ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 228 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 4541 - 4560 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
4541 | แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร | นร 05 | 21/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร
และมอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป
ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4542 | การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวง (กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงอุตสาหกรรม) | นร. | 21/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
ยุติธรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ มีนาคม ๒๕๖๖) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.
ผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๒ ราย ตามลำดับ ดังนี้ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ๑.๒ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร
วังบุญคงชนะ) ๒. ผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๒ ราย
ตามลำดับ ดังนี้ ๑.๑
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) ๑.๒ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร
วังบุญคงชนะ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4543 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2565 เรื่อง ขอขยายระยะเวลาโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียวโดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ (Greening Industry through Low Carbon Technology Application for SMEs) | อก. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมถอนเรื่อง
ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๕ เรื่อง
ขอขยายระยะเวลาโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียวโดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ
(Greening Industry through Low Carbon
Technology Application for SMEs) คืนไปได้
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4544 | ผลเบื้องต้นสำหรับการประเมินการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบร้องขอ ณ สถานที่ปฏิบัติงานจริง | กค. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลเบื้องต้นสำหรับการประเมินการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบร้องขอ
ณ สถานที่ปฏิบัติงานจริง
ซึ่งเป็นการพิจารณาเกี่ยวกับมาตรฐานของประเทศที่มีความโปร่งใสทางภาษี โดยประเทศไทยได้เข้ารับการประเมินฯ
ตั้งแต่วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน-๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ มีคะแนนโดยรวมอยู่ที่ระดับเป็นไปตามมาตรฐานสากลเป็นบางส่วน
(Partially Compliant) โดยมีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณา
เช่น การมีอยู่ของข้อมูลของผู้เป็นเจ้าของและข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล
การเข้าถึงข้อมูล และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข้อสนเทศในทางปฏิบัติ ดังนั้น
คณะผู้ประเมินได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ประเทศไทยควรเร่งดำเนินการเพื่อยกระดับการแลกเปลี่ยนข้อมูลของประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลให้ทันภายในเดือนเมษายน
๒๕๖๖ โดยปรับจากระดับ Partially Compliant เป็น
ระดับเป็นไปตามมาตรฐานสากลเป็นส่วนใหญ่ (Largely Compliant) ซึ่งจะต้องมีการดำเนินการ
เช่น การแก้ไขกฎหมายภายในให้ยกเลิกการออกหุ้นผู้ถือในประเทศไทย
และการใช้บังคับกฎหมายที่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4545 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลศรีบุญเรือง ตำบลหันนางาม และตำบลเมืองใหม่ อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... | คค. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลศรีบุญเรือง ตำบลหันนางาม
และตำบลเมืองใหม่ อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลศรีบุญเรือง ตำบลหันนางาม
และตำบลเมืองใหม่ อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู
เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๙๘ สายทางเลี่ยงเมืองศรีบุญเรือง ตอนทางเลี่ยงเมืองศรีบุญเรือง
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าก่อนการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินทุกเส้นทาง ขอให้กระทรวงคนนาคม
(กรมทางหลวง) ให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการก่อสร้างทางหลวงกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
เพื่อป้องกันปัญหาการระบายน้ำไม่ทัน
และอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมหรืออุทกภัยต่อไปในอนาคต หากมีโครงการใด ๆ ในพื้นที่ป่าไม้
ขอให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
กระทรวงคมนาคมควรตระหนักและให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎหมายในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาในครั้งต่อไป
และให้กรมทางหลวงถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เรื่อง
แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการตราร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างหรือขยายถนน
พร้อมทั้งปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4546 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. .... | มท. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม
พ.ศ. ๒๕๕๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อขยายระยะเวลาการใช้บังคับกฎกระทรวง
และระยะเวลาที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารจะต้องได้รับในรับรองการดัดแปลงหรือใบอนุญาตเปลี่ยนการใช้อาคารมาประกอบธุรกิจโรงแรมภายใน
๙ ปี (เดิม ๘ ปี)
และแก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดหรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการนำอาคารประเภทอื่นมาประกอบธุรกิจโรงแรมเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถขออนุญาตเปลี่ยนการใช้อาคารเพื่อประกอบธุรกิจโรงแรมได้
เช่น ยกเว้นข้อกำหนดบางเรื่อง อาทิ ที่ว่างของอาคาร ช่องทางเดินในอาคาร
ความกว้างบันได รวมทั้งกำหนดเพิ่มเติมเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้พัก
เช่นอาคารต้องไม่มีสภาพเป็นภยันตราย มีวิศวกรประเมินความมั่นคงแข็งแรง
มีการติดตั้งเครื่องดับเพลิง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปด้วย และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม ที่เห็นควรจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาลเป็นไปเพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชนเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4547 | แผนจัดการระดับชาติเพื่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566 - 2570 | ทส. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนจัดการระดับชาติเพื่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน
ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนให้เป็นไปตามพันธกรณีของอนุสัญญาที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกต่อไป
โดยร่างแผนจัดการระดับชาติฯ ฉบับที่ ๒
มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแผนหลักของประเทศในการจัดการสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการจัดการสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานให้ครอบคลุมสาร
POPs (ชนิดเดิม ๑๒ รายการ
และชนิดใหม่ ๑๙ รายการ รวม ๓๑ รายการ) ประเภทสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์ (POPs
Pesticides) ประเภทสารเคมีอุตสาหกรรม (POPs Industrial
Chemicals) และประเภทสารเคมีที่ปลดปล่อยโดยไม่จงใจ (Unintentional
Production POPs) (เช่น สารเคมีที่เกิดจากการเผาขยะ การเผาในที่โล่ง
กระบวนการผลิตโลหะ เป็นต้น)
ให้มีความสอดคล้องกับการดำเนินงานตามพันธกรณีของอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ และมีเป้าหมายที่จะลด
และ/หรือ เลิกการผลิต การใช้ และการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน
เพื่อคุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยมีแผนปฏิบัติการ (Action
Plans) ประกอบด้วย ๑๖ แผนกิจกรรม ที่จะดำเนินการในช่วงปี พ.ศ.
๒๕๖๖-๒๕๗๐ รวมทั้งได้กำหนดเป้าหมาย กิจกรรม ตัวชี้วัด หน่วยงานดำเนินการ
ระยะเวลาดำเนินการ งบประมาณและแหล่งเงิน ซึ่งมีหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุน
จำนวน ๓๗ หน่วยงานร่วมดำเนินการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ขอให้ดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเข้าสาระของแผนจัดการระดับชาติฯ ฉบับที่
๒ ในระบบ eMENSCR ต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4548 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลฝั่งแดง ตำบลน้ำก่ำ ตำบลธาตุพนม ตำบลธาตุพนมเหนือ และตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม พ.ศ. .... | คค. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลฝั่งแดง ตำบลน้ำก่ำ ตำบลธาตุพนม ตำบลธาตุพนมเหนือ และตำบลพระกลางทุ่ง
อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลฝั่งแดง
ตำบลน้ำก่ำ ตำบลธาตุพนม ตำบลธาตุพนมเหนือ และตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม
จังหวัดนครพนม เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๙๗ สายทางเลี่ยงเมืองธาตุพนม
ตอนทางเลี่ยงเมืองธาตุพนม เพื่ออำนวยความสะดวกและรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค
และเพื่อนำที่ดินไปชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าก่อนการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินทุกเส้นทาง ขอให้กระทรวงคนนาคม
(กรมทางหลวง)
ให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการก่อสร้างทางหลวงกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
เพื่อป้องกันปัญหาการระบายน้ำไม่ทัน
และอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมหรืออุทกภัยต่อไปในอนาคต หากมีโครงการใด ๆ ในพื้นที่ป่าไม้
ขอให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
กระทรวงคมนาคมควรตระหนักและให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎหมายในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาในครั้งต่อไป
และให้กรมทางหลวงถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เรื่อง
แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการตราร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างหรือขยายถนนอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4549 | การตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้บุคคลใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 9 และมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 | สธ. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ข้าราชการหรือลูกจ้างของส่วนราชการใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ
การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่น
ที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผู้มีสิทธิเบิกจ่ายเงินสวัสดิการ
ค่ารักษาพยาบาล
ของกรุงเทพมหานครใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ
การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่น
ที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต พ.ศ. .... ๑.๓
ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานเมืองพัทยาใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ
การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่น
ที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต พ.ศ. .... ๑.๔
ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผู้ประกันตนใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ
การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่น
ที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สิทธิบุคลากรภาครัฐและผู้อาศัยสิทธิตามมาตรา ๙
และผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๕ สามารถใช้สิทธิเข้ารับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค
การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่น
จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตได้ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๔๕ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้แก้ไขวันใช้บังคับของร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าวให้มีผลตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังในฐานะกำกับดูแลกรมบัญชีกลาง
ซึ่งมีหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานสวัสดิการของบุคลากรภาครัฐเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงเพื่อให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
พ.ศ. ๒๕๕๓ ใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค
การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่น ที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต
ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ แทนรัฐบาล
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๓.
ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่ควรเร่งประชาสัมพันธ์ถึงประโยชน์ที่จะได้รับ
สาระสำคัญ และรายละเอียดของการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ
และบริการสาธารณสุขอื่น จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตแก่ประชาชนทั่วไปโดยเร่งด่วน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4550 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2566 และครั้งที่ 4/2566 | นร.11 สศช | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
เห็นชอบ และรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖
และครั้งที่ ๔/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๖
ที่ได้มีมติที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ การรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๖ (๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕-๓๑ มกราคม ๒๕๖๖)
และแนวทางการปิดบัญชี “เงินกู้ตามพระราชกำหนด COVID-19 ๒๕๖๔” ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
และกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
การปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์ อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4551 | มาตรการบรรเทาผลกระทบราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โครงการยกระดับความช่วยเหลือส่วนลดค่าก๊าซหุงต้ม สำหรับผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ | พน. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการโครงการยกระดับความช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม
สำหรับผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้ได้รับสิทธิกลุ่มใหม่) อีก ๒๐
บาทต่อคนต่อ ๓ เดือน ในช่วงเดือนเมษายน ๒๕๖๖ ถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๖๖
สำหรับผู้ใช้สิทธิ ๗,๕๐๐,๐๐ ราย รวมเงินงบประมาณ ๑๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการติดตามสถานการณ์พลังงานอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้สามารถบริหารจัดการราคาพลังงานของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4552 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีการผูกขาดทางการแข่งขันอันเนื่องมาจากนโยบายการสนับสนุนสินค้าที่ขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย | ปช. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต
กรณีการผูกขาดทางการแข่งขันอันเนื่องมาจากนโยบายการสนับสนุนสินค้าที่ขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย
ได้แก่ (๑) เห็นควรให้สำนักงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำบัญชีนวัตกรรมไทยพิจารณากำหนดแนวทางป้องกันไม่ให้สินค้าในบัญชีนวัตกรรมเกิดการผูกขาด
หรือมีประเด็นความเสี่ยงต่อการเอื้อประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะ
และ (๒) เห็นควรให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติพิจารณาดำเนินการทบทวนการกำหนดสัดส่วนการใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศและเป็นกิจการของคนไทยไว้ในหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยให้ชัดเจน
โดยควรกำหนดให้มีการใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศและเป็นกิจการของคนไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ
๕๐ และทบทวนกระบวนการรับขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย
ในกลุ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมประเภทที่มีการซื้อหรือนำเข้าวัสดุบางส่วนจากต่างประเทศ
เพื่อประกอบเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมไทย
โดยตรวจสอบวัสดุที่นำเข้าให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
และให้ส่งความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และสำนักงบประมาณให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติด้วย ๒.
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อเสนอแนะข้างต้นในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
และให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4553 | การแจ้งยืนยันความพร้อมของไทยในการปฏิบัติตามแนวทางและหลักเกณฑ์ใหม่สำหรับประเทศคู่เจรจาของกรอบการประชุมหมู่เกาะแปซิฟิก (Pacific Islands Forum: PIF) | กต. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแจ้งยืนยันความพร้อมของไทยในการปฏิบัติตามแนวทางและหลักเกณฑ์ใหม่สำหรับประเทศคู่เจรจาของกรอบการประชุมหมู่เกาะแปซิฟิก
(Pacific Islands Forum : PIF) เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่าง
PIF กับประเทศคู่เจรจา ๒๐ ประเทศ (รวมถึงประเทศไทย)
โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบของประเทศคู่เจรจา เช่น
กระบวนการรับและขั้นตอนการสมัครเป็นประเทศคู่เจรจา/การส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมประจำปีและการประชุมระดับรัฐมนตรี
การติดตาม ทบทวน และประเมินผล การถอนสถานะประเทศคู่เจรจา
การจัดทำรายงานประจำปีและแผนงานในปีถัดไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวิเคราะห์ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการดำเนินงานการตามกรอบการประชุมดังกล่าว
รวมทั้งควรขับเคลื่อนเชิงบูรณาการร่วมกับกรอบความร่วมมืออื่นที่ประเทศไทยได้ดำเนินการอยู่แล้ว
ตลอดจนควรสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบในโอกาสแรก
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4554 | การปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล [ร่างระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินค่าตอบแทนนายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | มท. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางการปรับค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น)
เฉพาะในส่วนที่กำหนดหลักการให้ปรับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไม่เกินร้อยละ
๒๐ สำหรับการออกระเบียบในเรื่องนี้ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามาอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ที่ควรพิจารณาความคุ้มค่า
ต้นทุนและผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย และการนำรายได้ที่ไม่รวมเงินอุดหนุนและเงินกู้หรือเงินอื่นใดนั้นองค์การบริหารส่วนตำบลแต่ละแห่งจะกำหนดสูงกว่าร้อยละสี่สิบของเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นไม่ได้
ตามนัยมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เพื่อให้เป็นไปตามหลักแห่งการปกครองของท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของผู้บริหารและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลดังกล่าวควรสอดคล้องกับศักยภาพและความสามารถในการปกครองตนเองในด้านรายได้ขององค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4555 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. .... | กษ. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗
เพื่อเป็นการลดภาระและบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้
๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องและผลประโยชน์ที่จะได้รับให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมถึงการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสม
เพื่อให้กลุ่มผู้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
สามารถดำรงและฟื้นตัวได้ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยการให้คำปรึกษาและให้ความรู้แก่ผู้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4556 | มาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2566-2570) | นร.10 | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบข้อเสนอมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ
(พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เพื่อให้ส่วนราชการและองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลนำไปปฏิบัติต่อไป และรับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ
(พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) พร้อมปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะ (เมื่อสิ้นสุดมาตรการ)
ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๖
เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ โดยมาตรการที่เสนอมาในครั้งนี้ต่อเนื่องจากมาตรการฉบับเดิม
ประกอบด้วย ๒ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ และ (๒)
มาตรการบริหารอัตรากำลังปกติ
โดยมาตรการฉบับใหม่แตกต่างไปจากมาตรการฉบับเดิมในเรื่องของหลักการที่มุ่งเน้นการควบคุมขนาดกำลังคนและงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐให้สมดุลกับบทบาทภารกิจของภาครัฐ
โดยในส่วนของมาตรการบริหารอัตรากำลังปกติกรณีการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการพลเรือนได้ปรับแนวทางการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุ
เป็น ๒ ช่วง ได้แก่ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๗ ให้ตรึงอัตรากำลัง
ไม่เพิ่มกรอบอัตรากำลังตั้งใหม่ในภาพรวม และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘–๒๕๗๐
ให้จัดสรรอัตราว่างตามขนาดของส่วนราชการ ซึ่งเป็นไปตามมาตรการฉบับเดิม
สำหรับการรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการฉบับเดิมครอบคลุมผลการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุข้าราชการพลเรือน
โดย อ.ก.พ. กระทรวงได้จัดสรรคืนให้ส่วนราชการทันที ๑๙,๑๒๑ อัตรา (ร้อยละ ๗๑.๔๐)
จากอัตราว่างทั้งหมด ๒๖,๗๘๑ อัตรา ๒. ให้ฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
สำนักงาน ก.พ.ร.
รวมทั้งส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงาน ก.พ.ร.
ที่เห็นควรพิจารณารายละเอียดจำนวนบุคลากรแต่ละประเภทที่ได้รับอนุมัติตามกรอบ
จำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบัน จำนวนอัตราเกษียณ จำนวนอัตราว่าง หรือองค์ประกอบอื่น ๆ
ที่เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์
การทบทวนหรือการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สอดคล้องกับภารกิจตามกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน
ตามสถานการณ์ด้านกำลังคนและงบประมาณในแต่ละปี
รวมถึงติดตามประเมินผลระดับความสำเร็จตามตัวชี้วัดและเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้
เพื่อที่จะนำไปทบทวนแนวทางการกำหนดเป้าหมายของมาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐในรอบถัดไป
และควรพิจารณาค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน เพื่อจูงใจในการทำงาน
รวมถึงการสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ในการจัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ส่วนราชการและองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคลนำไปปฏิบัติ
ควรมุ่งเน้นความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาระบบราชการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) หมุดหมายที่ ๑๓
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4557 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการคู่ขนาน ปี 2565/66 และปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) | พณ. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
และเห็นชอบหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๕/๖๖
กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๗๑๖,๑๐๐,๙๙๒ บาท หลักการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ปี ๒๕๖๕/๖๖ จำนวน ๑ โครงการ ได้แก่
โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
ปี ๒๕๖๕/๖๖ กรอบวงเงินรวม ๓๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาแหล่งเงินเพื่อดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
และมาตรการคู่ขนาน ปี ๒๕๖๕/๖๖ ตามความจำเป็นเหมาะสม
โดยต้องไม่เกินกรอบวงเงินตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ หรืองบกลาง หรือแหล่งเงินอื่น ๆ ตามความจำเป็นต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรนำผลการดำเนินงานในอดีตมาประกอบการพิจารณาถึงความเหมาะสมและจำเป็นและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติ
พิจารณาแหล่งเงินในการดำเนินโครงการดังกล่าว ให้ทันต่อระยะเวลาโครงการที่กำหนดไว้
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานตามจริง
และควรพิจารณากำหนดแนวทางการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการที่สะท้อนผลลัพธ์ของโครงการได้อย่างแท้จริง
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบาย หรือปรับปรุงเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมกับสถานการณ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบัน
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาคเอกชน เร่งรัดจัดทำระบบ
หรือกลไกตรวจสอบแหล่งที่มาของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ได้มาตรฐานและน่าเชื่อถือ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4558 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2565/2566 | อก. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี
๒๕๖๕/๒๕๖๖ ทั้ง ๙ เขตคำนวณราคาอ้อย เป็นราคาเดียวทั่วประเทศ
โดยราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิต ปี ๒๕๖๕ /๒๕๖๖ ในอัตรา ๑,๐๘๐ บาท ต่อตันอ้อย ณ
ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ ๖๔.๘๐
บาทต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี
๒๕๖๕/๒๕๖๖ เท่ากับ ๔๖๒.๘๖ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ส่วนราชการอาจพิจารณาข้อผูกพันและระดับการอุดหนุนภายในโดยรวมของสินค้าเกษตรทุกรายการในแต่ละปีที่ไทยให้เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ผลิตสินค้าเกษตรในประเทศ
จะต้องไม่เกินจำนวนที่ไทยได้ผูกพันไว้ตามความตกลง AOA ให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจ่ายเงินชดเชยให้แก่โรงงานเท่ากับส่วนต่างดังกล่าวตามนัยมาตรา
๕๖ ของพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗
และแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๕
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายควรพิจารณาดำเนินการทบทวนระเบียบมาตรการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพิจารณาถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน เป้าหมาย
ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ
และควรพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนควบคู่กับการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
เพื่อลดต้นทุนและสร้างผลตอบแทนให้แก่ชาวไร่อ้อยที่สูงขึ้น
รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นเป็นแบบรายเขตคำนวณราคาอ้อยแทนการกำหนดเป็นราคาเดียวทั้งประเทศแต่ต้องไม่สูงกว่าที่กว่าที่กฎหมายกำหนด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4559 | การจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร กรณีสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน | นร.12 | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเสนอ
ดังนี้ ๑.๑
ให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร
ประเภทหน่วยธุรการขององค์การของรัฐที่เป็นอิสระ ๑.๒
ให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร
ประเภทกองทุนที่เป็นนิติบุคคล ๒. ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการบริหารกองทุนดังกล่าวจะบริหารในรูปของคณะกรรมการ
ซึ่งไม่มีหน่วยธุรการรองรับการทำหน้าที่ใน ๓ รูปแบบที่กำหนด ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ
องค์การมหาชนตามพระราชบัญญัติ หรือส่วนราชการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖
มีนาคม ๒๕๖๒ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4560 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2533 เรื่อง การจำแนกประเภทที่ดินจังหวัดขอนแก่น (เฉพาะแห่ง) | นร16 | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่อง
การจำแนกประเภทที่ดินจังหวัดขอนแก่น (เฉพาะแห่ง)
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ทบทวนชื่อมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจากเดิม
“เรื่อง การจำแนกประเภทที่ดิน จังหวัดขอนแก่น (เฉพาะแห่ง)” เป็น “เรื่อง
การจำแนกประเภทที่ดินจากป่าไม้ถาวร” ๑.๒ ทบทวนเนี้อหาของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
จากเดิม “อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาที่ดินเกี่ยวกับการจำแนกพื้นที่ที่กันออกจากการกำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาติ
เขตอุทยานแห่งชาติ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแล้วเป็นเขตที่เพิกถอนให้เป็นพื้นที่ที่ได้จำแนกออกจากป่าไม้ถาวร
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย” เป็น “(๑) อนุมัติให้จำแนกพื้นที่ราษฎร ๓ ตำบลในอำเภอภูเวียง
จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ประมาณ ๕๓,๗๒๖ ไร่ ออกจากป่าไม้ถาวร เพื่อให้ราษฎรทำกินหรือใช้ประโยชน์อย่างอื่น (๒)
กรณีการจำแนกพื้นที่ที่กันออกจากการกำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาติ
เขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตที่เพิกถอน
ให้ถือเป็นพื้นที่ที่ได้จำแนกออกจากป่าไม้ถาวร
โดยใช้เป็นหลักการครอบคลุมทั่วประเทศ” ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|