ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 233 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 4641 - 4660 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
4641 | การขยายอายุมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (ระยะเวลา 1 ปี) | กค. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขยายอายุมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ
(วงเงิน ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) ออกไปอีก ๑ ปี (เดิมระยะเวลาดำเนินการ ๒ ปี) เพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลือแก่ภาคธุรกิจภายใต้
(๑) มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู เพื่อให้ความช่วยเหลือและเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(Small and Medium Enterprises : SMEs) ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ แต่ยังประกอบธุรกิจและมีศักยภาพในการแข่งขัน
แต่อาจต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูธุรกิจ และ (๒) มาตรการสินเชื่อเพื่อการปรับตัว (Transformation
Loan) เพื่อเป็นแหล่งทุนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ที่มีความพร้อม
และต้องการปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อรองรับบริบทใหม่และการเปิดประเทศหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ๑.๒
ไม่ขยายอายุมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (วงเงิน
๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันกับสถาบันการเงิน
โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ
ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องนำหลักประกันมาเข้าโครงการ ๑.๓
โอนวงเงินคงเหลือของมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ภายหลังสิ้นสุดมาตรการ
ณ วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๖
มารวมไว้เป็นวงเงินภายใต้มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ
เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
โดยคาดว่าจะมีวงเงินคงเหลือตามมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้สูงสุด
จำนวน ๒๙,๐๐๐ ล้านบาท
เมื่อนำมารวมกับมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจจะทำให้มีวงเงินคงเหลือรวมทั้งสิ้นประมาณ
๖๑,๕๐๐ ล้านบาท หลังจากการต่ออายุมาตรการดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรกำหนดเพดานอัตราการให้สินเชื่อตามกลุ่ม/ประเภท
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์กำกับดูแลด้านกระบวนการสินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่องอย่างครอบคลุมเป็นธรรม
และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4642 | ร่างกฎหมายขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ (Thailand Plus Package) รวม 3 ฉบับ [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในระบบอัตโนมัติ) ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจ้างบุคลากรที่มีทักษะสูง) และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสูง)] | กค. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๓ ฉบับ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
(มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในระบบอัตโนมัติ) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๗๓๘) พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักรและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องจักรในระบบอัตโนมัติ
แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม จากเดิม ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๔
ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ เป็น ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม
๒๕๖๘ (เดิมสิ้นสุดไปแล้วเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕) ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
(มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจ้างบุคลากรที่มีทักษะสูง)
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
สำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นเงินเดือนให้แก่การจ้างงานลูกจ้างที่มีทักษะสูงด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ จากเดิม สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม
๒๕๖๕ เป็น สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๘ ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
(มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสูง)
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมหรือค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมลูกจ้างในหลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐที่กำหนด
จากเดิม สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ เป็น สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๘ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ
ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลิตภาพของผู้ประกอบการกลุ่มอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย
โดยเฉพาะผู้ประกอบการในภาคการผลิตและบริการที่เป็นบุคคลธรรมดาและภาคการเกษตร
รวมทั้งควรเตรียมความพร้อมและมาตรการรองรับแรงงานไร้ฝีมือที่อาจได้รับผลกระทบจากการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการผลิต
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4643 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-อินเดีย ครั้งที่ 9 | กต. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๙ เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๕
ณ กรุงเทพมหานคร และมอบหมายให้ส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมต่อไป
โดยมีสาระสำคัญ เช่น ด้านการเมือง/ความร่วมมือทวิภาคี ที่ประชุมเห็นพ้องที่จะรื้อฟื้นและผลักดันกลไกความร่วมมือที่มีอยู่
โดยเฉพาะในโอกาสครบรอบ ๗๕ ปี ความสัมพันธ์ไทย-อินเดียในปี ๒๕๖๕
ฝ่ายอินเดียแสดงความพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JC ไทย-อินเดีย ครั้งต่อไปช่วงต้นปี ๒๕๖๖
การทหารและความมั่นคง
ฝ่ายไทยแสดงความสนใจที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์
ส่วนฝ่ายอินเดียประสงค์ที่จะขยายความร่วมมือกับไทยด้านความมั่นคง
และยกระดับการฝึกร่วมระหว่างกองทัพ ด้านเศรษฐกิจ
ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการเติบโตของการค้าทวิภาคีที่บรรลุสถิติใหม่กว่า ๑๔,๙๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเห็นพ้องที่จะร่วมกันแก้ไขข้อติดขัดด้านการค้า
การลงทุน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม ที่เห็นควรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไปดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4644 | ขอขยายเวลาดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการพาณิชย์...ลดราคา! ช่วยประชาชน ปี 2565 และโครงการพาณิชย์...ลดราคา! ออนทัวร์ ทั่วไทย | พณ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการพาณิชย์...ลดราคา! ช่วยประชาชน ปี ๒๕๖๕
สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
สำหรับดำเนินโครงการดังกล่าวไปจนถึงเดือนเมษายน ๒๕๖๖
เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี
ตามที่กระทรวงการคลังกำพหนด โดยให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
รวมทั้งรวบรวม ประมวลผล และประเมินความสำเร็จของโครงการ ปัญหาและอุปสรรค
ตลอดจนข้อเสนอแนะต่อการดำเนินโครงการลักษณะดังกล่าวข้างต้น
เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเมื่อสิ้นสุดโครงการด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีตามที่กระทรวงการคลังกำหนด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4645 | ขออนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ เพื่อจัดตั้งวัดอนาลโยทิพยาราม จังหวัดพะเยา | พศ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น
๑ เอ ตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๕ ไร่ เพื่อจัดตั้งวัดอนาลโยทิพยาราม
ตำบลสันป่าม่วง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา
ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยที่ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4646 | การจัดตั้งสำนักงานเร่งรัดการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันและการพัฒนาพื้นที่ (องค์การมหาชน) [ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานเร่งรัดการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันและการพัฒนาพื้นที่ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ....] | อว. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการจัดตั้งสำนักงานเร่งรัดการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความสามารถการแข่งขันและการพัฒนาพื้นที่
(องค์การมหาชน) (รวพ.)
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการบริหารจัดการและให้ทุนสำหรับการวิจัยและนวัตกรรม
การพัฒนาปรับปรุงเทคโนโลยีขั้นสูงและเทคโนโลยีที่เหมาะสม ขับเคลื่อนและเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
บริหารจัดการเพื่อให้เกิดการลงทุนและนวัตกรรมร่วมกับภาคเอกชน รวมทั้งกำหนดอำนาจหน้าที่ของ
รวพ. เช่น บริหารจัดการและให้ทุนแก่บุคคล คณะบุคคล หน่วยงานภาครัฐ
และหน่วยงานภาคประชาสังคม ตามวัตถุประสงค์ของ รวพ. เป็นต้น ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานเร่งรัดการวิจัยและนวัตกรรม
เพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันและการพัฒนาพื้นที่ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งสำนักงานเร่งรัดการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันและการพัฒนาพื้นที่
ซึ่งเป็นองค์การมหาชน โดยแยกหน่วยบริหารและจัดการทุน จำนวน ๓ หน่วย
ซึ่งอยู่ภายใต้สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนและเร่งรัดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น ควรมีการติดตามประเมินผลการทำงานของ รวพ. อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการประเมินผลลัพธ์และผลกระทบของแผนงาน/โครงการที่ได้รับงบประมาณผ่านกลไก
รวพ. รวมถึงหน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัยอื่น ควรกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการสำนักงานเร่งรัดการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันและการพัฒนาพื้นที่
(องค์การมหาชน) ให้มีกรรมการโดยตำแหน่งที่มาจากส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรพิจารณาใช้จ่ายงบประมาณตามความเหมาะสมและภารกิจเท่าที่จำเป็น
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์ที่จะได้รับ แหล่งเงินนอกงบประมาณ
และการหารายได้จากแหล่งทุนภายนอกเป็นลำดับแรก การให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานที่ รวพ.
ควรดำเนินการให้สอดคล้องตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์การสั่งข้าราชการให้ไปทำการซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้ รวพ. และส่วนราชการร่วมกันพิจารณากำหนดกรอบระยะเวลา
การมอบหมายงาน และติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน
รวมทั้งกำหนดตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานให้ชัดเจน กำหนดข้อบังคับ ระเบียบ
หรือประกาศเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคลของบุคลากรให้มีความชัดเจน และสอดคล้องกับรูปแบบการจัดโครงสร้างองค์การ
โดยคำนึงถึงสิทธิประโยชน์ของพนักงานหรือลูกจ้างในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ควรมีการติดตามผลประเมินผลการดำเนินงานของ รวพ. อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการประเมินผลลัพธ์และผลกระทบของแผนงาน/โครงการที่ได้รับงบประมาณผ่านกลไก
รวพ. รวมถึงหน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัยอื่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4647 | ร่างปฏิญญาทางการเมืองโดฮาของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ครั้งที่ 5 | กต. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยร่วมรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองโดฮา
(Doha Political Declaration) ของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยประเทศพัฒนาน้อยที่สุด
ครั้งที่ ๕
และให้รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศซึ่งได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ
โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญในการย้ำความมุ่งมั่นในช่วง ๑๐ ปีข้างหน้าของรัฐสมาชิก
ในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการโดฮาเพื่อประเทศพัฒนาน้อยที่สุด วาระปี ค.ศ.
๒๐๒๒-๒๐๓๑ ซึ่งได้รับการรบรองโดยสมัชชาสหประชาชาติ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๕
ตลอดจนพิจารณาความเป็นไปได้ของระบบหรือวิธีการอื่น ๆ
ที่จะช่วยส่งเสริมการดำเนินการให้มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมที่ก้าวหน้า
รวมทั้งมอบหมายให้เลขาธิการสหประชาชาติประกันการระดมทรัพยากรและการประสานงานจากทุกส่วนในระบบงานสหประชาชาติเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำแผนปฏิบัติการโดฮาฯ
ไปปฏิบัติและติดตามผลในทุกระดับ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินการดังกล่าว
รวมทั้งสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินการให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4648 | ผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 22 | กต. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
ครั้งที่ ๒๒ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ณ กรุงธากา บังกลาเทศ
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ได้มอบหมายให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี)
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยผลการประชุมฯ มีสาระสำคัญ ได้แก่
การรับรองแถลงการณ์ธากา การกล่าวถ้อยแถลงของผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ
(นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี)
และประเด็นที่ประเทศสมาชิกและประเทศหุ้นส่วนคู่เจรจาให้ความสำคัญ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เห็นว่า
ฝ่ายไทยควรพิจารณาขยายความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมร่วมกับสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
เพื่อสร้างประโยชน์จากเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญและสนับสนุนจากสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
โดยเฉพาะด้าน Blue Economy , Marine Science และ BCG
Model และประเทศสมาชิกและเลขาธิการสมาคมแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย
ควรมีการหารือถึงขอบเขตการดำเนินงานที่ชัดเจน
และแหล่งงบประมาณในการสนับสนุนการดำเนินงานของคณะทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อให้เกิดผลการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4649 | การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย | กต. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของมกุฎราชกุมาร
และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
และพิจารณาสั่งการหน่วยงานที่ภารกิจเกี่ยวเนื่องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในโอกาสแรก
ตามผลการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของมกุฎราชกุมาร
และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย มีสาระสำคัญ ได้แก่ (๑) การเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี (๒) ผลการหารือทวิภาคี เช่น
การแต่งตั้งเอกอัครราชทูต การจัดทำแผนการขับเคลื่อน
และส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-ซาอุดีอาระเบีย (๓) ถ้อยแถลงการ์ร่วมฯ เช่น
ด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน สังคมและการศึกษา
และความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ การวิจัย และ (๔) กิจกรรมอื่น ๆ
ระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินเยือน เช่น พิธีแลกเปลี่ยนความตกลงและบันทึกความเข้าใจ
จำนวน ๕ ฉบับ พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่าง ๆ เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท เช่น
ประธานวุฒิสภา จุฬาราชมนตรีและคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4650 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายพิชิต บุญสุด) | กต. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพิชิต บุญสุด
ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ตำแหน่งอัครราชทูต
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4651 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต [กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19))] (ฉบับที่ 3) | สธ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต [กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
หรือโรคโควิด ๑๙ (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19))] (หลักเกณฑ์
UCEP Plus) (ฉบับที่ ๓) โดยแก้ไขหลักเกณฑ์ UCEP Plus และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มเติมรายการยาต้านไวรัสโควิด ๑๙
ในบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ UCEP Plus หมวดที่
๓ ค่ายา จำนวน ๑ รายการ ได้แก่ รายการยาต้านไวรัส Molnupiravir 200 mg ในอัตรา ๑๕ บาท/เม็ด ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเกี่ยวกับการให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้บริหารการจัดหายาและให้สถานพยาบาลเบิกจ่ายยาไปที่กระทรวงสาธารณสุข
เป็นแนวทางเดียวกันทุกกองทุน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4652 | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในประเทศให้แก่เยาวชนที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระยะที่ 4) | อว. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในประเทศให้แก่เยาวชนที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ปีการศึกษา ๒๕๖๖-๒๕๗๐ (โครงการทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ระยะที่ ๔) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
สนับสนุนการศึกษา (ค่าครองชีพ)
ระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาขาดแคลนตามความต้องการของพื้นที่
ยกระดับการศึกษาของเยาวชนที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ๕
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น
และส่งเสริมให้ผู้รับทุนมีจิตอาสาและจิตสาธารณะในการตอบแทนสถาบันอุดมศึกษาที่ตนเองศึกษาอยู่
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความพร้อมความจำเป็นและความเหมาะสมที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณ
โดยคำนึงถึงความซ้ำซ้อน ศักยภาพของสถานศึกษาในการรองรับการเรียนการสอน
ความเป็นธรรมในการจัดสรรทุน
และควรจัดให้มีระบบติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการในทุก ๆ
ปีการศึกษา เพื่อนำผลมาใช้เป็นแนวทางในการขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป
รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.
๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงาน
ก.พ. เช่น ควรให้ความสำคัญกับการควบคุม และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ควรทบทวนกรอบสาขาวิชาที่ให้ทุน
โดยวิเคราะห์เพิ่มเติมให้ครอบคลุมสาขาในสายวิชาชีพที่มีความขาดแคลนและความต้องการกำลังคนตามทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่ในอนาคต
และควรศึกษาในเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุที่ผู้รับทุนลาออกหรือพ้นสภาพการศึกษาก่อนสำเร็จการศึกษาเพื่อการกำหนดกรอบการจัดสรรทุนที่เหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4653 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 [เรื่อง ผลการดำเนินการตามมาตรา 5/8 แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 เรื่อง แนวทางการควบคุมดูแลกิจการของคณะกรรมการองค์การมหาชน] เกี่ยวกับกรอบเวลาในการทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่หรือยุบเลิกองค์การมหาชน | นร.12 | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ [เรื่อง ผลการดำเนินการตามมาตรา
๕/๘ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ เรื่อง
แนวทางการควบคุมดูแลกิจการของคณะกรรมการองค์การมหาชน] ข้อ ๕
ที่ให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่หรือยุบเลิกองค์การมหาชนที่มีอยู่ในปัจจุบัน
โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่และวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งหน่วยงานตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่หรือยุบเลิกองค์การมหาชน)
เป็นประจำทุกปีงบประมาณ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาขนเสนอ และให้
สำนักงาน ก.พ.ร.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มเติมกิจกรรมการประเมินหรือติดตามผลรายปีหรือในช่วงระหว่างปีที่เกี่ยวข้องกับการประเมินความคุ้มค่าเพื่อพัฒนาองค์การมหาชน
เพื่อให้องค์การมหาชนนำไปปฏิบัติก่อนเข้ารับการประเมินความคุ้มค่าเพื่อพัฒนาองค์การมหาชน
ทุกสามปี โดยให้ความสำคัญกับด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ
และผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการประเมิน เพื่อให้เกิดประโยชน์ในภาพรวมของการปฏิบัติราชการ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4654 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ และเพื่อประกอบกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการทำเหมือง ตั้งอาคารสำนักงาน อู่ซ่อม โรงงานโม่และย่อยหิน โรงงานคอนกรีต พื้นที่ทำการขึ้น-ลง เพื่อทำเหมืองตามแผนผังโครงการทำเหมือง ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เชียงรายธนะวงศ์ ที่จังหวัดเชียงราย | อก. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอผ่อนผันให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด
เชียงรายธนะวงศ์ ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี
เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง
ตามคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๒/๒๕๖๑ (ประทานบัตรที่ ๓๑๑๑๘/๑๕๘๒๕) เนื้อที่ ๒๘ ไร่
๒ งาน ๔๕ ตารางวา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และวันที่ ๒๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘
และขอผ่อนผันพื้นที่เพื่อประกอบกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการทำเหมืองฯ เนื้อที่ ๑๐๕
ไร่ ๑ งาน ๕๗ ตารางวา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และวันที่ ๒๑
กุมภาพันธ์ ๒๔๓๘ เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ห้างเชียงรายฯ
ขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตป่า เพื่อประกอบกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการทำเหมืองฯ
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม
(กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น ให้กระทรวงอุตสาหกรรม
โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการให้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำอย่างเคร่งครัด
เพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี
ที่ยังไม่ผ่านการทำเหมืองและพื้นที่ใกล้เคียงก่อนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตร
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4655 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน
ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าแบนรีดร้อนเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน
ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน โดยเป็นการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบังคับขึ้นใหม่
เพื่อให้มีมาตรฐานอ้างอิงในการรับรองควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
และเพื่อประโยชน์ในการแบ่งแยกผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนแผ่นม้วน
แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ตามเลขที่ มอก. ๕๐-๒๕๖๑
ซึ่งกำหนดเป็นมาตรฐานบังคับไว้ก่อนแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4656 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาลที่มีระยะเวลาการชำระหนี้เกิน 12 เดือน ซึ่งดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | กค. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาลที่มีระยะเวลาการชำระหนี้เกิน
๑๒ เดือน ซึ่งดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ สรุปได้ ดังนี้ (๑)
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้กู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ วงเงินรวม ๑,๒๐๔,๐๓๐.๕๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๗ ของวงเงินตามแผนบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ครั้งที่ ๓
ซึ่งเป็นการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่มีระยะเวลาการชำระหนี้เกิน ๑๒ เดือน
รวม ๖๔๓,๓๐๔.๒๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๓
ของวงเงินที่ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ และ (๒)
การปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวเป็นการบริหารจัดการหนี้ของรัฐบาลซึ่งช่วยลดการกระจุกตัวของหนี้ระยะสั้น
โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ หนี้เงินกู้คงค้างของรัฐบาลมีจำนวนรวม ๙.๑๖
ล้านล้านบาท อายุเฉลี่ยของหนี้อยู่ที่ ๙ ปี ๑ เดือน ซึ่งยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการให้เป็นไปตามตัวชี้วัดความเสี่ยงด้านการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะระยะปานกลางในระยะ
๕ ปี ได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4657 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของสำนักงานอัยการสูงสุด | อส. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ของสำนักงานอัยการสูงสุด
และอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินทั้งสิ้น ๒๓๑,๐๖๕,๘๗๐
บาท ตามนัยข้อ ๘ และข้อ ๙ (๓) ของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย
พ.ศ. ๒๕๖๕ ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน วงเงิน ๒๑๙,๙๖๓,๑๗๐ บาท และค่าครุภัณฑ์
เพื่อจัดหาครุภัณฑ์สำหรับศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย
สำนักงานอัยการสูงสุด จำนวน ๑๑,๑๐๒,๗๐๐
บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4658 | การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ครั้งที่ 1) (นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท) | พน. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน
ซึ่งดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ ๔ ปี ในวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๖ ต่อไปอีก ๑ ปี (ครั้งที่ ๑)
ตั้งแต่วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๗
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4659 | การยกเว้นอัตราภาษีการนำเข้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ (Drone) | นร.04 | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
ในฐานะประธานกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ รายงานว่า
คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ และครั้งที่
๑/๒๕๖๕ ได้มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ
โดยเห็นควรให้ชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าหรือเรือแบบพลังานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่มีการนำเข้ามาเพื่อผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศได้รับยกเว้นอากรศุลกากรขาเข้า
ซึ่งกระทรวงการคลังได้เสนอร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า
หรือเรือแบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ มาเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว
และในระยะต่อไปจะได้มีการพิจารณาอัตราภาษีการนำเข้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ
(Drone) เช่น แบตเตอรี่
เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศไทยในการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยจะได้มีการหารือร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
ในฐานะประธานกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ รายงาน
และให้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยพิจารณาอัตราภาษีการนำเข้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ
(Drone) ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4660 | โครงการสลากการกุศลเพิ่มเติม | กค. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบให้มีการออกสลากการกุศลเพื่อสนับสนุนโครงการที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล
จำนวน ๓ โครงการ วงเงินรวม ๙๒๑.๔๕ ล้านบาท
เพื่อสนับสนุนโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมอย่างทั่วถึงในวงกว้าง ๑.๒
มอบหมายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย
และจ่ายเงินรางวัลสลากการกุศล
รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนเกี่ยวกับการออกสลากการกุศล
การขออนุญาตการออกสลากการกุศล การนำส่งเงินให้หน่วยงานเจ้าของโครงการสลากการกุศล
และการจัดทำแผนการออกสลากการกุศลและแผนการใช้เงินของแต่ละโครงการ
และรายงานต่อคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล เพื่อประโยชน์ในการกำกับ
ติดตามการดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๑.๓
มอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล
กำหนดระยะเวลาในการผูกพันวงเงินของโครงการที่ได้รับการสนับสนุน
กำกับติดตามเร่งรัดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามแผนการออกสลากการกุศลและแผนการใช้เงินตามที่เสนอมา
และหากเกิดกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถผูกพันวงเงินได้ตามกำหนด
ให้ยกเลิกวงเงินดังกล่าว
หรือให้หน่วยงานเจ้าของโครงการชี้แจงเหตุผลความจำเป็นเพื่อขออนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล
จะขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการใช้เงินภายในโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงเป็นกิจกรรมที่แตกต่างจากโครงการที่ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๒.
ให้กระทรวงการคลัง คณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจำแนกกิจกรรมภายใต้โครงการ
เพื่อให้การจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินมีความชัดเจน
และควรมีการกำกับ ติดตามการดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|