คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี  คณะที่ 7  ที่มีมติดังนี้
(1)  สมควรเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบไว้ชั้นหนึ่งก่อนว่า  ในภายหน้าอาจต้องมีความจำเป็นในการขอทบทวนมติ
คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543  เกี่ยวกับการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐทั้งระบบเพื่อผ่อนคลาย
ให้กับหน่วยงานบางหน่วยงาน (2) อนุมัติหลักการตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาน
พินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนในจังหวัดยะลา  และจังหวัดสมุทรสาคร  พ.ศ. ....   และให้ส่งสำนักงานคณะกรรม
การกฤษฎีกาตรวจพิจารณา    แล้วดำเนินการต่อไปได้    โดยสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นการ
จัดตั้งสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนขึ้นในจังหวัดยะลา   และจังหวัดสมุทรสาคร   (3)   อนุมัติกรอบอัตรา
กำลัง และในปีงบประมาณใหม่ หากมีอัตราว่างจากการเกษียณอายุราชการ ก็ให้จัดสรรอัตราดังกล่าวให้กระทรวง
ยุติธรรมเป็นลำดับแรกต่อไป  และ  (4)  สำหรับวันเปิดทำการสถานพินิจ ฯ ตามร่างมาตรา 3  มอบให้สำนักงาน
คณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม และกระทรวงยุติธรรมร่วมกันพิจารณากำหนดวันเปิดทำการตาม
ที่เหมาะสมต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการ ตามพระ
ราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2546 ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2546 ซึ่ง
ผลการตรวจพิสูจน์มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ใน 76 จังหวัด จำนวน 3,526 ราย เป็นเพศชาย จำนวน  3,069  ราย
เพศหญิง จำนวน 457 ราย  ส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 25 ปี  มีจำนวน 1,692 ราย  รองลงมามีอายุระหว่าง 18-25 
ปี จำนวน 1,291 ราย  สถานภาพการควบคุมตัว  ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่ต้องขังระหว่างการตรวจพิสูจน์ 
มีจำนวน 2,684 ราย  และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว 842 ราย  โดยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ
ยาเสพติดให้โทษประเภท เมทแอมเฟตามีน มีจำนวน 2,655 ราย รองลงมาคือ กัญชา จำนวน 484 ราย  ส่วนฐาน
ความผิด ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษ จำนวน  2,672  ราย  รองลง
มาคือ ความผิดฐานเสพและครอบครองยาเสพติด จำนวน  706  ราย  สำหรับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด 
คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดได้มีคำวินิจฉัยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ จำนวน 2,265 ราย  โดย
มีคำวินิจฉัย  ดังนี้  (1)  ให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบควบคุมตัว จำนวน 862 ราย  (2)  ให้เข้ารับการฟื้นฟู
สมรรถภาพแบบไม่ควบคุมตัว จำนวน 1,315 ราย  และ (3) ส่งตัวคืนตำรวจและอัยการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ตามปกติ จำนวน 88 ราย

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแนวทางการรณรงค์ป้องกันเนื่องใน
วันต่อต้านยาเสพติด วันที่ 26 มิถุนายน 2546 โดยรับทราบมติการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยา
เสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ 2/2546 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติการประชุมดังกล่าว โดยเน้นการขอ
ความร่วมมือให้ผู้บริหารประเทศ ข้าราชการ บุคลากร  เจ้าหน้าที่/พนักงานของหน่วยงาน/องค์กรภาครัฐ  รัฐวิสาห
กิจ องค์กรส่วนท้องถิ่น และประชาชน  สวมเสื้อสีขาวในวันต่อต้านยาเสพติด  วันที่  26  มิถุนายน  2546  เพื่อแสดง
ความมุ่งมั่นในการเอาชนะยาเสพติด  และเชิญชวนให้ประชาชนแจ้งเบาะแสข้อมูลเกี่ยวกับผู้ค้ายาและผู้เสพ/ผู้ติดยาที่
ยังไม่เข้ารับการบำบัดรักษา ตลอดจนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียงกันตามแนวทางการ
รณรงค์ป้องกันเนื่องในวันต่อต้านยาเสพติด

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานความก้าวหน้าของโครงการหรือเรื่องเร่งด่วน
ของรัฐบาล ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด  ปีงบประมาณ  พ.ศ. 2546 (ตุลาคม 2545 - กุมภาพันธ์
2546) ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การปลุกพลังแผ่นดินและการป้องกัน ยุทธศาสตร์การควบคุมตัวยาและสารเคมี
ยุทธศาสตร์การปราบปราม ยุทธศาสตร์การบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ ยุทธศาสตร์การข่าว  ยุทธศาสตร์
การอำนวยการและการประสานงาน   ยุทธศาสตร์การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม  ยุทธศาสตร์
ความร่วมมือระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์การวิจัย พัฒนา และติดตามประเมินผล

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการ ตามพระ
ราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2546 ถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2546
ซึ่งผลการตรวจพิสูจน์มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ใน  76  จังหวัด จำนวน  3,166  ราย เป็นเพศชาย จำนวน 2,776
ราย เพศหญิง จำนวน 400 ราย ส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 25 ปี มีจำนวน 1,510 ราย รองลงมามีอายุระหว่าง 18-
25 ปี  จำนวน  1,141  ราย  สถานภาพการควบคุมตัว  ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่ต้องขังระหว่างการตรวจ
พิสูจน์ มีจำนวน 2,469 ราย  และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว 697ราย  โดยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่เกี่ยว
ข้องกับยาเสพติดให้โทษประเภท เมทแอมเฟตามีน มีจำนวน  2,418  ราย  รองลงมา คือกัญชา จำนวน 428 ราย
ส่วนฐานความผิด  ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษ จำนวน 2,392 ราย 
รองลงมาคือ ความผิดฐานเสพและครอบครองยาเสพติด จำนวน  633  ราย  สำหรับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยา
เสพติด  คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ได้มีคำวินิจฉัย ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ จำนวน 1,929
ราย  โดยมีคำวินิจฉัย ดังนี้ (1) ให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบควบคุมตัวจำนวน 715 ราย (2) ให้เข้ารับการ
ฟื้นฟูสมรรถภาพแบบไม่ควบคุมตัว จำนวน 1,141 ราย  และ (3) ส่งตัวคืนตำรวจและอัยการเข้าสู่กระบวนการยุติ
ธรรมตามปกติ จำนวน 73 ราย

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดี  ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2546  ซึ่งผลการตรวจพิสูจน์
มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ใน 76 จังหวัด จำนวน 3,026 ราย  เป็นเพศชาย จำนวน 2,648 ราย  เพศหญิง  จำนวน
378  ราย  ส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 25 ปี จำนวน 1,444 ราย  รองลงมามีอายุระหว่าง 18-25 ปี จำนวน 1,089 
ราย   สถานภาพการควบคุมตัว  ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่ต้องขังระหว่างการตรวจพิสูจน์  จำนวน  2,383
ราย และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จำนวน 643 ราย  ทั้งนี้  ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับยาเสพ
ติดให้โทษประเภท  เมทแอมเฟตามีน จำนวน 2,293 ราย  รองลงมาคือ กัญชา จำนวน 430 ราย  ส่วนฐานความ
ผิด  ส่วนใหญ่กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษ จำนวน  2,294  ราย  รองลงมาคือ  ความผิดฐานเสพและ
ครอบครองยาเสพติด  จำนวน  599  ราย   สำหรับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด   คณะอนุกรรมการฟื้นฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดได้มีคำวินิจฉัยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ จำนวน 1,662 ราย  โดยมีคำวินิจฉัย  ดังนี้  (1)
ให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบควบคุมตัว  จำนวน 640 ราย  (2)  ให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบไม่ควบ
คุมตัว จำนวน 994 ราย และ (3) ส่งตัวคืนตำรวจและอัยการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปกติ จำนวน 64 ราย

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดี ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2546 ถึงวันที่  11  พฤษภาคม  2546  ซึ่งผลการ
ตรวจพิสูจน์ มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ใน 76 จังหวัด จำนวน 2,833 ราย เป็นเพศชาย จำนวน 2,481 ราย เพศ
หญิง จำนวน 352 ราย ส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 25 ปี มีจำนวน 1,334 ราย  รองลงมามีอายุระหว่าง 18-25 ปี
จำนวน 1,029 ราย  สถานภาพการควบคุมตัว  ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่ต้องขังระหว่างการตรวจพิสูจน์
มีจำนวน 2,247 ราย  และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว 586 ราย  โดยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้อง
กับยาเสพติดให้โทษประเภท เมทแอมเฟตามีน มีจำนวน 2,170 ราย  รองลงมาคือ  กัญชา  จำนวน  377  ราย
ส่วนฐานความผิด   ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษ  จำนวน  2,138
ราย รองลงมาคือ ความผิดฐานเสพและครอบครองยาเสพติด จำนวน 564 ราย สำหรับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้
ติดยาเสพติด  คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดได้มีคำวินิจฉัยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์  จำนวน
1,429 ราย โดยมีคำวินิจฉัย ดังนี้ (1) ให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบควบคุมตัว จำนวน 522 ราย (2) ให้
เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบไม่ควบคุมตัว จำนวน  858  ราย   และ  (3)  ส่งตัวคืนตำรวจและอัยการเข้าสู่
กระบวนการยุติธรรมตามปกติ จำนวน 49 ราย

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจเรื่อง
ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ระหว่าง
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)  กับ  The  Special  Investigation  Commission  (SIC) 
ประเทศเลบานอน  ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ให้ความเห็นชอบและร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจ ฯ เสร็จเรียบร้อย
แล้วเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2546  โดยไม่มีการแก้ไข/เพิ่มเติมเนื้อหาใด ๆ  ทั้งสิ้น  และ ปปง. ได้แจ้งเรื่องการ
ลงนามในบันทึกความเข้าใจ ฯ ให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมายทราบแล้ว

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจเรื่อง
ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ระหว่าง
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กับ The  Indonesian  Financial  Transaction  Reports 
and Analysis Center (INTRAC) ประเทศอินโดนีเซีย และระหว่างสำนักงาน ปปง. กับ The National  Office  for
Prevention and Control of Money Laundering  ประเทศโรมาเนีย  ซึ่งได้ให้ความเห็นชอบและร่วมกันลงนามใน
บันทึกความเข้าใจ ฯ แบบทวิภาคี  เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่  24  มีนาคม  2546  โดยไม่มีการแก้ไข/เพิ่มเติม
เนื้อหาใด ๆ  ทั้งสิ้น  และ ปปง. ได้แจ้งเรื่องการลงนามในบันทึกความเข้าใจ ฯ  ให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย
ทราบแล้ว

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอให้กรมราชทัณฑ์ก่อหนี้ผูกพันเกินวงเงินงบประมาณ
รายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2544 และ พ.ศ. 2545  ที่ใช้เกินวงเงินงบประมาณที่ได้รับในหมวดค่าสาธารณูปโภค จำนวน 
90,939,566  บาท   สำหรับงบประมาณที่จะใช้ในการชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคนั้น  ให้ดำเนินการตามความเห็น
ของสำนักงบประมาณ   ซึ่งเห็นควรให้กระทรวงยุติธรรม  (กรมราชทัณฑ์)  ใช้จ่ายจากงบประมาณเหลือจ่ายในปีงบ
ประมาณ พ.ศ. 2546  เป็นลำดับแรก  เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 งบกลาง ราย
การเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น   มีจำนวนจำกัด   หากไม่เพียงพอให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่าย
ประจำปีต่อไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดี  ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2546 ถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2546  ซึ่งผลการตรวจ
พิสูจน์มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ใน 76 จังหวัด จำนวน 2,569 ราย  เป็นเพศชาย จำนวน  2,258  ราย  เพศหญิง
จำนวน 311 ราย ส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 25 ปี มีจำนวน 1,193 ราย รองลงมามีอายุระหว่าง 18-25 ปี จำนวน
926  ราย   สถานภาพการควบคุมตัว  ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่ต้องขังระหว่างการตรวจพิสูจน์  มีจำนวน
2,047 ราย และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว  522  ราย  โดยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับยาเสพ
ติดให้โทษประเภท เมทแอมเฟตามีน มีจำนวน 1,969 ราย รองลงมาคือ กัญชา จำนวน 345 ราย  ส่วนฐานความ
ผิด ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษ จำนวน 1,945 ราย  รองลงมาคือ
ความผิดฐานเสพและครอบครองยาเสพติด จำนวน 511 ราย   สำหรับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด  คณะ
อนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดได้มีคำวินิจฉัยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์  จำนวน  1,243  ราย  โดยมี
คำวินิจฉัย  ดังนี้  (1)  ให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบควบคุมตัว จำนวน 458 ราย  (2)  ให้เข้ารับการฟื้นฟู
สมรรถภาพแบบไม่ควบคุมตัว จำนวน 750 ราย และ  (3)  ส่งตัวคืนตำรวจและอัยการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ตามปกติ จำนวน 35 ราย

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดี ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2546 ถึงวันที่ 24 เมษายน 2546  ซึ่งผลการตรวจ
พิสูจน์ มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ใน 76 จังหวัด จำนวน 2,052 ราย เป็นเพศชาย จำนวน 1,808 ราย  เพศหญิง
จำนวน 244 ราย ส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 25 ปี มีจำนวน 907 ราย  รองลงมามีอายุระหว่าง 18-25 ปี จำนวน
742  ราย  สถานภาพการควบคุมตัว  ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่ต้องขังระหว่างการตรวจพิสูจน์ มีจำนวน
1,622 ราย และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว 430 ราย  โดยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับยาเสพ
ติดให้โทษประเภท เมทแอมเฟตามีน มีจำนวน  1,590  ราย  รองลงมาคือ กัญชา จำนวน  248  ราย  ส่วนฐาน
ความผิด ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษ จำนวน  1,560  ราย  รอง
ลงมาคือ  ความผิดฐานเสพและครอบครองยาเสพติด จำนวน  422  ราย   สำหรับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยา
เสพติด คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดได้มีคำวินิจฉัยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ จำนวน 1,052
ราย โดยมีคำวินิจฉัย ดังนี้  (1) ให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบควบคุมตัว จำนวน 374 ราย  (2)  ให้เข้ารับ
การฟื้นฟูสมรรถภาพแบบไม่ควบคุมตัว จำนวน  647  ราย  และ  (3)  ส่งตัวคืนตำรวจและอัยการเข้าสู่กระบวน
การยุติธรรมตามปกติ จำนวน 31 ราย

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดี ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 นับแต่วันที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายใน 36 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 
- 20 เมษายน 2546  ซึ่งผลการตรวจพิสูจน์  มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ใน  36  จังหวัด จำนวน 1,837 ราย เป็น
เพศชาย จำนวน 1,622 ราย เพศหญิง จำนวน 215 ราย ส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 25 ปี มีจำนวน 786 ราย  รอง
ลงมามีอายุระหว่าง 18-25 ปี จำนวน 671 ราย  สถานภาพการควบคุมตัว ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่ต้อง
ขังระหว่างการตรวจพิสูจน์ มีจำนวน 1,456 ราย และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว 381 ราย  โดยผู้เข้ารับการตรวจ
พิสูจน์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษประเภท เมทแอมเฟตามีน มีจำนวน 1,430 ราย รองลงมาคือ กัญชา
จำนวน  202  ราย  ส่วนฐานความผิด ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ส่วนใหญ่กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษ
จำนวน 1,391 ราย รองลงมาคือ ความผิดฐานเสพและครอบครองยาเสพติด จำนวน 388 ราย สำหรับการฟื้นฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด  คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด  ได้มีคำวินิจฉัย  ผู้เข้ารับการตรวจ
พิสูจน์ จำนวน 894 ราย โดยมีคำวินิจฉัย  ดังนี้  (1)  ให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบควบคุมตัว จำนวน 312
ราย โดยแยกเป็นควบคุมตัวแบบเข้มงวด จำนวน 92 ราย  และควบคุมตัวแบบไม่เข้มงวด จำนวน  220  ราย  (2) 
ให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบไม่ควบคุมตัว จำนวน  556  ราย  และ  (3)  ส่งตัวคืนตำรวจและอัยการเข้าสู่
กระบวนการยุติธรรมตามปกติ จำนวน 26 ราย

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของ
คณะกรรมการประสานงานกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้คณะกรรมการดังกล่าวเป็นศูนย์กลางการประสานงานของ
หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมในระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการยุติธรรมแห่งชาติขึ้น  ดังนี้ (1) องค์
ประกอบของคณะกรรมการ ฯ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกรรมการ  และมีกรรม
การอื่นอีก  22  คน    และ  (2)  อำนาจหน้าที่  ประกอบด้วย  (2.1)  เสนอแนะและให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี
ในการบริหารงานยุติธรรม (2.2) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีให้มีการดำเนินการพัฒนากฎหมายเพื่อให้สอดคล้อง
กับแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ  (2.3)  ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตามแผนแม่บท  ฯ   และ
รายงานการดำเนินการตามแผนดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี  (2.4)  ให้คำแนะนำและประสานงานในการปฏิบัติราช
การของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้มีความร่วมมือระหว่างกันในการบริหารงานยุติธรรม
หรือดำเนินการตามแผนแม่บท ฯ  (2.5)  เสนอแนะปรับปรุงแก้ไขอุปสรรค  และข้อขัดข้องเพื่อให้กลไกการบริหาร
งานในกระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  (2.6)  วางระเบียบข้อบัง
คับเพื่อให้การดำเนินการของคณะกรรมการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย   และ  (2.7)  แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อ
ดำเนินการใด ๆ ได้ตามความจำเป็น

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง
การปล่อยตัวผู้ต้องกักขังแทนค่าปรับเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล  (5 ธันวาคม 2545)  สรุปได้ดังนี้  (1)  ผู้ต้องกัก
ขังที่จะได้รับการพิจารณาปล่อยตัวในวันที่ 4 ธันวาคม 2545 ต้องเป็นผู้ต้องกักขังแทนค่าปรับ วงเงินค่าปรับไม่เกิน
50,000 บาท  เป็นผู้ต้องกักขังแทนค่าปรับที่คดีเสร็จเด็ดขาดก่อนหรือในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2545  ซึ่งมีตัวควบ
คุมกักขังในสถานที่กักขังที่ทางราชการกำหนด และยังไม่พ้นโทษกักขังในวันที่ 4 ธันวาคม 2545 และมีความสมัคร
ใจเข้าร่วมโครงการกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ก่อนการปล่อยตัว (วันที่ 3 ธันวาคม 2545)  (2)
จำนวนผู้ต้องกักขังทั่วประเทศที่ได้รับการปล่อยตัว  มีจำนวนทั้งสิ้น 5,438 คน  แบ่งเป็นผู้ต้องกักขังแทนค่าปรับที่
อยู่ในความควบคุมดูแลของกรมราชทัณฑ์ 1,712 คน และผู้ต้องกักขังที่ฝากกักขังที่สถานีตำรวจทั่วประเทศ 3,726
คน คิดเป็นจำนวนเงินค่าปรับที่ชำระทั้งสิ้น 24,982,646.76 บาท (3) ผู้ต้องกักขังที่ได้รับการปล่อยตัวได้ร่วมทำ
กิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ทั่วประเทศ ในวันที่ 3 ธันวาคม 2545  ซึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร  ได้ทำความ
สะอาดบริเวณวัดสระเกศราชวรมหาวิหารและวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก (4) พิธีปล่อยตัวผู้ต้องกักขังได้กระทำ
พร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 4 ธันวาคม 2545  โดยผู้ต้องกักขังทุกคนได้รับเงินค่าพาหนะในการเดินทางกลับภูมิ
ลำเนา  คนละ 200 บาท  และหนังสือ "คู่มือพลเมืองดี" และ  (5)  ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการดำเนินงานเป็นเงินที่ได้รับ
จัดสรรจากกระทรวงการคลัง   โดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล   ทั้งเงินชำระค่าปรับแทนและค่าใช้จ่ายอื่น  ๆ
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 26,753,377.51 บาท

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวน
การ ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545  นับแต่วันที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายใน
36 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2546 ถึงวันที่ 23 มีนาคม 2546

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอเรื่อง การเผยแพร่สื่อสิ่งพิมพ์และการประชา
สัมพันธ์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  (สำนักงาน ปปง.)  ได้แก่   (1)   ผลการ
ดำเนินการจัดทำและเผยแพร่หนังสือคู่มือพนักงานสืบสวนสอบสวนตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม
การฟอกเงิน พ.ศ. 2542 แจกจ่ายให้สถานีตำรวจทั่วประเทศ รวมทั้งหน่วยงานตำรวจที่มีอำนาจสืบสวนสอบสวน
ทุกแห่ง รวมทั้งสิ้น 4,098 เล่ม (2) ผลการดำเนินการจัดทำและเผยแพร่หนังสือคู่มือประชาชนแจกจ่ายประชาชน
และหน่วยงาน  10,000  เล่ม และ (3) ผลการดำเนินการจัดทำและเผยแพร่หนังสือคู่มือพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม
กฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542   ให้ผู้เข้ารับการอบรม 1,450 เล่ม

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานข้อมูลความคืบหน้าในการดำเนินงานตาม
พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอเพิ่มเติม
ว่า  ผลจากการดำเนินการปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจังของรัฐบาล  ทำให้ผู้ติดยาเสพติดหันมาใช้สารระเหย
ซึ่งเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทชนิดต่าง ๆ   แทนมากขึ้น    ซึ่งในทางปฏิบัติสามารถนำผู้ติดสารระเหย
เหล่านี้มาเข้ารับการฟื้นฟูตามพระราชบัญญัติ ฯ  ดังกล่าวได้  โดยกำลังพิจารณาแนวทางในการออกกฎกระทรวง
ตามความในมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติ ฯ ดังกล่าว เพื่อกำหนดลักษณะ ชนิด  ประเภท  และปริมาณของสาร
ระเหยที่เป็นยาเสพติด เพื่อให้สามารถนำผู้ติดสารระเหยดังกล่าวเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพตามกระบวนการต่อ
ไป   สำหรับข้อมูลความคืบหน้าในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติ ฯ ดังกล่าว สรุปได้ว่า กระทรวงยุติธรรมได้
ปรับแผนการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติ ฯ  ดังกล่าว  จากเดิมที่กำหนดไว้ในระยะที่  2  มีผลบังคับใช้ตามกฎ
หมายตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2546  จำนวน 34 จังหวัด  และระยะที่  3  มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายตั้งแต่วันที่  1
กรกฎาคม  2546  จำนวน 6 จังหวัด  เป็นให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่  21  เมษายน  2546  จำนวน  40  จังหวัด 
ซึ่งถือได้ว่าพระราชบัญญัติ ฯ  ดังกล่าว  มีผลบังคับใช้ในบทบัญญัติหมวด  3  ครบทั่วราชอาณาจักรในวันดังกล่าว
ทั้งนี้   กระทรวงยุติธรรมได้ดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ  ได้แก่  การสรรหาและตรวจสอบคุณ
สมบัติของคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดใน  40  จังหวัด   จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเตรียม
ความพร้อมในการแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดในลักษณะบูรณาการ    และจัดอบรมให้ความรู้ในการปฏิบัติ
งานตามพระราชบัญญัติ ฯ ดังกล่าว แก่คณะอนุกรรมการ ฯ  รวม 48 คณะ  รวมทั้งรายงานข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณ
คดีที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545  นับแต่วันที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายใน  36
จังหวัด

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอข้อมูลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติฟื้นฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด  พ.ศ. 2545  สรุปได้ว่า  กระทรวงยุติธรรมได้กำหนดแผนการดำเนินงานตามพระราช
บัญญัติ ฯ ไว้เป็น 3 ระยะ รวมทั้งกำหนดบุคคลที่จะเข้าสู่ระบบกระบวนการตามพระราชบัญญัติ  ฯ  และได้ประชุม
ร่วมกับผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติ ฯ   จัดประชุม  สัมมนา  ฝึกอบรมผู้ที่เกี่ยว
ข้องเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการตามกฎหมาย  และได้รณรงค์ในหลายรูปแบบเพื่อให้ประชาชนปรับเปลี่ยน
ทัศนคติที่มีต่อผู้เสพและผู้ติดยาเสพติด    ตลอดจนจัดระบบการช่วยเหลือ  สงเคราะห์  และติดตามดูแลผู้ผ่านการ
บำบัดฟื้นฟูเพื่อให้สามารถเป็นคนดีกลับคืนสู่สังคมได้อย่างแท้จริง  นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เสนอเพิ่มเติมว่า  ได้มอบหมายให้กรมคุมประพฤติไปพิจารณาทบทวนแผนการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติ  ฯ
แล้วเพื่อให้สามารถฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดตามกฎหมายให้ได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศรวดเร็วขึ้น   ปรากฏว่า   สามารถ
ปรับแผนการดำเนินงานได้ดังนี้ (1) ระยะที่ 1 จำนวน  36  จังหวัด  บังคับใช้ตามกฎหมายแล้วตั้งแต่  3  มีนาคม
2546 (เป็นไปตามกำหนดเดิม)  (2)  ระยะที่ 2 จำนวน 34 จังหวัด  (รวมทั้งกรุงเทพมหานคร)  จะบังคับใช้ตาม
กฎหมายได้ภายในเดือนเมษายน 2546 (จากเดิมกำหนดไว้ 1 มิถุนายน 2546) และ (3)  ระยะที่ 3  จำนวน  6
จังหวัด   จะบังคับใช้ตามกฎหมายได้ภายในเดือนพฤษภาคม  2546  (จากเดิมกำหนดไว้  1  กรกฎาคม  2546) 
ทั้งนี้  มอบให้รองนายกรัฐมนตรี  (นายจาตุรนต์  ฉายแสง)  รับไปหารือกับกระทรวงยุติธรรมด้วยว่าการดำเนิน
การตามแผนในระยะที่  2  ซึ่งจะบังคับใช้ตามกฎหมายได้ภายในเดือนเมษายน นั้น   จะสามารถเร่งรัดให้รวดเร็ว
ขึ้น โดยให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2546 ได้หรือไม่ แล้วดำเนินการต่อไปได้

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ  ระดับ 10  ให้
ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ จำนวน 3 ราย ดังนี้  (1) นายวันชัย  รุจนวงศ์  ดำรงตำแหน่งอธิบดี  กรมพินิจและคุ้มครอง
เด็กและเยาวชน (2) พลตำรวจตรี ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และ 
(3) นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ  สำนักงานกิจการยุติธรรม  โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป