คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการออกพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 วงเงินรวม 305,000  ล้านบาท ประกอบด้วย  พันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ
รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.15 ต่อปี จำนวน 44,731.02 ล้านบาท รุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อย
ละ 5.25 ต่อปี จำนวน 54,245.73 ล้านบาท  และรุ่นอายุ 10 ปี  อัตราดอกเบี้ยร้อยละ  6.10  ต่อปี  จำนวน
206,023.25 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขที่สำคัญของพันธบัตร ฯ เช่น (1) ผู้มีสิทธิซื้อ ได้แก่ บุคคลธรรมดาที่ถือ
สัญชาติไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย สหกรณ์ มูลนิธิ วัด สถานศึกษา โรงพยาบาล  (2)  ราคาจำหน่าย 
หน่วยละ  10,000  บาท  โดยต้องซื้อครั้งละไม่ต่ำกว่า  50,000  บาท   และไม่มีการจำกัดวงเงินการซื้อ  (3) 
กำหนดชำระดอกเบี้ย ปีละ 2 งวด คือ ในวันที่ 2 มีนาคม และ 2 กันยายน ของทุกปี   ส่วนเงื่อนไขอื่น ในกรณี
ที่ประชาชนขายคืนพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติจนทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถดำเนินนโยบาย
การเงินได้ กระทรวงการคลังจะพิจารณาไถ่ถอนพันธบัตรดังกล่าวก่อนกำหนด

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครง
สร้างทางเศรษฐกิจ (เงินกู้ SAL) เพิ่มเติม จำนวน 2 โครงการ วงเงิน 266.456 ล้านบาท ได้แก่ (1) โครงการ
ส่งเสริมเยาวชนฝึกอาชีพของกรมอาชีวศึกษา วงเงิน  7.661  ล้านบาท เป็นโครงการฝึกอบรมเพิ่มเติมสำหรับ
ผู้สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3   และชั้นมัธยมศึกษาปีที่  6  ในการประกอบอาชีพอิสระหรือเป็นลูก
จ้าง โดยโครงการดังกล่าวจัดอยู่ในหมวดหมู่โครงการ/แผนงาน ที่สามารถเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนและเป็น
นโยบายเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เห็นชอบและอนุมัติให้จัดสรรเงิน
กู้  SAL  เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2544  และกระทรวงการคลังได้ทำการโอนเงินงวดแรก จำนวน  5.209  ล้าน
บาท  ให้แก่กรมอาชีวศึกษาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการตามแผนงานของโครงการ   ในชั้นนี้กรมอาชีวศึกษา
ได้ฝึกอบรมผู้เข้าร่วมโครงการประมาณ 700 คน จากเป้าหมายทั้งหมด 3,080 คน  และ (2) โครงการระบบ
คอมพิวเตอร์ของสำนักงานอัยการสูงสุด วงเงิน  258.795  ล้านบาท  เป็นโครงการวางระบบสารบบและวิชา
การ เพื่อความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและการปฏิบัติงานของสำนักงานอัยการ
สูงสุดด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมและทันสมัย ทั้งนี้ โครงการจัดอยู่ในหมวดหมู่โครงการ/แผนงาน
ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารและจัดการองค์กรของรัฐ

            คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่
ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง  กรม  พ.ศ. 2545  (ฉบับที่ ..)  พ.ศ. ....
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ  มีวัตถุประสงค์ที่จะแก้ไขบทบัญญัติเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการโอนอำนาจหน้าที่
ของสำนักประเมินราคาทรัพย์สิน กรมที่ดิน มาเป็นของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง  ตามประมวลกฎหมาย
ที่ดิน เท่านั้น เนื่องจากกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูประบบราชการได้ใช้บังคับมาระยะหนึ่งแล้ว จึงอาจมีบางส่วน
ราชการที่มีความจำเป็นจะต้องปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ
ด้วย    สมควรรวบรวมความจำเป็นของส่วนราชการทั้งหลาย   แล้วดำเนินการตรากฎหมายไปในคราวเดียวกัน
ประกอบกับขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)  กำลังรวบรวมเรื่องดังกล่าวจากส่วน
ราชการต่าง  ๆ   อยู่แล้ว   จึงให้ส่งร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ไปให้สำนักงาน  ก.พ.ร.  ดำเนินการ    และหาก
ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ประการใด  ให้แจ้งสำนักงาน ก.พ.ร.
ทราบโดยตรง เพื่อจะได้รวบรวม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

               คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่กระทรวงการคลังเสนอการรับจัดสรรหุ้น
เพิ่มทุนใน MIGA จำนวน 321 หุ้น (3,210,000 SDR) หรือ  3,473,220  ดอลลาร์สหรัฐ  โดยชำระค่าหุ้นจัด
สรรเพิ่มทุนเริ่มแรกเท่ากับร้อยละ 17.65 ของทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน 613,023 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ
26,525,505  บาท  และมอบหมายให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2546
จากเงินงบกลาง เพื่อชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตาม
ความในพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489  ว่าด้วยการรับฝากเงินออมสิน   ที่สำนักงานคณะกรรมการ 
กฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญ  ดังนี้  (1)  แก้ไข
เพิ่มเติมการเรียกเก็บค่าสมุดคู่บัญชีที่ชำรุดเสียหาย เพื่อให้ธนาคารออมสินเรียกเก็บค่าสมุดคู่บัญชีใหม่ในอัตราที่
ธนาคาร  ฯ  กำหนด   (2)  ยกเลิกการคำนวณดอกเบี้ยกรณีที่มีการถอนเงินฝากประจำที่ยังไม่ครบกำหนดระยะ
เวลาการฝาก    และยกเลิกการคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากเผื่อเรียกและเงินฝากประจำ    รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมอัตรา
ดอกเบี้ยเงินฝาก และการคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากเผื่อเรียกและเงินฝากประจำ  เพื่อให้ธนาคาร ฯ  กำหนดอัตรา
ดอกเบี้ยเงินฝาก และหลักเกณฑ์การคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากเผื่อเรียกและเงินฝากประจำ  และ (3) แก้ไขเพิ่มเติม
การหักค่ารักษาบัญชีจากเงินคงเหลือกรณีที่ผู้ฝากไม่มาติดต่อขอฝาก ถอน หรือลงรับดอกเบี้ย เพื่อให้ธนาคาร ฯ
หักค่ารักษาบัญชีตามเงื่อนไขและอัตราที่ธนาคาร ฯ กำหนด

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ (1) อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการคลัง
ดำเนินการซื้อหุ้นเพิ่มทุนในสมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ (International  Development  Association : IDA)
ครั้งที่ 13 จำนวน 2,524,562 บาท โดยชำระในรูปตั๋วสัญญาใช้เงินคลังประเภทจ่ายเมื่อทวงถามและไม่มีดอกเบี้ย
และ (2) อนุมัติเงินงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 เพื่อเป็นค่าเพิ่มทุนดังกล่าว  โดยให้สำนักงานเศรษฐ
กิจการคลัง กระทรวงการคลัง เบิกจ่ายเพื่อชำระเงินในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบภาคราชการ
ประจำกระทรวงที่สรรหาทดแทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 2 ราย คือ กระทรวงยุติธรรม นางพิไล เปี่ยมพงศ์สานต์
และกระทรวงสาธารณสุข  นายทำนุ  ธรรมมงคล  และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้นำรายชื่อคณะกรรมการตรวจ
สอบภาคราชการ จำนวน  80  ราย  ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการตรวจสอบภาคราช
การประจำกระทรวงต่าง  ๆ  จำนวน  16  คณะ  มาปรับใหม่ให้สอดคล้องกับโครงสร้างของส่วนราชการที่มี 20
กระทรวง และสำหรับการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบภาคราชการครั้งต่อ ๆ ไป ให้คณะกรรมการสรรหา ฯ
เสนอรายชื่อคณะกรรมการตรวจสอบภาคราชการที่สรรหาได้ในลักษณะรายชื่อรวมเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง
ส่วนการจัดคณะกรรมการตรวจสอบภาคราชการประจำแต่ละกระทรวง ให้กระทรวงการคลังดำเนินการภายใต้
หลักเกณฑ์ที่กำหนด

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุแปลง
หมายเลขทะเบียนที่ พบ.169 (บางส่วน) ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ประมาณ 4-2-
99 ไร่ ให้แก่วัดเขาย้อยเพื่อใช้ประโยชน์ในการศาสนา โดยวัดเขาย้อยจะต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ  ที่
เกิดขึ้นเนื่องจากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุทั้งสิ้น   ตามมติคณะกรรมการพิจารณาการโอนกรรมสิทธิ์ที่
ราชพัสดุ ฯ

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอการปรับโครงสร้างหนี้
พันธบัตรรัฐบาลภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุน
เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน  พ.ศ. 2541  ดังนี้  (1 )  ให้ปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาล
ที่ครบกำหนดชำระคืน ในปีงบประมาณ  พ.ศ. 2546   จำนวนไม่เกิน  40,000  ล้านบาท   (2)   ให้กระทรวง
การคลังเป็นผู้พิจารณาการปรับโครงสร้างหนี้  ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ หรือลดภาระหนี้เดิมได้ตามความ
จำเป็นและเหมาะสม สำหรับหนี้ที่จะครบกำหนดชำระคืน โดยการออกพันธบัตรหรือตราสารอื่น ตลอดจนทำ
สัญญากู้ได้เป็นคราว ๆ ไป  และ  (3) ในการกู้แต่ละครั้งให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราดอก
เบี้ย  ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจัดการ  วิธีการที่เกี่ยวกับการกู้เงินแต่ละคราว  และระยะเวลาชำระต้น
เงินคืนได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น สำหรับแนวทางในการดำเนินงานในอนาคต

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งที่ปรึกษารัฐมนตรี ตามคำสั่งกระทรวง
การคลัง ที่ 47/2546 เรื่องแต่งตั้งที่ปรึกษารัฐมนตรี ได้แก่  นายรุ่งเรือง  พิทยศิริ  เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลัง และนายพัฒเดช ธรรมจรีย์ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวราเทพ
รัตนากร) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 เป็นต้นไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ
กระทรวงได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือนในอัตราเดียวกับที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีได้รับ  เดือนละ  63,800 
บาท

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 20 เมษายน
2525 เรื่อง  ขอให้หน่วยราชการช่วยเหลือหรือสั่งจ้างทำหรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในหมู่บ้าน-
ตำบล    และมติคณะรัฐมนตรีวันที่  26  เมษายน  2537  เรื่อง  ขอความเห็นชอบเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐบาล
สนับสนุนสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าจากกลุ่มสตรีตามโครงการสร้างชีวิตใหม่ให้สตรีชนบท และเห็นชอบหลักเกณฑ์
การให้สิทธิพิเศษแก่กลุ่มสตรีกลุ่มอาชีพต่าง ๆ  ในหมู่บ้าน-ตำบล ในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้างทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ 
ไว้ใช้ในราชการ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข ไปพิจารณาดำเนินการ
ด้วย    ดังนี้  (1)  ควรจัดให้มีหน่วยงาน  เพื่อส่งเสริมการประสานงานและเชื่อมโยงระหว่างผู้ซื้อกับกลุ่มอาชีพ
ต่าง ๆ ซึ่งเป็นผู้ขาย  (2)  ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์  พร้อมขอความร่วมมือการสนับสนุนการ
จัดซื้อหรือสั่งจ้างทำผลิตภัณฑ์จากกลุ่มอาชีพต่าง  ๆ  ในหมู่บ้าน-ตำบล    และ   (3)   ควรกำหนดระเบียบใน
การควบคุมหรือพิจารณาติดตาม เพื่อตรวจสอบการดำเนินงานหรือทบทวนการให้สิทธิพิเศษให้ชัดเจนในทาง
ปฏิบัติ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดรายได้แก่ กลุ่มอาชีพในหมู่บ้าน-ตำบล อย่างแท้จริงและทั่วถึง

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 ที่มีมติอนุมัติ
ให้กระทรวงการคลังรวมและยุบเลิกทุนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ได้แก่ (1)  การรวมทุนหมุนเวียน
ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี   ให้รวมเงินทุนหมุนเวียนช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน  กองทุนหมุน
เวียนเพื่อปลดเปลื้องหนี้สินเดิมของเกษตรกรที่ยากจน และกองทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน
ด้านหนี้สินและที่ดิน จำนวน 3 ทุน เข้าด้วยกัน เป็น 1 ทุน  ณ  วันที่ 1 ตุลาคม 2545  (2)  กรมธนารักษ์ ให้รวม
เงินทุนหมุนเวียนการทำของ และเงินทุนหมุนเวียนการผลิตกษาปณ์ จำนวน 2 ทุน เข้าด้วยกันเป็น 1 ทุน ณ วันที่
1 ตุลาคม 2545 และ (3) กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ให้รวมเงินทุนหมุนเวียนเพื่อดำเนินการโครงการผลิต
ถ่านหิน  ที่อำเภอลี้   จังหวัดลำพูน   และเงินทุนหมุนเวียนดำเนินการโครงการผลิตถ่านหินเป็นพลังงานทดแทน 
จำนวน 2 ทุน เข้าด้วยกันเป็น 1 ทุน ณ วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (11 กุมภาพันธ์  2546) และยุบเลิกเงินทุนหมุน
เวียนของส่วนราชการ  5  หน่วยงาน  ได้แก่  เงินทุนหมุนเวียนเพื่อการผลิตและขยายพันธุ์ยาง  กรมส่งเสริมการ
เกษตรเงินทุนหมุนโครงการเกษตรรวมใจ กองทัพบก  เงินทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบอาชีพประมงทะเลหรือเพาะ
เลี้ยง สัตว์น้ำ กรมประมง  เงินทุนหมุนเวียนประชาเศรษฐกิจสงเคราะห์  และเงินทุนหมุนเวียนส่งเสริมอาชีพสตรี 
กรมประชาสงเคราะห์  และกองทุนทดรองจ่ายสำหรับงานสาธารณูปโภค  กระทรวงมหาดไทย  โดยในส่วนของ
การดำเนินภารกิจตามเงินทุนหมุนเวียนประชาเศรษฐกิจสงเคราะห์ และเงินทุนหมุนเวียนส่งเสริมอาชีพสตรี  ให้
เปลี่ยนมาใช้แหล่งเงินทุนจากกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแทน

           คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการเกี่ยวกับการขายที่ดินและ
อาคารอดีตที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต และทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงบอนน์ ประเทศสหพันธ์สาธารณ
รัฐเยอรมนีในราคาขั้นต่ำที่ 8.8 แสนมาร์ก   และ 1.5 ล้านมาร์ก  ตามลำดับ  สรุปได้ว่า  จากการที่ธนาคารชาติ
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีได้ประกาศกำหนดให้เงินสกุลมาร์กที่ใช้อยู่ก่อนวันที่ 1  มกราคม  2545  ให้เปลี่ยน
แปลงมาใช้เงินสกุลยูโรในอัตราแลกเปลี่ยนถาวรที่  1  ยูโร  เท่ากับ  1.95583  มาร์ก  ทำให้ราคาขายทรัพย์สิน
ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงจากเดิม  (เงินสกุลมาร์ก)  เป็น 449,936.86 ยูโร  และ  766,937.82  ยูโร ตามลำดับนั้น
กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่า    การที่กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการขายทรัพย์สินดังกล่าวโดย
กำหนดอัตราขั้นต่ำเป็นสกุลเงินยูโร   เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้สกุลเงิน
โดยมูลค่าขั้นต่ำของเงินค่าขายทรัพย์สินดังกล่าวที่เปลี่ยนแปลงจากเงินสกุลมาร์กมาเป็นเงินสกุลยูโร   ยังคงมีมูล
ค่าเท่ากัน    จึงสามารถกระทำได้      และได้แจ้งผลการพิจารณาในเรื่องนี้ให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อ
ดำเนินการต่อไปแล้ว

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 (คกก.5) ที่
มีมติอนุมัติในหลักการแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ  ประจำปีงบประมาณ  พ.ศ. 2546  ตามที่รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลัง  ประธานคณะกรรมการนโยบายหนี้ของประเทศเสนอ   โดยให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกต
ของ คกก. 5  ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป เกี่ยวกับ  (1) การพิจารณาความสามารถในการจัดหารายได้เป็นเงิน
ตราต่างประเทศ (2) กรอบวงเงินกู้ในประเทศทดแทนเงินกู้จากต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจ และ (3) โครงการที่
บรรจุในแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ  โดยโครงการสำรอง 2 โครงการ ได้แก่ โครงการระบายน้ำแก้ไขปัญหา
น้ำท่วมพื้นที่ภาคตะวันออกของกรุงเทพมหานคร  และพื้นที่ใกล้เคียงของกรมชลประทาน  และโครงการกำจัดมูล
ฝอยด้วยวิธีผสมผสานที่ศูนย์กำจัดมูลฝอยอ่อนนุชกรุงเทพมหานคร    ควรพิจารณารายละเอียดและความจำเป็น
ของโครงการ  ว่าควรจะก่อหนี้จากต่างประเทศหรือไม่   ทั้งนี้   คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า  ตามตารางแสดงเป้า
หมายการสร้างความยั่งยืนทางการคลังของสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลังตามหนังสือกระทรวงการคลัง
ด่วนมาก ที่ กค 0902/19265 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2545 หน้า 2  ซึ่งแสดงตัวเลข  Fy GDP Growth Rate  ของปี 
2545 ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2545 เป็นร้อยละ 3.1  ตัวเลขดังกล่าวเมื่อสิ้นไตรมาสที่  2  (30 มิถุนายน 2545) 
เป็นร้อยละ 5.1 แสดงให้เห็นว่าตัวเลขประมาณการคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเป็นอย่างมาก  จึงให้รัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงการคลังรับไปติดตามและพิจารณาปรับปรุงแนวทางการทำงานของสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐ
กิจการคลัง   โดยให้ใช้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน และเป็นไปตามหลักวิชาการ  และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา
การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปปรับปรุงแนวทางในเรื่องนี้ด้วย

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี  คณะที่ 5  (คกก.5) 
ที่มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอแนวทางการส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทย โดยมาตรการ
ภายใต้กลยุทธ์ส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทย  ให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและ
ที่ปรึกษา   จัดทำคู่มือขีดความสามารถและวิธีการจ้างที่ปรึกษา   ส่งเสริมที่ปรึกษาไทยให้ไปทำงานต่างประเทศ
ปรับอัตราค่าตอบแทนที่ปรึกษาและพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาไทย    สำหรับการขอจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อ
สนับสนุนที่ปรึกษาไทยไปทำงานในต่างประเทศ ให้จัดทำรายละเอียดการขอใช้เงินของแต่ละโครงการให้มีความ
ชัดเจน และนำเสนอให้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและที่ปรึกษาเป็นผู้พิจารณาเป็นคราว ๆ ไป  ทั้งนี้ ให้กระทรวง
การคลังรับความเห็นของ  คกก.5  ไปพิจารณาดำเนินการด้วย   ดังนี้   (1)  การกำหนดแนวทางการส่งเสริมที่
ปรึกษาไทยควรครอบคลุมถึงที่ปรึกษาในทุกสาขา   (2)  การพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาไทย ควรจัดทำข้อมูลที่
ปรึกษาโดยจำแนกประเภทของที่ปรึกษาให้ชัดเจน และจัดลำดับขีดความสามารถของบริษัทที่ปรึกษาไทยในแต่ละ
ประเภท เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา  (3) โครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลไทย
ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ควรมีมาตรการสนับสนุนหรือกำหนดเงื่อนไขเป็นพิเศษเพื่อผลักดันให้ที่
ปรึกษาไทยไปรับงานในประเทศเหล่านั้นให้มากขึ้น   (4)  การจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาของส่วนราชการ หรือรัฐ
วิสาหกิจ ให้คำนึงถึงการจ้างบริษัทที่ปรึกษาไทยเป็นอันดับแรก กรณีการดำเนินโครงการใหญ่ ๆ  ให้พิจารณา
ความเป็นไปได้ในการกำหนดเป็นเงื่อนไขว่า บริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศที่ได้รับการว่าจ้างจะต้องมีบริษัทที่ปรึก
ษาไทยร่วมเป็นหุ้นส่วนด้วย     และ   (5)  การขอให้รัฐจัดสรรค่าใช้จ่ายสำหรับกองทุนให้ความช่วยเหลือพัฒนา
เศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน  เพื่อส่งเสริมที่ปรึกษาไทยไปทำงานต่างประเทศน่าจะไม่เหมาะสม   การขอสนับ
สนุนงบประมาณในเรื่องนี้  ควรเสนอมาเป็นรายโครงการให้ละเอียดชัดเจน   และควรให้คณะกรรมการร่วมภาค
รัฐและที่ปรึกษาที่จะจัดตั้งขึ้นเป็นผู้พิจารณา

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial
Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 สรุปได้ว่า กระทรวงการคลังโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
ได้กู้เงินภายใต้ ECP Programme รวม 11 ครั้ง คิดเป็นเงิน 24,850,000,000 เยน และ 1,798,000,000 ดอล
ลาร์สหรัฐ ให้กับหน่วยงาน 10 แห่ง โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (1) เพื่อเป็น Bridge Financing  สำหรับการจัดหา
เงินกู้ระยะยาวภายใต้โครงการจัดหาเครื่องบินของบริษัท การบินไทย  จำกัด  (มหาชน)  (2)  เพื่อ Refinance 
เงินกู้ต่างประเทศที่มีระยะเงินกู้คงเหลือไม่เกิน  3  ปี  ได้แก่  บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ
การรถไฟแห่งประเทศไทย  และ (3) เพื่อเป็น Bridge Financing ในการทำ Refinance เงินกู้ภาครัฐตามแผนที่
กระทรวงการคลังอนุมัติ  โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2544  ได้แก่  บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  การไฟฟ้านคร
หลวง  การประปานครหลวง  และปีงบประมาณ พ.ศ. 2545  ได้แก่   กระทรวงการคลัง   การไฟฟ้านครหลวง
บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)  การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค  การประปาส่วนภูมิภาค  ซึ่งผลการกู้เงิน
เพื่อ Refinance ทำให้สามารถลดภาระดอกเบี้ย  โดยยอดเงินกู้คงค้างภายใต้  ECP Programme  ณ  วันที่  30
กันยายน 2545 เป็นยอดเงินกู้สกุลเงินเยน จำนวน 2,425,000,000 เยน เทียบเท่า  19,924,410.48  ดอล
ลาร์สหรัฐ  (คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยน  1  ดอลลาร์สหรัฐ  เท่ากับ 121.71 เยน  ณ  วันที่  30  กันยายน 
2545)  และยอดเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 1,518,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงินเทียบเท่า 
1,537,924,410.48 ดอลลาร์สหรัฐ

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์  เลิศสุริย์เดช) ประธาน
กรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเสนอ ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ  (กนร.)
ครั้งที่ 1/2546 เกี่ยวกับเรื่อง การแก้ปัญหาการดำเนินธุรกิจของบริษัท บางจากปิโตรเลียม  จำกัด  (มหาชน)  และ
มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ  สรุปได้ดังนี้  (1)  การแก้ปัญหาการดำเนินธุรกิจของบริษัท  บาง
จาก ฯ กนร. มีมติรับทราบผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาธุรกิจของบริษัท 
บางจาก  ฯ   และเห็นว่าเพื่อให้การแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันและปัญหาธุรกิจของบริษัท  บางจาก  ฯ 
เป็นไปอย่างยั่งยืน เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติโดยรวม  จึงมอบหมายให้คณะอนุกรรมการ  ฯ  ดูแลให้บริษัท  บาง
จาก  ฯ   จัดทำแผนการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ  (Corporate  Restructuring)  ตลอดจนจัดการให้มีการตรวจสอบ
สถานะกิจการ โดยให้บริษัท บางจาก ฯ รับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว  ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน  90  วัน
และรายงานความคืบหน้าให้ กนร. ทราบทุกเดือน (2) มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ กนร. มีมติ
ให้กระทรวงเจ้าสังกัดแต่งตั้งคณะทำงานในระดับกระทรวงขึ้น  โดยมีผู้แทนกระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรม
การนโยบายรัฐวิสาหกิจ) ร่วมเป็นคณะทำงาน  เพื่อดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจตามนโยบาย
รัฐบาล และแก้ไขปัญหาให้กับรัฐวิสาหกิจในสังกัดให้ได้ผลเป็นรูปธรรม  โดยให้คณะทำงาน ฯ  รายงานผลให้ กนร.
ทราบทุก  3  เดือน  และให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งจัดทำแผนการเพิ่มประสิทธิภาพเสนอคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ
ให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะทำงาน ฯ เพื่อพิจารณา และนำเสนอ กนร. ภายในวันที่ 30 เมษายน 2546

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการ
อนุญาตให้ทำและขายสุรากลั่น  และอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระ
ราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493  (ปรับปรุงชนิดและอัตราภาษีของสุราแช่ และสุรากลั่น)  และให้ส่งสำนักงานคณะ
กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน   แล้วดำเนินการต่อไปได้   รวมทั้งเห็นชอบการยกเว้นภาษีเงิน
ได้ให้แก่ผู้ทำและขายสุรากลั่นชุมชนในระยะแรกเป็นเวลา 3 ปี  โดยคณะรัฐมนตรีเห็นว่า การปรับปรุงภาษีสุรา
เพื่อเศรษฐกิจชุมชน เพื่อส่งเสริมพัฒนาผลผลิตจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชน  จึงต้องป้องกัน
มิให้บุคคลใดฉกฉวยประโยชน์จากประชาชนหรือชุมชนโดยใช้กลไกของรัฐเป็นเครื่องมือ  อย่างไรก็ตาม ในการ
ผลิตสุราชนิดต่าง  ๆ  อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม   ตลอดจนถึงสุขภาพพลานามัยของผู้ที่ดื่มอย่าง
ต่อเนื่อง  จึงมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการรณรงค์ให้ความรู้และประชาสัมพันธ์ในด้านการผลิต
เพื่อมิให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างเสริมสุขภาพ  และพิษภัยของการดื่มสุรา  โดยให้ดำเนินการ
อย่างต่อเนื่อง และให้กระทรวงมหาดไทย  กระทรวงการคลัง  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  และหน่วยงานที่เกี่ยว
ข้อง สั่งการและกำกับดูแลให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ในสังกัดที่อยู่ในจังหวัดและอำเภอถือปฏิบัติให้เป็นไปตาม
กฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งกวดขันมิให้มีการใช้อิทธิพลในทางที่มิชอบด้วยกฎหมาย