ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 614 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 12261 - 12280 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12261 | การประชุมรัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยเศรษฐกิจภาคทะเล ครั้งที่ 3 | กต | 03/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาธากาว่าด้วยเศรษฐกิจภาคทะเล (Dhaka Declaration on Blue Economy) ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association : IORA) ที่จะใช้แนวทางที่มีความสมดุลระหว่างการพัฒนา การนำทรัพยากรธรรมชาติในทะเลและในระบบนิเวศชายฝั่งมาใช้ประโยชน์ และการอนุรักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นแนวทางดำเนินการให้บรรลุการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภาคทะเล โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการสร้างอาชีพของประชาชนในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียเป็นลำดับต้น ผ่านการพัฒนาในสาขาที่มีความสำคัญและจะเป็นส่วนเกื้อหนุนการพัฒนาต่อไป ได้แก่ (๑) การวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเล (๒) การเสริมสร้างห่วงโซ่แห่งคุณค่าทางทะเล (๓) การเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระบบโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการทางทะเลที่ดีเพื่อให้มีการนำไปปฏิบัติใช้ (๔) การเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการบริหารจัดการเทคโนโลยีทางทะเลผ่านการส่งเสริมให้มีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาและวิจัย (๕) การร่วมกันพยายามแก้ไขปัญหามลพิษในทะเล และ (๖) การสรรหาแนวทางในการเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันกับประเทศคู่เจรจาในสาขาที่ได้ดำเนินการอยู่แล้ว ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยเศรษฐกิจภาคทะเล ครั้งที่ ๓ (3rd Indian Ocean Rim Association-IORA Ministerial Blue Economy Conference) ระหว่างวันที่ ๔-๕ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และร่วมรับรองปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12262 | ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 37 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พน | 03/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (๑) ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๗ (๒) ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน+๓ ครั้งที่ ๑๖ (๓) ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๑๓ และ (๔) ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สหพันธรัฐมาเลเซีย ว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย ระยะที่ ๒ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในความร่วมมือด้านพลังงานของประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาในกรอบอาเซียน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) และประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาในกรอบสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหพันธรัฐรัสเซีย สหรัฐอเมริกา) เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน และการสร้างพลังงานที่ยั่งยืนในภูมิภาค โดยจะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๗ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๖ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ให้การรับรองในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกดังกล่าวได้ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ในส่วนของการดำเนินการตามร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สหพันธรัฐมาเลเซีย ว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย ระยะที่ ๒ ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประเมินผลการดำเนินโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย ระยะที่ ๑ ทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งคำนึงถึงผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าภายในประเทศ เพื่อประกอบการพิจารณาขยายเพดานปริมาณการซื้อไฟฟ้า ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12263 | แนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่ได้รับอิทธิพลจากพายุและการดูแลช่วยเหลือประชาชน | นร04 | 03/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ในแต่ละปีประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากมรสุมและพายุต่าง ๆ ส่งผลให้มีฝนตกหนัก มีปริมาณน้ำมากจนทำให้เกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ แต่ก็ไม่สามารถกักเก็บน้ำดังกล่าวไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งได้ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งระบายน้ำพร้อมกับให้การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย และได้จ่ายเงินเยียวยาให้แก่ประชาชนที่เสียสละยอมรับน้ำเข้าไปในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งทำให้ต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากทั้งเพื่อการระบายน้ำและการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน จึงสมควรที่จะพิจารณาทบทวนแนวทางในการดำเนินการทั้งในช่วงฤดูฝนและฤดูแล้งให้เหมาะสม คุ้มค่า และมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เช่น ในพื้นที่ที่ไม่สามารถระบายน้ำได้อย่างคล่องตัวทำให้ต้องระดมสรรพกำลังหรืองบประมาณมากจนเกินความจำเป็น อาจขอความร่วมมือให้ประชาชนในพื้นที่รับน้ำเข้าไปในพื้นที่ของตนเองโดยรัฐชดเชยความเสียหายให้ในอัตราที่เหมาะสม และส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่น้ำท่วม รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่รับน้ำ (แก้มลิง) ชั่วคราวที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เป็นพื้นที่กักเก็บน้ำถาวร การจัดทำธนาคารน้ำใต้ดินที่มีการควบคุมคุณภาพน้ำที่กักเก็บให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน มีความสะอาด ปลอดภัยเพียงพอสำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ต่อ
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการระบายน้ำและกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและสามารถเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ได้ในฤดูแล้ง โดยให้พิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสมเป็นพื้นที่นำร่องในการดำเนินการก่อน ทั้งนี้ ให้พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12264 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 03/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านเศรษฐกิจ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการนำยางพาราไปใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์หรือดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย การยางแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการคลัง พิจารณากำหนดมาตรการในการส่งเสริมการใช้ยางพาราในภาพรวม รวมถึงมาตรการการคลังเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการมีการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นและสร้างสมดุลของราคายางพาราให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการให้บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตรและอุปกรณ์ทางการตลาดแก่เกษตรกรเพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยให้นำผลการประเมินโครงการที่ดำเนินการในช่วงที่ผ่านมามาประกอบการพิจารณาด้วย และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12265 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงดิจิดัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม | นร10 | 03/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๒ ซึ่งอนุมัติการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้แก่ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จำนวน ๔๖ อัตรา ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรดังกล่าว หากมีความจำเป็นต้องสรรหาบุคลากรตั้งใหม่ และสามารถบรรจุได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ส่วนราชการต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการก่อนในโอกาสแรก โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน ส่วนภาระงบประมาณรายจ่ายด้านบุคลากรที่จะเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้ส่วนราชการดังกล่าวจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณบรรจุไว้ในกรอบงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลาง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและส่วนราชการในสังกัดรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนาระบบงานต่าง ๆ ให้มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น สอดคล้อง และทันกับบริบทด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ควรเร่งรัดการสรรหาและบรรจุแต่งตั้งบุคลากรให้เต็มตามกรอบอัตรากำลังที่มีและเกลี่ยอัตรากำลังในกระทรวง เพื่อให้การบริหารกำลังคนมีประสิทธิภาพ และควรทบทวนบทบาทหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวง โดยคำนึงถึงบทบาทการทำงานของข้าราชการให้มีความชัดเจน เพื่อนำอัตรากำลังไปใช้ในภารกิจที่มีความจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและส่วนราชการในสังกัดดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของส่วนราชการตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับมาตรการด้านกำลังคนภาครัฐ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๒ [เรื่อง มาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕)] อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12266 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562) | นร04 | 03/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทยและคณะได้เข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตามมาตรา ๑๕๒ นั้น คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีความพร้อมจะไปแถลงหรือชี้แจงข้อเท็จจริงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๒ โดยมีมติ ดังนี้
๑. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายเทวัญ ลิปตพัลลภ) รับไปประสานประธานสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับกำหนดวันที่คณะรัฐมนตรีจะไปแถลงหรือชี้แจงข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๒
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12267 | ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562)] | นร04 | 03/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทยและคณะได้เข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามมาตรา ๑๕๒ นั้น คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีความพร้อมจะไปแถลงหรือชี้แจงข้อเท็จจริงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๒ จึงได้ลงมติมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายเทวัญ ลิปตพัลลภ) รับไปประสานประธานสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับกำหนดวันที่คณะรัฐมนตรีจะไปแถลงหรือชี้แจงข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12268 | รัฐบาลสาธารณรัฐตูนิเซียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐตูนิเซียประจำประเทศไทย (นายริอาด ดริดิ) | กต | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายริอาด ดริดิ (Mr. Riadh Dridi) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐตูนิเซียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สืบแทน นายมูรอด เบลฮัสเซน (Mr. Mourad Belhassen) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12269 | การปรับเขตกงสุลของสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจนไน สาธารณรัฐอินเดีย | กต | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โดยปรับให้สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจนไน สาธารณรัฐอินเดีย มีเขตกงสุลครอบคลุมดินแดนสหภาพปูดูเชร์รีเพิ่มเติม มีผลให้สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจนไน สาธารณรัฐอินเดีย มีเขตกงสุลครอบคลุมรัฐทมิฬนาฑู รัฐอานธรประเทศ รัฐกรณาฏกะ รัฐเกรละ รัฐเตลังคานา และดินแดนสหภาพปูดูเชร์รี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12270 | ร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการสภานโยบายผู้ทรงคุณวุฒิในสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... | อว | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการสภานโยบายผู้ทรงคุณวุฒิในสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการสภานโยบายผู้ทรงคุณวุฒิในสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ เช่น ควรแก้ไขนิยามคำว่า “รัฐมนตรี” โดยตัดคำว่า “แห่งชาติ” ออก ส่วนบทเฉพาะกาล มาตรา ๖๗ แห่งพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่กำหนดให้แต่งตั้งกรรมการนโยบายผู้ทรงคุณวุฒิ ตามมาตรา ๖ (๕) และ (๖) ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับนั้น การดำเนินการสรรหาในครั้งแรกควรดำเนินการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ รวมทั้งการกำหนดเบี้ยประชุมคณะกรรมการสรรหา เห็นควรให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และการกำหนดระยะเวลา และการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมการสภานโยบายผู้ทรงคุณวุฒิ ควรเร่งดำเนินการให้สอดคล้องตามบทบัญญัติในมาตรา ๖๗ แห่งพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่กำหนดระยะเวลาไว้ไม่เกิน ๑๘๐ วัน นับแต่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับด้วย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. แลสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12271 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2562 | กค | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๕ แห่ง ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และการรถไฟแห่งประเทศไทย การจัดตั้งบริษัทลูกของการรถไฟแห่งประเทศไทย และการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า รัฐวิสาหกิจควรกำหนดแผนปฏิบัติการ และเป้าหมาย/ตัวชี้วัดของการดำเนินงาน รวมทั้งควรมีการกำกับ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด รวมถึงการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไปแล้ว ตลอดจนมอบหมายให้กระทรวงที่กำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องติดตาม เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งให้เป็นไปตามแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะเวลาที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12272 | ผลการประชุมระดับผู้นำของการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย ครั้งที่ 5 | กต | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับผู้นำของการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย (Conference on Interaction and Confidence Building Measures in Asia : CICA) ครั้งที่ ๕ ซึ่งขึ้นระหว่างวันที่ ๑๔-๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ กรุงซานเบ สาธารณรัฐทาจิกิสถาน โดยมีที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ (นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี) ในฐานะผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อที่ประชุมฯ ถึงบทบาทที่สำคัญของไทยในฐานะผู้ประสานงานมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจของสมาชิก CICA ในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนพร้อมแบ่งปันประสบการณ์การดำเนินการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและการทำหน้าที่ประธานอาเซียนของไทย ภายใต้แนวคิดหลัก “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) รวมถึงเสนอให้สมาชิก CICA พิจารณาส่งเสริมความร่วมมือกับองค์การระดับภูมิภาคอื่น ๆ เช่น อาเซียน กรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ เป็นต้น ๒. ที่ประชุมฯ ได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ เช่น สถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาค สถานการณ์ในตะวันออกกลาง อัฟกานิสถาน สถานการณ์นิวเคลียร์อิหร่าน การต่อต้านการก่อการร้ายและลัทธิสุดโต่ง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ พลังงาน การพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนทิศทางของความร่วมมือในกรอบ CICA และการต้อนรับศรีลังกาเข้าเป็นประเทศสมาชิกล่าสุดของ CICA เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญาการประชุมระดับผู้นำ CICA ครั้งที่ ๕ ซี่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศสมาชิก ๒๗ ประเทศ ผ่านกรอบความร่วมมือทั้ง ๕ มิติ ได้แก่ การเมืองและการทหาร เศรษฐกิจ ภัยคุกคามและความท้าทายรูปแบบใหม่ สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรมนุษย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12273 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 12 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (The 12th IMT - GT Summit) | นร11 | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๒ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมประชุมฯ โดยที่ประชุมฯ ได้ให้ความเห็นชอบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนงาน IMT-GT ระหว่างปี ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ได้แก่ ผลสำเร็จด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ในปี ๒๕๗๙ และความก้าวหน้าของแผน IMT-GT ในรอบปี ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ได้แก่ ด้านคมนาคม ด้านการท่องเที่ยว ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านการพัฒนาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการพัฒนาความร่วมมือกับสภาธุรกิจ IMT-GT ด้านความร่วมมือกับสำนักเลขาธิการ IMT-GT และหุ้นส่วนการพัฒนา รวมทั้งเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขแถลงการณ์ร่วมการประชุมผู้นำครั้งที่ ๑๒ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีข้อเสนอแนะเพื่อสนับสนุนการดำเนินแผนงาน IMT-GT ได้แก่ (๑) การศึกษาทบทวนระเบียงเศรษฐกิจ IMT-GT และจัดทำการบูรณาการห่วงโซ่คุณค่าข้ามแดนระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศ IMT-GT ในผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ อาทิ ยาง ปาล์มน้ำมัน อาหารฮาลาล (๒) การทบทวนแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ โดยพิจารณาปัจจัยการเปลี่ยนแปลงในโลกและภูมิภาค (๓) การเร่งรัดโครงการที่เป็นผลประโยชน์อย่างสูงต่อไทย (๔) การปรับปรุงด้านตัวชี้วัดความก้าวหน้าและความสำเร็จในการขับเคลื่อนแผนงานที่ชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง และ (๕) การเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคีการพัฒนาเดิม ได้แก่ สำนักเลขาธิการอาเซียน และธนาคารพัฒนาเอเชีย พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาใหม่ที่มีศักยภาพ ๑.๒ เห็นชอบการมอบหมายภารกิจหน่วยงานเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยรับทราบผลการประชุมที่สำคัญ แผนดำเนินการระยะต่อไป และพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติซึ่งมีความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นด้านความมั่นคง เช่น การดำเนินโครงการสะพานถนนเชื่อมโยงจังหวัดสตูล-รัฐเปอร์ลิส โดยเน้นพื้นฐานบนผลประโยชน์ของไทยเป็นสำคัญ และการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมตามบริเวณชายแดน เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสันปันน้ำและหลักเขตแดน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12274 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง พ.ศ. .... | อว | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของสาขาวิชารัฐศาสตร์และสาขาวิชานิเทศศาสตร์ กำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว แก้ไขครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย รวมทั้งแก้ไขครุยประจำตำแหน่งและเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย อธิการบดีของมหาวิทยาลัย ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12275 | ผลการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 ของนายกรัฐมนตรี | กต | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี ๒๕๖๒ ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมผู้นำ G20 ได้มีการหารือใน ๔ วาระสำคัญ ได้แก่ (๑) เศรษฐกิจโลก การค้า และการลงทุน (๒) นวัตกรรม เศรษฐกิจดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์ (๓) การแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมและการสร้างโลกที่ยั่งยืนและทุกคนมีส่วนร่วม และ (๔) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และพลังงาน โดยที่ประชุมได้มีการรับรองเอกสารผลลัพธ์ ๒ ฉบับ คือ แถลงการณ์ผู้นำ G20 ณ นครโอซากา (G20 Osaka Leaders’ Declaration) และถ้อยแถลงผู้นำ G20 เรื่อง การป้องกันการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการก่อการร้ายและลัทธิหัวรุนแรงที่จะนำไปสู่การก่อการร้าย (G20 Osaka Leaders’ Statement on Preventing Exploitation of the Internet for Terrorism and Violent Extremism Conducive to Terrorism) ๑.๒ นายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เช่น การหารือในประเด็นความร่วมมือภายใต้กรอบอาเซียน และยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง และการร่วมผลักดันการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เป็นต้น การหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในประเด็นต่าง ๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นต้น และการพบหารือกับผู้นำและบุคคลสำคัญอื่น ๆ เช่น การหารือกับนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามประเด็นที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ซึ่งได้แก่ การอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางธรรมชาติ โดยเฉพาะทรัพยากรทางทะเลผ่านการแก้ไขปัญหาประมง IUU และขยะทะเล เครือข่ายเมืองอัจฉริยะของอาเซียน (ASEAN Smart Cities Network) การเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ความร่วมมือตามเอกสารมุมมองของอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก (ASEAN Outlook on the Indo-Pacific) ผ่านความร่วมมือ ๔ มิติ คือ ความร่วมมือทางทะเล เศรษฐกิจ ความเชื่อมโยง และการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงวัยอย่างมีศักยภาพและมีนวัตกรรม ๓. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทยให้เหมาะสมและชัดเจนเพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้สถาบันโคเซ็นดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ๔. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างความร่วมมือด้านระบบรางกับสาธารณรัฐเกาหลี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12276 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและศูนย์พลังงานอาเซียน (Memorandum of Understanding on Education, Research, and Community Development between National Science and Technology Development Agency and ASEAN Center for Energy) | พน | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและศูนย์พลังงานอาเซียน (Memorandum of Understanding on Education, Research, and Community Development between National Science and Technology Development Agency and ASEAN Center for Energy) โดยให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหน่วยงานระดับภูมิภาคอาเซียนด้านการวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงชีวภาพ และอนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยผู้อำนวยการ สวทช. และผู้บริหารระดับสูงของศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Center for Energy) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งจะมีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๗ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๖ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการริเริ่มให้เกิดความร่วมมือระหว่าง สวทช. และศูนย์พลังงานอาเซียน เพื่อเป็นหน่วยงานระดับภูมิภาคอาเซียนด้านศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภูมิภาคอาเซียนให้ได้ร้อยละ ๒๓ ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๕ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงพลังงาน สวทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทยที่จะต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12277 | ขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีต่อร่างปฏิญญาการประชุมรัฐมนตรีแรงงานและการจ้างงาน G20 ค.ศ. 2019 | รง | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาการประชุมรัฐมนตรีแรงงานและการจ้างงาน G20 ค.ศ. ๒๐๑๙ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองร่างปฏิญญาฯ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญประกอบด้วยประเด็นหลัก ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เป็นการเปลี่ยนแปลงกลุ่มประชากรสูงอายุในกลุ่มประเทศ G20 ซึ่งมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน โดยประชากรสูงอายุจะนำมาซึ่งโอกาสการจ้างงานใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “เศรษฐกิจสีเงิน” (๒) ระยะเวลาการทำงานที่ยาวนานขึ้นในสังคมผู้สูงอายุ เป็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของงานที่จะต้องเอื้อให้ผู้สูงอายุมีเวลาเพียงพอสำหรับการทำกิจกรรมส่วนตัวเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างยั่งยืน (๓) โอกาสการจ้างงานใหม่ในสังคมผู้สูงอายุ เป็นการเน้นย้ำการจ้างงานผู้สูงอายุผ่านการมีส่วนร่วมกับหุ้นส่วนทางสังคมในการปรับตัวกับการมีอายุเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น (๔) ความเสมอภาคทางเพศ เป็นการกระตุ้นให้นายจ้างเพิ่มความโปร่งใสเกี่ยวกับการคำนึงผลการปฏิบัติงานที่เท่าเทียมของหญิงและชาย และ (๕) การจ้างงานรูปแบบใหม่ โดยนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการขับเคลื่อนงานรูปแบบใหม่ ซึ่งจะสามารถขจัดอุปสรรคในการทำงานได้ ทั้งนี้ ร่างปฏิญญาฯ มีกำหนดจะต้องได้รับการรับรองโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระหว่างวันที่ ๑-๒ กันยายน ๒๕๖๒ ณ เมือง Matsuyama ประเทศญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12278 | การขอขยายระยะเวลาบันทึกความตกลงการขยายการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืนในทะเลเอเชียตะวันออกในประเทศไทย (พ.ศ. 2558-2562) | ทส | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารการขอขยายระยะเวลาบันทึกความตกลงการขยายการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืนในทะเลเอเชียตะวันออกในประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒) โดยขยายวันสิ้นผลใช้บังคับบันทึกความตกลงฯ จากวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ เป็นวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ และเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามในเอกสารการขอขยายระยะเวลาบันทึกความตกลงฯ ร่วมกับหุ้นส่วนเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมทางทะเลในเอเชียตะวันออก (Partnerships in Environmental Management for the Seas of East Asia : PEMSEA) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารการขอขยายระยะเวลาบันทึกความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12279 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาเมืองอัจฉริยะระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย และ The Ministry of Land, Infrastructure and Transport ของสาธารณรัฐเกาหลี | ดศ | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาเมืองอัจฉริยะระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทยและ The Ministry of Land, Infrastructure and Transport ของสาธารณรัฐเกาหลี (Memorandum of Understanding on Cooperation in the field of Smart City Development between the Ministry of Digital Economy and Society of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Land, Infrastructure and transport of the republic of Korea) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนนโยบาย เทคโนโลยี ข้อมูล และทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยจะมีการลงนามระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ในวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ยังมิได้มีการระบุถึงรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม หากในอนาคตมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมต้องคำนึงถึงการดำเนินการตามบทบัญญัติในมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12280 | ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยการคุ้มครองข่าวสารทางทหารที่มีชั้นความลับร่วมกัน | กห | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยการคุ้มครองข่าวสารทางทหารที่มีชั้นความลับร่วมกัน (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Korea on Mutual Protection of Classified Military Information) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน ขอให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างความตกลงฯ ต่อไป โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญ เช่น กรอบและสาขาความร่วมมือได้ระบุว่าคู่ภาคีจะส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือทางการทหารในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลข่าวสารทางทหาร และการป้องกันข่าวสารทางทหารได้ระบุเกี่ยวกับการกำหนดชั้นความลับในข่าวสารทางทหารที่ได้รับการถ่ายทอด แลกเปลี่ยน หรือเกิดขึ้นภายใต้กรอบความตกลงฯ โดยจะมีการลงนามระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ในวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
.....