คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานกิจการ งบดุล และบัญชีกำไรขาดทุนประจำปี
บัญชี 2545  (1 มกราคม 2545-31 ธันวาคม 2545)  ของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) ซึ่งผู้สอบ
บัญชี (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน) ได้รับรองแล้ว และให้นำเสนอรัฐสภาทราบต่อไป โดยสาระสำคัญของราย
งานกิจการ งบดุล และบัญชีกำไรขาดทุนประจำปีบัญชี 2545 ของ บตท. สรุปได้ดังนี้  (1)  สรุปฐานะทางการเงิน
5  ปี  (พ.ศ. 2541-พ.ศ. 2545)  โดยกำไรสุทธิปี พ.ศ. 2541  จำนวน 113.82 ล้านบาท  ปี พ.ศ. 2542  จำนวน 
30.37  ล้านบาท   ปี พ.ศ. 2543  จำนวน  22.40  ล้านบาท   ปี พ.ศ. 2544  จำนวน  18.41  ล้านบาท   และปี 
พ.ศ. 2545 จำนวน 1.53 ล้านบาท ส่วนรายได้นำส่งคลัง  ปี พ.ศ. 2541 จำนวน 37.08 ล้านบาท  ปี พ.ศ. 2542 
จำนวน  9.74  ล้านบาท  ปี พ.ศ. 2543  จำนวน  7.30  ล้านบาท  ปี พ.ศ. 2544  จำนวน  6.07  ล้านบาท  และ
ปี พ.ศ. 2545  ไม่มีรายได้นำส่งคลัง   และ  (2)  ฐานะทางการเงิน  ปี พ.ศ. 2545   ประกอบด้วย   สินทรัพย์รวม 
1,907,549,720.68 บาท  หนี้สินรวม  781,431,112.39  บาท  เงินกองทุน  1,126,118,608.29  บาท  ราย
ได้ดอกเบี้ยสุทธิจากธุรกรรมหลัก  92,839,099.58  บาท  รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมหลัก  593,263.05 
บาท รายได้ดอกเบี้ยจากการลงทุนในตลาดเงิน 11,414,444.77 บาท และกำไรสุทธิ 1,532,818.22 บาท ทั้งนี้ 
ผลการดำเนินงาน ปี พ.ศ. 2545  บตท. มีฐานะทางการเงินที่มั่นคง โดยมีสภาพคล่องสูง  อัตราส่วนหนี้สินต่อเงิน
กองทุนต่ำ  และสามารถดำเนินธุรกรรมได้ต่อไป  โดยพิจารณาได้จากอัตราส่วนการดำรงเงินกองทุนของ บตท. ที่
กำหนดไว้ขั้นต่ำเท่ากับร้อยละ 5   ซึ่ง ณ  วันที่  31  ธันวาคม  2545   บตท.  มีอัตราส่วนการดำรงเงินกองทุนต่อ
สินทรัพย์เสี่ยงสูงถึงร้อยละ 160.76  รวมทั้งได้ดำเนินกลยุทธ์ที่สำคัญในการเพิ่มปริมาณธุรกรรมในปี พ.ศ. 2546
สำหรับการบริหารความเสี่ยง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544  บตท. ได้จัดทำแผนแม่บทบริหารความเสี่ยง 5 ปี  (พ.ศ. 2544
-  พ.ศ. 2548)  ได้มีการวางแผนบริหารความเสี่ยงตามประเภทความเสี่ยงอย่างกว้างต่อเนื่องมาถึงปี  พ.ศ. 2545
โดยจัดทำรายงานด้านการบริหารความเสี่ยง ซึ่งระบุประเภทความเสี่ยงทุกด้านและแผนป้องกันและลดความเสี่ยง
ทั้งระยะสั้นและยาวอย่างชัดเจน และจะเริ่มต้นจัดวางระบบเป็นรูปธรรมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 เป็นต้นไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน
ระหว่างประเทศไทยกับประเทศโปรตุเกส ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจาจัดทำอนุสัญญา ฯ โดยแก้ไขถ้อยคำบาง
ประการภายในร่างอนุสัญญา  ฯ  ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น  โดยให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการเพื่อให้อนุ
สัญญา ฯ  มีผลบังคับใช้ต่อไป   สำหรับวัตถุประสงค์ของร่างอนุสัญญา ฯ ฉบับนี้จะใช้กับผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ
ไทยหรือประเทศโปรตุเกส หรือทั้งสองประเทศ รวมทั้งวิธีขจัดภาษีซ้อน  การเก็บภาษีจากกำไรธุรกิจ  การเก็บ
ภาษีจากการขนส่งระหว่างประเทศ การเก็บภาษีจากทรัพย์สิน การเก็บภาษีจากเงินเดือน ค่าจ้าง หรือค่าตอบ
แทนจากการจ้างแรงงาน   การให้บริการส่วนบุคคล  ครู  นักวิจัย  การเริ่มใช้และการเลิกใช้อนุสัญญา  ฯ  และ
บทบัญญัติพิเศษอื่น ๆ เช่น คำนิยามทั่วไป การไม่เลือกปฏิบัติ  วิธีการดำเนินการเพื่อความตกลงร่วมกัน  การ
แลกเปลี่ยนข้อสนเทศ เป็นต้น

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการดำเนินการโครงการพักชำระหนี้
และลดภาระหนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2544 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2546 ซึ่งผลการดำเนิน
โครงการ ฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2544  มีเกษตรกรรายย่อยซึ่งมีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ ฯ 2,397,780 ราย  ต้นเงิน
คงเป็นหนี้ 97,808 ล้านบาท  และ  ณ  วันที่ 30 กันยายน 2544  มีเกษตรกรรายย่อยที่แจ้งความประสงค์เข้าร่วม
โครงการ ฯ 2,309,966 ราย ต้นเงินคงเป็นหนี้ 94,329 ล้านบาท แยกตามสิทธิ์ที่ขอได้ ประกอบด้วย ผู้ใช้สิทธิ์พัก
ชำระหนี้ 1,171,817 ราย ต้นเงินคงเป็นหนี้ 53,039 ล้านบาท เป็นต้นเงินกู้ปกติ 33,797 ล้านบาท เป็นหนี้ค้าง
19,242 ล้านบาท และผู้ใช้สิทธิ์ลดภาระหนี้ 1,138,149 ราย ต้นเงินคงเป็นหนี้ 41,290 ล้านบาท   และ ณ วันที่
31 มีนาคม 2546  มีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ฯ  คงเหลือ 2,080,005 ราย  ต้นเงินคงเป็นหนี้  82,295  ล้าน
บาท แยกตามสิทธิ์ที่ขอใช้ ประกอบด้วย ผู้ใช้สิทธิ์พักชำระหนี้คงเหลือ 1,085,428 ราย  ต้นเงินคงเป็นหนี้คงเหลือ
49,400 ล้านบาท  และผู้ใช้สิทธิ์ลดภาระหนี้ 994,577 ราย  ต้นเงินคงเป็นหนี้คงเหลือ  32,895  ล้านบาท  ส่วน
เกษตรกรที่ออกจากโครงการ ฯ  สะสมถึงวันที่ 31 มีนาคม 2546  รวม  229,961  ราย  โดยได้ขอลาออกจากพัก
ชำระหนี้ 26,152 ราย  และออกจากลดภาระหนี้  203,809  ราย  เพื่อไปกู้เงินเกิน  100,000  บาท  สำหรับผล
การฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรหลังจากพักชำระหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2544  และ พ.ศ. 2545  กระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ ได้ฟื้นฟูอาชีพ  โดยวิธีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรกรดำเนินการได้  621,971  ราย   และการสนับ
สนุนปัจจัยการผลิตรายละ 3,000 บาท  ดำเนินการได้ 467,090 ราย  รวมทั้งการสนับสนุนเพิ่มเติมในการฟื้นฟู
และพัฒนาเกษตรกร  โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)  รวม 126,790 ราย   ในส่วน
ของการออมเงิน มีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ฯ ได้ออมเงินผ่านระบบ ธ.ก.ส. เพิ่มขึ้น ณ วันที่ 31 มีนาคม 2546
รวม 2,001,238 ราย  ยอดคงเหลือจำนวนเงิน  10,220  ล้านบาท   แยกเป็นการออมเงินเกษตรกรพักชำระหนี้
1,036,229  ราย  ยอดคงเหลือจำนวนเงิน 4,632 ล้านบาท  และเกษตรกรลดภาระหนี้ 965,009 ราย  ยอดคง
เหลือจำนวนเงิน  5,588  ล้านบาท  นอกจากนี้  ธ.ก.ส.  ยังได้กำหนดมาตรการและแรงจูงใจเพื่อฟื้นฟูและพัฒนา
เกษตรกรให้มีความสามารถในการประกอบอาชีพมากขึ้น  โดยการปรับแผนการชำระหนี้ของเกษตรกรแต่ละราย
ออกไป 1-10 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับที่มาแห่งรายได้ และขีดความสามารถในการชำระหนี้ของแต่ละราย  รวมทั้ง
ให้มีการประชาสัมพันธ์เพิ่มขึ้นเพื่อให้เกษตรกรเกิดความสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการ ฯ

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธาน
กรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้  (1)  รับทราบการตรวจสอบสถานะของกิจการ  (Corporate
Due Diligence)  และผลการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาในการปรับโครงสร้างทางธุรกิจและการเงิน  และการตรวจ
สอบสถานะกิจการ  ซึ่งผลการตรวจสอบข้อมูลทางบัญชี  (Accounting Due Diligence)  ของบริษัท บางจากปิโตร
เลียม จำกัด (มหาชน) พบว่า เป็นไปตามมาตรฐานและหลักการบัญชีที่รองรับทั่วไป โดยในระหว่างปี พ.ศ. 2541
-พ.ศ. 2550 มีรายได้ก่อนดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เฉลี่ยประมาณ 1,389 ล้านบาท  และในระหว่าง
ปี พ.ศ. 2546-พ.ศ. 2550 มี EBITDAเฉลี่ยประมาณ 1,887 ล้านบาท  (2)  เห็นชอบแนวทางการปรับโครงสร้าง
ทางธุรกิจและโครงสร้างทางการเงิน  และการขอความสนับสนุนจากภาครัฐ  โดยมอบหมายให้บริษัท บางจาก ฯ 
ดำเนินการตามข้อเสนอการปรับโครงสร้างทางการเงินให้แล้วเสร็จภายใน  6  เดือน และ  (3)  ให้กระทรวงการ
คลังรับประกันการลงทุนของเงินต้น  (Capital  Protected)  หรือทำการอื่นที่เป็นการประกันต้นเงินของหน่วยลง
ทุนที่ออกโดยกองทุน (Mutual Fund) หรือ SPV ในกรณีที่จำเป็น

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ตั้งแต่ต้น
ปีงบประมาณจนถึงสิ้นไตรมาสที่ 3 (ตุลาคม 2545-มิถุนายน 2546) โดยผลการเบิกจ่ายเงินในภาพรวม  ส่วนราช
การและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว 649,898 ล้านบาท  หรือร้อยละ  65.00  ของวงเงินงบประมาณ
(999,900 ล้านบาท) เปรียบเทียบกับการเบิกจ่ายในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีงบประมาณก่อนและการเบิกจ่าย
เงินงบประมาณ  ณ  สิ้นไตรมาสที่ 3  มีการเบิกจ่ายต่ำกว่า สำหรับผลการเบิกจ่ายเงินจำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ
(ประจำ/ลงทุน)  มีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ 574,657 ล้านบาท  หรือร้อยละ  71.81  ของงบประมาณรายจ่าย
ประจำ  (800,247  ล้านบาท)  และรายจ่ายลงทุน  75,241  ล้านบาท  หรือร้อยละ  37.69  ของงบประมาณราย
จ่ายลงทุน (199,653 ล้านบาท) ส่วนการเบิกจ่ายงบลงทุนของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรรายจ่ายลงทุนเกิน 1,000 
ล้านบาท จำนวน 22 แห่ง มีจำนวน 54,862 ล้านบาท หรือร้อยละ 39.36 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุนในกลุ่มนี้ 
(139,374 ล้านบาท) โดยหน่วยงานที่มีผลการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนต่ำสุด 3 หน่วยงาน คือ กรมอาชีวศึกษา กรุง
เทพมหานคร และกรมทรัพยากรน้ำ  โดยมีอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 10.87  12.68  และ 19.81  ตามลำดับ  ทั้งนี้
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ พ.ศ. 2546 ไตรมาสที่ 3 ในภาพรวม ต่ำกว่าผลการเบิกจ่ายใน
ช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน   และต่ำกว่าเป้าหมาย   จึงขอให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทุกแห่งเร่งรัดการเบิก
จ่ายเงินงบประมาณ  โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2545 เรื่อง มาตรการและแนวทาง
การเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 อย่างเคร่งครัดด้วย

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการตามโครงการออก
สลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ดังนี้ (1.1) ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นผู้ดำเนินการออกสลาก
พิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว  โดยจำหน่ายตามรูปแบบที่กำหนดในโครงการ (1.2) นำรายได้จัดสรรกับคืนสู่
สังคมและประชาชนโดยตรง โดยให้การสนับสนุนด้านการศึกษา การแพทย์ ศาสนา  สังคม  และสาธารณประโยชน์
อื่น ๆ  เป็นต้น (1.3) พัฒนารูปแบบสลากที่รัฐบาลสามารถควบคุมและกำกับดูแลได้ (1.4) ผู้บริโภคหรือประชาชน
ได้รับการประกันและคุ้มครองสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมาย   และ  (2)  เห็นชอบให้นำรายได้ส่วนเกินของกองทุนเงิน
รางวัลหลังหักค่าใช้จ่ายในการบริหารงานและจ่ายรางวัลกลับคืนสู่สังคม รวมทั้งกรณีรายได้จากการขายหรือส่วนลด
จากการซื้อสลากเพื่อไปจำหน่ายของผู้แทนจำหน่าย  ในระยะที่ 2  ที่จำหน่ายด้วยเครื่องจำหน่ายสลากอิเล็กทรอนิกส์ 
ไม่ได้รับสิทธิ์การยกเว้นตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 
310) พ.ศ. 2540 มาตรา 5 จตุทศ (2)

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งให้ นายเสงี่ยม สันทัด ดำรงตำแหน่งที่
ปรึกษากฎหมาย (นิติกร 10 ชช.) สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2546 เป็นต้นไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงและลาดยางผิว
จราจรเส้นทางตราด-เกาะกง-สะแรอัมเปิล  (Route No.48)  โดยสาระสำคัญของสัญญาเงินกู้ดังกล่าว ประกอบ
ด้วย ผู้กู้ กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังในนามของรัฐบาลประเทศกัมพูชา  ผู้ให้กู้  กระทรวงการคลังในนามราช
อาณาจักรไทย วงเงินกู้  จำนวนไม่เกิน  567.8  ล้านบาท  วัตถุประสงค์ในการใช้เงินกู้  เพื่อใช้ในการดำเนินโครง
การปรับปรุงเส้นทางเกาะกง-สะแรอัมเปิล  (ไม่รวมสะพานข้ามแม่น้ำ)  ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่ายภายใน 30
เมษายน 2550  เว้นแต่ตกลงเป็นอย่างอื่น  ระยะเวลาเงินกู้ไม่เกิน 30 ปี  รวมระยะเวลาปลอดหนี้เงินต้น  10  ปี
อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 1.5 ต่อปี การชำระคืนภายในระยะเวลา 20 ปี ปีละ 2 งวด รวมทั้งสิ้น  40  งวด  ทั้งนี้ ให้
กระทรวงการคลังโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในร่างสัญญาเงินกู้ดังกล่าว และให้รัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงการคลังสามารถลงนามได้โดยมิต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง หากสัญญาเงินกู้นี้มีการ
แก้ไขแต่มิใช่ในสาระสำคัญ

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออก
ตามความในพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 7) พุทธศักราช 2480  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฉบับนี้เป็นการกำหนดให้เส้นทางตาม
แนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่ง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  ได้นำก๊าซธรรมชาติจากประเทศสหภาพพม่าเข้ามาใน
ราชอาณาจักร  โดยผ่านทางระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบริเวณจุดผ่านแดน บ้านอีต่อง ตำบลปิล็อค  อำเภอทองผา
ภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีจนถึงโรงไฟฟ้าราชบุรีของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านพิกุลทอง ตำบล
พิกุลทองอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เป็นทางอนุมัติสำหรับนำก๊าซธรรมชาติจากสหภาพพม่าเข้ามาในราชอาณาจักร

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ปรับปรุง
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2541  เรื่อง  หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดสรรเงินรายได้จากการ
แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจไม่ต้องนำรายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ  รวมทั้งราย
ได้จากการให้สัมปทานส่งเข้ากองทุนเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและ
พัฒนาระบบสถาบันการเงิน     แต่ให้นำรายได้ดังกล่าวส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ
และ (2) รับทราบกรณีกระทรวงการคลังเห็นสมควรปรับปรุงแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมและ
สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน  ทั้งนี้  เพื่อนำไปใช้ในแนวทางในการพัฒนารัฐวิสาหกิจให้มีประสิทธิภาพ
ยิ่งขึ้น  โดยจะหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงเจ้าสังกัด
ของรัฐวิสาหกิจ และรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

                        อนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. ....  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา  โดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฉบับ
นี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยศุลกากร  ดังนี้ (1) กำหนดให้อธิบดีกรมศุลกากรมีอำนาจจัดการเกี่ยวกับ
ของที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายต่อบุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์สิน  หรือสิ่งแวดล้อม  ซึ่งนำเข้ามาในราช
อาณาจักร  (2)  กำหนดการได้รับยกเว้นไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายอื่นในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุม  การนำเข้า
มาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การครอบครอง หรือการใช้ประโยชน์ สำหรับของที่นำเข้า
มาในเขตปลอดอากรโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร และ  (3 ) แก้ไขเพิ่มเติมการควบคุมของ
ที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากร  โดยกำหนดให้นำบทบัญญัติในหมวด 7  ของตกค้าง  และบทบัญญัติกำหนดโทษที่
เกี่ยวข้องมาใช้บังคับกับของในเขตปลอดอากรโดยอนุโลม ด้วย ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับบท
กำหนดโทษ กรณีผู้นำของที่ก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายต่อบุคคล สัตว์  ทรัพย์สิน  และสิ่งแวดล้อม  เข้า
มาทิ้ง  ควรมีระวางโทษสูง   เพราะเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงแก่ประชาชนสิ่งแวดล้อม   และเกิด
ความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศ   รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เห็น
ควรปรับปรุงเพิ่มเติมข้อความ "วัสดุนิวเคลียร์" เป็น "วัสดุนิวเคลียร์พิเศษ" ไปพิจารณาด้วย   แล้วส่งให้คณะกรรม
การประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการต่ออายุสัญญาเงินกู้ระยะสั้นแบบ CREDIT
LINE ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วงเงิน 9,000 ล้านบาท อายุ 1 ปี  ภายใต้เงื่อนไขเดิม  ระยะ
เวลาตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2546 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2547 โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ (1) เห็นชอบให้คณะกรรม
การที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง จำนวนทั้งหมด 20 คณะ คงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เดิม
13 คณะ เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ โดยมีอำนาจหน้าที่คงเดิม 4 คณะ เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและอำนาจหน้า
ที่ 2 คณะ  และยกเลิก  1  คณะ  และ (2) รับทราบว่าคณะกรรมการป้องปรามธุรกิจการเงินนอกระบบขณะนี้อยู่
ในระหว่างดำเนินการพิจารณา  เมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วจะรายงานให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบใน
โอกาสต่อไป

                อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี  คณะที่ 2(ฝ่ายเศรษฐกิจ) ที่มีมติเห็น
ชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมติการประชุมหารือเรื่องร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ  พ.ศ. ....
โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติหนี้การบริหาร
สาธารณะ พ.ศ. .... ที่ให้ยกเลิกความในร่างมาตรา  23  ออก  และตัดส่วนที่เกี่ยวข้องกับร่างมาตรา  23  ออกด้วย
ดังนี้ (1) ยกเลิกความในร่างมาตรา 4 บทนิยาม "กองทุน" (2) ตัดหมวด 4  กองทุนเพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้
ออก ตั้งแต่มาตรา 31 ถึง มาตรา 39 (3) ตัดความในร่างมาตรา 44(5) และ (6) ออก  และ (4) ตัดความในร่าง
มาตรา 45(3) และ  (4)  ออก  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดัง
กล่าวอีกครั้งหนึ่ง โดยให้แก้ไขปรับปรุงให้เป็นไปตามความเห็นของคณะอนุกรรมการ ฯ ที่คณะกรรมการประสาน
งานสภาผู้แทนราษฎรได้แต่งตั้งขึ้นด้วย   แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา  ก่อน
เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป

           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติเห็นชอบ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานผลการทบทวนโครงการปรับปรุงและพัฒนาทางหลวงตามมติคณะกรรมการ
กลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 ดังนี้  (1)  พิจารณาผลการทบทวนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบ
ด้วย  กระทรวงการคลัง  สำนักงบประมาณ  สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   และ
กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ถึงความจำเป็นในการกู้เงินจากธนาคารโลก โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าว
ได้ร่วมพิจารณาปรับลดค่าใช้จ่ายของโครงการ โดยมีการปรับลดวงเงินงบประมาณลงจากเดิมจำนวน  72.20  ล้าน
เหรียญสหรัฐ คงเหลือ 61.26 ล้านเหรียญสหรัฐ และปรับลดวงเงินกู้ลงจากเดิมจำนวน 100.00 ล้านเหรียญสหรัฐ
คงเหลือ 84.29 ล้านเหรียญสหรัฐ  (2)  เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว ให้ใช้วงเงินของโครงการดังกล่าวที่ยังกู้ไม่เต็ม
วงเงินตามที่บรรจุไว้ในแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ  ประจำปีงบประมาณ  พ.ศ. 2545   และ  (3)  ให้ความเห็น
ชอบในเงื่อนไขของสัญญากู้เงินระหว่างรัฐบาลไทยและธนาคารโลก  ตามนัยหนังสือรายงานผลการเจรจากู้เงินของ
กระทรวงการคลัง ด่วนมาก ที่ กค 0903/19971  ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2545  โดยมีวงเงินกู้จากธนาคารโลกไม่
เกิน  84.29  ล้านเหรียญสหรัฐ  และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
มอบหมาย เป็นผู้ลงนามในสัญญากู้เงินและเอกสารที่เกี่ยวข้องในนามราชอาณาจักรไทย

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการตามนโยบายในการส่งเสริม
เศรษฐกิจชุมชนเกี่ยวกับการทำสุราแช่และสุรากลั่นชุมชน รวมทั้งมาตรการในการป้องกันและปราบปรามสุราหลบหนี
ภาษี โดยในส่วนของการประชาสัมพันธ์ ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย
ระเบียบของกรมสรรพสามิตในการขออนุญาตผลิตและจำหน่ายสุรา กับกลุ่มผู้นำชุมชน เกษตรกร สหกรณ์  ตลอดจน
ประชาชนทั่วไป ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อชี้แนะ จูงใจให้ผู้ผลิตสุราเข้าสู่ระบบการบริหารงานสุรา  โดยมุ่งเน้น
การประชาสัมพันธ์หลายรูปแบบอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ สำหรับด้านการปราบปรามได้กำหนดนโยบายการปราบปราม
ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติสุรา  พ.ศ. 2493   อย่างเข้มงวด  เพื่อขจัดสุราเถื่อนให้หมดสิ้นไป  ตามโครงการ
ทั่วไทยปลอดสุราเถื่อน โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2546 เป็นต้นไป

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงื่อนไข
เงินกู้ในสัญญากู้เงินจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น  (JBIC)   สำหรับโครงการเงินกู้เพื่อสนับ
สนุนการให้สินเชื่อแก่ภาคอุตสาหกรรมการผลิต  (JEXIM Untied Loan No.2 for  IFCT)  ซึ่งกระทรวงการคลังในฐานะ
ผู้ค้ำประกันเงินกู้ได้พิจารณาเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงื่อนไขเงินกู้ในสัญญากู้เงินดังกล่าวแก่
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  จากเดิมที่กำหนดตามอัตรา Long-Term  Prime  Rate  (LTPR) - ร้อย
ละ 0.2  ต่อปี  หรืออัตรา  Fiscal  Investment  and  Loans  Program  Rate แล้วแต่อัตราใดจะสูงกว่าเป็น JPY LIBOR
(6 เดือน)+ร้อยละ 0.15 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขในสัญญากู้เงินดังกล่าวทำให้บรรษัท ฯ
มีต้นทุนที่ลดลง และสามารถปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้แต่งตั้ง พลตำรวจเอก สมบัติ อมรวิวัฒน์ และนาย
กำธร ตติยกวี  ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลมาครบกำหนดสองปีตามวาระ  ให้
ดำรงตำแหน่งต่อไปอีกวาระหนึ่ง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (24 มิถุนายน 2546) เป็นต้นไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง รายงานความคืบหน้าในการว่าจ้างผู้
ตรวจสอบบัญชีโครงการของกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)  ซึ่งผลการดำเนินงาน  สรุปได้ว่า  ตามที่คณะ
กรรมการ คชก. ได้ประชุมเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2546 และมีมติอนุมัติเงินจ่ายขาดวงเงิน 5,000,000.00 บาท  ให้กรม
บัญชีกลางดำเนินการว่าจ้างผู้ตรวจสอบบัญชีอิสระเพื่อตรวจสอบบัญชีโครงการที่สิ้นสุดระยะเวลาแล้วแต่ยังไม่ปิดบัญชี
และส่งคืนเงินกองทุนรวม ฯ  ทั้งด้านการเงิน  (Financial Audit)  และด้านการปฏิบัติงาน  (Performance Audit)  ของ
หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนรวม ฯ  นั้น  กรมบัญชีกลางได้ดำเนินการว่าจ้างบริษัท  ศูนย์นักบัญชีพีเอเอส 
จำกัด ตรวจสอบบัญชีโครงการของกองทุนรวม ฯ รวม 13 หน่วยงาน 110 โครงการ  ในวงเงินค่าจ้าง 4,499,000.00
บาท ระยะเวลาปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม - 6 กรกฎาคม 2546  ทั้งนี้  ให้กระทรวงการคลัง  โดยกรมบัญชี
กลาง รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการด้วย ดังนี้  (1)  ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง ประสาน
ผู้ตรวจสอบบัญชีให้เร่งรัดการดำเนินการ   แล้วรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว  (2)   ให้กระทรวงการคลัง
เร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2546  เรื่อง  การตรวจสอบการใช้เงินกองทุนรวม ฯ  ที่
มอบให้กระทรวงการคลังรับไปประสานและเจรจาต่อรองกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรให้อยู่ใน
อัตราที่เหมาะสม  และเป็นธรรม  สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด  และ  (3)  ให้หน่วยงานที่ยืมเงินจากกองทุน
รวม ฯ ไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ทยอยส่งเงินที่หมดความจำเป็นต้องใช้คืนกองทุนรวมฯ โดยเร็วด้วย

           คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 ปีงบ
ประมาณ พ.ศ. 2546 มีการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง 17 กลุ่มสินค้า  มีมูลค่านำเข้ารวม  167.52  ล้านดอลลาร์
สหรัฐ  เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. 2545   33.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือร้อยละ  25.31
ส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง 17 กลุ่ม เทียบกับมูลค่าการนำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในช่วงไตรมาส
2  ของปีงบประมาณ  พ.ศ. 2546  แล้ว (17,416.21  ล้านดอลลาร์สหรัฐ)  มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง 17 
กลุ่มสินค้า มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 0.96 ของมูลค่านำเข้ารวม  และเมื่อเทียบมูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วง
ไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2546  กับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อน มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น 14 ราย
การตั้งแต่ร้อยละ 9.77  ถึงร้อยละ 46.17  และมี  3  รายการที่มีมูลค่านำเข้าลดลงตั้งแต่ร้อยละ  2.41  ถึงร้อย
ละ 11.40  โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด  3  อันดับแรก  ได้แก่  น้ำหอมและเครื่องสำอาง  สุราต่าง
ประเทศ นาฬิกาและอุปกรณ์ สำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 มีอัตราการนำ
เข้าเพิ่มขึ้น 14 รายการ  โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก  ได้แก่  เครื่องประดับที่
ทำด้วยคริสตัล สูท เสื้อ กระโปรง ฯ  น้ำหอมและเครื่องสำอาง  แว่นตา  สุราต่างประเทศ  ซึ่งมีอัตราการนำเข้า
เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.17, 43.84, 40.83, 38.07 และ 33.86 ตามลำดับ ส่วนสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงครึ่งปีแรกของ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 (ตุลาคม 2545 - มีนาคม 2546) มีมูลค่านำเข้ารวม  346.55  ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
เทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. 2545   มีมูลค่าเพิ่มขึ้น  63.56  ล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือร้อยละ 
22.46   โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด  3  อันดับแรก  ได้แก่  สุราต่างประเทศ  น้ำหอมและเครื่อง
สำอาง นาฬิกาและอุปกรณ์ ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. 2546  สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง  17  ราย
การ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นสูงสุด  5  อันดับแรก  ได้แก่  แว่นตา 
สูท เสื้อ กระโปรง ฯ น้ำหอมและเครื่องสำอาง เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล สุราต่างประเทศ ซึ่งมีอัตราการ
นำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.67, 37.67, 36.28, 35.98 และ 33.27 ตามลำดับ