ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1231 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 24601 - 24620 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
24601 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี | สลธ.คสช. | 24/02/2558 | |||||||||||||||
|
||||||||||||||||||
24602 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... | สว | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ ๑.๑ ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... เกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันพัฒนาการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ตามพระราชบัญญัติฯ เป็นการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นภายในสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และในอนาคตจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการวิจัยและการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวาง สมควรที่จะส่งเสริมให้สถาบันพัฒนาการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์เป็นหน่วยงานที่มีอิสระในการบริหารงานเพื่อรองรับงานที่เพิ่มขึ้น ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๑.๒ รับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยในช่วงแรกสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจะเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างเพื่อให้มีสถาบันพัฒนาการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ขึ้นเป็นหน่วยงานภายในของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และแต่งตั้งผู้อำนวยการขึ้นตรงต่อเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติให้เสร็จสิ้นภายใน ๑๘๐ วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัติฯ มีผลบังคับใช้ พร้อมทั้งดำเนินการศึกษาโครงสร้าง หน้าที่ และรูปแบบขององค์กร เพื่อการจัดตั้งสถาบันพัฒนาการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ให้เป็นหน่วยงานอิสระในการบริหารงาน (ให้เสร็จภายใน ๑ ปี) สำหรับในช่วงต่อไปจะดำเนินการจัดตั้งสถาบันพัฒนาการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ให้เป็นหน่วยงานใหม่ที่มีอิสระในการบริหารงานให้เสร็จสิ้นภายใน ๒ ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติฯ มีผลบังคับใช้ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ดังนี้ ๒. มอบให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ต่อไป
|
||||||||||||||||||
24603 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าสายลวด ตำบลแม่สอด ตำบลแม่ตาว ตำบลพระธาตุผาแดง และตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พ.ศ. .... | คค | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าสายลวด ตำบลแม่สอด ตำบลแม่ตาว ตำบลพระธาตุผาแดง และตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าสายลวด ตำบลแม่สอด ตำบลแม่ตาว ตำบลพระธาตุผาแดง และตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อสร้างทางหลวงชนบท ถนนสาย ค๑ ค๒ ง๒ และ ง๓ ตามโครงการผังเมืองรวมเมืองแม่สอด จังหวัดตาก ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
24604 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | วธ | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเปลี่ยนแปลงกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร จาก “ผู้แทนสภาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแห่งชาติ” เป็น “ผู้แทนกระทรวงวัฒนธรรม” ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
24605 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระจกนิรภัยสำหรับยานยนต์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระจกนิรภัยสำหรับยานยนต์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระจกนิรภัยสำหรับยานยนต์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและป้องกันความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
24606 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน จำนวน 6 ฉบับ | กษ | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน จำนวน ๖ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองพระปรง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำพระปรง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานตราด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ๔. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองไม้ชี้ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ... ๕. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำด่านชุมพล เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ๖. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำแม่สรวย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
|
||||||||||||||||||
24607 | รายงานตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ประจำปี 2555 และรายงานฯ ประจำปี 2556 | พม | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานข้อมูลถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว สำหรับการรายงานตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ประจำปี ๒๕๕๕ และรายงานข้อมูลถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว สำหรับการรายงานตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ประจำปี ๒๕๕๖ รวม ๒ ฉบับ โดยเป็นการรายงานเกี่ยวกับจำนวนคดีการกระทำความรุนแรงในครอบครัว จำนวนคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ จำนวนการละเมิดคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ของพนักงานเจ้าหน้าที่และศาล และจำนวนการยอมความ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อทราบปีละครั้ง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และรายงานต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
24608 | รายงานประจำปี 2556 และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2556 ของสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | ศธ | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๖ และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รายงานประจำปี ๒๕๕๖ สสวท. ได้กำหนดเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ ๓ ด้าน ประกอบด้วย ด้านการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างเต็มศักยภาพ และด้านการปรับปรุงกระบวนการจัดการบริหารภายในและความรู้สู่องค์กรคุณภาพสูง ๑.๒ รายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ โดยในปี ๒๕๕๖ สสวท. มีสินทรัพย์รวม ๒,๓๖๑,๗๓๑,๒๖๗.๖๖ บาท รายได้จากการดำเนินงาน ๒,๐๑๒,๔๑๙,๙๐๒.๑๖ บาท และค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน ๒,๐๑๒,๗๐๐,๗๕๐.๒๖ บาท ส่วนในปี ๒๕๕๕ สสวท. มีสินทรัพย์รวม ๒,๓๖๒,๑๖๑,๘๙๒.๖๐ บาท รายได้จากการดำเนินงาน ๒,๐๒๘,๕๗๕,๗๒๙.๓๒ บาท และค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน ๒,๐๖๐,๕๖๒,๖๗๙.๘๘ บาท ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวการจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนา ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) และให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการวิเคราะห์และเสนอแนวทางในการปฏิรูปทุนหมุนเวียนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นแนวทางการบูรณาการงบประมาณของกองทุนต่าง ๆ ให้เหมาะสมและไม่เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนในการใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนต่าง ๆ ต่อไป
|
||||||||||||||||||
24609 | ขออนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีเพื่อเป็น ค่าใช้จ่ายในการออกแบบปรับปรุงพื้นที่ และก่อสร้างอาคารที่ทำการใหม่ของกระทรวงการคลัง | กค | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้กระทรวงการคลังเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว เพื่อเป็นค่าออกแบบก่อสร้างอาคารที่ทำการใหม่ศูนย์คอมพิวเตอร์ และสำนักงานชั่วคราว โดยค่าก่อสร้างศูนย์คอมพิวเตอร์และสำนักงานชั่วคราวให้เบิกจ่ายลักษณะงบลงทุน จำนวน ๘๕,๗๗๒,๔๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๑๕๐,๔๐๙,๘๕๓ บาท ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังดำเนินการส่งคืนสำนักงบประมาณ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในกรณีที่กระทรวงการคลังมีความจำเป็นจะต้องก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป
|
||||||||||||||||||
24610 | โครงการจัดงานประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 12 | กษ | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดงานประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๒ (The 12th Asia Pacific Orchid Conference) จำนวน ๑๒๑,๓๑๐,๙๐๐ บาท โดยค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รองรับไว้แล้ว จำนวน ๔,๓๔๕,๕๐๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๑๖,๙๖๕,๔๐๐ บาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมวิชาการเกษตร) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. เห็นชอบให้ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือในการจัดงาน ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการใช้งบประมาณต้องเป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๕ และคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นสำคัญ และควรศึกษาเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการจัดงานในลักษณะเดียวกันของหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเกิดความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณ รวมทั้งดำเนินการด้วยความประหยัด เหมาะสม สวยงาม การปฏิบัติทุกขั้นตอนกระทำด้วยความโปร่งใส ถูกต้อง และพร้อมรับการตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
24611 | การลงนามในหนังสือยินยอมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้กู้ของธนาคารพัฒนาเอเชีย โดยการปรับโครงสร้างการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาเอเชีย | กค | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับโครงสร้างการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาเอเชีย (Asian Development Fund : ADF) โดยการรวมมูลค่าเงินให้กู้ (Loans) ทั้งหมด รวมถึงสินทรัพย์บางส่วนของกองทุน ADF เข้าไว้ที่แหล่งเงินทุนสามัญ (Ordinary Capital Resource : OCR) และให้คงสถานะการดำเนินงานของกองทุน ADF ในการให้เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่า (Grants) แก่ประเทศสมาชิก ๑.๒ การลงนามในหนังสือยินยอมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้กู้ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) โดยการปรับโครงสร้างการดำเนินงานของกองทุน ADF โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะผู้ว่าการของไทยใน ADB เป็นผู้ลงนามในหนังสือยินยอมดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับหลักประกันในการให้ประเทศสมาชิกชำระหนี้ที่ได้กู้ยืมภายใต้กองทุน ADF และแนวทางการดำเนินการหากไม่มีการชำระคืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
24612 | โครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร | อก | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๑ เรื่อง การปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาแหล่งน้ำและการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง โครงการสินเชื่อสำหรับการจัดซื้อรถตัดอ้อยเพื่อแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้และการขาดแคลนแรงงาน โดยแก้ไขเป็น “โครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร” ๑.๒ เห็นชอบ “โครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร” ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุปกรณ์บริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย การจัดซื้อรถตัดอ้อย รถคีบอ้อย และเครื่องจักรกลการเกษตร การจัดซื้อรถแทรกเตอร์ และการจัดซื้อรถบรรทุกอ้อย ๑.๓ อนุมัติวงเงินกู้ปีละ ๓,๐๐๐ ล้านบาท จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยใช้จากวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ของเงินกู้ยืมสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการปลูกอ้อย (เงินเกี๊ยว) เป็นระยะยาว ๓ ปี โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้ชาวไร่อ้อยผู้กู้ชำระในอัตราร้อยละ ๒ และให้ชำระคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา ๓ ปี นับแต่ปีที่กู้ยืม โดยมีโรงงานน้ำตาลเป็นผู้ค้ำประกัน และให้รัฐบาลช่วยรับภาระอัตราดอกเบี้ยส่วนเกิน เพื่อให้ชาวไร่อ้อยนำไปพัฒนาการปลูกอ้อยให้มีประสิทธิภาพครบวงจร โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย) ประสานกับกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ในการตั้งงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยตามหลักการ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดรายละเอียด มาตรการ หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการกู้ยืมเงินและการชำระเงินกู้ ตลอดจนประมาณการวงเงินที่รัฐบาลต้องรับภาระดอกเบี้ยส่วนเกินในอัตราเดียวกับการชดเชยดอกเบี้ยสำหรับโครงการตามนโยบายรัฐบาลในการช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มอื่น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และคณะอนุกรรมการร่วมจัดทำยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรเป็นรายพืชเศรษฐกิจ ๔ สินค้า (Roadmap) คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และอ้อย เกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติของเกษตรกรผู้กู้และโรงงานน้ำตาล ผู้ค้ำประกันหนี้เงินกู้ ตลอดจนหลักเกณฑ์เงื่อนไขการค้ำประกันให้ชัดเจน การให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นลำดับแรก การแยกพิจารณาการให้วงเงินสินเชื่อ ระยะเวลา และอัตราดอกเบี้ยของแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับความจำเป็น วัตถุประสงค์ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นของการดำเนินโครงการฯ การให้ความสำคัญกับการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น การติดตามประเมินผลโครงการและรายงานผลการดำเนินงานต่อรัฐบาล รวมทั้งการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่มีปัญหาและต้องการแหล่งน้ำ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
24613 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวใหม่ ปี 2557 - 2558 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวใหม่ ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ จำนวน ๘ แผนงาน ภายในกรอบวงเงินรวม ๓,๒๒๕.๑๐ ล้านบาท โดยให้ทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นรายปีจนกว่าการดำเนินงานจะแล้วเสร็จ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ แผนงานระยะยาวใหม่ จำนวน ๘ แผนงาน ประกอบด้วย ๑.๑ แผนงานพัฒนาภูมิสารสนเทศระบบไฟฟ้า ระยะที่ ๓ ๑.๒ แผนงานปรับปรุงติดตั้งอุปกรณ์สื่อสาร Net Generation Network ในพื้นที่ คจฟ.๑ ทดแทนอุปกรณ์สื่อสารความเร็วสูงที่มีอายุการใช้งานเกิน ๑๐ ปี ๑.๓ แผนงานปรับปรุงระบบป้องกันภายในสถานีไฟฟ้าของ กฟภ. ๑.๔ แผนงานปรับปรุงรีเลย์ระบบป้องกันรองรับเทคโนโลยีใหม่และมาตรฐาน IEC 61850 ๑.๕ แผนงานจัดหาอุปกรณ์ไฟฟ้าทดแทนสำหรับการบริหารจัดการทรัพย์สินระบบสายส่ง 115 KV ๑.๖ แผนงานจัดหา Mobile Generator เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินและภัยพิบัติต่าง ๆ ๑.๗ แผนงานขยายโครงข่ายระบบสื่อสารและสายเคเบิลใยแก้วนำแสงให้ครอบคลุมการไฟฟ้าและสถานีไฟฟ้า ส่วนที่ ๒ ๑.๘ แผนงานปรับปรุงระบบวิทยุสื่อสาร ส่วนที่ ๑ (กฟก.๑) ๒. ให้ กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ กฟภ. เสนอความต้องการกู้เงินแต่ละปีเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในแผนงานระยะยาวใหม่ให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินต่อคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อบรรจุแผนงานระยะยาวใหม่ของ กฟภ. ไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีต่อไป รวมทั้ง กฟภ. ควรพิจารณากู้เงินเพื่อการลงทุนตามความจำเป็นและสอดคล้องกับภารกิจหลักเพื่อลดความเสี่ยงจากภาระหนี้สินขององค์กรในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
24614 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 1/2558 | นร11 | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของ กนพ. และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือในรายละเอียดของกิจการเป้าหมายสำหรับการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และนำเสนอประธาน กนพ. พิจารณา ก่อนนำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนต่อไป ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน (OSS) และศูนย์ดำรงธรรม เป็นหน่วยงานหลักในการประสานการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและให้ข้อมูลนักลงทุน ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการ รวมทั้งปรับปรุงคณะอนุกรรมการเดิม ๓ ชุด ได้แก่ (๑) คณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์ ขอบเขตพื้นที่ และศูนย์บริการ (๒) คณะอนุกรรมการศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านแรงงาน สาธารณสุข และความมั่นคง และ (๓) คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร ให้มีรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน ๑.๔ กระทรวงการคลัง เร่งรัดดำเนินมาตรการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและมาตรการทางการเงินให้แล้วเสร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อผู้ประกอบการสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมได้ทันที ๑.๕ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามโครงการเร่งด่วนของแผนด้านโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณในการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๑.๖ กระทรวงแรงงาน ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม และประสานภาคเอกชนกำหนดจำนวนและประเภทแรงงานต่างด้าวที่ต้องการ และดำเนินการขึ้นทะเบียนแรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย ๑.๗ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ เร่งพิจารณาเพื่อกำหนดปริมาณและขยายระยะเวลานำเข้าสินค้าเกษตร รวมทั้งกำหนดพื้นที่และช่องทางการนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถดำเนินการตามนโยบายการจัดตั้งศูนย์รวบรวมและรับซื้อสินค้าเกษตรได้ภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ในส่วนที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์เร่งพิจารณาเพื่อกำหนดปริมาณและขยายระยะเวลาการนำเข้าสินค้าเกษตร เห็นควรเพิ่มกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำหนดพื้นที่และช่องทางการนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
24615 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี (แนวทางการส่งเสริมการค้ากับประเทศที่สนใจซื้อข้าวและยางพาราจากไทย) | พณ | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการส่งเสริมการค้ากับประเทศที่สนใจซื้อข้าวและยางพาราจากไทย ตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตรระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน อยู่ระหว่างการยกร่างแผนดำเนินการด้านการค้าสินค้าเกษตรภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ เพื่อเป็นข้อมูลเตรียมการเจรจากับผู้แทนจีน โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ แนวทางการจัดตั้งคณะกรรมการร่วม (Joint Committee) เพื่อร่วมกันพิจารณากำหนด/ปรับปรุงรายการและปริมาณสินค้าเกษตรที่จีนจะซื้อเพิ่มเติมจากการค้าปกติ ทั้งนี้ ร่างแผนการดำเนินการด้านการค้าสินค้าเกษตรภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ อยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ แนวทางส่งเสริมการค้ากับประเทศที่สนใจซื้อข้าว ยางพารา และผลิตภัณฑ์ โดยสินค้าข้าว กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดแนวทางส่งเสริมการค้าและการบริหารจัดการเพื่อเร่งรัดการส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศ อาทิ การจัดคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปเจรจาและกระชับความสัมพันธ์การค้าข้าวในต่างประเทศ เป็นต้น สำหรับสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ ได้กำหนดให้มีการส่งเสริมผ่านการดำเนินการในการจัดคณะผู้แทนการค้าเพื่อเจรจาการค้าในประเทศไทย จัดคณะผู้แทนการค้าเพื่อเจรจาการค้าในต่างประเทศ และเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ พร้อมกันนี้ได้มีแผนการส่งเสริมการค้าข้าวและยางพารากับสาธารณรัฐประชาชนจีน สหพันธรัฐรัสเซีย และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ช่วงเวลาดำเนินการปี ๒๕๕๘ ๑.๓ การส่งเสริมการค้าโดยใช้วิธีซื้อขายต่างตอบแทน คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ เห็นชอบให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการค้าแบบแลกเปลี่ยน พ.ศ. ๒๕๔๙ เนื่องจากแนวทางการดำเนินการค้าแบบแลกเปลี่ยนไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์และนโยบายทางการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันและมีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ อย่างไรก็ดี หากหน่วยงานราชการที่จะจัดทำโครงการความร่วมมือหรือการจัดซื้อเพื่อนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ จะกำหนดให้นำเข้าสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา เป็นการแลกเปลี่ยนก็อาจจะทำได้ โดยหน่วยงานดังกล่าวต้องดำเนินการเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาและกลั่นกรองความคุ้มค่าของโครงการความร่วมมือเพื่อให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุด และเร่งดำเนินการเจรจากับฝ่ายจีนเพื่อปลดหรือผ่อนปรนเงื่อนไขการส่งออกทั้งด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้าและด้านรูปแบบการส่งออก เพื่อไม่ให้จีนมีข้ออ้างในการถ่วงเวลาการดำเนินการตามความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ และสัญญาที่ได้ลงนามไว้แล้วกับฝ่ายไทย รวมทั้งเร่งดำเนินการตามแผนการส่งเสริมการค้าข้าวและยางพารากับจีน รัสเซีย และฝรั่งเศส โดยเฉพาะในการส่งเสริมการค้ายางพาราที่หดตัวลงทั้งในรัสเซียและฝรั่งเศส รวมทั้งการส่งเสริมการค้าข้าวและยางพาราในประเทศคู่ค้าสำคัญเพื่อรักษาตลาด ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
24616 | ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพิ่มช่องทางชำระค่าปรับ) | ตช | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (เพิ่มช่องทางชำระค่าปรับ) มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขคำนิยามคำว่า “อธิบดี” หมายถึง อธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งปัจจุบันได้กำหนดให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเพิ่มช่องทางชำระค่าปรับเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนที่กระทำผิดกฎหมายจราจร ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างมาตรา ๖ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๔๑ ทวิ ที่กำหนดให้กรณีที่ผู้ขับขี่ไม่ไปชำระค่าปรับภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในใบสั่ง เจ้าของรถต้องไปรายงานตัวที่พนักงานสอบสวนตามสถานีตำรวจ นั้น อาจเป็นการไม่สอดคล้องกับหลักการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||
24617 | การชำระเงินบำรุงประจำปีศูนย์ประสานงานความร่วมมืออนุภูมิภาคแผนงาน IMT-GT (CIMT) | นร11 | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการด้านการชำระเงินประจำปีให้แก่ศูนย์ประสานงานความร่วมมืออนุภูมิภาคแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Centre for Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Sub-regional Cooperation : CIMT) ภายใต้แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) โดยในรอบปี ๒๕๕๖ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทำคำของบประมาณจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี ๒๕๕๕ จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเบิกจ่ายเหลื่อมปีในการชำระเงินบำรุงประจำปีแก่ศูนย์ฯ แต่สามารถแปลงและโอนเงินให้แก่ศูนย์ฯ เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ได้เพียงจำนวน ๑๕๙,๒๓๕.๖๗ ดอลลาร์สหรัฐ และในรอบปี ๒๕๕๗ ได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๒๕๕๗ จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเบิกจ่ายในการชำระเงินประจำปีแก่ศูนย์ฯ แต่สามารถแปลงและโอนเงินให้แก่ศูนย์ฯ เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ได้เพียงจำนวน ๑๕๒,๖๖๔.๗๖ ดอลลาร์สหรัฐ โดยโอนผ่านบัญชีเงินฝากสากลของศูนย์ฯ ทั้งสองครั้ง เป็นผลให้ประเทศไทยชำระเงินบำรุงประจำปีแก่ศูนย์ฯ ไม่เต็มจำนวนตามที่ได้ทำความตกลงไว้ต่อเนื่องสองปีเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๘,๐๙๙.๕๗ ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการชำระเงินบำรุงประจำปีแก่ศูนย์ฯ ในรอบปี ๒๕๕๘ ได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๕,๗๕๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้สามารถแปลงและโอนเงินแก่ศูนย์ฯ จำนวน ๑๖๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ และได้รับการจัดสรรงบประมาณ แต่ยังมิได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยส่วนที่ชำระเงินบำรุงประจำปีแก่ศูนย์ฯ ไว้ไม่ครบในรอบปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ จำนวน ๑๘,๐๙๙.๕๗ ดอลลาร์สหรัฐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. อนุมัติเปลี่ยนแปลงสกุลเงินในการชำระเงินบำรุงประจำปีแก่ศูนย์ประสานงานความร่วมมืออนุภูมิภาคแผนงาน IMT-GT (CIMT) เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อการชำระเงินบำรุงประจำปีแก่ศูนย์ฯ ในช่วงปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ เป็นจำนวนเงิน ๑๖๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมด้านการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศในแต่ละครั้ง โดยมีงวดการชำระเงินภายในวันที่ ๓๑ มีนาคมของทุกปี และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ครบถ้วนตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. อนุมัติการจัดสรรงบประมาณจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี ๒๕๕๘ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ประสานงานความร่วมมืออนุภูมิภาคแผนงาน IMT-GT (CIMT) เพิ่มเติมในส่วนที่ชำระไว้ไม่ครบในรอบปีที่หนึ่ง (ปี ๒๕๕๖) และรอบปีที่สอง (ปี ๒๕๕๗) รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๘,๑๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้เป็นการดำเนินการที่ครบถ้วนตามความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ประสานงานความร่วมมืออนุภูมิภาคแผนงาน IMT-GT ต่อไป โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||
24618 | แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ | ทส | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป โดยแผนปฏิบัติการดังกล่าวมีกรอบแนวคิด "๑๒๐ วัน คืนฟ้าใส อากาศบริสุทธิ์ ให้ชุมชน" โดยให้จังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบหลักตามระบบศูนย์สั่งการแบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) เน้นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุในลักษณะพื้นที่-หน้าที่-การมีส่วนร่วม (Area-Function-Participation) ตามภารกิจความรับผิดชอบของหน่วยงาน และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้นำ แกนนำ อาสาสมัคร และประชาชน ระยะเวลาดำเนินงานแบ่งเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน (มกราคม-เมษายน ๒๕๕๘) ระยะกลาง (๒๕๕๘-๒๕๖๒) และระยะยาว (๒๕๕๘-๒๕๖๗) พื้นที่เป้าหมาย ๙ จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน และตาก กรอบงบประมาณทั้งสิ้นจำนวน ๖,๒๘๕,๔๗๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยการดำเนินการตามแผนปฏิบัติดังกล่าวให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้ตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบจากไฟป่าและหมอกควัน และบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ให้สามารถดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรมีการวิจัยเพื่อพัฒนาปรับปรุงระบบคาดการณ์ความเสี่ยงจากการเกิดไฟป่าและการเคลื่อนที่ของหมอกควันล่วงหน้าให้มีความแม่นยำขึ้น ควรส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น เครื่องผลิตเชื้อเพลิงจากเศษวัสดุ ไปเผยแพร่และใช้งานในระดับท้องถิ่น ควรให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบจากไฟป่าและหมอกควัน และควรให้ความสำคัญ รวมถึงสนับสนุนเครือข่ายอาสาสมัครต่าง ๆ เครือข่ายชุมชนในเรื่องการเฝ้าระวัง ลาดตระเวน และแจ้งเตือนให้กับหน่วยงานหลักได้ทราบเมื่อพบจุดเกิดเหตุตั้งแต่ต้น ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดในช่วงเวลาห้ามเผา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายตามแผนปฏิบัติการฯ ระยะเร่งด่วน (มกราคม-เมษายน ๒๕๕๘) ให้จังหวัดที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๘๘.๕๐๒๕ ล้านบาท และให้สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานเจ้าภาพขอทำความตกลงในรายละเอียดด้านงบประมาณตามขั้นตอนกับสำนักงบประมาณแทนจังหวัดดังกล่าวต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือและที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามแผนระยะกลางและระยะยาว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และหรือขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รับไปศึกษารายละเอียดร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยเพื่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าทั้งทางพื้นดินและทางอากาศ เช่น การปรับปรุงเครื่องบินที่หน่วยงานต่าง ๆ มีอยู่ให้มีศักยภาพและความพร้อมในการนำมาใช้ในการดับไฟป่า เป็นต้น |
||||||||||||||||||
24619 | การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2556 - 2560) ไปสู่การปฏิบัติ | ปช | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐแปลงแนวทางและมาตรการตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) สู่การปฏิบัติ โดยกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติราชการ ๔ ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปี โดยให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนการขับเคลื่อน ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และของประธานคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ที่เห็นควรให้มีการรณรงค์ปลูกฝังค่านิยมในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันทั้งในระดับบุคคลจนถึงระดับองค์กร โดยให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นดำเนินการขับเคลื่อนและปลูกฝังค่านิยมดังกล่าวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการกำหนดตัวชี้วัดการประเมินผลการดำเนินการตามแผนปฏิบัติราชการ ๔ ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปีให้สอดคล้องและสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายหลัก ตามที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ ๒ และพิจารณากำหนดไว้ในกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการประจำปี โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
24620 | ขอความกรุณาพิจารณาเห็นชอบการขยายผลการรับเด็กนักเรียนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าเป็นนักศึกษาโครงการเพชรในตม | นร51 | 24/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ขยายผลการรับเด็กนักเรียนจาก ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาตามโครงการเพชรในตมเพิ่มเติม โดยมีงบประมาณโครงการฯ บรรจุอยู่ในแผนงานงบประมาณประจำปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ในกรอบวงเงิน ๒,๓๒๕,๐๐๐ บาท/ปี (รวม ๕ ชั้นปี ๆ ละ ๑๕ คน) หรือตามอัตราค่าใช้จ่ายจริง (ประกอบด้วย ค่าเทอม และค่ากิจกรรมนักศึกษาประจำปี) ตามที่มหาวิทยาลัยเรียกเก็บ ๑.๒ ให้เปิดอัตราบรรจุให้กับนักศึกษาจาก ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ผู้สำเร็จการศึกษาจากโครงการเพชรในตม เข้ารับราชการครูครั้งแรก ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๒. ให้ กอ.รมน. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายในแต่ละปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณค่าใช้จ่ายให้แก่นักศึกษาในโครงการเพชรในตมให้เหมาะสมเพียงพอด้วย |
.....