ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1235 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 24681 - 24700 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
24681 | ขอความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Convention for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage) และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. .... | วธ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Convention for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage) เพื่อเป็นการแสดงเจตจำนงทางนโยบายของประเทศไทยที่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในเวทีระหว่างประเทศเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทย และให้เสนออนุสัญญาฯ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมหรือคุ้มครองการใช้ประโยชน์จากวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ รวมทั้งเป็นการออกกฎหมายเพื่ออนุวัติการตามอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการตั้งงบประมาณรายจ่ายค่าบำรุงสมาชิกที่ต้องจ่ายให้แก่กองทุนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ทุกสองปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบอนุสัญญาฯ และเมื่อร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ พ.ศ. .... มีผลบังคับใช้แล้ว ๕. ให้กระทรวงวัฒนธรรมทำแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน ๙ เดือน และ ๑ ปี เกี่ยวกับการคุ้มครองและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยให้เป็นรูปธรรม เช่น การขึ้นทะเบียนปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่นในเรื่องต่าง ๆ ให้ชัดเจนตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) รวมทั้งกำหนดมาตรการเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องดังกล่าวด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
24682 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเบลารุสว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการ | กต | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ความเห็นชอบต่อร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเบลารุสว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการ โดยร่างความตกลงฯ จัดทำขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการของแต่ละฝ่ายในการเดินทางเข้า-ออก เดินทางผ่าน และพำนักอยู่ในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตราเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน นับจากวันเดินทางเข้ามา รวมถึงผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นสมาชิกในคณะผู้แทนทางการทูตหรือในสถานทำการกงสุลหรือเป็นผู้แทนประจำองค์การระหว่างประเทศในดินแดนของอีกฝ่ายด้วย โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ ๑.๓ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งฝ่ายเบลารุสเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการจัดกลุ่มประเภทหนังสือเดินทางและตรวจสอบการให้สิทธิในการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางแต่ละประเภทให้ชัดเจนและเป็นไปตามหลักการต่างตอบแทนกับประเทศต่าง ๆ รวมทั้งเสนอแนวทางปรับปรุงการให้สิทธิที่เหมาะสม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป นอกจากนั้น ให้เร่งรัดระบบการยื่นขอวีซ่าผ่านทางอินเทอร์เน็ต (Electronic Visa) ให้แล้วเสร็จก่อนปลายปี ๒๕๕๘ เพื่อเตรียมการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
24683 | การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินในการดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ครั้งที่ 25 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 | นร04 | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินในการดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ครั้งที่ ๒๕ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนี้
๑. กรณีที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอมานี้เป็นการเสนอข้อเสนอแนะของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่มีขึ้นเพื่อให้มีการพิจารณาหาผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดจากการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปครั้งที่ ๒๕ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ และกำหนดมาตรการหรือวิธีการปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งต่อไปเพื่อให้บรรลุผลการเลือกตั้งสำเร็จตามวัตถุประสงค์ กรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีดุลยพินิจพิจารณาดำเนินการเรื่องดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควร ๒. สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินในกรณีนี้ ก็ยังมีหน้าที่ต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อที่จะทราบว่าความเสียหายที่เกิดจากการกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่หรือผู้ใด และจะต้องรับผิดชอบตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แล้วแต่กรณี ๓. สำหรับการกำหนดมาตรการหรือวิธีการปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งต่อไป เนื่องจากในการจัดการเลือกตั้งมีหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก การพิจารณาเรื่องดังกล่าวจึงสมควรพิจารณาความเห็นของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย นอกจากนี้ การกำหนดมาตรการหรือวิธีการปฏิบัติในการเลือกตั้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบการเลือกตั้งซึ่งมีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการยกร่างขึ้นตามมาตรา ๓๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ กรณีจึงจำเป็นต้องพิจารณาดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||
24684 | ผลการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 5 (The 5th GMS Summit) | นร11 | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๕ (The 5th GMS Summit) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงเทพมหานคร โดยผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้ความเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมระดับผู้นำ (Joint Summit Declaration : JSD) มีสาระสำคัญในการผลักดันการดำเนินงานการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ใน GMS และผลักดันกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการดำเนินงานภายใต้ความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Cross Border Transport Agreement : CBTA) ร่วมผลักดันการพัฒนาแนวเส้นทางคมนาคมในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้เป็นแนวระเบียงเศรษฐกิจผ่านการดำเนินงานภายใต้เวทีการหารือการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor Forum : ECF) และร่วมผลักดันการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการของกรอบการลงทุนของภูมิภาค (RIF-IP) ให้สามารถเกิดการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งรับทราบรายงานเรื่องแผนปฏิบัติการของกรอบการลงทุนของภูมิภาค (Regional Investment Framework-Implementation Plan : RIF-IP) และผลสรุปการประชุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมหารือเพื่อการลงทุนในลุ่มแม่น้ำโขง การประชุมสภาธุรกิจ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง การประชุมโต๊ะกลมภาคีหุ้นส่วนการพัฒนา และการประชุมหารือผู้แทนเยาวชนลุ่มแม่น้ำโขง ๒. เห็นชอบข้อเสนอแผนการดำเนินงานระยะเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการโดยประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒.๑ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลัง เร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและขยายด่านพรมแดน ทั้งในส่วนของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกการค้าและคมนาคมขนส่งในอนุภูมิภาค รวมถึงเร่งผลักดันการพัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงอนุภูมิภาคและรถไฟความเร็วปานกลางระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีนให้เป็นรูปธรรม ๒.๒ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลัง เร่งรัดการให้สัตยาบันต่อภาคผนวกและพิธีสารที่เหลืออยู่จำนวน ๖ ฉบับ ภายใต้ความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Cross Border Transport Agreement : CBTA) ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๘ ๒.๓ กระทรวงการคลัง และกระทรวงการต่างประเทศ สนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ให้เป็นองค์กรความร่วมมือเพื่อการพัฒนาหลักในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อให้ความช่วยเหลือทั้งทางด้านการเงิน ด้านวิชาการ และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แก่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีระดับการพัฒนาน้อยกว่าประเทศไทย ๒.๔ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน เร่งรัดศึกษาการจัดการผลกระทบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การจัดการความเสี่ยงและป้องกันผลกระทบเนื่องมาจากภัยธรรมชาติและภัยพิบัติต่าง ๆ และร่วมหารือในความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเรื่องการป้องกันการค้ามนุษย์ และการเคลื่อนย้ายแรงงานผิดกฎหมาย ๒.๕ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานมหาวิทยาลัย สถาบันลุ่มแม่น้ำโขง สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและพัฒนา สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ และธนาคารพัฒนาเอเชีย ร่วมกำหนดแนวทางความร่วมมือเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และศักยภาพบุคลากรในอนุภูมิภาค ๒.๖ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทยผลักดันการดำเนินงานเพื่อสร้างความเข้าใจและเพิ่มการมีส่วนร่วมของจังหวัด ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจและพื้นที่ชายแดนโดยประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สื่อมวลชนและภาคีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ๒.๗ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกระทรวงการต่างประเทศเร่งให้มีการหารือร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในเรื่องการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งกันและกันได้ ๒.๘ สภาธุรกิจ GMS Business Forum (GMS-BF) ประเทศไทย เร่งศึกษาเพื่อจัดทำข้อเสนอการพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เร่งศึกษาแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อป้องกัน ลดผลกระทบ และจัดการความเสี่ยงทางธุรกิจเนื่องมาจากภัยพิบัติและภัยธรรมชาติ และเร่งรัดกำหนดมาตรฐานคุณภาพผู้ประกอบการขนส่งสินค้าร่วมกับผู้ประกอบการในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง |
||||||||||||||||||||||||
24685 | ขอเช่ารถยนต์ส่วนกลาง เพิ่มเติม | พว | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักพระราชวังก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๓ เพื่อเช่ารถยนต์ส่วนกลางเพิ่มเติม จำนวน ๙ คัน ภายในวงเงิน ๑๔,๓๑๐,๐๐๐ บาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ แผนงานเทิดทูน พิทักษ์ และรักษาสถาบันมหากษัตริย์ ผลผลิตความสะดวกแด่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ งบดำเนินงาน รายการค่าเช่ารถยนต์ส่วนกลาง ๗๑ คัน ที่เหลือจ่ายจำนวน ๑,๙๐๘,๐๐๐ บาท สำหรับดำเนินการเช่าระยะเวลา ๘ เดือน ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๕๒ เดือน วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๒,๔๐๒,๐๐๐ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ โดยให้สำนักพระราชวังเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปีต่อไป ทั้งนี้ ให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเกี่ยวกับอัตราค่าเช่ารถยนต์ที่สูงกว่าอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนดก่อนดำเนินการทำสัญญาเช่ารถยนต์ดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
24686 | มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 เพิ่มเติม | นร07 | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ กรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ยังคงมีความจำเป็นต้องดำเนินการตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบแล้วและมีความพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการหรือสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายผลผลิตหรือโครงการโดยเร็ว ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ๑.๒ กรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่ได้รับความเห็นชอบแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณแล้ว แต่คาดการณ์ว่าจะไม่สามารถเริ่มดำเนินการหรือก่อหนี้ผูกพันโครงการ/รายการได้ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ รวมถึงได้พิจารณาทบทวนความจำเป็นแล้วเห็นว่า โครงการ/รายการ ดังกล่าวหมดความจำเป็น หรือไม่สามารถดำเนินการ หรือมีความซ้ำซ้อน หรือได้ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และมีงบประมาณเหลือจ่าย หรือคาดว่าจะไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณจากโครงการ/รายการเดิมเพื่อนำไปดำเนินการ (๑) ดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ/นโยบายรัฐบาล ๑๑ ด้าน/ยุทธศาสตร์คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๙ ด้าน/นโยบายความมั่นคง ซึ่งรวมถึงนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่จำเป็นต้องแก้ไขปัญหา ๑๑ เรื่อง ได้แก่ การค้ามนุษย์ ยาเสพติด การจัดระเบียบพื้นที่สาธารณะ การแก้ปัญหาการบุกรุก การแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย การปฏิรูปสาธารณูปโภคพื้นฐาน การท่องเที่ยว การศึกษา การเชื่อมโยงเศรษฐกิจ และเขตเศรษฐกิจพิเศษ (๒) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนกรณีเร่งด่วนและตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างทั่วถึง เป็นธรรม ชัดเจน เช่น ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ การซ่อมแซม สิ่งสาธารณประโยชน์ เป็นต้น (๓) เป็นรายการงบประมาณที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจซึ่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน (๔) เป็นการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาของหน่วยงานในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมถึงการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพื่อสมทบในรายการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ และโครงการ/รายการผูกพันที่ดำเนินการได้เร็วกว่าแผน (๕) ชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคหรือชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) หรือดำเนินโครงการ/รายการที่มีข้อผูกพันตามกฎหมาย และ (๖) เป็นรายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนหากไม่ดำเนินการจะเกิดความเสียหายต่อทางราชการ รวมถึงรายการสำรวจออกแบบเพื่อให้มีความพร้อมในการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเสนอคณะรัฐมนตรีที่รับผิดชอบและกำกับดูแลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เพื่อพิจารณาเห็นชอบภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๘ โดยเมื่อได้รับความเห็นชอบแล้ว ให้ดำเนินการขอปรับแผนฯ และโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณต่อสำนักงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณดังกล่าว ไม่ควรโอนงบประมาณไปเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ยกเว้นกรณีการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจตามสนธิสัญญาหรือที่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย ไม่ควรโอนงบประมาณไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อยานพาหนะ ค่าใช้จ่ายในการจ้างบุคลากร ที่จะก่อให้เกิดภาระงบประมาณระยะยาวในอนาคต จากนั้นให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นไปดำเนินการในโครงการ/รายการที่มีความพร้อมและสามารถเริ่มดำเนินการหรือก่อหนี้ผูกพันได้ภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และสามารถเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ๑.๓ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการใด ๆ ที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นได้รับการจัดสรรงบประมาณไปใช้จ่ายบรรลุวัตถุประสงค์แล้วมีเงินเหลือจ่าย ให้ส่งคืนสำนักงบประมาณ แต่หากมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องนำไปใช้จ่ายในรายการอื่น ๆ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเสนอรัฐมนตรีที่รับผิดชอบกำกับดูแลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วจึงดำเนินการตามกฎหมาย ประกาศ และระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๔ ให้สำนักงบประมาณนำผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบการพิจารณาในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ อย่างเข้มงวด ๒. ให้สำนักงบประมาณรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรมีการวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคของแต่ละหน่วยงานเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่อการเบิกจ่ายงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการเบิกจ่ายโครงการที่ได้มีการทำสัญญาแล้ว เพื่อให้มีการเบิกจ่ายเป็นไปตามแผนงานและสามารถบรรลุเป้าหมายการเบิกจ่ายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเร่งรัดการพิจารณากรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นเสนอเรื่องขอโอนเปลี่ยนแปลงรายการปฏิบัติโดยเร็ว รวมถึงให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง เรื่องการนำผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบการพิจารณาในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เห็นชอบการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยให้หน่วยงานดำเนินการตามขั้นตอนของการเร่งรัดการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ โดยให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้หัวหน้าส่วนราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่มีผลการเร่งรัดการเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ ๘๗ เร่งดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดใหม่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๘๗ ต่อไป สำหรับรายจ่ายลงทุนที่ทำสัญญาแล้วไม่มีผลการเบิกจ่ายงบประมาณ แต่มีผลงานที่ดำเนินการไปแล้วบางส่วน ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินจากผู้รับจ้างที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกช่องทางหนึ่ง ให้หน่วยงานรายงานความก้าวหน้าของผลการปฏิบัติงานในระบบเร่งรัดการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของสำนักงบประมาณด้วย ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
24687 | ขออนุมัติปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ งบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 - 2556 | นร | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ถอนความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้เงินเหลือจ่ายสำหรับดำเนินโครงการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอเพิ่มเติม ๒. อนุมัติให้ปรับแผนปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ วงเงิน ๓๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท จากเดิม จำนวน ๑๒ รายการ เป็น จำนวน ๖ โครงการ ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เสนอ และให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป โดยแผนปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ขอปรับใหม่ ได้แก่ ๒.๑ โครงการสนับสนุนดำเนินงานโครงการพระราชดำริฯ และเป็นโครงการของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ งบประมาณ ๖,๖๕๘,๙๐๐ บาท ๒.๒ โครงการปรับปรุงซ่อมแซมพลับพลารวมใจประชาชน (พลับพลาบ้านละเวง) อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี งบประมาณ ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๒.๓ โครงการยกระดับมาตรฐานถนนเป็นแอสฟัลต์ติกคอนกรีต จำนวน ๒ สาย อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี งบประมาณ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒.๔ โครงการสนับสนุนกิจกรรมการแก้ไขปัญหายาเสพติด ประกอบด้วย (๑) โครงการปรับปรุงศูนย์พัฒนาชีวิตใหม่ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ค่ายปรับพฤติกรรมระดับจังหวัด) ตำบลปิยามุมัง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี และ (๒) โครงการศูนย์ศรัทธาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศูนย์บำบัดและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และครบวงจร) ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างเพิ่มเติมจากงบประมาณ ๑๐ ล้านบาท ของสำนักงาน ป.ป.ส. งบประมาณ ๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๒.๕ โครงการตรวจซ่อมแซมและติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดภายใน ศอ.บต. งบประมาณ ๕,๑๐๐,๐๐๐ บาท ๒.๖ โครงการปรับปรุงพัฒนาระบบความพึงพอใจการให้บริการประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ งบประมาณ ๑,๐๔๑,๑๐๐ บาท |
||||||||||||||||||||||||
24688 | ขอเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการค่าก่อสร้างอาคารเรียน โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี จังหวัดราชบุรี | ศธ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรูปแบบรายการค่าก่อสร้างอาคารเรียน โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี จังหวัดราชบุรี จากเดิม อาคารเรียนแบบ ๒๑๒ ล./๕๕ จำนวน ๑ หลัง วงเงิน ๑๒,๙๕๕,๐๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็น อาคารเรียนแบบพิเศษ ๔ ชั้น จำนวน ๑ หลัง วงเงิน ๒๔,๖๓๓,๐๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑,๙๔๓,๒๕๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๑,๐๑๑,๗๕๐ บาท ส่วนที่ขาดอยู่อีกจำนวน ๑๑,๖๗๘,๐๐๐ บาท ขอใช้เงินรายได้สถานศึกษาสมทบ ให้แก่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี จังหวัดราชบุรี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ในส่วนของวงเงินค่าก่อสร้างให้กระทรวงศึกษาธิการ (โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี) ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง มาตรการการดำเนินการปรับลดค่างานก่อสร้างของหน่วยงานภาครัฐ) ตามความเห็นของกระทรวงการคลังด้วย |
||||||||||||||||||||||||
24689 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ 2558 (เพิ่มเติม) พร้อมทั้งขอความเห็นชอบแนวทางการดำเนินงาน | อื่นๆ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงินจำนวน ๗,๘๐๑,๓๓๓,๘๐๐ บาท เพื่อดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินโครงการในส่วนที่รับผิดชอบให้แล้วเสร็จเกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ โดยเฉพาะโครงการเกี่ยวกับน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค น้ำเพื่อการเกษตร การขุดลอกคูคลอง และการกักเก็บและการระบายน้ำ ทั้งนี้ ให้แผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) ดังกล่าว ไม่อยู่ในข่ายต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ๒. ในส่วนของโครงการบริหารจัดการน้ำระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องหรือเป็นโครงการที่จะต้องได้รับอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณก่อนการดำเนินการ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาทบทวนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
24690 | นโยบายส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคเอกชน (Talent Mobility) | วท | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้การปฏิบัติงานในโครงการส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐ ไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในภาคเอกชน (Talent Mobility) ของบุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐถือเป็นการปฏิบัติงานเต็มเวลาของหน่วยงานต้นสังกัด โดยให้นับเป็นอายุราชการหรืออายุงานของหน่วยงานต้นสังกัด ๑.๒ ให้การปฏิบัติงานในโครงการฯ ของบุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐที่มีข้อผูกพันตามสัญญาชดใช้ทุน นับเป็นระยะเวลาชดใช้ทุนตามสัญญาด้วย ทั้งนี้ ให้รวมถึงผู้รับทุนที่ต้องการเข้าร่วมโครงการฯ ก่อนเริ่มปฏิบัติงานในหน่วยงานต้นสังกัดสำหรับกรณีที่หน่วยงานต้นสังกัดเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ และองค์การมหาชน โดยครอบคลุมทั้งองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ที่เป็นหน่วยงานด้านวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ๑.๓ ให้บุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถใช้ผลการปฏิบัติงานในภาคเอกชนในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นผลงานในการขอตำแหน่งทางวิชาการหรือตำแหน่งงานอื่น ๆ รวมทั้งการขึ้นเงินเดือน โดยให้มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐจัดทำเกณฑ์การเลื่อนตำแหน่ง การเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ และการขึ้นเงินเดือนที่ชัดเจน ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อผลักดันการดำเนินการตามนโยบายให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เกี่ยวกับการจัดทำรายละเอียดการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น การกำหนดสิ่งจูงใจ ค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ การกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพการประเมินผลการปฏิบัติงาน ควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานอื่นที่บุคลากรไปปฏิบัติงาน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวเกิดประสิทธิผลสูงสุด และให้มีการประเมินและติดตามผลของนโยบาย Talent Mobility อย่างสม่ำเสมอ โดยครอบคลุมถึงผลกระทบด้านความเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์ประเทศ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลภาครัฐด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน รวมทั้งผลกระทบต่อการบริหารทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานที่นำนโยบายนี้ไปดำเนินการ นอกจากนี้ ควรปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเอื้อให้บุคลากรในสังกัดสามารถเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนา กำหนดกรอบและทิศทางการวิจัยและพัฒนาในเรื่องต่าง ๆ ให้สอดคล้อง สนับสนุน และเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ๑๑ กลุ่ม รวมทั้งกลุ่มธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดทำทะเบียนบุคลากรที่ปฏิบัติงานทางด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งรวบรวมผลงานวิจัยต่าง ๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนเพื่อนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลในการต่อยอดการวิจัยและพัฒนาให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ต่อไป ๕. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกำหนด ตรวจสอบ และรับรองคุณภาพมาตรฐานสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สถาบันมาตรวิทยา สถาบันทดสอบมาตรฐานอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เร่งรัดขั้นตอนดำเนินการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานสินค้าและผลิตภัณฑ์ตามอำนาจหน้าที่ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนการประกอบการของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องให้ได้รับความสะดวกรวดเร็วมากขึ้นด้วย |
||||||||||||||||||||||||
24691 | การจัดระบบการจ้างคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในลักษณะไป - กลับ หรือตามฤดูกาล ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 | รง | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดท้องที่ สัญชาติ ประเภทหรือลักษณะงาน ช่วงระยะเวลาหรือฤดูกาล หรือเงื่อนไขที่คนต่างด้าวอาจขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑.๑.๑ ท้องที่ : กำหนดท้องที่เฉพาะที่อนุญาตให้ทำงานและอยู่ในราชอาณาจักรได้ในพื้นที่ตามความตกลงว่าด้วยการสัญจรข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศที่ติดต่อกับราชอาณาจักรไทย และพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษตามที่รัฐบาลกำหนดไว้ และให้คนต่างด้าวเดินทางเข้า-ออกผ่านจุดผ่านแดนถาวรหรือจุดผ่านแดนที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสามารถไปดำเนินการตรวจลงตราและประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้แก่คนต่างด้าวได้ ทั้งนี้ เดินทางเข้ามาทางจุดผ่านแดนใดต้องเดินทางออกไปทางผ่านจุดผ่านแดนนั้น ๑.๑.๒ สัญชาติ : เมียนมา ลาว และกัมพูชา ๑.๑.๓ ประเภทหรือลักษณะงาน : อนุญาตให้ทำงานได้ในงานกรรมกรและงานรับใช้ในบ้าน ๑.๑.๔ ระยะเวลา : คนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานสามารถเดินทางเข้ามาเพื่อทำงานได้ตลอดทั้งปี โดยอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้เป็นไปตามความตกลงระหว่างรัฐ โดยให้สามารถเดินทางเข้า-ออกได้หลายครั้ง ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกระทรวงแรงงาน ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาล ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ทุกราย ต้องมีการตรวจสุขภาพ อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง โดยสถานบริการของรัฐ และต้องมีการประกันสุขภาพในช่วงระยะเวลาไม่น้อยกว่าระยะเวลาที่อนุญาตให้ทำงานอยู่ในประเทศไทย ในกรณีไป-กลับ ควรซื้อประกันสุขภาพรายปี รวมทั้งกำหนดมาตรการและแนวทางที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการบริหารจัดการ ควบคุม กำกับคนต่างด้าวในพื้นที่ชายแดนที่เข้ามาทำงานแบบไป-กลับโดยใช้บัตรผ่านแดน มิให้ลักลอบออกไปทำงานนอกเขตพื้นที่ที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
24692 | การจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | กต | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ๒. ยืนยันการอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในความตกลงฯ ในนามของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ๓. ยืนยันการอนุมัติการแจ้งฝ่ายสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
24693 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ พ.ศ. .... | นร08 | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อให้การกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนแม่บท และมาตรการในการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติมีเอกภาพ มีระบบ และมีความสอดคล้องต่อเนื่องกัน ตลอดจนมีหน่วยงานหลักที่เป็นศูนย์กลางในการอำนวยการและประสานการปฏิบัติการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ โดยให้แก้ไขชื่อตำแหน่งของอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ในหมวด ๒ คณะอนุกรรมการอำนวยการและประสานการพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ ร่างข้อ ๘ วรรคสอง จาก “ผู้อำนวยการส่วนนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” เป็น “ผู้อำนวยการส่วนงานความมั่นคงพิเศษ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” ตามข้อสังเกตของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการเป็นลำดับแรก ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
24694 | ผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่ง สปป. ลาว ครั้งที่ 6 | พณ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ครั้งที่ ๖ เพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการและเกิดผลเป็นรูปธรรมตามตารางติดตามการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามผลการประชุมฯ เมื่อวันที่ ๔-๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่ง สปป.ลาว เป็นหัวหน้าคณะฝ่าย สปป.ลาว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปประเด็นสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ เป้าหมายการค้า ส่งเสริมและผลักดันให้มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๑๕-๒๐ ต่อปี นับตั้งแต่ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ เพื่อให้บรรลุถึง ๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๐ ๑.๒ การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน ได้แก่ การอำนวยความสะดวกการนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตร การดำเนินการด้านพิธีการศุลกากรตรวจแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (Single Stop Inspection-SSI) ด่านชายแดน การขอรับการตรวจลงตรา ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) การเชื่อมโยงในภูมิภาค ๑.๓ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ สนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายปรึกษาหารือในรายละเอียดร่วมกันในการร่วมมือและส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน ในการพัฒนาความร่วมมือในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดมุกดาหารและจังหวัดหนองคายของไทย ๑.๔ การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-สปป.ลาว ได้แก่ งานแสดงสินค้า การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการค้าและการลงทุน ๑.๕ ความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุน ประสานกับฝ่าย สปป.ลาว เรื่องการจัดทำ MOU ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว ๑.๖ ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร ส่งเสริมสนับสนุนให้ความรู้ด้านวิชาการผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพและมีมาตรฐานการรับรองภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ๑.๗ ความร่วมมือด้านวิชาการ อาทิ ดำเนินงานภายใต้โครงการ ICT เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลการค้าและวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ใน ๕ แขวงนำร่องของ สปป. ลาว ให้เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลา เป็นต้น ๑.๘ ความร่วมมือระหว่างสำนักงานพาณิชย์จังหวัดกับแผนกอุตสาหกรรมและการค้าแขวงตามแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว ประสานงานสำหรับการจัดประชุมแผนความร่วมมือระหว่างสำนักงานพาณิชย์จังหวัดกับแผนกอุตสาหกรรมและการค้าแขวงตามแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว ครั้งที่ ๗ ที่ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพ ๑.๙ ความร่วมมือภาคเอกชน ผลักดันและส่งเสริมให้ภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายมีการพบหารือและจัดกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ๑.๑๐ เรื่องอื่น ๆ ได้แก่ การจัดเก็บภาษีซื้อขายรถยนต์ (Sales-Purchase Tax) และการจัดทำคลังข้อมูลทางการค้า (National Trade Repository : NTR) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการในส่วนของสำนักงานฯ ซึ่งจะได้เร่งหารือร่วมกับ สปป.ลาว เพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางความร่วมมือการพัฒนาเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษของทั้งสองฝ่ายในลักษณะเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนร่วม (Cross Border Economic Zone : CBEZ) รวมทั้งการนำแถลงการณ์ร่วมระดับผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๕ (Joint Summit Declaration : JSD) ที่ผู้นำทั้ง ๖ ประเทศได้ให้การรับรองร่วมกันแล้วในการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ (the 5th GMS Summit) มาปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการผลักดันการดำเนินงานภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross Border Transport Agreement : CBTA) ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพื่ออำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าและคนระหว่างไทยและ สปป.ลาว มากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
24695 | แนวทางการดำเนินการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาล | พณ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประขุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ที่เห็นชอบแนวทางการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ก่อนดำเนินการระบายให้มีการจัดตั้งคณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาล เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ แนวทางและเงื่อนไขการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาด ให้เป็นไปตามแนวทางการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลที่ได้รับความเห็นชอบ ๑.๒ มอบหมายให้องค์การคลังสินค้าแจ้งยืนยันปริมาณที่มีอยู่จริง สภาพของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ภาระผูกพันของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง รวมทั้งปริมาณคงเหลือที่ปลอดภาระผูกพันที่สามารถระบายได้เป็นรายคลัง ๑.๓ มอบหมายคณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลพิจารณากรอบในการระบาย เช่น วัตถุประสงค์ในการระบาย เกณฑ์การพิจารณาราคาขาย รวมถึงคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเสนอซื้อ เป็นต้น แล้วนำเสนอประธานกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ดำเนินการระบายตามกรอบที่นำเสนอ ๑.๔ ระบายด้วยวิธีการเปิดประมูลขายให้ผู้ประกอบการเป็นการทั่วไป ทั้งนี้ ส่วนต่างของราคาที่ประมูลได้กับราคาที่รัฐควรได้รับตามคุณภาพสินค้าที่ควรจะเป็นตามระยะเวลาที่เก็บรักษา รวมทั้งค่าเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังการขาย ให้องค์การคลังสินค้าพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องและรายงานผลให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งประชาสัมพันธ์การดำเนินงานที่ผ่านมาในเรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นการชี้แจงและสร้างการรับรู้ต่อสาธารณะให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรมีการกำกับดูแลขั้นตอนการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีการตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เมื่อคณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกรัฐบาลพิจารณากำหนดกรอบในการระบายแล้ว ควรเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อเป็นแนวทางให้คณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกรัฐบาล ใช้ในการกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการระบายตามความเหมาะสม นอกจากนี้ การติดตามตรวจสอบปัญหาคุณภาพและปริมาณผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในสต็อกของรัฐบาล ซึ่งมีการตรวจพบการทุจริต เช่น การปลอมปน และการแจ้งปริมาณไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เป็นต้น ควรเร่งรัดให้องค์การคลังสินค้าดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ประกอบการอย่างเคร่งครัด สำหรับกรณีค่าเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังการขายที่จะให้องค์การคลังสินค้าพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องนั้น ควรพิจารณาถึงสาเหตุของความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ชัดเจนก่อน เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการดำเนินการทางกฎหมาย ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
24696 | การเสนอร่างความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อลงนามและดำเนินการให้มีผลใช้บังคับ | กต | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the United Arab Emirates on the Promotion and Protection of Investments) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและขยายโอกาสการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งฝ่ายสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับภายหลังการลงนาม ๑.๔ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านต่างประเทศด้วย และรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับการพิจารณาและเตรียมความพร้อมในเรื่องการระงับข้อพิพาทระหว่างผู้ลงทุนกับภาคีคู่สัญญาในประเด็นการใช้กลไกอนุญาโตตุลาการระงับข้อพิพาทในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
24697 | ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี 2558 เพิ่มเติม | กษ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการเปิดตลาดนำเข้าโควตานมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๘ เพิ่มเติม ปริมาณ ๒๒,๑๗๒.๘๘ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๕ เท่ากับอัตราภาษีในโควตาที่เก็บจริงในปัจจุบัน ให้แก่ผู้ประกอบการที่มีความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต โดยยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ ๑ กับกลุ่มนิติบุคคลที่ ๒ ในอัตรา ๘๐ : ๒๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ และให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาในส่วนนี้ โดยยึดหลักตามลำดับความจำเป็นและความเดือดร้อน และให้ผู้ประกอบการนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งไม่ให้กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกร ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้นำเข้าเฉพาะในช่วงเวลาที่น้ำนมขาดแคลนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผลผลิตภายในประเทศ ทั้งนี้ ให้ผู้มีสิทธินำเข้ารับซื้อนมดิบทั้งหมดจากเกษตรกรในราคาตลาด โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องติดตามราคาการรับซื้อว่าถูกต้องและเป็นธรรมต่อผู้ผลิต ๑.๒ ก่อนสิ้นสุดการนำเข้าในปี ๒๕๕๘ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประเมินผลการดำเนินงานเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีหากจะขอเปิดตลาดนำเข้าเพิ่มเติมในปีต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามระดับราคานมผงขาดมันเนย ทั้งราคานำเข้าและราคาตลาด และกำหนดมาตรการรองรับการนำเข้านมผงขาดมันเนยที่อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาผลผลิตภายในประเทศ แล้วรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามผลการนำเข้านมผงขาดมันเนยอย่างใกล้ชิด และติดตามผลการดำเนินงานการบริหารจัดการโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมนมในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง แล้วรายงานคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมทราบ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ไปดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
24698 | สรุปผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ 26 - 30 มกราคม 2558 | ยธ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๐ มกราคม ๒๕๕๘ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้เข้าพบบุคคลสำคัญ อาทิ นางหวู เอย อิ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจีน นายหลี่ หรูหลิน รองอัยการสูงสุดประชาชนจีน และนายเมิ้ง เจี้ยน จู้ สมาชิกกรมการเมือง หัวหน้าคณะกรรมาธิการการเมืองและกฎหมาย คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ เทียบเท่ารองนายกรัฐมนตรี เป็นต้น โดยมีประเด็นหารือที่สำคัญ ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศ ด้านงานราชทัณฑ์ ด้านการปราบปรามการทุจริต ด้านการปราบปรามยาเสพติด และการแก้ไขปัญหาชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้ศึกษาดูงานสถานพินิจและคุ้มครองเยาวชนที่กระทำผิด และเยี่ยมชมศูนย์การข่าวและนิติวิทยาศาสตร์ยาเสพติด ซึ่งการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนในครั้งนี้ ฝ่ายไทยได้รับประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้ได้มีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์และแสวงหาแนวร่วมในระดับนานาชาติของหน่วยงานของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านการทุจริต ยาเสพติด และงานราชทัณฑ์ ตลอดจนเพื่อให้เป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาลในการร่วมมือกับนานาชาติในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
24699 | แนวทางบริหารจัดการยางพาราเพื่อแก้ปัญหาราคายาง | กษ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางบริหารจัดการยางพาราเพื่อแก้ปัญหาราคายาง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) ขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ออกไปจากเดิมวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ เป็นวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาค้ำประกันเงินกู้กับ ธ.ก.ส. ออกไป ตามระยะเวลาการขยายชำระเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตราดอกเบี้ย FDR+1 และให้ อ.ส.ย. บริหารจัดการสต็อกยางของโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางควบคู่ไปกับการบริหารจัดการสต็อกยางของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยเบิกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากงบประมาณของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง ๑.๒ ให้ อ.ส.ย. ใช้วงเงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพิ่มเติมอีกจำนวน ๖,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อดำเนินการรับซื้อยางแผ่นรมควัน ชั้น ๓ ไม่อัดก้อน ยางแผ่นรมควันอัดก้อน และยางแท่ง STR 20 วงเงิน ๔,๐๐๐ ล้านบาท และเพื่อดำเนินโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางสำหรับซื้อน้ำยางสด และยางก้อนถ้วย ในวงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ๒. สำหรับการขยายวงเงินสินเชื่อโครงการมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางเพิ่มเติมอีก ๖,๐๐๐ ล้านบาท นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำรายละเอียด หลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางการดำเนินงานที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์โดยตรงจากการดำเนินโครงการฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ อ.ส.ย. ติดตามกำกับดูแลการดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง รวมทั้งมีแผนการระบายยางที่มีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้โครงการประสบภาวะขาดทุน และเมื่อดำเนินโครงการเสร็จสิ้น ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็น ทั้งนี้ ในส่วนของการกู้เงินและค้ำประกันเงินกู้ของ อ.ส.ย. ให้ อ.ส.ย. ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมถึงการขอบรรจุรายการดังกล่าวในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไปในโอกาสแรก ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
24700 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. .... | ทก | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการเตรียมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ดังนี้ ๑.๑ เพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ให้ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรีทุกท่าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๑.๒ ในการพิจารณาหรือดำเนินการเรื่องใดของคณะกรรมการฯ หากเกี่ยวข้องกับกระทรวงหรือหน่วยงานใด ให้มีอำนาจเชิญผู้แทนกระทรวงหรือหน่วยงานนั้นเข้าร่วมชี้แจงด้วย ทั้งนี้ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ จะต้องดำเนินการภายใต้กรอบของข้อกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอื่นที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย ๒. ให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มกรรมการจากภาครัฐและภาคเอกชนที่สำคัญ ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานสภาหอการค้าไทย เพื่อให้การเตรียมความพร้อมการดำเนินงานด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมีความสอดคล้องกับภารกิจทั้งในด้านการดำเนินงานและงบประมาณ รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
.....