ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 641 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 12801 - 12820 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12801 | คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี (เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนกัน และเรื่อง มอบหมายให้รัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี) | นร04 | 14/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๐๕/๒๕๖๒ เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนกัน ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ๒. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๐๙/๒๕๖๒ เรื่อง มอบหมายให้รัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12802 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 14/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านความมั่นคง ดังนี้ ให้หน่วยงานด้านความมั่นคง เช่น กระทรวงกลาโหม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับ ดูแลและควบคุมการรับซื้อปาล์มน้ำมันเพื่อนำไปผลิตไฟฟ้าและส่งเสริมการบริโภคน้ำมันปาล์มในครัวเรือนเพื่อลดปริมาณน้ำมันปาล์มดิบในสต็อก ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๒ (เรื่อง ขอความเห็นชอบการขยายระยะเวลามาตรการปรับสมดุล้ำมันปาล์มในประเทศ) เพื่อไม่ให้มีการฉวยโอกาสค้ากำไร กดราคา หรือบิดเบือนกลไกตลาดในการรับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกร ทั้งนี้ โรงสกัดทุกแห่งจะต้องจัดทำและเก็บรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการรับซื้อผลปาล์มอย่างถูกต้องชัดเจนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12803 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | กค | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งประกอบด้วยงบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ ทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๘,๓๕๑ หน่วยงาน จากทั้งหมด ๘,๔๒๐ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๑๘ โดยมีหน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงินภายในระยะเวลาตามมาตรา ๗๐ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๗๒ หน่วยงาน และหน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงิน จำนวน ๖๙ หน่วยงาน รวมทั้งข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับการจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ ได้แก่ (๑) ให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งส่งข้อมูลรายงานการเงินภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา ๗๐ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ (๒) ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความสำคัญ ควบคุม กำกับดูแล หน่วยงานภายใต้สังกัดส่งรายงานการเงินของหน่วงยงานภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่สามารถส่งรายงานการเงินให้กระทรวงการคลังได้ตามกำหนด หน่วยงานต้องรายงานเหตุผล หรือปัญหาอุปสรรคต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการจัดทำรายงานครั้งถัดไป หากกระทรวงการคลังจะได้จัดทำบทวิเคราะห์เพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เช่น มีประเด็นหนี้สินหรือค่าใช้จ่ายด้านใดที่รัฐบาลพึงระมัดระวังในอนาคต ก็จะเป็นประโยชน์ตามเจตนารมณ์ที่กำหนดตามมาตรา ๗๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งส่งข้อมูลรายงานการเงินภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา ๗๐ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๓. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความสำคัญ ควบคุม กำกับดูแลหน่วยงานภายใต้สังกัดให้ส่งรายงานการเงินของหน่วยงานภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่สามารถส่งรายงานการเงินให้กระทรวงการคลังได้ตามกำหนด หน่วยงานต้องรายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรคต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดและกระทรวงการคลังทราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12804 | รัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำประเทศไทย (นายคเณศ ประสาท ธกาล) | กต | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายคเณศ ประสาท ธกาล (Mr. Ganesh Prasad Dhakal) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายชคนาถ อธิการี (Mr. Khaga Nath Adhikan) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12805 | รัฐบาลราชอาณาจักรเลโซโทเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรเลโซโทประจำประเทศไทย (พลตรี ลีเนโอ เบอร์นาร์ด ปูปา) | กต | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลตรี ลีเนโอ เบอร์นาร์ด ปูปา (Major General Lineo Bernard Poopa) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรเลโซโทประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สืบแทน นางสาวอึนเซเบ อิดเลตต์ โคโคเม (Mr. Ntsebe Idlett Kokome) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12806 | การปรับปรุงคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 | กก | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ ๑๓ เนื่องจากเลขาธิการคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ ๑๓ (พลตรี จารึก อารีราชการัณย์) ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการและเลขาธิการของคณะกรรมการดังกล่าว โดยให้ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการและเลขาธิการ แทน และให้อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีล้มละลาย เป็นกรรมการเพิ่มเติม ตามมติคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ ๑๓ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12807 | หลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม | นร04 | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษต้องพิจารณาแต่งตั้งจากกรรมการกฤษฎีกาที่มาจากคณะต่าง ๆ ประกอบเป็นคณะพิเศษเท่านั้น โดยในกรณีที่ร่างกฎหมายใดมีความจำเป็นที่ต้องมีกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายนั้น ตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม คณะรัฐมนตรีอาจมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายนั้นได้ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๑ วรรคหนึ่ง (๖) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการดังกล่าว และให้แต่งตั้งเลขานุการได้ตามความจำเป็น ดังเช่นที่คณะรัฐมนตรีเคยมีมติเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ....) รวมทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมว่า เมื่อร่างกฎหมายใดที่จัดทำขึ้นตามแผนการปฏิรูปประเทศ โดยคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านแล้วเสร็จ ให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านจัดส่งร่างกฎหมายไปยังส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงสำหรับร่างกฎหมายนั้น เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับร่างกฎหมายนั้น ตามแนวทางที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านกำหนดต่อไป ๒. มอบหมายสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมประสานงานในรายละเอียดกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12808 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... | นร09 | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแบ่งส่วนราชการของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12809 | ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 จำนวน 3 ฉบับ | รง | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างกฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... และ (๓) ร่างกฎกระทรวงเงินค่าทำศพ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราค่ารักษาพยาบาลและค่าฟื้นฟูสมรรถภาพที่ให้นายจ้างจ่ายเมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย และจำเป็นต้องฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานภายหลังจากประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย รวมทั้งกำหนดอัตราค่าทำศพแก่ผู้จัดการศพของลูกจ้างกรณีที่ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตายหรือสูญหายเนื่องจากการทำงาน เพื่อให้ลูกจ้างได้รับความเป็นธรรมและมีโอกาสกลับเข้ามาอยู่ในระบบการจ้างงานภายหลังการประสบอันตรายจากการทำงานให้นายจ้าง อีกทั้งทำให้ผู้จัดการศพของลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าทำศพเมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตายหรือสูญหายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างด้วย ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการกำหนดคำว่า “สถานพยาบาล” ในร่างกฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... ให้ชัดเจนว่าเป็นสถานพยาบาลของรัฐ เพราะอัตราค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐและในสถานพยาบาลเอกชนมีความแตกต่างกัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ นายจ้าง และลูกจ้างให้ความสำคัญและมีการบริหารจัดการให้เป็นไปตามมาตรฐานของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12810 | ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 จำนวน 4 ฉบับ | มท | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการทะเบียนราษฎร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมการทะเบียนราษฎรสำหรับคนซึ่งมีสัญชาติไทย ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรและกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร และกำหนดค่าธรรมเนียมการทะเบียนราษฎรสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอเมื่อพ้นกำหนดเวลา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมการแจ้งหรือขอดำเนินการเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ๔. ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะของอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมิใช่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยที่จะต้องกำหนดเลขประจำอาคารและจัดทำทะเบียนอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการขอขึ้นทะเบียนราษฎร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12811 | มาตรการลดภาระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม กรณีอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง | พม | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการลดภาระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมกรณีอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง โดยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์และอาคารชุดตามประมวลกฎหมายที่ดินและกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สำหรับการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่ดินพร้อมอาคาร หรืออาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และบ้านแถวและกรณีห้องชุดในอาคารชุด รวมทั้งค่าจดทะเบียนการโอน ซึ่งมีราคาซื้อขายไม่เกิน ๑ ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน ๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. อนุมัติในหลักการ (๑) ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่ดินพร้อมอาคารหรืออาคารที่อยู่อาศัยตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และ (๒) ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด กรณีห้องชุด ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และเป็นการลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์และอาคารชุด ตามประมวลกฎหมายที่ดินและกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้ตัดการอ้างข้อ ๒ (๗) (ฎ) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ในร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินฯ และการอ้างข้อ ๑ (๗) (ช) แห่งกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๕๓ ในร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดฯ ออก เนื่องจากมิใช่กรณีการกำหนดให้เรียกเก็บหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แต่เป็นการประกาศหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเพื่อประโยชน์ในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมที่กฎกระทรวงได้กำหนดไว้แล้ว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรประเมินผลความคุ้มค่าประสิทธิภาพและประสิทธิผล ความสอดคล้องระหว่างอุปสงค์กับอุปทานที่มีอยู่ในตลาด เพื่อนำมปรับปรุงแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในระยะ ๕ ปีแรก และแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ ๒๐ ปี ให้เหมาะสมใกล้เคียงกับสถานการณ์จริง และนำมาปรับปรุงมาตรการสนับสนุนที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งควรติดตามและประเมินผลความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์เป็นระยะ ภายหลังจากที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และการจัดทำรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการที่ได้จัดทำไว้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นประจำทุกปีจนกว่าการดำเนินการดังกล่าวจะแล้วเสร็จ และควรสร้างความรับรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12812 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 2/2562 | นร63 | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ (เพิ่มเติม) ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก การเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์สำหรับโครงการระบบรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ส่วนต่อขยาย ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ-พญาไท และ (ร่าง) แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ โดยรายละเอียดงบประมาณสำหรับการเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์สำหรับโครงการระบบรถไฟาเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ส่วนต่อขยาย ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ-พญาไท และการดำเนินการตามโครงการเร่งด่วน (Flagship Project) ภายใต้แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยให้คำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์ทางราชการเป็นสำคัญ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นแหล่งงบประมาณในการเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์สำหรับโครงการระบบรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ส่วนต่อขยาย ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ-พญาไท การดำเนินการตามโครงการเร่งด่วน (Flagship Project) ภายใต้แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ รวมทั้งการเร่งรัดการเวนคืนที่ดิน และการประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12813 | แนวทางการขับเคลื่อนการส่งเสริมระบบนิเวศของวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Ecosystem) | กค | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการขับเคลื่อนการส่งเสริมระบบนิเวศของวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Ecosystem) และการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ตามแนวทางการขับเคลื่อนการส่งเสริมระบบนิเวศของวิสาหกิจเริ่มต้น โดยกระทรวงการคลังได้กำหนดให้มีหน่วยบริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One-Stop Service : OSS) สำหรับวิสาหกิจเริ่มต้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของวิสาหกิจเริ่มต้นทั้งในและต่างประเทศตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นจนถึงเริ่มการดำเนินธุรกิจ และเป็นหน่วยงานหลักในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างวิสาหกิจเริ่มต้นกับภาครัฐและเอกชน รวมทั้งกำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น เพื่อสนับสนุนด้านการเงินแก่วิสาหกิจเริ่มต้น และสนับสนุนค่าใช้จ่ายของหน่วยบริการเบ็ดเสร็จดังกล่าว รวมถึงกองทุนฯ อาจให้ค่าตอบแทนแก่วิสาหกิจเริ่มต้นที่มีศักยภาพทุกเดือนในช่วงที่วิสาหกิจเริ่มต้นยังไม่มีรายได้และเป็นผู้ลงทุนให้กับวิสาหกิจเริ่มต้นเมื่อมีความพร้อมที่จะจัดตั้งเป็นบริษัท และหากวิสาหกิจประสบความสำเร็จ กองทุนฯ จะขายหุ้นให้แก่นักลงทุนที่สนใจผ่านช่องทางต่าง ๆ ของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะทำให้มีเงินกลับเข้ามาในกองทุนฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีภารกิจในการขับเคลื่อนการส่งเสริมระบบนิเวศของวิสาหกิจเริ่มต้นเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรเพิ่มสำนักงานเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นหน่วยงานดำเนินการหลักในบางภารกิจ เช่น การจัดตั้ง OSS การกำหนดรูปแบบกองทุนฯ และต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. ๒๕๖๐ ในเรื่องการใช้จ่ายเงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายให้กับกองทุนอื่นเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกองทุน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12814 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ที่ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ที่ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการควบคุมการนำเข้าสินค้ารถยนต์ที่ใช้แล้ว โดยกำหนดประเภทของรถยนต์ที่ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร ประเภทของรถยนต์ที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร และประเภทของรถยนต์ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการนำรถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนอาจไม่ต้องทำลาย หรือส่งรถยนต์ดังกล่าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร แต่อาจใช้วิธีการส่งมอบให้สถานศึกษาหรือหน่วยงานราชการใช้ในการศึกษาทดลอง และการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ควรให้จำหน่ายโดยมีเงื่อนไขให้ส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรได้ นอกจากนี้ การกำหนดระเบียบหรือแนวทางปฏิบัติ ควรให้มีความเชื่อมโยงสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น การห้ามนำเข้าชิ้นส่วนของตัวถังหรือโครงรถของรถยนต์และโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว การงดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้ว การงดรับจดทะเบียนรถที่ไม่ผ่านมาตรฐานด้านมลพิษ มาตรฐานด้านความปลอดภัยตามที่กฎหมายกำหนด เป็นต้น และควรมีมาตรการกำกับ ดูแล ตรวจสอบที่รัดกุม เพื่อไม่ก่อให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายหรือการตีความไปในทางที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างประกาศฯ ที่จะป้องกันปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและเพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ปัจจุบันมีกฎซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่างยังคงมีผลใช้บังคับอยู่โดยผลของบทเฉพาะกาลมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงควรพิจารณาดำเนินการออกกฎที่เกี่ยวข้องตามบทบัญญัติของกฎหมายปัจจุบันเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการมีบทเฉพาะกาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12815 | ปฏิญญาว่าด้วยการมาตรฐานที่ตระหนักถึงความเสมอภาคระหว่างหญิงชายและการกำหนดมาตรฐาน (Declaration on Gender Responsive Standards and Standards Development) | อก | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบปฏิญญาว่าด้วยการมาตรฐานที่ตระหนักถึงความเสมอภาคระหว่างหญิงชายและการกำหนดมาตรฐาน (Declaration on Gender Responsive Standards and Standards Development) ซึ่งเป็นเอกสารแสดงคำมั่นร่วมกันของหน่วยงานด้านมาตรฐานแห่งชาติของรัฐต่าง ๆ ให้มีการกำหนดและจัดทำมาตรฐานของตนเพื่อสร้างความตระหนักถึงความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามปฏิญญาฯ โดยจะมีพิธีลงนามในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12816 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาและส่งเสริมการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง | มท | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย โดยการส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงินไม่เกิน ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นการดำเนินงานในลักษณะของรายการปีเดียว และไม่มีผลเป็นการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ อันจะเป็นภาระต่องบประมาณในอนาคต โดยขอให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรอบคอบ และขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ เห็นควรที่กระทรวงมหาดไทยจะรายงานผลการดำเนินงานต่อสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในโอกาสแรก และจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการ รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อระบบนิเวศน์โดยรวมเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการดำเนินโครงการต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ของหน่วยงานของรัฐ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการกำหนดรูปแบบของฝายชะลอน้ำตามโครงการพัฒนาและส่งเสริมการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้เพื่อให้มีการจ้างแรงงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแล โครงการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12817 | โครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital) เพื่อรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 3 โครงสร้างพื้นฐาน ผ่านกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) | กค | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ดำเนินโครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital) เพื่อรองรับ ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ ๓ โครงสร้างพื้นฐาน ผ่านกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ในระดับปริญญาตรี และ (๒) โครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ในระดับอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นโครงการที่มีเงื่อนไขพิเศษผ่อนปรนกว่าการดำเนินการให้กู้ยืมตามเงื่อนไขปกติของ กยศ. เพื่อสนับสนุนให้มีนักเรียน นักศึกษา เข้าเรียนในสาขาที่เป็นความต้องการในอุตสาหกรรมเป้าหมายมากขึ้น และหากในอนาคต กยศ. มีความจำเป็นต้องขอรับงบประมาณ ขอให้ กยศ. ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนโดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อน และคำนึงถึงการสูญเสียรายได้ของ กยศ. โดยไม่กระทบต่อภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย และจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลเพื่อใช้ประกอบในการบริหารจัดการกำลังแรงงานของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งควรให้ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเป้าหมายได้มีส่วนร่วมในการพิจารณากำหนดสาขาวิชาให้ตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง และควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12818 | การดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) | ดศ | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐนำมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านสารสนเทศเพื่อการประมวลผลข้อมูล (Infrastructure Architecture) และกรอบการกำกับดูแลข้อมูล (Data Governance Framework) ไปใช้เป็นมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นผู้ให้คำแนะนำ ติดตาม และประเมินผลต่อไป ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๓. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจัดให้มีคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud services : GDCC) และให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการคลาวด์กลางภาครัฐ สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้น ให้ครบถ้วน โดยให้รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเกี่ยวกับประเด็นการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ วงเงิน ๔,๕๕๔.๒ ล้านบาท เพื่อการจัดให้มีคลาวด์กลางภาครัฐว่า การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่เข้าข่ายการดำเนินโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณในอนาคต ซึ่งตามมาตรา ๒๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินการนั้น จะต้องจัดทำข้อมูลรายละเอียดตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง การดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในการจัดให้มีคลาวด์กลางภาครัฐจะต้องมีการบูรณาการและวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่มีอยู่ และไม่ซ้ำซ้อนกับการจัดหาคลาวด์ของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้หน่วยงานภาครัฐร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติในการจัดทำรายการข้อมูลภาครัฐ (Government Data Catalog) และระบบนามานุกรม (Directory Services) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๕. ในส่วนของการจัดตั้ง “สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (Government Big Data Institute : GBD)” เป็นหน่วยงานภายในภายใต้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อรองรับการให้บริการด้านการพัฒนาบุคลากรและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) ของภาครัฐ นั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ในการจัดตั้งสถาบันจะต้องดำเนินการภายใต้ขอบเขตวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลตามมาตรา ๓๕ ของพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวจะต้องไม่กระทบต่อภารกิจของหน่วยงานตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้ใช้จ่ายจากรายได้ของหน่วยงานเป็นหลัก และความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการดำเนินการพัฒนาบุคลากร เห็นควรให้นำภารกิจงานที่หน่วยงานภาครัฐต้องดำเนินการมาเป็นแบบฝึกหัดหรือเป็นกรณีศึกษาในการฝึกอบรม และกำหนดเป็นเป้าหมายหรือตัวชี้วัดความสำเร็จการดำเนินงานของสถาบัน รวมถึงเป็นเกณฑ์ในการประเมินผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ารับการฝึกอบรมด้วย เพื่อให้การดำเนินการพัฒนาบุคลากรสัมฤทธิ์ผลตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสถาบันได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12819 | การตอบรับเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมทบในสภาบริหารของโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment : PISA) | ศธ | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการตอบรับคำเชิญในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมทบในสภาบริหารของโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment : PISA) เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการดำเนินงานสำหรับการเข้าร่วมโปรแกรม PISA ในรอบการประเมิน PISA 2021 และมีสถานภาพการเข้าเป็นสมาชิกสมทบได้ทันต่อการเข้าร่วมประชุมสภาบริหารของโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากลขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) สำหรับการดำเนินงานโปรแกรม PISA ในรอบการประเมิน PISA 2021 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมทบในสภาบริหารของโปรแกรม PISA เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการดำเนินงานและเบิกจ่ายให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาด้วยว่า เมื่อประเทศไทยเข้าร่วมสมาชิกสมทบในสภาบริหารของโปรแกรม PISA แล้ว ประเทศไทยจะต้องให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎ (Rule) และการปฏิบัติ (Practice) ของ OECD จึงสมควรพิจารณาถึงผลกระทบของประเทศไทย ตลอดจนข้อดีและข้อเสียของการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมทบในสภาบริหารให้ชัดเจนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12820 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายสุเทพ ชิตยวงษ์ และนายบุญรักษ์ ยอดเพชร) | ศธ | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. นายสุเทพ ชิตยวงษ์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๒. นายบุญรักษ์ ยอดเพชร ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
|
.....