ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1238 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 24741 - 24760 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
24741 | รายงานผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2558 ไตรมาส 1 (ตุลาคม - ธันวาคม 2557) | นร11 | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี ๒๕๕๘ ไตรมาส ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนสะสมถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ได้จำนวน ๒๔,๗๘๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๘๔.๙ ของเป้าหมายไตรมาสที่ ๑ (จำนวน ๒๙,๒๐๒ ล้านบาท) ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๑๕.๑ และต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เบิกจ่ายลงทุนได้ร้อยละ ๙๒.๒ แต่ทั้งปีคาดว่าจะเบิกจ่ายลงทุนได้ทั้งสิ้น ๕๙๓,๔๕๙ ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ ๙๙.๖ ของเป้าหมายรวม ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนที่ได้รับอนุมัติ และสูงกว่าปีที่ผ่านมาที่ทั้งปีเบิกจ่ายได้ร้อยละ ๗๘.๗ ๑.๒ รัฐวิสาหกิจที่มีอัตราการเบิกจ่ายลงทุนในช่วงไตรมาสแรกต่ำกว่าเป้าหมาย อาทิ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (เบิกจ่ายได้ร้อยละ ๘.๔) องค์การจัดการน้ำเสีย (ร้อยละ ๑๑.๕) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (ร้อยละ ๒๐.๕) และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (ร้อยละ ๒๙.๑) เนื่องจากปัญหาความล่าช้าในกระบวนการตรวจรับงานเทคนิคที่มีรายละเอียดของงานมาก กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายใน ปัญหาการร้องเรียนทำให้ต้องประกวดราคาใหม่ ส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินการลงทุนได้ตามแผน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนสูงยังคงเป็นความล่าช้าในการลงทุนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร้อยละ ๕๗.๔) และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ร้อยละ ๗๑.๙) ซึ่งล่าช้าต่อเนื่องมาจากปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ที่มีบางโครงการต้องรอการตรวจสอบแผนการลงทุนและทบทวนการดำเนินงานตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจเร่งรัดให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายการเบิกจ่ายลงทุนที่กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||
24742 | ประเด็นการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 31 มกราคม 2558) | นร | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประเด็นการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ มกราคม ๒๕๕๘) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล โดยผลการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗) ส่วนราชการต่าง ๆ ได้มีการดำเนินงานในเรื่องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การปฏิรูปประเทศ และการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ทั้ง ๑๑ ข้อ ทั้งในส่วนที่เป็นภารกิจประจำของแต่ละกระทรวงและในแผนงาน/โครงการที่จะต้องบูรณาการการทำงานของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาโดยตลอด ทำให้ผลการดำเนินงาน (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ มกราคม ๒๕๕๘) เป็นไปตามเป้าหมาย และมีผลสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ๒. การขับเคลื่อนเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ ให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานกลาง เช่น สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหาแนวทางในการช่วยส่วนราชการเพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือโรงเรียนที่มีปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่จะดำเนินการด้านการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้นต่อไป ๓. การขับเคลื่อนเร่งรัดการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการโดยเฉพาะในบางโครงการที่จะต้องดำเนินการก่อนฤดูฝนที่จะมาถึง และโครงการที่จะต้องดำเนินการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้าอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ และในกรณีที่เป็นโครงการใหม่ซึ่งยังคงมีปัญหาในเรื่องของพื้นที่ การสร้างความเข้าใจกับประชาชน การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม จะต้องเร่งรัดการดำเนินการเพื่อสร้างความเข้าใจเพื่อให้โครงการที่จะดำเนินการเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด รวมทั้งให้เน้นโครงการในลักษณะที่เป็นการปรับปรุง ซ่อมแซมสิ่งที่มีอยู่เดิม เช่น การขุดลอก คู คลอง อ่างเก็บน้ำทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ จะต้องดำเนินการก่อนฤดูฝน ๔. การขับเคลื่อนเร่งรัดการดำเนินงานในเรื่องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ และการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลทั้ง ๑๑ ข้อ ให้ส่วนราชการรายงานผลการดำเนินงานในการรายงาน ครั้งที่ ๔ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ มกราคม ๒๕๕๘)
|
|||||||||||||||||||||||||||
24743 | รายงานสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาด้านการประมงของประเทศไทย | กษ | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาด้านการประมงของประเทศไทย จำนวน ๓ เรื่อง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์และการดำเนินการแก้ไขปัญหาการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการแรงงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) ๑.๑ สหภาพยุโรปจะกำหนดให้ไทยเป็นประเทศที่มีความเป็นไปได้ในการไม่ให้ความร่วมมือกับสหภาพยุโรปภายใต้กฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรปในประมาณกลางเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ซึ่งสหภาพยุโรปจะให้ระยะเวลาประเทศไทยในการปรับปรุงแก้ไขภายใน ๖ เดือน นับจากวันที่ได้รับการแจ้งขึ้นบัญชีอย่างเป็นทางการ ซึ่งประเทศไทยจะต้องปรับปรุงแก้ไขภายในกลางเดือนกันยายน ๒๕๕๘ โดยรัฐบาลไทยได้มีนโยบายและมอบหมายให้หน่วยงานปฏิบัติที่เกี่ยวข้องเร่งรัดในการดำเนินการตามแผนงานที่วางไว้เพื่อหลุดจากบัญชีดังกล่าว ๑.๒ การดำเนินการแก้ไขปัญหา ได้แก่ การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประมงและกฎหมายลำดับรอง การจัดทำแผนระดับชาติในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (NPOA-IUU) การจัดระเบียบเรือประมงเพื่อให้เรือประมงไทยเข้าสู่ระบบการควบคุมได้อย่างถูกต้อง การควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง การจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือ (Vessel Monitoring System : VMS) การปฏิบัติการควบคุมการแจ้งเข้า-ออกท่าของเรือประมง (port in-port out) และการปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนหลัง (Traceability) ๒. สถานการณ์และการดำเนินการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานประมง ๒.๑ สหรัฐอเมริกาได้จัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในบัญชีกลุ่มที่ ๓ (Tier 3) ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) ประจำปี ๒๕๕๗ ลดอันดับลงจากบัญชีกลุ่มที่ ๒ ซึ่งต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) ปัญหาด้านการค้ามนุษย์ที่ต่างประเทศจับตามอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดมาตรการต่าง ๆ และปรับปรุงแก้ไขปัญหาและรายงานการค้ามนุษย์และแรงงานประมงต่อ TIP Office สหรัฐอเมริกา เพื่อต้องการปรับปรุงอันดับในการประเมินสถานการณ์การค้ามนุษย์ของไทยในครั้งใหม่ ๒.๒ การดำเนินการแก้ไขปัญหา ได้แก่ การฝึกอบรมเพื่อขยายผลการปฏิบัติตามมาตรฐานแนวทางปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) การจัดระเบียบเรือประมงเพื่อให้เรือประมงไทยเข้าระบบการควบคุมได้อย่างถูกต้อง การพัฒนาฐานข้อมูลของเรือประมงและแรงงานประมง (Fishing Info) การจัดระเบียบเรือประมงนอก การควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมงและคุ้มครองแรงงานประมง การอบรมเจ้าหน้าที่กรมประมงให้มีความรู้ความเข้าใจด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ การดำเนินโครงการอบรมและประชาสัมพันธ์ด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ การสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้แก่ผู้นำเข้า/ผู้บริโภคสินค้าประมงของไทย และภาคประชาสังคมทั้งในและต่างประเทศ การประสานกับกระทรวงแรงงานในการดำเนินการจัดทำสัญญาจ้างของแรงงานในงานประมงทะเล การตรวจจับกุมการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติการประมง และการขยายการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเล และนำเข้าแรงงานต่างด้าวโดยถูกกฎหมายภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ๓. สถานการณ์ความร่วมมือด้านการประมงระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๓.๑ ที่ผ่านมาภาคเอกชนเรือประมงไทยได้เข้าไปทำการประมงในน่านน้ำอินโดนีเซียในรูปแบบการลงทุนร่วม โดยโอนสัญชาติเรือประมงไทยเป็นเรือสัญชาติอินโดนีเซีย ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเนื่องจากอินโดนีเซียได้ใช้มาตรการรุนแรงในการดำเนินการกับเรือประมงที่ทำผิดกฎหมายโดยมีการจมหรือเผาทำลายเรือประมง รวมทั้งได้ออกกฎกระทรวงระงับการออกใบอนุญาตอุตสาหกรรมประมง ใบอนุญาตทำการประมงและใบอนุญาตบรรทุกสัตว์น้ำสำหรับเรือประมงที่ต่อจากต่างประเทศ จนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๘ และห้ามใช้เครื่องมืออวนลากและอวนล้อมทำการประมงในน่านน้ำอินโดนีเซีย ๓.๒ การดำเนินการแก้ไขปัญหา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างการจัดทำพิมพ์เขียว (Blue print) แนวทางการแก้ไขปัญหาการทำประมงในน่านน้ำอินโดนีเซียของผู้ประกอบการไทย ซึ่งครอบคลุมบริบทการแก้ไขปัญหาแรงงานประมงที่ตกค้างอยู่ที่อินโดนีเซีย และปัญหาเรือประมงที่ยังไม่สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้เนื่องจากอยู่ระหว่างรอการประเมินตรวจสอบเรือประมงภายใต้บริษัทร่วมทุนของอินโดนีเซีย รวมทั้งการจัดทำกรอบแนวทางความร่วมมือการทำประมงของเรือประมงไทยในน่านน้ำอินโดนีเซียในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||
24744 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ 21 ณ เมืองโกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย | พณ | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ ๒๑ ระหว่างวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์-๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ เมืองโกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางอภิรดี ตันตราภรณ์) เข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่ประชุมเห็นชอบร่วมกันให้เร่งดำเนินมาตรการตามแผนงานเพื่อการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน [Asean Economics Community (AEC) Blueprint] ที่มีความสำคัญในลำดับต้น ซึ่งมีผลต่อการค้า ภาคธุรกิจ และการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนก่อน โดยให้ดำเนินมาตรการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๙ เช่น การจัดทำความตกลงการค้าบริการฉบับใหม่ การให้สัตยาบันพิธีสาร ๒ ภายใต้ความตกลงการอำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าผ่านแดน และเห็นว่าสมาชิกอาเซียนควรมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคทางการค้าที่มีการดำเนินการในระดับทวิภาคีให้แก่สมาชิกอาเซียนอื่นได้รับทราบด้วยเพื่อศึกษาแนวทางการดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าว รวมทั้งตกลงให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนของอาเซียนเพื่อร่วมหารือปัญหาอุปสรรคและรับฟังข้อเสนอแนะจากภาคธุรกิจ และนำข้อคิดเห็นต่าง ๆ มาจัดทำความตกลงการอำนวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๒. ความสัมพันธ์กับคู่เจรจา รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนมีมติเห็นชอบให้พยายามสรุปผลการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ภายในสิ้นปี ๒๕๕๘ และเห็นชอบแนวทางสำหรับการเจรจาในประเด็นหลัก ได้แก่ วิธีการลดภาษีสินค้ากลุ่มแรก (initial offer) และรูปแบบการเปิดตลาดการค้าบริการและการลงทุน โดยในปีนี้อาเซียนควรให้ความสำคัญกับการเจรจา RCEP เป็นลำดับแรก อย่างไรก็ดี ยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจายกระดับความตกลง FTA อาเซียน-จีนให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ และการสรุปการเจรจาความตกลงการค้าบริการและการลงทุนอาเซียน-ญี่ปุ่น ให้ได้ก่อนเข้าสู่ AEC ในปี ๒๕๕๘ ตามที่ผู้นำได้ตกลงกันไว้ ๓. อาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ อาเซียนกำลังพิจารณาจัดทำร่างวิสัยทัศน์ของ AEC ภายหลังปี ๒๕๕๘ โดยมีกำหนดจะจัดทำวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ และนำเสนอต่อรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ก่อนผู้นำอาเซียนจะประกาศวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ ในช่วงการประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ ๒๗ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ ๔. การหารือกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเห็นว่าควรมีการแบ่งกลุ่มข้อเสนอของภาคเอกชนเป็นมาตรการที่ดำเนินการในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยมาตรการใดที่ทำได้ง่ายน่าจะสามารถดำเนินการได้ทันที ส่วนข้อเสนอการจัดตั้งธนาคารเพื่อผู้ประกอบการรายย่อย ขนาดเล็ก และขนาดกลาง [Micro-SME (MSME) Bank] จะเป็นมาตรการที่ต้องดำเนินการในระยะยาว ๕. การนำเสนอโครงการ ASEAN Path Finder Project รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้นำเสนอโครงการ ASEAN Path Finder Project ซึ่งเป็นการนำกลุ่มบริษัทจากประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนในสาขาต่าง ๆ จำนวนประเทศละ ๑๐ บริษัท ทั้งบริษัทรายใหญ่ กลาง และเล็ก ที่สนใจทำการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาคอาเซียนเดินทางไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อร่วมระดมความคิด ระบุปัญหาอุปสรรคของการค้าลงทุนในแต่ละประเทศ และพบปะกับภาครัฐเพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหา
|
|||||||||||||||||||||||||||
24745 | ผลการเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้มีความแน่นแฟ้นเพิ่มมากขึ้น และเพื่อขยายความร่วมมือและผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ พลังงาน การท่องเที่ยวให้เพิ่มพูนมากขึ้น และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนฯ โดยเฉพาะเร่งรัดผลักดันประเด็นสำคัญต่าง ๆ ตามตารางติดตามผลการเยือนฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ความร่วมมือทวิภาคี ได้แก่ ครบรอบ ๔๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ความร่วมมือด้านความมั่นคง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ๒. ความร่วมมือภูมิภาคและในเวทีระหว่างประเทศ ได้แก่ ความร่วมมือในกรอบความร่วมมือภูมิภาค/กรอบพหุภาคี สถานการณ์ในภูมิภาคและสถานการณ์ระหว่างประเทศ |
|||||||||||||||||||||||||||
24746 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 1/2558 | นร11 | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ๖ สถาบัน ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย รวม ๑๒ เรื่อง ได้แก่ ๑.๑.๑ มาตรการขับเคลื่อน SMEs ระยะเร่งด่วน ๑.๑.๒ แนวทางการปฏิรูประบบรางของประเทศ ๑.๑.๓ การพิจารณาจัดสรรการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนประเภทที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ ๑.๑.๔ การยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องปรับอากาศชนิดที่ใช้ตามบ้านเรือนขนาดไม่เกิน ๗๒,๐๐๐ บีทียูต่อชั่วโมง ๑.๑.๕ มาตรการทางวีซ่าเพื่อกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวไทยในปี ๒๕๕๘ ๑.๑.๖ ห้องปฏิบัติการ (Laboratory) และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าเพื่อการส่งออก ๑.๑.๗ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายควบคุมการปล่อยน้ำทิ้งจากโรงงานสู่แหล่งน้ำ ๑.๑.๘ (ร่าง) ยุทธศาสตร์สินค้าเกษตร ๔ สินค้า (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม อ้อยโรงงานและน้ำตาลทราย) ๑.๑.๙ ยุทธศาสตร์ข้าวไทย ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ๑.๑.๑๐ ความคืบหน้าผลการดำเนินการตามมติคณะกรรมการ กรอ. ครั้งที่ ๑-๒/๒๕๕๗ ๑.๑.๑๑ ความคืบหน้าการติดตามผลการดำเนินการตามมติคณะกรรมการ กรอ. ภูมิภาคของภาคเอกชน ๑.๑.๑๒ ผลการดำเนินการของคณะกรรมการ กรอ. จังหวัด และกลุ่มจังหวัด ๑.๒ เห็นชอบตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ กรอ. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. เพื่อส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญประการหนึ่งของรัฐบาลให้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและบังเกิดผลที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว จึงมอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ๒.๑ พิจารณาทบทวนความเหมาะสมของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาการปรับปรุงองค์ประกอบต่อไป ๒.๒ กำกับให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการให้ทุกจังหวัดดำเนินมาตรการส่งเสริมและขับเคลื่อน SMEs โดยให้ส่งเสริมวิสาหกิจที่มีศักยภาพและสามารถพัฒนาได้เป็นลำดับแรก โดยให้มีโครงการนำร่องจังหวัดละ ๑ โครงการ และดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน |
|||||||||||||||||||||||||||
24747 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ครั้งที่ 1/2558 | นร11 | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปประเด็นได้ ดังนี้
๑. คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อเร่งดำเนินการภารกิจที่สำคัญให้นำไปหารือในการพิจารณาแนวทางการทำงานของคณะกรรมการ กพข. ต่อไป ๒. สถานภาพความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ปี ๒๕๕๗ ๓. ดัชนีและแนวทางการจัดการจุดอ่อนของประเทศจากการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันโดย World Economic Forum : WEF, International Institute for Management Development : IMD และ World Bank ๔. รายงานและข้อเสนอแนะจากผลการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ : เรื่อง Thailand Competitiveness 2013-2014 ๕. สรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การพัฒนาคลัสเตอร์ : ทศวรรษที่ผ่านมาและก้าวใหม่สู่ทศวรรษต่อไป” ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยแนวทางการพัฒนาและขับเคลื่อนการพัฒนาคลัสเตอร์ให้ดำเนินการภายใต้คณะอนุกรรมการคลัสเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการ ๖ ชุด ที่จะจัดตั้งขึ้นตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ กพข. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ ๖. แนวทางการทำงานของคณะกรรมการ กพข. และข้อเสนอแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ความสำเร็จ โดยให้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการ ๖ ชุด และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการฯ แต่ละชุดจัดทำแผนปฏิบัติการ กำหนดเป้าหมายของแต่ละกิจกรรม (Milestone) ตลอดจนกำกับติดตามการดำเนินงาน พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action plan) ภายใน ๑ เดือน และรายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีทุก ๓ และ ๖ เดือน โดยเรื่องเร่งด่วนที่คณะอนุกรรมการฯ ต้องดำเนินการ ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) การพัฒนาคลัสเตอร์ (Cluster) (๒) การจัดการข้อมูลและการสื่อสารประชาสัมพันธ์ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ศึกษาแบบสอบถามของ IMD และ WEF เพื่อเป็นข้อมูลในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ (Perception) ที่ถูกต้องของผู้บริหารที่ตอบแบบสอบถามเพื่อให้การประเมินผลสถานภาพขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสะท้อนความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาครัฐมากยิ่งขึ้น และ (๓) พัฒนากระบวนการทางศุลกากร (Customs Procedures)
|
|||||||||||||||||||||||||||
24748 | รายงานสถานภาพการให้บริการข้อมูลและบริการภาครัฐผ่านแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ | ทก | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและมอบหมายหน่วยงาน ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบช่องทางการเข้าถึงบริการของรัฐในรูปแบบแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ (Mobile Applications) ได้จากจุดเดียวผ่านศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ (Government Application Center) หรือ GAC ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน รวมทั้งสถานภาพการพัฒนา Mobile Applications ภาครัฐ ณ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ สรุปได้ว่า ที่ผ่านมามีหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ได้นำ Mobile Applications ที่ได้พัฒนาขึ้นบรรจุไว้ในศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐแล้วจำนวนทั้งสิ้น 81 Applications โดยสามารถจัดหมวดหมู่และเรียงลำดับ Mobile Applications ตามประเภทของบริการที่มีการพัฒนามากที่สุด ๕ อันดับแรก คือ (๑) หมวดการเดินทาง ขนส่ง และคมนาคม 15 applications (๒) หมวดสุขภาพและการสาธารณสุข 15 applications (๓) หมวดการเงินภาษีและธุรกิจ 12 applications (๔) หมวดสิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชน 8 applications และ (๕) หมวดอื่น ๆ 6 applications แต่ยังมีหน่วยงานภาครัฐอีกจำนวนมากที่ทำการพัฒนา Mobile Applications และยังไม่ได้นำมาขึ้นให้บริการประชาชนผ่านศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ ซึ่งในการเข้าถึง Mobile Applications ดังกล่าว ประชาชนหรือผู้ใช้บริการยังไม่ได้รับความสะดวกในการเข้าถึงบริการเท่าที่ควร อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่า หน่วยงานภาครัฐมีบริการอะไรบ้างที่เปิดให้บริการในรูปแบบ Mobile Application แล้ว ส่งผลให้บริการ Mobile Applications ของหน่วยงานภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันมีผู้ใช้งานยังไม่มากนัก ซึ่งโครงการพัฒนาช่องทางการเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐ จะช่วยให้ประชาชนผู้ที่รับบริการภาครัฐสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวก จากทุกที่ ทุกเวลา ผ่านอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ (Mobile Devices) ได้ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐที่ทำการพัฒนา Mobile Applications และยังไม่ได้ให้บริการประชาชนผ่านศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ หรืออยู่ระหว่างการพัฒนา Mobile Applications ใหม่ โปรดประสานงานมายังสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) ที่ศูนย์บริการลูกค้า (หมายเลขโทรศัพท์ ๐ ๒๖๑๒ ๖๐๖๐ หรือ [email protected]) เพื่อนำ Mobile Applications บรรจุไว้ในศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้าถึงบริการต่อไป ๓. มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี ทำการประชาสัมพันธ์บริการของภาครัฐในรูปแบบ Mobile Applications และศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ โดยใช้สื่อประชาสัมพันธ์ของรัฐที่มีอยู่อย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
24749 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 สายหินกอง - อรัญประเทศ ตอนบ้านท่าแดง - บ้านเกาะยาง พ.ศ. .... | คค | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๓ สายหินกอง-อรัญประเทศ ตอนบ้านท่าแดง-บ้านเกาะยาง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๓ สายหินกอง-อรัญประเทศ ตอนบ้านท่าแดง-บ้านเกาะยาง ในท้องที่ตำบลปากพลี อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก ตำบลไม้เค็ด ตำบลบ้านพระ ตำบลดงขี้เหล็ก ตำบลโนนหอม อำเภอเมืองปราจีนบุรี และตำบลโพธิ์งาม ตำบลประจันตคาม อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
24750 | รายงานผลโครงการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ณ สาธารณรัฐอินเดีย และงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดมุกดาหาร | พณ | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามโครงการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ณ สาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ และการจัดงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดมุกดาหาร ปี ๒๕๕๘ ระหว่างวันที่ ๕-๙ มีนาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ณ สาธารณรัฐอินเดีย ๑.๑ การประชุมทวิภาคีร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเร่งรัดสรุปผลการเจรจากรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-อินเดีย ที่ได้ลงนามเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๖ ซึ่งไทยได้เสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งต่อไป และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมกันผลักดันการเจรจาความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลว่าด้วยความร่วมมือหลากหลายสาขาทางเทคนิคและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๒ การลงนามความร่วมมือ ๗ ฉบับ มีผลดังนี้ (๑) ขยายการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ระหว่างสุราษฎร์ธานี-สุราต (๒) เพิ่มการนำเข้าเครื่องปรุงรสจากไทย (๓) ขยายตลาดกล้วยไม้ไทย (๔) ขยายสาขาร้านไก่ทอด ๕ ดาว เป็น ๓๐๐ สาขา (๕) รับเหมาก่อสร้างท่าเรือในมุมไบ (๖) จัดตั้งโรงงานผลิตและส่งออกเครื่องกำจัดมลพิษทางอากาศในจังหวัดลพบุรีและในภาคใต้ และ (๗) จัดตั้งโรงงานผลิตและส่งออกยางรถยนต์ในจังหวัดระยอง ซึ่งจะใช้ยางพาราปีละกว่า ๑ แสนตัน ๑.๓ การจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทย-อินเดีย ประกอบด้วยบริษัทไทย ๔๐ ราย และอินเดีย ๑๐๐ ราย มูลค่าการสั่งซื้อทันทีประมาณ ๔๐ ล้านบาท สินค้าไทยที่ได้รับความสนใจ คือ เครื่องประดับตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องนุ่งห่ม และอาหาร ๑.๔ การจัดสัมมนาส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยมีการกล่าวสุนทรพจน์สร้างความเชื่อมั่นในประเทศไทยและนำเสนอศักยภาพของประเทศให้แก่นักธุรกิจอินเดีย ๑.๕ การพบกับประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งอินเดีย (Confederation of Indian Industry : CII) ซึ่งสนับสนุนให้ภาคเอกชนจัดตั้ง India-Thailand Joint Business Forum (ITJBF) ซึ่งจะประชุมในเดือนเมษายนนี้ ๒. ผลการดำเนินงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดมุกดาหาร มีกิจกรรมสำคัญ เช่น การเดินทางไปเยี่ยมชมเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวันเซโน แขวงสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) การประชุมเมืองคู่แฝดระหว่างจังหวัดมุกดาหารและแขวงสะหวันนะเขต การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า รวม ๓๐๐ คูหา และการลงนามในบันทึกความเข้าใจของคู่ธุรกิจไทย-สปป.ลาว เพื่อสร้าง Healthcare Center ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวันเซโน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
24751 | รัฐบาลสมาพันธรัฐสวิสเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายอีโว ซีเบอร์ (Mr. Ivo Sieber)] | กต | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอีโว ซีเบอร์ (Mr. Ivo Sieber) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นางคริสทีเนอ ชราเนอร์ บูร์เกเนอร์ (Mrs. Christine Schraner Burgener) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
24752 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาการส่งออก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการพัฒนาการส่งออก) | พณ | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาการส่งออก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการพัฒนาการส่งออก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
24753 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย ราชภัฏนครปฐม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และสีประจำสาขาวิชา ของสาขาวิชานิเทศศาสตร์และสาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
24754 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยเทียน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยเทียน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยเทียน ในท้องที่ตำบลทุ่งกระบ่ำ และตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นทางน้ำที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
24755 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สี่ และภาพรวมของปี 2557 | นร11 | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สี่ และภาพรวมของปี ๒๕๕๗ ซึ่งครอบคลุมความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ บทความพิเศษเรื่อง “การยกระดับสมรรถนะแรงงาน ความท้าทายที่ต้องเร่งดำเนินการ” และประเด็นทางสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การจ้างงานลดลง อัตราการว่างงานต่ำ ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้นช้า (๒) การก่อหนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มชะลอลง แต่ต้องเฝ้าระวังการผิดนัดชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง (๓) ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจ (๔) ผู้ป่วยเอดส์มีแนวโน้มลดลง แต่ต้องเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของกลุ่มเยาวชนที่นำไปสู่การเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีที่มาจากเพศสัมพันธ์ไม่ปลอดภัย (๕) ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้นและต้องเฝ้าระวังกลุ่มเยาวชนเริ่มสูบบุหรี่เมื่ออายุน้อยลง (๖) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินโดยรวมดีขึ้น แต่ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ยาเสพติดทั้งในกลุ่มผู้ค้าและผู้เสพเพื่อลดปัญหาอย่างยั่งยืน (๗) การเสริมสร้างวินัยเป็นหนทางลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุจราจรทางบกอย่างยั่งยืน และ (๘) การเปิดตัวรายงานความก้าวหน้าในการต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจำปี ๒๕๕๗ โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญในเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง และได้ดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ตามหลักมาตรฐานสากล 5P (Policy, Prosecution, Protection, Prevention, Partnership) ที่ยึดหลักการสำคัญด้านการคุ้มครองผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเสี่ยง และผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การบังคับกฎหมายอย่างเข้มงวด และการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันของเจ้าหนาที่รัฐในทุกระดับ ๑.๒ บทความพิเศษเรื่อง “การยกระดับสมรรถนะแรงงาน : ความท้าทายที่ต้องเร่งดำเนินการ” มีเนื้อหาเกี่ยวกับโครงสร้างแรงงานเป็นข้อจำกัดต่อการพัฒนาประเทศ แนวทางและปัญหาการยกระดับสมรรถนะแรงงาน ๑.๓ ประเด็นสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป ได้แก่ ปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตแรงงาน ตลอดปี ๒๕๕๘ การแก้ไขปัญหาหนี้สิน การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในปี ๒๕๕๘ การป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในปี ๒๕๕๘ และแนวทางการพัฒนาสมรรถนะแรงงาน ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปเป็นข้อมูลดำเนินการให้สอดคล้องกับระบบการศึกษา
|
|||||||||||||||||||||||||||
24756 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 (นายเฉลิมศักดิ์ จันทรทิม) | อื่นๆ | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งนายเฉลิมศักดิ์ จันทรทิม เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แทนนายเสงี่ยม บุญจันทร์ กรรมการเดิมที่เสียชีวิต ตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
24757 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข | สธ | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไม่อาจปฏิบัติราชการได้และไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
24758 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ (การปรับปรุง มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศและมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ) | กค | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ (การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศและมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
24759 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการของกรมบังคับคดีเรื่องการประเมินผลจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2016) | ยธ | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการของกรมบังคับคดี เรื่อง การประเมินผลจัดอันดับความยาก-ง่าย ในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2016) ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง (Enforcing Contract) และด้านการแก้ไขปัญหาการล้มละลาย (Resolving Insolvency) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
24760 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2550 [จำนวน 10 รูป/คน 1. พระพรหมวชิรญาณ (ปสฤทธ์ เขมงกโร) ฯลฯ] | วธ | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติชุดใหม่ จำนวน ๑๐ รูป/คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมที่ครบวาระ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรี (๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. พระพรหมวชิรญาณ (ปสฤทธ์ เขมงกโร) ๒. พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมโม) ๓. พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมมจิตโต) ๔. ศาสตราจารย์กิตติคุณ สุมน อมรวิวัฒน์ ๕. นายดำรง พุฒตาล ๖. พลอากาศเอก วีรวิท คงศักดิ์ ๗. พลเอก ศรุต นาควัชระ ๘. นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว ๙. นายอรุณ บุญชม ๑๐. นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย
|
.....