด ไก่ย่าง ปลาช่อนสด ปลาดุก ปลานิล ปลาตะเพียน ปลาทู กุ้งขาวและปลาหมึก นอกจากนี้ สินค้าประเภทข้าวสารเจ้า ไข่ไก่ อาหารสำเร็จรูป อาหารพร้อมปรุง และอาหารบริโภคนอกบ้าน มีราคาสูงขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่วนดัชนีหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๐ จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกโดยเฉลี่ยในประเทศ ร้อยละ ๐.๗๕ ตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก สินค้าและบริการอื่นที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเคหสถาน สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๖ (ค่าเช่าบ้าน อิฐ ค่าแรงช่างประปา) ค่ากระแสไฟฟ้า สูงขึ้นร้อยละ ๑.๐๘ จากการประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) งวดใหม่ (ประจำเดือนมกราคม-เมษายน ๒๕๕๖ ปรับสูงขึ้น ๔.๐๔ สตางค์ต่อหน่วย) ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๑.๐๑ คนรับใช้/คนทำงานบ้าน ร้อยละ ๐.๘๖ สิ่งทอสำหรับใช้ในบ้าน ร้อยละ ๐.๒๕ (ผ้าม่าน ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน มุ้ง) สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด ร้อยละ ๐.๐๘ (ก้อนดับกลิ่น สารกำจัดแมลง/ไล่แมลง น้ำยาปรับผ้านุ่ม) ค่ายาและเวชภัณฑ์ ร้อยละ ๐.๐๔ (ยาหอม ยาหม่อง ยาฆ่าเชื้อรา ยาลดกรดในกระเพาะ ถุงยางอนามัย) ค่าของใช้ส่วนบุคคล ร้อยละ ๐.๑๓ (น้ำยาระงับกลิ่นกาย ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว ใบมีดโกน แป้งทาผิวกาย ยาสีฟัน น้ำหอม) ๑.๒ ดัชนีผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๒.๗๙ เทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๘ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา สิ่งทอสำหรับใช้ในบ้าน (มุ้ง ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม) สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด (น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยารีดผ้า ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น สารกำจัดแมลง) คนรับใช้หรือคนทำงานบ้าน ค่าฝากเลี้ยงเด็กและยามดูแลความปลอดภัย และค่าของใช้ส่วนบุคคล (ยาสีฟัน แชมพูสระผม น้ำหอม ลิปสติก ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว แปรงสีฟัน กระดาษชำระ ครีมนวดผม น้ำยาระงับกลิ่นกาย ค่าแต่งผมชาย ค่าทำเล็บ) ๒. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ยังคงขยายตัวได้ดี จากอุปสงค์ภายในประเทศที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ และอุปทานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการเร่งผลิตและส่งมอบรถยนต์ให้ผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทจะมีผลกระทบต่ออุปทานที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) จะประสบปัญหาการบริหารจัดการเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการแข่งขันด้านราคา
|
|||||||||||||||||||||
28284 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2556 | พณ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๑.๑ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๔.๖๖ เทียบกับดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๔.๔๔ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๑ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๖ จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีก ค่าเช่าบ้าน ค่าวัสดุก่อสร้าง (ปูนซีเมนต์ กระเบื้องซีเมนต์ใยหินมุงหลังคา อิฐ) ค่าธรรมเนียมผ่านทางพิเศษ ค่ายาและเวชภัณฑ์ (ยาฆ่าเชื้อรา ยาหม่อง ยาบรรเทาปวดกล้ามเนื้อ ถุงยางอนามัย) และค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว แชมพู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน กระดาษชำระ ผ้าอนามัย) ขณะที่ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ ๐.๐๘ สาเหตุจากการลดลงของราคาผักสด ได้แก่ ผักคะน้า ผักชี ขึ้นฉ่าย ต้นหอม มะเขือเทศ ผักกาดขาว ผักกาดหอม กะหล่ำปลี และผักบุ้ง สินค้าประเภทเครื่องประกอบอาหาร (น้ำมันพืช และกะทิสำเร็จรูป) ๑.๒ ดัชนีผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๒.๘๘ เทียบเดือนมกราคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๙ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง (ปูนซีเมนต์ กระเบื้องซีเมนต์ใยหินมุงหลังค่า อิฐ) ค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว แชมพูสระผม ยาสีฟัน น้ำหอม ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว แปรงสีฟัน กระดาษชำระ ครีมนวดผม น้ำยาระงับกลิ่นกาย ค่าแต่งผมชาย ค่าดัดผมสตรี ค่าทำเล็บ) ๒. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ยังคงขยายตัวได้ดี จากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการลงทุนภาคเอกชนที่กลับสู่ภาวะปกติ ถึงแม้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมจะชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่เสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่อุปทานด้านการส่งออกเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามเศรษฐกิจโลกที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
28285 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 4 ปี 2555 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกุมภาพันธ์ 2556 | อก | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๕๕ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๔ ปี ๒๕๕๕ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) ๑.๑ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๓.๐ ชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๕ ที่ขยายตัวร้อยละ ๔.๔ และชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๗ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๕ คือ การหดตัวของอุปสงค์ระหว่างประเทศ ขณะที่อุปสงค์ในประเทศโดยรวมยังขยายตัว ประกอบด้วย การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือน เป็นการขยายตัวจากการบริโภคสินค้าคงทน โดยเฉพาะสินค้าหมวดยานยนต์ รวมทั้งหมวดสินค้าไม่คงทน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม น้ำประปา ไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง ยารักษาโรค การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลงทุนภาครัฐและการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวดีขึ้น ส่วนดุลการค้าและบริการเกินดุลเทียบกับที่ขาดดุลในไตรมาสที่แล้ว ๑.๒ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๕ หดตัวร้อยละ ๑.๑ หดตัวจากไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๕ ที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๘ และหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๑ เป็นผลจากอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ในขณะที่การผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศยังขยายตัว ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๕ จะขยายตัวร้อยละ ๕.๕ สำหรับการประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศและการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก ๑.๔ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๕ พบว่า บางตัวมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๔ เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิต โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๔ ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เบียร์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๑๒ (มกราคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๔ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ๑.๕ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๔ การลงทุนภาคเอกชนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๔ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๔ ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๔ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๒.๑ อุตสาหกรรมยานยนต์ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการที่ผู้ประกอบการผลิตรถยนต์นั่งประกาศแผนการลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ที่จังหวัดปราจีนบุรี มีมูลค่าการลงทุน ๑๗,๑๕๐ ล้านบาท กำลังการผลิต ๑๒๐,๐๐๐ คันต่อปี โดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ และจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในปี ๒๕๕๘ ในขณะเดียวกัน โรงงานผลิตรถยนต์ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะมีการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น ๓๐๐,๐๐๐ คันต่อปี ภายในต้นปี ๒๕๕๗ ๒.๒ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการแนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์โดยรวมจะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าจะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
|
|||||||||||||||||||||
28286 | ร่างแผนปฏิบัติการด้านพลังงานของกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD Energy Action Plan) | กต | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านพลังงานของกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue-ACD Energy Action Plan) ซึ่งเป็นเอกสารระบุแนวทางในการดำเนินความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างประเทศสมาชิกรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) รวมถึงโครงการและกิจกรรมที่จะดำเนินการร่วมกัน ได้แก่ การพัฒนาและใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก การสำรวจ พัฒนา และใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานที่มีอยู่ในภูมิภาค การส่งเสริมมาตรการและโครงการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งการสร้างความเชื่อมโยงและเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในภูมิภาค ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าวในการประชุม ACD ครั้งที่ ๑๑ ในวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงดูชานเบ สาธารณรัฐทาจิกิสถาน ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงพลังงานดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||
28287 | สรุปสถานการณ์กรณีเหตุอัคคีภัยภายในพื้นที่ศูนย์พักพิงผู้หนีภัยจากการสู้รบ บ้านแม่สุริน อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน และการให้ความช่วยเหลือ | มท | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์กรณีเหตุอัคคีภัยภายในพื้นที่ศูนย์พักพิงผู้หนีภัยจากการสู้รบ บ้านแม่สุริน อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน และการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน และการให้ความช่วยเหลือ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อมูลทั่วไป ศูนย์พักพิงผู้หนีภัยจากการสู้รบในประเทศไทยที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) มีจำนวน ๙ ศูนย์ ใน ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน ๔ ศูนย์ จังหวัดตาก จำนวน ๓ ศูนย์ จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน ๑ ศูนย์ และจังหวัดราชบุรี จำนวน ๑ ศูนย์ มีผู้ลี้ภัยรวมทั้งสิ้น ๑๔๔,๘๒๙ คน ๒. สถานการณ์และความเสียหาย เกิดอัคคีภัยในบริเวณป๊อก ๑ (กลุ่มบ้าน ๑) และป๊อก ๔ (กลุ่มบ้าน ๔) สันนิษฐานว่าเกิดจากการประกอบอาหาร มียอดผู้เสียชีวิต ๓๗ ราย สูญหาย ๑ ราย บาดเจ็บสาหัส ๓ ราย บาดเจ็บเล็กน้อยประมาณ ๑๐๐ ราย สถานที่สำคัญได้รับความเสียหายรวม ๓๔ แห่ง บ้านเรือนเสียหายกว่า ๔๐๐ หลังคาเรือน ๓. การให้ความช่วยเหลือ ๓.๑ การให้ความช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมมอบสิ่งของพระราช ทานแก่ผู้ประสบภัย จำนวน ๕๐๐ ชุด รวมทั้งกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประสานการช่วยเหลือผู้ประสบภัยร่วมกัน โดยมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดชุดอำนวยการเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมรถยนต์สื่อสารดาวเทียมเพื่อประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานในพื้นที่ จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ล่วงหน้า และระดมสรรพกำลัง ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ รถผลิตน้ำดื่ม รถบรรทุกน้ำ รถไฟฟ้าส่องสว่าง รถสื่อสาร UNIMOC รถตู้คอนเทนเนอร์ รถปิกอัพ/ตรวจการณ์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบกระเป๋าหิ้ว ขวดน้ำพลาสติก เต็นท์บุคคล และชุดสิ่งของสำรองจ่าย (เครื่องนุ่งห่ม) รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมการปกครอง และจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของศูนย์พักพิงฯ ให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดฝึกซ้อมแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้กับผู้พักพิงภายในศูนย์พักพิงฯ ทุกแห่ง ๓.๒ การให้ความช่วยเหลือในระยะยาว ได้มีการประชุมเพื่อวางมาตรการในการดูแลผู้อพยพร่วมกันระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม UNHCR และองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการในการดูแลผู้ลี้ภัย ให้เกิดความปลอดภัย ตลอดจนป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||
28288 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายเชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงษ์) | กษ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายเชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์) แทนนายฐนนท์ศรณ์ เลิศฤทธิ์ศิริกุล ที่ลาออก ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ มีนาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
28289 | แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 2 (The 2nd Asia - Pacific Water Summit : 2nd APWS) | นร | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการระดับชาติของไทยเพื่อเตรียมการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ เสนอ ดังนี้
๑. ยกเลิกองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการระดับชาติของไทยเพื่อเตรียมการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Asia-Pacific Water Summit : 2nd APWS) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ และแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นรองประธานกรรมการ ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย แนวทางการจัดเตรียมการประชุม และจัดการประชุมในด้านต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสม ๒. ให้ขยายเวลาจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง จากเดิมวันที่ ๑๖-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เป็นวันที่ ๑๔-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ |
|||||||||||||||||||||
28290 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเพิ่มเติม | กษ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย เป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเพิ่มเติม ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
28291 | ขออนุมัติให้ข้าราชการมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์อีกตำแหน่งหนึ่ง (นายอธิปัตย์ บำรุง) | นร04 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอธิปัตย์ บำรุง ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน กระทรวงพลังงาน ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์อีกตำแหน่งหนึ่ง เป็นเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป โดยให้นับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งเดิมต่อเนื่องและได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับอยู่เดิม ซึ่งรวมถึงรถประจำตำแหน่งในอัตราของตำแหน่งสังกัดเดิมต่อไป ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไม่ขัดข้อง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
28292 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น [สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการปรับปรุงศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดเชียงใหม่ ของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน)] | นร04 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ดำเนินการปรับปรุงศูนย์การประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรองรับการจัดประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Asia-Pacific Water Summit : 2nd APWS) ระหว่างวันที่ ๑๔-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และเตรียมการสำหรับรองรับการประชุมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ในกรอบวงเงิน ๑๙๔,๐๐๒,๕๐๐ บาท โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณในการเบิกจ่ายงบประมาณ ได้แก่ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑๒๑,๒๖๒,๑๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เฉพาะภารกิจที่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของ ททท. ที่จะสนับสนุนการจัดประชุมฯ ตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในรายการค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการภาพรวมศูนย์ประชุมฯ จำนวน ๗๒,๗๔๐,๔๐๐ บาท โดยให้ดำเนินการในลักษณะการเบิกจ่ายงบประมาณแทนกัน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการศูนย์ประชุมฯ โดยเฉพาะการจัดทำแผนธุรกิจและคัดสรรผู้บริหารที่มีความสามารถเข้าดำเนินงานบริหารศูนย์ประชุมฯ โดยเร็ว เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนและไม่เป็นภาระงบประมาณของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
28293 | ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ (นายจิรเดช วรเพียรกุล และนางสาวอินทร์ริตา นนทะวัชรศิริโชติ) | นร04 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๖ คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว จำนวน ๒ ราย ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายจิรเดช วรเพียรกุล เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง และอยู่ในบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๒. นางสาวอินทร์ริตา นนทะวัชรศิริโชติ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และอยู่ในบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
|
|||||||||||||||||||||
28294 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประจำปีงบประมาณ 2557 | สช | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ภายในกรอบวงเงิน ๑๙๑,๖๘๑,๗๓๔,๘๐๐ บาท ประกอบด้วย งบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน ๑๘๙,๗๑๙,๕๔๖,๑๐๐ บาท และงบบริหารจัดการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จำนวน ๑,๙๖๒,๑๘๘,๗๐๐ บาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ ๒. ให้ สปสช. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาและดำเนินการใช้แนวทางการรับภาระค่าใช้จ่ายร่วมกันระหว่างรัฐและผู้ป่วยอย่างจริงจัง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ข้อเสนองบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖) โดยเฉพาะกรณีการให้บริการเฉพาะโรค การจัดทำตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพของ สปสช. ในการบริหารจัดการงบประมาณที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสภาพคล่องทางการเงินการคลังต่อสถานพยาบาล และให้ความสำคัญกับการจัดสรรบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในกิจกรรมที่ส่งเสริมปัจจัยด้านสังคมที่มีผลต่อสุขภาพ (Social determinants of health) โดยกำหนดตัวชี้วัดร่วม (Joint KPI) ที่เป็นการบูรณาการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตัวชี้วัดอัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังไม่ติดต่อเรื้อรังของแต่ละกลุ่มอายุ นอกจากนี้ เห็นควรทบทวนงบบริการเพื่อรักษาและฟื้นฟูผู้ติดสารเสพติดที่สมัครใจ เนื่องจากมีความซ้ำซ้อนกับงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักสำหรับงานบำบัดและฟื้นฟูผู้ติดสารเสพติดในระบบสมัครใจตามแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน และการขอรับจัดสรรงบเพิ่มเติมด้านค่าแรงของหน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขควรมีแนวทางการกำหนดค่าตอบแทนและรายละเอียดที่ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
28295 | การรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียและแปซิฟิกของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ | ทก | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียและแปซิฟิก (Connect Asia-Pacific Summit 2013) จำนวน ๑ วัน ก่อนการจัดงาน ITU Telecom World 2013 (คาดว่าจะกำหนดจัดงานในระหว่างวันที่ ๑๘-๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร) ในลักษณะต่อเนื่อง (back to back) และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการในนามรัฐบาลไทยสำหรับการติดต่อประสานงานกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศเพื่อจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสหภาพฯ ในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำฯ ตลอดจนการเสนอเรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อจัดการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำฯ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับไปหารือในรายละเอียดกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหารือกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการเชิญผู้นำประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมการประชุม ให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงการประชุมอื่น ๆ ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมในปีเดียวกันด้วย |
|||||||||||||||||||||
28296 | การมอบหมายรัฐมนตรีกำกับดูแลพื้นที่จังหวัดประสบภัยแล้ง | นร04 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการมอบหมายรัฐมนตรีกำกับดูแลพื้นที่จังหวัดประสบภัยแล้ง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. มอบหมายรัฐมนตรีทำหน้าที่ดูแลพื้นที่จังหวัดที่ประสบภัยแล้งเพิ่มเติม ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดร้อยเอ็ด สกลนคร ปราจีนบุรี น่าน กำแพงเพชร แม่ฮ่องสอน ชัยนาท และตรัง ๑.๑ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (พล.ต.ท. ชัชจ์ กุลดิลก) เป็นผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดสกลนคร ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดชัยนาท ๑.๓ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เป็นผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดกำแพงเพชร ๑.๔ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายฐานิสร์ เทียนทอง) เป็นผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดปราจีนบุรี ๑.๕ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว) เป็นผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดน่าน ๑.๖ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) เป็นผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดตรัง ๒. ปรับเปลี่ยนผู้กำกับดูแลพื้นที่ ๒.๑ รัฐมนตรีผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดตาก เปลี่ยนจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ๒.๒ รัฐมนตรีผู้กำกับดูแลพื้นที่ประสบภัยแล้งในจังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดสุโขทัย เปลี่ยนจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช)
|
|||||||||||||||||||||
28297 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา | นร11 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา ระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย โครงการในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง จำนวน ๕ จังหวัด (จังหวัดฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ นครนายก สระแก้ว และปราจีนบุรี) โดยประสานเรียนเชิญคณะรัฐมนตรีให้ลงพื้นที่ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ และกำหนดการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ. ภูมิภาค) ในวันเสาร์ที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๖.๓๐-๑๘.๐๐ น. ณ ห้องประชุมโชคอนันต์ ชั้น ๒ อาคารเรียนรวมและอำนวยการ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
28298 | รายงานการเตรียมพร้อมต่อการหยุดซ่อมบำรุงของแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติ ยาดานาในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ระหว่างวันที่ 5 - 14 เมษายน 2556 | พน | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเตรียมพร้อมต่อการหยุดซ่อมบำรุงของแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติยาดานาในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ระหว่างวันที่ ๕-๑๔ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. การดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการหยุดส่งก๊าซธรรมชาติจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และรักษาความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ๑.๑ การเตรียมเชื้อเพลิงสำรอง โดยเร่งรัดให้จัดส่งน้ำมันเตาให้เต็มคลังสำรองก่อนการหยุดจ่ายก๊าซที่โรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ พร้อมทั้งจัดทำแผนการจัดส่งน้ำมันเตาและดีเซลในระหว่างการหยุดซ่อมบำรุงเพื่อให้เพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้า รวมถึงการบริหารปริมาณสำรองหลังสิ้นสุดการหยุดซ่อมบำรุงให้อยู่ในระดับมาตรฐานเพื่อเตรียมการรองรับในกรณีที่การหยุดซ่อมล่าช้ากว่ากำหนด ๑.๒ การเตรียมพร้อมของโรงไฟฟ้า โดยให้มีการทดสอบการปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงสำรองของโรงไฟฟ้าที่ต้องมีการใช้ดีเซลเป็นเชื้อเพลิง และให้ทุกโรงไฟฟ้างดเว้นการหยุดซ่อมบำรุงในช่วงการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ พร้อมกับได้ขอความร่วมมือไปยังผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (Small Power Producer : SPP) เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก ๑๑๐ เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ได้ประสานงานกับผู้ขออนุญาตผลิตพลังงานควบคุมตามพระราชบัญญัติการพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่เป็นการผลิตไฟฟ้าสำรองฉุกเฉิน (Standby Generator) โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงานร่วมกับผู้ขออนุญาตรายใหญ่ จำนวน ๒๗ ราย ที่มีกำลังการผลิตรวม ๑๘๐ เมกะวัตต์ ๑.๓ การประสานแจ้งไปยังผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมขอไม่ให้มีการหยุดซ่อมบำรุงเวลาดังกล่าว ๑.๔ การขอความร่วมมือกับภาคเอกชนลดใช้ไฟฟ้าในช่วงการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ โดยขอความร่วมมือสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยลดใช้ไฟฟ้า ซึ่งสมาชิกในกลุ่มของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะลดการใช้ไฟฟ้าลงประมาณ ๔๐๘ เมกะวัตต์ และในกลุ่มของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะลดใช้ไฟฟ้าลงประมาณ ๘๓ เมกะวัตต์ เมื่อรวมกับการลดใช้ไฟฟ้าจากผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบ Interruptible Rate รวม ๔ แห่ง คือ โรงงานไทยอาซาฮี โรงงานปูนซีเมนต์นครหลวง (๒ แห่ง) และโรงปูนซีเมนต์ทีพีไอ ที่มีกำลังการใช้ไฟฟ้ารวม ๕๖ เมกะวัตต์ จะทำให้สามารถลดใช้ไฟฟ้าลงได้ทั้งสิ้น ๕๔๗ เมกะวัตต์ ๑.๕ การรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้ประหยัดพลังงาน โดยจัดทำแผนการสร้างความเข้าใจกับประชาชน ๓ ช่วง คือ ช่วงก่อน ระหว่าง และหลังสถานการณ์ฉุกเฉิน และจัดทำแผนการสื่อสาร (Media Plan) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมรณรงค์เผยแพร่ข้อมูลสู่ประชาชน ๒. การซ้อมแผนรองรับสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน โดยดำเนินการซ้อมแผนรองรับสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๖ มีหน่วยงานในกำกับและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมซ้อมแผนฯ ที่ใช้เหตุการณ์หยุดซ่อมบำรุงฯ ระหว่างวันที่ ๕-๑๔ เมษายน ๒๕๕๖ เป็นเหตุการณ์สมมติพื้นฐานและเพิ่มเหตุการณ์ซ้ำซ้อนเพื่อเป็นแนวทางการซ้อมแผนฯ ผลการซ้อมแผนฯ ทำให้เกิดความเข้าใจ แนวทางปฏิบัติ วิธีการแก้ไขปัญหา และการสื่อสารประชาสัมพันธ์กับประชาชน ๓. ผลจากการดำเนินงานเพื่อเตรียมพร้อมต่อการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติดังกล่าวจะสามารถทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าสำรองเพิ่มขึ้นเป็น ๑,๔๒๔ เมกะวัตต์ ซึ่งทำให้ระบบไฟฟ้าของประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
|
|||||||||||||||||||||
28299 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค (จำนวน 8 คน 1. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ฯลฯ) | มท | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๘ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ มีนาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ ๒. นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการ ๓. นายบุญเชิด คิดเห็น กรรมการ ๔. นางชนาทิพย์ วีระสืบพงศ์ กรรมการ ๕. นางชูจิรา กองแก้ว กรรมการ ๖. พันตำรวจโท ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ กรรมการ ๗. นายอัมภัส ปิ่นวนิชย์กุล กรรมการ ๘. นายรอยล จิตรดอน กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||
28300 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร04 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๖ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๒๕ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพุธที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ ๒. เห็นชอบให้กำหนดจำนวนคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... จำนวน ๓๖ คน ประกอบด้วยกรรมาธิการที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อ จำนวน ๙ คน และที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเลือก จำนวน ๒๗ คน ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) นำเรื่องนี้หารือนายกรัฐมนตรีสำหรับรายชื่อกรรมาธิการในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรี และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้มีการถ่ายทอดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ จนกว่าการพิจารณาเรื่องดังกล่าวจะแล้วเสร็จ
|
.....