ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 228 จากทั้งหมด 6222 หน้า แสดงรายการที่ 4541 - 4560 จากข้อมูลทั้งหมด 124426 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 4541 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... ของรัฐสภา | สผ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. .... ของรัฐสภา ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยได้เห็นชอบในหลักการว่า
ในระหว่างที่ยังไม่มีการตราพระราชกฤษฎีกาโอนหน้าที่และอำนาจให้หน่วยงานหรือเจ้าพนักงานอื่นใดที่มีอำนาจในการจับกุมปราบปรามผู้กระทำความผิดอาญาที่เกิดขึ้นตามกฎหมายซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบเป็นหน่วยงานหรือเจ้าพนักงานผู้รับผิดชอบในการจับกุมปราบปรามผู้กระทำความผิดอาญาที่เกิดขึ้นโดยตรง
การให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาให้บุคลากรที่ทำหน้าที่ด้านวิชาการ
วิจัยและนวัตกรรม ครูผู้สอน ครูฝึก
หรือบุคลากรที่มีหน้าที่ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอื่น ๆ
มีตำแหน่งทางวิชาการหรือวิทยฐานะ
รวมทั้งได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมและครอบคลุมและการรับบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา
๖๐ (๑) นั้น จะต้องดำเนินการอย่างเสมอภาคและเป็นระบบ
และจะต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถของบุคคลเป็นสำคัญ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 4542 | การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ประจำปี 2566 (เพิ่มเติม) | นร.05 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบกำหนดให้วันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖ เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษอีก
๑ วัน ในปี ๒๕๖๖ ๒.
ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็น
หรือราชการสำคัญในวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษดังกล่าวที่ได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว
ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน
ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร
โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและกระทบต่อการให้บริการประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 4543 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านประกอบ จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... | มท. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านประกอบ
จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลทับช้าง และตำบลประกอบ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา
เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน
การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งมีนโยบายและมาตรการในการพัฒนาเมืองเพื่อรองรับการเป็นด่านถาวรที่มีมาตรฐานสากลและพัฒนาชุมชนชายแดนให้เป็นชุมชนน่าอยู่
ส่งเสริมและพัฒนาการใช้ประโยชน์ที่ดินในชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และสอดคล้องกับบทบาทชุมชนชายแดนบ้านประกอบ
รวมทั้งการรักษาพื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรแก้ไขเพิ่มเติม และให้มีข้อกำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบ และความเห็นชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ ควรคำนึงถึง กฎ ระเบียบ ที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย
เช่น มาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ มาตรการการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่อนุรักษ์
โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ควรพิจารณาทบทวนหรือกำหนดข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัญชีท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย
ในประเภทหรือชนิดของโรงงาน ลำดับที่ ๒๔ โรงงานถักผ้า ผ้าลูกไม้
หรือเครื่องนุ่งห่มด้วยด้ายหรือเส้นใย หรือฟอกย้อมสี เป็นต้น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนด
เพื่อให้การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทสอดคล้องกับเจตนารมณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 4544 | การแก้ไขปรับปรุงแนวทางปฏิบัติและขั้นตอนการดำเนินการตามมาตรา 169 (3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 | ลต. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการแก้ไขปรับปรุงแนวทางปฏิบัติและขั้นตอนการดำเนินการตามมาตรา ๑๖๙ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ ในการประชุมครั้งที่ ๔๘/๒๕๖๖ เมื่อวันอังคารที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๖
โดยมีมติให้แก้ไขปรับปรุงแนวทางปฏิบัติและขั้นตอนดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ ๒. เห็นชอบให้ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ มีนาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร)
ในส่วนของข้อ ๒.๒.๒.๔ (๒)
เกี่ยวกับการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามมาตรา
๑๖๙ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จากเดิมว่า “เมื่อมีกรณีที่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งให้สำนักงบประมาณรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเหตุผลและความจำเป็นในการขอใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจ
ที่มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณรายจ่ายดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป” เป็น
“เมื่อมีกรณีที่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหรือหน่วยงานตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเหตุผลและความจำเป็นในการขอใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจ
ที่มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณรายจ่ายดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป” และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 4545 | รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ณ สิ้นไตรมาสที่ 3) | นร.07 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ (ณ สิ้นไตรมาสที่ ๓) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕
ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๖
โดยภาพรวมผลการเบิกจ่ายและผลการใช้จ่ายงบประมาณภาพรวมของประเทศ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น
จำนวน ๓,๑๘๕,๐๐๐.๐๐๐๐ ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๔๓๔,๑๒๕.๙๓๔๒ ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ ๗๖.๔๒ ผลการใช้จ่าย (ก่อหนี้) จำนวน ๒,๕๙๒,๙๒๓.๑๘๔๙ ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ ๘๑.๔๑ สูงกว่าเป้าหมายการเบิกจ่าย ร้อยละ ๑.๔๒
แต่ต่ำกว่าเป้าหมายการใช้จ่ายงบประมาณ ร้อยละ ๐.๓๓
(ภาพรวมเป้าหมายการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณกำหนดไว้ ร้อยละ ๗๕.๐๐ และ ๘๑.๗๔
ตามลำดับ) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 4546 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนศรีนคร จังหวัดสุโขทัย พ.ศ. .... | มท. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนศรีนคร
จังหวัดสุโขทัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลศรีนคร และตำบลคลองมะพลับ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาชุมชนศรีนครให้เป็นเมืองน่าอยู่
การดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน
การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค
บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อมในบริเวณพื้นที่ภายในเขตผังเมืองรวมชุมชนศรีนคร
จังหวัดสุโขทัย
ให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การใช้ประโยชน์ที่ดินต้องไม่ขัดต่อการจัดสรรที่ดินภายใต้พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ
พ.ศ. ๒๕๑๑ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบ
และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ
ควรคำนึงถึงกฎ
ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การพิจารณาการอนุญาตกิจการต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 4547 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พ.ศ. .... | ทส. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการคุ้มครองพื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดปัตตานี
เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ เนื้อที่ประมาณ
๑๙,๙๓๗
ไร่ ซึ่งประกอบด้วย ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและมีค่า เช่น พันธุ์ไม้ ของป่า และสัตว์ป่านานาชนิด
ตลอดจนทิวทัศน์ที่สวยงามยิ่ง เพื่อประโยชน์ในการสงวน การอนุรักษ์
และการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนให้คงสภาพธรรมชาติและมีสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศที่มีความสมบูรณ์
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 4548 | ข้อเสนอแนะการควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐในการปฏิบัติงานที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน | ปช. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะการควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐในการปฏิบัติงานที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
โดยจากการศึกษาพบว่า
ปัญหาการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตจากการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐ
เช่น (๑) ควรให้สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ
อนุญาต นำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในการให้บริการประชาชน และ (๒)
ควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการใช้ดุลพินิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกหน่วยงานกำหนดแนวทางและจัดทำคู่มือในการใช้ดุลพินิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการอนุมัติ
อนุญาต เพื่อมีมาตรฐานในการใช้ดุลพินิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ๒.
รับทราบสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งสำนักงาน
ก.พ.ร. ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเห็นในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ
ป.ป.ช. ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 4549 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. .... | มท. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหนองวัวซอ
จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลหนองวัวซอ และตำบลหมากหญ้า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา การดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท
ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค
บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งมีนโยบายและมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาชุมชนหนองวัวซอให้เป็นชุมชนเกษตรกรรม
การค้า การบริการทางสังคมส่งเสริมและพัฒนาที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรมให้สอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชน
อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ศาสนสถานที่มีคุณค่าทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม
และประวัติศาสตร์ รวมทั้งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ
หรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ ควรคำนึงถึงกฎ ระเบียบ
ที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น มาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ
มาตรการการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่อนุรักษ์ โดยเฉพาะพื้นที่ต้นน้ำลำธาร
ควรพิจารณากำหนดระยะห่างระหว่างสถานประกอบกิจการกับที่ดินของผู้อื่นหรือริมเขตทางถนนสาธารณะไม่น้อยกว่าตามที่กฎหมายกำหนด
เพื่อให้ระบบระบายอากาศ แสง เสียง ระบบกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย
ไม่ก่อให้เกิดมลพิษแก่ผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
เพื่อรักษาพื้นที่ทางเกษตรกรรมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญในการประกอบอาชีพของคนในชุมชน
โดยจะส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี
และชุมชนสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 4550 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ ฟผ.5/2563 คดีหมายเลขแดงที่ ฟผ.1/2566 ระหว่างนางสาววินินท์อร ปรีชาพินิจกุล กับพวกรวม 26 คน ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 4 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา | นร 05 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ในคดีหมายเลขดำที่ ฟผ.๕/๒๕๖๓ คดีหมายเลขแดงที่ ฟผ.๑/๒๕๖๖ ระหว่างนางสาววินินท์อร
ปรีชาพินิจกุล กับพวกรวม ๒๖ คน ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรีกับพวกรวม ๔ คน
ผู้ถูกฟ้องคดี (คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒)
ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องคดี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 4551 | รายงานผลการดำเนินการกำหนดมาตรการในการควบคุมเกี่ยวกับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล | ตช. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการกำหนดมาตรการในการควบคุมเกี่ยวกับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยมีการกำหนดมาตรการเพื่อบูรณาการในการแก้ไขปัญหาผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกันโดยตรง
(Peer-to-Peer) ภายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาต
และผู้ประกอบธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศตามแนวชายแดน
ซึ่งเป็นช่องทางหลักในการโอนเงินที่ได้จากการหลอกลวงประชาชนออกไปยังต่างประเทศ
โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ รับผิดชอบ เช่น
ตั้งคณะทำงานศึกษาเรื่องแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกันพิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกันโดยตรง (Peer-to-Peer)
เป็นผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖
มีหน้าที่ต้องรายงานธุรกรรมที่ต้องสงสัยต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
หากพบว่ามีการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด
และให้ดำเนินการประกาศพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการตรวจสอบและเฝ้าระวังการทำธุรกรรมการโอนไปยังต่างประเทศจากพื้นที่ที่ประกาศเป็นพื้นที่เสี่ยง
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 4552 | กรอบแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.12 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยกรอบแนวทางการประเมินของส่วนราชการ
กำหนดให้กระทรวงมีบทบาทหลักเป็นผู้รับผิดชอบในการพิจารณากำหนดตัวชี้วัดและติดตามการประเมินผลการปฏิบัติงานของกระทรวงและส่วนราชการในสังกัดกระทรวงผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการระดับกระทรวง
สำหรับกรอบและแนวทางการประเมินของจังหวัดมุ่งเน้นการบูรณาการการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายระดับชาติและนโยบายสำคัญของรัฐบาลเช่นเดียวกับส่วนราชการ
โดยให้กระทรวงมหาดไทยมีบทบาทหลักในการพิจารณาความเหมาะสม ตัวชี้วัด น้ำหนัก
และค่าเป้าหมาย รวมทั้งติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของจังหวัดผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการจังหวัด
ทั้งนี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ในหัวข้อองค์ประกอบการประเมิน รอบระยะเวลาการประเมิน และกลไกการประเมิน
สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีหลังยุบสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา
๑๖๙ (๑) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เป็นการดำเนินการในลักษณะงานปกติตามที่กฎหมายกำหนดไว้
ไม่ได้เป็นการกำหนดนโยบายขึ้นใหม่
จึงไม่เป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
และให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนากยรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ
และสำนักงาน ก.พ. และข้อเสนอแนะของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรมีการศึกษาและทำความเข้าใจในบริบทของแต่ละส่วนราชการเพื่อนำมากำหนดเป็นตัวชี้วัดร่วมกันจะมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่า
ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ให้ ก.พ.ร. กำหนดหลักเกณฑ์ แนวทาง และกรอบเวลาในรอบการประเมินครั้งที่ ๑ ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน
เพื่อให้คะแนนการประเมินสามารถสะท้อนผลการดำเนินงานของหน่วยงานได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
และเกี่ยวกับขั้นตอนการประเมินการดำเนินงานของส่วนราชการและจังหวัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพฯ
ซึ่งกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗
และโดยที่ผลการประเมินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินการปฏิบัติราชการผู้บริหารของส่วนราชการ
ดังนั้น หากมีการเร่งรัดกระบวนการประเมินดังกล่าว
จะทำให้การดำเนินการมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติการผู้บริหารของส่วนราชการ
และกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๒ มากยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 4553 | การจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 | พม. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามกฎหมายจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐประจำปี
๒๕๖๑-๒๕๖๕ และให้หน่วยงานของรัฐซึ่งมีผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่ ๑๐๐ คนขึ้นไป
เร่งรัดดำเนินการจ้างงานคนพิการตามที่กฎหมายกำหนดให้ครบถ้วนภายในปี ๒๕๖๖
และรายงานผลการจ้างงานคนพิการประจำปีต่อกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร.
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เช่น ดำเนินการสรรหาและคัดเลือกคนพิการเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
และขึ้นบัญชีผู้ผ่านการคัดเลือก โดยแยกลักษณะความพิการคุณวุฒิการศึกษา องค์ความรู้
และภารกิจงานของส่วนราชการ เพื่อให้ส่วนราชการอื่นสามารถดำเนินการนำบัญชีผู้ผ่านการคัดเลือกดังกล่าว
มาดำเนินการคัดเลือกจากบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ในตำแหน่งหนึ่งไปขึ้นบัญชีเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกในตำแหน่งอื่น
เพื่อบรรจุและแต่งตั้งคนพิการเข้ารับราชการให้เหมาะสมกับลักษณะงานที่ปฏิบัติของตำแหน่งต่อไป
ควรมีมาตรการอื่นที่เหมาะสมกับหน่วยงานของรัฐเพื่อเป็นทางเลือก
นอกเหนือจากการดำเนินการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๕ ควรผลักดันให้เป็นการจ้างงานตามมาตรา
๓๓ มากยิ่งขึ้น
เพื่อให้คนพิการได้รับสวัสดิการความก้าวหน้าและความมั่นคงในอาชีพด้วย ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติอยางเคร่งครัด
ควรสนับสนุนให้มีการศึกษาถึงปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้หน่วยงานของรัฐบางแห่งสามารถจ้างงานคนพิการได้ตามอัตราส่วนที่กฎหมายกำหนด
และนำมาประกอบการขับเคลื่อนการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐให้บรรลุเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ควรประมวลปัญหาอุปสรรค ข้อจำกัด
และข้อเสนอแนะในการจ้างงานคนพิการของหน่วยงานที่ผ่านมา
เพื่อวางแนวทางแก้ไขและสนับสนุนให้หน่วยงานสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดต่อไป
และให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบข้อมูลคนพิการที่ควรครอบคลุมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการศึกษา
สาขาและทักษะความสามารถของคนพิการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 4554 | สรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยสถาบัน IMD ปี 2566 | นร.11 สศช | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
โดยสถาบันการจัดการนานาชาติ (International
Institute for Management Development : IMD) ปี ๒๕๖๖
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามประเด็นการขับเคลื่อนที่ควรให้ความสำคัญในระยะต่อไป
โดยสถาบัน IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ ๖๔ เขตเศรษฐกิจ
เพื่อประเมินประสิทธิภาพและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการรักษาและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดยใช้เกณฑ์ตัวชี้วัดในการจัดลำดับฯ รวมทั้งสิ้น ๓๓๖ ตัวชี้วัด แบ่งเป็น ๔ กลุ่ม
ประกอบด้วย (๑) สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (๒) ประสิทธิภาพภาครัฐ (๓)
ประสิทธิภาพภาคธุรกิจ และ (๔) โครงสร้างพื้นฐาน โดยในปี ๒๕๖๖ ไทยอยู่อันดับที่ ๓๐
ดีขึ้นจากปี ๒๕๖๕ ที่อยู่อันดับที่ ๓๓ การจัดอันดับฯ ย่อยทุกด้านดีขึ้นจากปี ๒๕๖๕
เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้น และมีประเด็นที่ให้ความสำคัญ
เช่น เสถียรภาพทางการเมือง การคอร์รัปชัน กฎหมายและกฎระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวยให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจ
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
กระทรางการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและวัตกรรม กระทรวงคมนาคม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและวัตกรรม สำนักงาน
ก.พ.ร. และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
ให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในกลุ่มตัวชี้วัดที่มีอันตรายค่อนข้างต่ำ
อาทิ ด้านการศึกษา ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
และด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์
ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญและยั่งยืน
ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
ที่มีอันดับตกลงมาจากอันดับที่ ๓๘ มาอยู่ที่อันดับ ๓๙ ซึ่งเป็นผลมาจากด้านค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเกิดการชะลอตัวลงเล็กน้อย
ควรเร่งปรับปรุงและพัฒนางานตามภารกิจตามตัวชี้วัดการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
เพื่อให้การบริหารงานและการให้บริการมีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล
สามารถเทียบเคียงนานาประเทศได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 4555 | แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) | ยธ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการฯ
ระยะที่ ๒ ดังกล่าวต่อไป โดยแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เป็นการนำพื้นฐานของหลักการ UN Guiding
Principles on Business and Human Rights (UNGPs) ของคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
ประกอบด้วยหลักการพื้นฐาน ๓ เสาหลัก ได้แก่ การคุ้มครอง การเคารพ และการเยียวยา
มีสาระสำคัญประกอบด้วย ๔ ด้าน ได้แก่ แผนปฏิบัติการด้านแรงงาน
แผนปฏิบัติการด้านชุมชน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แผนปฏิบัติการด้านนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และแผนปฏิบัติการด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ
ที่เกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนร่วมกันจัดทำขึ้น
เพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบและเคารพสิทธิมนุษยชน
รวมถึงป้องกัน บรรเทา แก้ไข และเยียวยาปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยภาคธุรกิจ
ซึ่งเป็นการดำเนินการบนพื้นฐานของความสมัครใจ โดยไม่ได้มีพันธกรณีหรือกฎหมายระหว่างประเทศบังคับให้ต้องปฏิบัติ
โดยแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) มีหลักการพื้นฐาน ๓ เสาหลัก
และมีสาระสำคัญประกอบด้วย ๔ ด้าน เช่นเดียวกับแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ ๑ (พ.ศ.
๒๕๖๒-๒๕๖๕) แต่มีโครงการ/กิจกรรมที่เป็นตัวชี้วัดภายใต้แผนแตกต่างกัน
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อเสนอแนะ
และข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ได้แก่ (๑)
เป้าหมายและตัวชี้วัดโครงการ/กิจกรรม หากสามารถกำหนดค่าเป้าหมายทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
และแนวทางในการติดตามความกาวหน้าแบบทุกช่วงเวลา
จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนงานตามแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
ได้ (๒) การประเมินผลการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
หากสามารถประเมินผลเป็นรายปี จะช่วยให้สามารถกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
ส่งผลต่อการขับเคลื่อนโครงการอย่างเป็นรูปธรรม (๓)
การกำหนดตัวชี้วัดควรมีการพิจารณาเพิ่มตัวชี้วัดด้านชุมชน ที่ดิน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
และด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ และ (๔) แผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ ๒
(พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) ไม่ถือว่าเป็นแผนระดับที่ ๓
ที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ/พิจารณาก่อนการประกาศใช้
เนื่องจากไม่มีกฎหมายกำหนด และมิใช่พันธกรณีหรืออนุสัญญาระหว่างประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 4556 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. .... | นร.09 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม
พ.ศ. .... ของกระทรวงมหาดไทย ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม
เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับประเภทของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรมในปัจจุบัน โดยกำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรมต้องดำเนินการตามที่กำหนดในส่วนที่เกี่ยวกับโครงสร้างโรงแรม
ระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย ระบบทางหนีไฟ ลักษณะภายในและภายนอกของอาคาร และการนำอาคารลักษณะพิเศษมาใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 4557 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พ.ศ. .... | ทส. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี
เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดพื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี
เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ รวมทั้งกำหนดมาตรการคุ้มครอง
เพื่อประโยชน์ในการสงวน การอนุรักษ์ และการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลน
ให้คงสภาพธรรมชาติและมีสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศที่มีความสมบูรณ์ เนื้อที่ประมาณ ๙,๕๓๔ ไร่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 4558 | รายละเอียดข้อมูลของรายงานการเงินที่มีการเปลี่ยนไปจากรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประจำปี 2565 | กสทช. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ที่มีการเปลี่ยนไปจากรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๕ ซึ่งผ่านการรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว
โดยสำนักงาน กสทช. ได้แก้ไขข้อมูลการเงินฯ สำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม
๒๕๖๕ ที่มีการเปลี่ยนแปลงตามความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว
มีสาระสำคัญประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 4559 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกว่าด้วยการขยายความร่วมมือในสาขาเฉพาะ | พณ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations : ASEAN) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property
Organization : WIPO) ว่าด้วยการขยายความร่วมมือในสาขาเฉพาะ (Memorandum
of Understanding between the Association of Southeast Asian Nations and the
World Intellectual Property Organization on Expansion of Cooperation in
Specific Areas) และอนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
ในนามอาเซียน โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายขอบเขตความร่วมมือระหว่างอาเซียนและ WIPO ในด้านทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องใหม่นอกเหนือจากที่ดำเนินการอยู่แล้วตามแผนปฏิบัติการด้านทรัพย์สินทางปัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ ที่อาเซียนดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน โดยดำเนินการใน ๔ ประเด็น ได้แก่
(๑) การให้ความช่วยเหลือ SME และสตาร์ทอัพในการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาสนับสนุนการค้าภายในภูมิภาคอาเซียนและระหว่างภูมิภาค
(๒)
การยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความสำเร็จทางธุรกิจด้วยการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมีประสิทธิภาพ
(๓) การสนับสนุนการนำทรัพย์สินทางปัญญาและสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้มาใช้ค้ำประกันเงินกู้เพื่อต่อยอดธุรกิจ
และ (๔) การสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีผลบังคับใช้
๔ ปี และไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันด้านงบประมาณ ตามที่กระทรวงพาณิชย์
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 4560 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญารัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี 2566 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง | กษ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างปฏิญญารัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี ๒๕๖๖
และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวในการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค
ในวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ เมืองซีแดตเทิล มลรัฐวอชิงตัน สหรัฐเอริกา
โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการให้แนวนโยบายเพื่อส่งเสริมความมั่นคงอาหารของเอเปคในระยะยาว
สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (บีซีจี) ของไทย
และสานต่อผลลัพธ์ของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยปี ๒๕๖๕ โดยเฉพาะเป้าหมายกรุงเทพฯ
ว่าด้วยเศรษฐกิจบีซีจี ที่เน้นการใช้นวัตกรรมและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
ในขณะที่เอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
ร่างเอกสารหลักการเพื่อการบรรลุความมันคงอาหารผ่านระบบการเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเปค
สอดคล้องกับการทำงานของเอเปคตามแผนงานความมั่นคงอาหารของเอเปค ค.ศ. ๒๐๓๐ และเป้าหมายกรุงเทพฯ
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นที่เกี่ยวข้องที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๗๘ หรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||
