ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 460 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 9181 - 9200 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
9181 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล | สธ. | 05/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายมนูญ สรรค์คุณากร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๕ มกราคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9182 | การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษและการกำหนดวันหยุดราชการประจำภูมิภาค รวมทั้งการเลื่อนวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการ ประจำปี 2564 | นร 05 | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่อง
การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษและการกำหนดวันหยุดราชการประจำภูมิภาค
รวมทั้งการเลื่อนวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการ ประจำปี ๒๕๖๔ แล้ว ลงมติว่า ๑. เห็นชอบการกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษและวันหยุดราชการประจำภูมิภาค
ประจำปี ๒๕๖๔ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้วันศุกร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
วันจันทร์ที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๔ วันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔ และวันศุกร์ที่ ๒๔
กันยายน ๒๕๖๔ เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ๑.๒ กำหนดให้วันศุกร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๔ เป็นวันหยุดราชการประจำภาคเหนือ
(ประเพณีไหว้พระธาตุประจำปี) วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เป็นวันหยุดราชการประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(ประเพณีงานบุญบั้งไฟ) วันพุธที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๔ เป็นวันหยุดราชการประจำภาคใต้ (ประเพณีสารทเดือนสิบ)
และวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ เป็นวันหยุดราชการประจำภาคกลาง (เทศกาลออกพรรษา) ๑.๓
ให้เลื่อนวันหยุดชดเชยวันปิยมหาราชจากวันจันทร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๔ เป็นวันศุกร์ที่
๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔ ๑.๔
ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนหรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันหยุดดังกล่าวที่ได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว
ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน
ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร
โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและกระทบต่อการให้บริการและการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ๑.๕ ในส่วนของรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน
และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงานพิจารณาความเหมาะสมของการกำหนดเป็นวันหยุดให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องในแต่ละกรณีต่อไป
๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม
และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการจูงใจให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวและบริโภคสินค้าภายในประเทศมากขึ้น
เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก
รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9183 | การยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมในโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค โครงการที่ 2 เพื่อยุติโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง โครงการที่ 2 ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน | พณ. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมในโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค
โครงการที่ ๒ เพื่อยุติโครงการดังกล่าวภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN
Trade In Goods Agreement : ATIGA) โดยมอบหมายให้กรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อยุติโครงการนำร่องฯ
โครงการที่ ๒ และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือทางการทูต (Diplomatic
Note) แจ้งต่อเลขาธิการอาเซียน
เพื่อที่ประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการนำร่องฯ โครงการที่ ๒ ได้แก่ ฟิลิปปินส์
อินโดนีเซีย สปป.ลาว ไทย และเวียดนาม
จะได้ยุติการดำเนินการที่เกี่ยวข้องภายใต้โครงการนำร่องฯ โครงการที่ ๒
และเปลี่ยนผ่านไปใช้ระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน (ASEAN
Wide Self-Certification : AWSC) ซึ่งเป็นระบบเดียวกันทั้ง ๑๐ ประเทศในอาเซียน โดยระบบ AWSC มีผลใช้บังคับแล้วเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการยุติโครงการนำร่องฯ
โครงการที่ ๒ ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกที่ได้รับการรับรองอีกครั้งเมื่อปรับเปลี่ยนจากโครงการนำร่องฯ
โครงการที่ ๒ เป็นระบบ AWSC ดังนั้น
กระทรวงพาณิชย์ควรเร่งประชาสัมพันธ์แนวทางการขึ้นทะเบียนและการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองตามความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนในวงกว้าง
เพื่อให้ผู้ประกอบการรับทราบและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9184 | ขอถอนร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราเงินนำส่งกองทุนคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กค. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราเงินนำส่งกองทุนคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. .... รวม ๒
ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9185 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. 2560 - 2564 ประจำปี พ.ศ. 2562 | กค. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยแผนพัฒนาฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการเงิน ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านผู้ใช้บริการทางการเงิน
ด้านผู้ให้บริการทางการเงิน และด้านโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ประกอบด้วย ๗๔
โครงการ (เป็นโครงการต่อเนื่อง ๑๐ โครงการ) โดย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒
ดำเนินการได้สำเร็จตามเป้าหมายตัวชี้วัดแล้ว รวมทั้งสิ้น ๔๗ โครงการ
(ดำเนินการสำเร็จตามเป้าหมายตัวชี้วัดในปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ รวมจำนวน ๒๒ โครงการ)
โดยเป็นโครงการที่ดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี ๒๕๖๒ จำนวน ๒๕ โครงการ แบ่งเป็น (๑) โครงการที่ตั้งเป้าหมายดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี
๒๕๖๒ จำนวน ๑๗ โครงการ โดยมีโครงการที่ได้ดำเนินการสำเร็จตามเป้าหมายตัวชี้วัด
จำนวน ๑๖ โครงการ และโครงการที่ไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จตามเป้าหมายตัวชี้วัด
จำนวน ๑ โครงการ ได้แก่ โครงการช่วยเหลือด้านหนี้สินสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรของกรมส่งเสริมสหกรณ์
และ (๒) โครงการที่ตั้งเป้าหมายดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๓ และ ๒๕๖๔
แต่สามารถดำเนินการได้สำเร็จตามเป้าหมายตัวชี้วัดในปี ๒๕๖๒ แล้ว จำนวน ๙ โครงการ
โดยทั้ง ๙ โครงการ มีผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินและการให้ความรู้ทางการเงิน
เช่น โครงการสนับสนุนสินเชื่อให้แก่ประชาชนและองค์กรการเงินชุมชน
ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและธนาคารออมสิน
โครงการการพัฒนาและยกระดับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้หลุดพ้นความยากจน
ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และโครงการการจัดอบรม/สัมมนา
“บ่มเพาะชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง” ของธนาคารออมสิน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9186 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร.53 | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหน่วยงานของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
เพื่อให้สามารถยื่นคำขอต่อศาลให้ออกหมายบังคับคดีและขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีทางปกครองแทนได้
อันจะทำให้การบังคับทางปกครองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รวมพิจารณาร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้กับร่างกฎกระทรวงฯ
ที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกัน ซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9187 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 1 ปี ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ
๑ ปี ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งสรุปได้ ๕ ประเด็น ดังนี้ ๑.
การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของเกษตรกร เช่น การช่วยเหลือแก้ปัญหาหนี้สินให้แก่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร
การแก้ไขปัญหาข้าว แก้ไขปัญหายางพารา การจัดทำมาตรการช่วยเหลือราคาสินค้าเกษตร การปรับปรุงระบบที่ดินทำกินเกษตรกร
การจัดพื้นที่การเกษตรตาม Agri-Map และการช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงโควิด
เป็นต้น ๒.
การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัยและส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ
เช่น การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย
และการส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เป็นต้น ๓.
การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันด้านเกษตร เช่น
การส่งเสริมการทำปศุสัตว์ ส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์น้ำ
การส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การพัฒนาถ่ายทอดเทคโนโลยี
และการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ เป็นต้น ๔.
การจัดทำข้อมูลสารสนเทศด้านการเกษตร เช่น การพัฒนาระบบฐานข้อมูลการเกษตร
และการปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืช ผู้เลี้ยงสัตว์ ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
เป็นต้น ๕.
การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม ในสถานศึกษา ๗๗ จังหวัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9188 | ผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 27 และการประชุมร่วมระหว่างคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 25 | นร.14 | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
ครั้งที่ ๒๗ และการประชุมร่วมระหว่างคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา
ครั้งที่ ๒๕ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ผ่านระบบการประชุมทางไกล
โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ)
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ โดยมีผลการประชุมฯ ดังนี้ (๑)
รับทราบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืนในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง
(๒) อนุมัติแผนยุทธศาสตร์การจัดการสินทรัพย์ด้านสิ่งแวดล้อมของลุ่มแม่น้ำโขง (๓)
อนุมัติร่างขอบเขตงาน (Term of Reference : TOR) และกรอบระยะเวลาการคัดเลือกหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
(๔) อนุมัติร่างแผนแม่บทการคมนาคมขนส่งทางน้ำ (The MRC’s
Navigation Master Plan) (๕) อนุมัติแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๓ และแผนยุทธศาสตร์องค์กรคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘ และ
(๖) อนุมัติแผนการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ)
ประธานกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติ และคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
ได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมฯ โดยเน้นย้ำเจตนารมณ์ของประเทศไทยในฐานะภาคีสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงด้วย
ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9189 | รายงานผลการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ.2548 | นร.01 | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๓)
และแนวทางการดำเนินการตามระเบียบฯ
และกำชับให้หน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญและถือปฏิบัติต่อไป โดยรายงานฯ ประกอบด้วย (๑)
ภารกิจด้านการตรวจสอบโครงการของรัฐที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
(๒) ภารกิจด้านการจัดอบรมสัมมนาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการตามระเบียบฯ
(๓) ภารกิจด้านจัดทำและเผยแพร่แนวทางการเผยแพร่ข้อมูลและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
(๔) ภารกิจด้านการกำกับดูแล ช่วยเหลือ
แนะนำหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการตามระเบียบฯ (๕) บทวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรค
และข้อเสนอแนะ และ (๖) ข้อเสนอแนะการขับเคลื่อนการดำเนินการตามระเบียบฯ
ส่วนแนวทางการดำเนินการตามระเบียบฯ ประกอบด้วย การพิจารณาลักษณะโครงการของรัฐ
การเผยแพร่ข้อมูลโครงการของรัฐ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
และสรุปผลการรับฟังความคิดเห็น ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9190 | ขออนุมัติการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด | กค. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ ขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินยืมของบริษัท
ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ทั้งต้นเงินยืมและดอกเบี้ย
รวมทั้งดอกเบี้ยผิดนัดจากสัญญาเดิมนับแต่ปี ๒๕๖๓ ออกไปอีก ๒๕ ปี (๒๕๖๓-๒๕๘๗) และให้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระคืนเงินยืมจากสัญญาเดิม
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ซี่งมีเงื่อนไขให้บริษัทฯ
ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑
พักชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา ๗ ปี นับตั้งแต่ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๙
โดยภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในระยะเวลา ๗ ปีของช่วงพักชำระหนี้ดังกล่าว ให้บริษัทฯ
นำไปเฉลี่ยทยอยชำระคืนแก่กระทรวงการคลังในช่วงชำระคืนต้นเงินยืม ๑.๑.๒
ทยอยชำระคืนต้นเงินยืม พร้อมดอกเบี้ยให้แก่กระทรวงการคลังภายในกรอบระยะเวลาชำระ ๑๓
ปี นับตั้งแต่ปี ๒๕๗๐-๒๕๘๒ ๑.๑.๓
ปรับอัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระใหม่ โดยใช้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล (Government
Bond Yield) อายุ ๒๐ ปี ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ (ทศนิยมไม่เกิน ๓
ตำแหน่ง) ทั้งนี้ ในการคำนวณอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๖๓ ให้บริษัทฯ
ยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิมที่ร้อยละ ๓.๗๘ ต่อปี
และจะเริ่มปรับใช้อัตราดอกเบี้ยใหม่นับตั้งแต่ปี ๒๕๖๔ เป็นต้นไป ๑.๑.๔
ทยอยชำระคืนดอกเบี้ยผิดนัดตามสัญญาเดิม ภายหลังการชำระคืนต้นเงินยืมเสร็จสิ้น
ภายในกรอบระยะเวลาชำระ ๕ ปี (ปี ๒๕๘๓-๒๕๘๗) ๑.๒
ให้จัดทำสัญญาและตารางการชำระคืนเงินยืมใหม่ตามที่กระทรวงการคลังกำหนดภายใต้เงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติดังกล่าวข้างต้น
โดยให้คำนึงถึงสภาพคล่องของบริษัทฯ ให้มีเพียงพอต่อการดำเนินกิจการ เพื่อให้บริษัทฯ
สามารถชำระคืนเงินยืมที่มีกับกระทรวงการคลังได้ทั้งหมดต่อไป ทั้งนี้ ภายใต้กรอบระยะเวลาการชำระหนี้ หากบริษัทฯ
มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA : Earnings Before Interest
Tax Depreciation and Amortization) ประจำปี หลังหักชำระคืนเงินยืมตามงวดชำระที่มีกับกระทรวงการคลังแล้วเกิน
๑๐๐ ล้านบาท เห็นควรให้บริษัทฯ ชำระคืนเงินยืมจากกำไรก่อน ดอกเบี้ย ภาษี
ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายส่วนเกิน ๑๐๐ ล้านบาท ดังกล่าว อีกร้อยละ ๕๐
และบริษัทฯ สามารถชำระคืนเงินยืมให้แก่กระทรวงการคลังก่อนครบกำหนดทั้งจำนวนหรือบางส่วนก็ได้ ๑.๓
มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกำกับติดตามการดำเนินกิจการของบริษัทฯ
ตามแผนธุรกิจและแผนการปรับโครงสร้างหนี้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อให้การดำเนินการของบริษัทฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้งและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลต่อไป ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังกำหนดระยะเวลาชำระหนี้เงินยืมในส่วนของเงินต้นคงค้างเป็นรายงวดอย่างเหมาะสมและชัดเจน
เพื่อลดความเสี่ยงในการไม่ได้รับการชำระคืนเงินต้นคงค้างทั้งจำนวน ดอกเบี้ย
และดอกเบี้ยผิดนัดจากสัญญาเดิม โดยการกำกับติดตามการดำเนินกิจการของบริษัทฯ
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานของรัฐพิจารณาเลือกใช้บริการทดสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าและบริการอื่น ๆ
ของบริษัทฯ เป็นลำดับแรก เพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจการของบริษัทฯ ให้มีสภาพคล่องและเพียงพอต่อการชำระหนี้ได้ต่อไป
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ [เรื่อง ขออนุมัติการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท
ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด] อย่างเคร่งครัดด้วย
๔.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9191 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 16/2563 | นร. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๓
ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ ได้แก่ (๑) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ
และมาตรการด้านสาธารณสุข กรณีการแพร่ระบาดในจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรปราการ
จังหวัดนครปฐม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ฯลฯ และแนวชายแดน (๒)
ความคืบหน้าการพัฒนาและผลิตวัคซีนโรคโควิด-19 (๓) การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
กรณีการแพร่ระบาดในจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนครปฐม
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ฯลฯ และแนวชายแดน (๔)
มาตรการเพื่อบรรเทาและช่วยเหลือผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
(๕) มาตรการและแนวทางการใช้แอปพลิเคชันเพื่อรองรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (๖)
การเตรียมความพร้อมในการป้องกันการระบาดใหม่ของโควิด-19 (๗)
มาตรการจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่และวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๔ (๘) ความเหมาะสมในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันแบดมินตันนานาชาติ
และ (๙) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9192 | รายงานผลการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองฯ | มท. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ
พ.ศ. ๒๕๖๑
เป็นการรายงานผลการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ.
๒๕๖๑ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลเพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมายลำดับรอง
ประกอบกับการออกกฎหมายลำดับรองจะเป็นมาตรการการกำหนดโทษแก่ผ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดิน
จึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการพอสมควร
จึงขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามมาตรา ๒๒
แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ
พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้ขยายระยะเวลาดังกล่าวออกไปอีก ๑ ปี ๓.
ให้ทุกหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบการบังคับใช้กฎหมายเร่งตรวจสอบกฎหมายในความรับผิดชอบของตน
เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9193 | รายงานสรุปผลการดำเนินการต่อรายงานเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีกรณีสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไม่ดำเนินการตามข้อเสนอแนะมาตรการของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร | สม. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการต่อรายงานเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีกรณีสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไม่ดำเนินการตามข้อเสนอแนะมาตรการของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
พิจารณาและกำหนดหลักเกณฑ์หรือวิธีการสำหรับรอการส่งกลับคนต่างด้าวที่อุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรต่อคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองทุกกรณีจนกว่าผลการพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองจะเสร็จสิ้น
เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของคนต่างด้าวและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเพราะเหตุแห่งการส่งกลับต่อไป
เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๔๗ วรรคสอง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๓ วรรคหนึ่ง ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ โดยที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกันว่า
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
โดยไม่ขัดต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
จึงไม่จำเป็นต้องกำหนดหลักเกณฑ์หรือวิธีการสำหรับรอการส่งกลับคนต่างด้าวที่อุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรต่อคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9194 | การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2564 - 2566 สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป | กษ. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี ๒๕๖๔-๒๕๖๖ สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง
และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑)
เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ปริมาณในโควตา ปีละ ๓.๑๕ ตัน อัตราภาษีในโควตา ร้อยละ ๐
และนอกโควตา ร้อยละ ๒๑๘ (๒) หอมหัวใหญ่ ปริมาณในโควตาปีละ ๗๖๔ ตัน
(แห้งเป็นผงและไม่เป็นผง) อัตราภาษีในโควตา ร้อยละ ๒๗ และนอกโควตาร้อยละ ๑๔๒ (๓)
หัวพันธุ์มันฝรั่ง ปริมาณในโควตาไม่จำกัดจำนวน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐
และนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ และ (๔) หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป มีปริมาณในโควตาปี ๒๕๖๔
จำนวน ๖๓,๐๐๐ ตัน ปี ๒๕๖๕ จำนวน ๗๑,๐๐๐ ตัน ปี ๒๕๖๖ จำนวน ๘๐,๐๐๐ ตัน
อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕
ตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
หากมีการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบเกษตรแปลงใหญ่และระบบเกษตรพันธสัญญา (Contract
Farming) ควบคู่ไปด้วย ก็จะสามารถลดการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศและทำให้การบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรของไทยเกิดความยั่งยืนได้ต่อไป
และควรมีการติดตามสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด
และความเคลื่อนไหวของราคาของสินค้าหอมหัวใหญ่ เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่
หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป อย่างต่อเนื่องด้วย
รวมทั้งควรมีการพิจารณาแนวทางในการลดต้นทุนการผลิตและยกระดับประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรในการปลูกหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งให้มีความเหมาะสม
และสอดคล้องกับสภาพพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร
เพื่อให้การผลิตหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งภายในประเทศมีปริมาณและคุณภาพที่เหมาะสม
เพียงพอต่อความต้องการใช้ และไม่กระทบต่อตลาดในประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๒.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการเพิ่มปริมาณผลผลิตหัวมันฝรั่งสดภายในประเทศทดแทนการนำเข้า
เช่น การส่งเสริมการเพาะปลูกมันฝรั่งสดทดแทนพืชชนิดอื่น
เพื่อให้มีผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศมากยิ่งขึ้น
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง
การขอขยายปริมาณในโควตาการนำเข้าสินค้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก
(WTO) ปี ๒๕๖๓ เพิ่มเติม] ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9195 | การเตรียมความพร้อมบุคลากรเพื่อรองรับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) | นร.04 | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า
ตามที่ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐
เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของบุคลากรและแรงงานไทยเพื่อรองรับการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(Eastern Economic Corridor : EEC)
โดยให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จัดทำฐานข้อมูลแรงงานและประมาณการความต้องการแรงงานในสาขาต่าง ๆ
ของอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ EEC เพื่อนำไปใช้กำหนดเป้าหมายในการผลิตบุคลากรแต่ละประเภทและระดับให้ตรงตามความต้องการ
รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดให้มีหลักสูตรเพื่อพัฒนาบุคลากรในสาขาวิชาต่าง ๆ
เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ EEC ด้วยนั้น เพื่อให้การเตรียมความพร้อมบุคลากรดังกล่าวข้างต้นมีความเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการแรงงาน
ตลอดจนสภาวะการทำงานของแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
โดยให้นำปัจจัยเกี่ยวกับผลกระทบด้านแรงงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) มาประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
และให้รายงานผลให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9196 | ร่างเอกสารที่จะเสนอให้มีการรับรองโดยรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม | ทส. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกรอบแผนงานอาเซียน-จีน
ด้านยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘ (Framework
of ASEAN-China Environmental Cooperation Strategy and
Action Plan 2021-2025) และร่างเอกสารแนวคิดอาเซียน-จีน
ว่าด้วยปีแห่งความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (Concept Paper on 2021 as
ASEAN-China Year of Sustainable Development Cooperation) เป็นเอกสารซี่งที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม
ครั้งที่ ๓๑ ให้การรับรองแล้วผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๒๔-๒๕ พฤศจิกายน
๒๕๖๓ และจะเสนอให้มีการรับรองโดยรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม
โดยวิธีการแจ้งเวียน (ad referendum) ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๓
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองเอกสาร
๒ ฉบับดังกล่าว โดยร่างกรอบแผนงานฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรมการขับเคลื่อนศักยภาพในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
ส่วนร่างเอกสารแนวคิดฯ มีสาระสำคัญเป็นการสร้างความร่วมมือด้านสาธารณสุข
ขจัดความยากจน ลดภัยพิบัติ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการใช้พลังงานสะอาด
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสาร ๒ ฉบับดังกล่าว
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ในโอกาสแรก
หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9197 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 31/2563 (ผลการดำเนินงานของจังหวัดตามมติคณะรัฐมนตรี) และครั้งที่ 32/2563 | นร.11 | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๓๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ และครั้งที่ ๓๒/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดโครงการ
รวมทั้งพิจารณาผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้กระทรวงต้นสังกัด
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9198 | ขอถอนร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... | คค. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงคมนาคมถอนร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง
พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตามที่เสนอได้
และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9199 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่พร้อมอาคารประกอบ | สผ. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินสัญญาจ้างควบคุมงานก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่
พร้อมอาคารประกอบ จากการขยายเวลาสัญญาก่อสร้างแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ ครั้งที่
๔ ระหว่างวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๔๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9200 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 เรื่อง โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ | อว. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ (เรื่อง
โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้)
โดยให้นักเรียนในโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับทุนการศึกษาเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในสถาบันอุดมศึกษา
ตามนัยพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้
รวมถึงการเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ในรอบ ๑ ปี
เพื่อประกอบการพิจารณาปรับปรุงโครงการฯ ต่อไป
และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าและศักยภาพในการให้ทุน
พิจารณาการให้ทุนอย่างเหมาะสม เป็นธรรม และคำนึงถึงความเท่าเทียมทางด้านการศึกษา
มีการบูรณาการร่วมกันระหว่างกระทรวงหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนทุนการศึกษาให้ชัดเจนครอบคลุมทุกภาคส่วน
รวมทั้งควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการเป็นระยะ ๆ
เพื่อประกอบการพิจารณาการจัดสรรทุนในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง
และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย |