ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 224 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 4461 - 4480 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
4461 | รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรี กรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (เรื่อง สิทธิการเข้าถึงบริการไฟฟ้าในครัวเรือน) | สผผ. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด
๕ หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (เรื่อง
สิทธิการเข้าถึงบริการไฟฟ้าในครัวเรือน) ตามที่ผู้ตรวจการการแผ่นดินเสนอ
รวมทั้งรับทราบสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน
ตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงาน
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงมาตรการตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินให้เกิดความเหมาะสม
โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
โดยกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม
กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สรุปผลการพิจารณาและความเห็นในภาพรวม
เช่น (๑) การแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสิทธิเข้าถึงบริการไฟฟ้าในครัวเรือน
อาจมีบทบาทหน้าที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน (๒)
การแบ่งจ่ายค่าไฟฟ้าที่ค้างชำระควรมีการศึกษาผลกระทบในด้านต่าง ๆ
เพื่อไม่ให้มีผลต่อรายได้และอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของหน่วยงานผู้ให้บริการ
และเป็นภาระทางการคลังของรัฐบาล (๓)
มาตรการจูงใจให้ประชาชนแบ่งจ่ายค่าไฟฟ้าที่ค้างชำระได้ตามกำลังทางเศรษฐกิจ เช่น
การไฟฟ้านครหลวงมีมาตรการขยายระยะเวลาและผ่อนชำระค่าไฟฟ้า
และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
และ (๔) กรมการปกครองได้สำรวจครัวเรือนที่ยังไม่มีไฟฟ้าผ่านระบบ ThaiQM แล้ว
และพร้อมให้การสนับสนุนข้อมูลแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายการแก้ไขปัญหาสิทธิเข้าถึงบริการไฟฟ้าในครัวเรือนให้แก่ประชาชนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4462 | รายงานสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะมาตรการการคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพและสิทธิเด็กในสถานการณ์การใช้กัญชาในประเทศไทย | สม. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะมาตรการการคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพและสิทธิเด็กในสถานการณ์การใช้กัญชาในประเทศไย
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเมื่อวันที่ ๕
มกราคม ๒๕๖๖ โดยมีผลสรุปในภาพรวมว่า
กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีกฎหมายรองรับเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4463 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนดำเนินสะดวก – ศรีดอนไผ่ - ประสาทสิทธิ์ จังหวัดราชบุรี พ.ศ. .... | มท. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนดำเนินสะดวก–ศรีดอนไผ่-ประสาทสิทธิ์
จังหวัดราชบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลดอนไผ่ ตำบลประสาทสิทธิ์ ตำบลศรีสุราษฎร์ ตำบลดำเนินสะดวก
ตำบลขุนพิทักษ์ และตำบลตาหลวง อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน
การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม
ให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งมีนโยบายและมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาชุมชนดำเนินสะดวก-ศรีดอนไผ่-ประสาทสิทธิ์
ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร การปกครอง การศึกษา การค้า การบริการทางสังคม
และการคมนาคมขนส่งระดับอำเภอ
ส่งเสริมและอนุรักษ์พื้นที่เกษตรกรรมที่มีความอุดมสมบูรณ์ให้เป็นแหล่งผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพและยั่งยืน
ส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวตลาดนำในรูปแบบวิถีชีวิตชุมชนเกษตรและวิถีชีวิตชุมชนริมน้ำของชุมชนดำเนินสะดวกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น
ส่งเสริมและพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรมให้สอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต
รวมทั้งอนุรักษ์วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชุมชน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ร่างประกาศฉบับนี้
มีพื้นที่อยู่ในลุ่มน้ำชั้นที่ ๕ และยังพบแหล่งศิลปกรรมอันควรอนุรักษ์ การดำเนินการใด
ๆ ในพื้นที่ดังกล่าวจึงควรคำนึงถึง กฎ
ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย
และ (๒) ที่ดินหลายประเภท เช่น ประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย
ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม และที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม
ตามร่างประกาศฉบับนี้
ห้ามใช้ประโยชน์เพื่อกิจการโรงงานทุกจำพวกตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน
เว้นแต่โรงงานตามประเภท ชนิด
และจำพวกที่กำหนดให้ดำเนินการได้ตามบัญชีท้ายประกาศนี้ อย่างไรก็ตาม
กิจการที่ไม่เข้าข่ายโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน (เครื่องจักรไม่ถึง ๕๐ แรงม้าหรือคนงานไม่ถึง
๕๐ คน) ยังสามารถดำเนินการได้ ดังนั้น
การพิจารณาอนุญาตจึงต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน
และเป็นไปตามกฎกระทรวงควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๖๐
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4464 | รายงานสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าของประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัยในช่วงฤดูร้อนปี 2566 | พน. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าของประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัยในช่วงฤดูร้อนปี
๒๕๖๖ และแนวทางการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย
โดยให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน
๓๐๐ หน่วยต่อเดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๖๖
กับให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน
๕๐๐ หน่วยต่อเดือน จำนวน ๑๕๐ บาทต่อราย ในรอบบิลเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานชี้แจงเพิ่มเติมว่า
๑.๑ กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศ
ในการคำนวณสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศที่ถูกต้องจะต้องคำนวณจากปริมาณกำลังการผลิตไฟฟ้าที่พึ่งพาได้จริง
(Dependable Capacity) ของโรงไฟฟ้าแต่ละประเภท (เช่น
โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์)
โดยไม่สามารถนำผลรวมของกำลังผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทดังกล่าวที่มีกำลังผลิตต่างกันมารวมกันเพื่อคำนวณเป็นสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองได้โดยตรง
โดยในปี ๒๕๖๕ ประเทศไทยมีสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองอยู่จริงที่ประมาณร้อยละ ๓๕-๓๖
เท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติ
เนื่องจากการเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าจริงในปีที่ผ่านมาลดลง
และทำให้มีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี ในอนาคตความต้องการไฟฟ้าของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอันเป็นผลจากการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการขนส่งมวลชนที่ใช้ไฟฟ้า
นอกจากนี้
เมื่อประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นก็จะมีส่วนทำให้ต้องมีสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองเพิ่มขึ้นด้วย ๑.๒ การเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ
ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการผลิตไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาด/พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง
โดยดำเนินโครงการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวเพิ่มขึ้น ซึ่งมีต้นทุนต่ำและเป็นการรับซื้อไฟฟ้าที่ไม่มีค่าความพร้อมจ่าย
(Availability Payment) รวมทั้งเป็นการดำเนินการที่สนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี
ค.ศ. ๒๐๕๐ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. ๒๐๖๕
ตามที่ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ในเวทีโลกและเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า
โดยเฉพาะภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงสากลในการลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องระบุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไฟฟ้าที่ใช้ผลิตสินค้าและบริการ
เพราะหากไม่ดำเนินการตามมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการไทยจะมีต้นทุนส่งออกที่สูงขึ้นและกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ทั้งนี้
ในการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศนั้นเป็นการดำเนินการเพื่อทดแทนกำลังผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าที่ปลอดระวางตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ
เพื่อรักษาความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งไม่ทำให้สัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศไทยเพิ่มขึ้น ๑.๓ อัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) ที่เพิ่มขึ้น
องค์ประกอบหลักของอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft)
ได้แก่ (๑) ค่าเชื้อเพลิง และ (๒) ยอดสะสมยกมาจากงวดที่ผ่านมา
รวมถึงภาระต้นทุนคงค้างของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
โดยในส่วนของค่าเชื้อเพลิงประเทศไทยต้องนำเข้าเชื้อเพลิงโดยอ้างอิงราคาในตลาดโลกเป็นหลัก
โดยในปี ๒๕๖๔ ราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้น
ซึ่งภาครัฐได้พยายามตรึงอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม
เมื่อเกิดวิกฤตพลังงานจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ทำให้ราคาเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นมากและไม่สามารถตรึงอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) ในภาพรวมต่อไปอีก จึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) เพื่อให้สะท้อนต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่แท้จริง อย่างไรก็ดี
รัฐบาลยังคงดำเนินมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนแบบพุ่งเป้าอย่างต่อเนื่องต่อไป
แม้ว่าปัจจุบันราคาเชื้อเพลิงได้ปรับตัวลดลงบ้างแล้ว แต่การจัดหาเชื้อเพลิงต้องมีระยะเวลาในการส่งมอบสินค้า
(Lead Time) ทำให้ไม่สามารถปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ
(ค่า Ft) ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้
คาดว่าจะสามารถปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) ให้ลดลงได้ในช่วงปลายปี ๒๕๖๖ เป็นต้นไป สำหรับภาระต้นทุนคงค้างของ กฟผ.
ปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการที่ กฟผ.
ได้ช่วยสนับสนุนการตรึงอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) มาอย่างต่อเนื่อง
จึงจำเป็นที่จะต้องทยอยจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างดังกล่าวให้กับ กฟผ.
เพื่อรักษาฐานะทางการเงินของ กฟผ. ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อไป
ในขณะที่สัดส่วนของค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment) ในอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติอยู่ที่ประมาณ
๑๐ สตางค์เท่านั้น ๒. ให้กระทรวงพลังงานนำแนวทางการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้นเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งตามนัยมาตรา
๑๖๙ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม
๒๕๖๖ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร) ตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๓. ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4465 | รายงานผลการกู้เงินล่วงหน้าเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลรุ่น LB236A เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 | กค. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินล่วงหน้าเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลรุ่น
LB236A เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม
๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินล่วงหน้าเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาล
รุ่น LB236A
ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการพื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ ที่จะครบกำหนดในวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๖ วงเงิน ๓๐,๐๐๐
ล้านบาท โดยเป็นการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๖ ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๖ ๒.
กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
ผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ครั้งที่ ๒ เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖)
ต่อไปด้วยแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4466 | การจัดทำแผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 - 2568) | กต. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย
ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๘)
และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นผู้ลงนามแผนการหารือฯ โดยร่างแผนการหารือฯ เป็นแผนการหารือในกรอบที่ครอบคลุมระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ
โดยกำหนดให้มีการหารือใน ๒ ระดับ คือ ระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
และระดับกรมของกระทรวงการต่างประเทศ ในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ความร่วมมือทวิภาคี
ความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเด็นระหว่างประเทศ และความร่วมมือพหุภาคี
สถานการณ์ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ สถานการณ์ในยุโรป
ความร่วมมือด้านสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ ความร่วมมือด้านกงสุล และประเด็นอื่น ๆ
ที่สนใจร่วมกัน ทั้งนี้
กำหนดการและระเบียบวาระของการหารือเป็นไปตามความเห็นชอบร่วมกันของทั้งสองฝ่ายผ่านช่องทางการทูต
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนการหารือฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4467 | ขออนุมัติวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อชำระเป็นเงินอุดหนุนองค์การระหว่างประเทศที่ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก | กต. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
เพื่อชำระเป็นเงินอุดหนุนองค์การระหว่างประเทศที่ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกให้กระทรวงการต่างประเทศ
จำนวน ๒๒๒,๙๕๒,๘๓๘.๗๘ บาท เพื่อกระทรวงการต่างประเทศจะได้ชำระเป็นค่าบำรุงงบประมาณปกติ
(Regular Budget) ของสหประชาชาติ
ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๓ ต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๓) แล้ว ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงการต่างประเทศควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ส่วนการขอใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ให้ดำเนินการตามแนวทางที่สำนักงบประมาณกำหนด และในระยะต่อไป
กระทรวงการต่างประเทศควรดำเนินการวิเคราะห์และประเมินผลจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศต่าง
ๆ
รวมทั้งสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินการให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ไทยได้รับด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4468 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลศึกษา และการกีฬา ระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการกีฬาแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย | กก. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลศึกษา
และการกีฬา ระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการกีฬาแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย
และอนุมัติให้นายนภินทร ศรีสรรพางค์
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านพลศึกษาและการกีฬาระหว่างกัน
อาทิ การส่งเสริมหลักการแยกการกีฬาออกจากการเมือง
หลักการไม่ยอมรับการเลือกปฏิบัติในวงการกีฬาทุกรูปแบบ
ตลอดจนการต่อต้านการใช้สารต้องห้ามในวงการกีฬา ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นด้านสารัตถะและถ้อยคำ
รวมทั้งประเด็นด้านกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4469 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - รัสเซีย ครั้งที่ 8 | กต. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย
(Joint Thai-Russian Commission on Bilateral
Cooperation : JC) ครั้งที่ ๘
และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาภูมิภาคตะวันออกไกลและอาร์กติกสหพันธรัฐรัสเซีย
โดยไม่มีการลงนาม โดยร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบกำหนดแนวทางการดำเนินการความร่วมมือระหว่างไทยกับรัสเซีย
โดยระบุความร่วมมือที่สำคัญใน ๑๒ สาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจและเป็นประโยชน์ร่วมกัน
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินความร่วมมือทวิภาคีด้วยความรอบคอบ รัดกุม
โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของชาติและการรักษาดุลยภาพของการดำเนินความสัมพันธ์และความมั่นคงของไทยกับประเทศอื่น
ๆ ในภาพรวมด้วย
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลความร่วมมือทวิภาคีดังกล่าว
เพื่อนำไปสู่การขยายผลความร่วมมือในมิติอื่น ๆ รวมทั้งสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4470 | นายกรัฐมนตรีลากิจในวันที่ 20 - 21 เมษายน 2566 และวันที่ 24 เมษายน 2566 | นร.05 | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งว่านายกรัฐมนตรีได้ลากิจในวันพฤหัสบดีที่
๒๐-วันศุกร์ที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๖ และวันจันทร์ที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๖
ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้จัดทำหนังสือเวียนแจ้งให้รัฐมนตรีทุกท่านทราบแล้ว
ทั้งนี้ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๔๑
กำหนดให้การลาทุกประเภทของนายกรัฐมนตรี ให้อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี
และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4471 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2565 | ทส. | 18/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๖/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๕ จำนวน ๓ เรื่อง ประกอบด้วย (๑)
รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (จำนวน ๘ โครงการ) เช่น โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าให้พื้นที่เกาะต่าง
ๆ [เกาะกระเต็น (แตน)
จังหวัดสุราษฎร์ธานี] ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
โครงการถนนตามผังเมือง ผังเมืองรวมเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร
ของกรมทางหลวงชนบท โครงการปรับปรุงท่าอากาศยานบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
ของกรมท่าอากาศยาน (๒) ร่างแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5
ภายใต้แผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษฝุ่นละออง ปี ๒๕๖๖ และ (๓) แผนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาปนเปื้อนสารตะกั่วบริเวณห้วยคลิตี้
ระยะที่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4472 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 9 | กค. | 18/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
ครั้งที่ ๙ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
โดยร่างแถลงการณ์ฯ จัดทำขึ้นบนพื้นฐานของการเป็นประชาคมอาเซียน
คือการส่งเสริมความร่วมมือและให้ความช่วยเหลือระหว่างกันทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม
และวัฒนธรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภูมิภาคอาเซียน
และการรักษาความเป็นแกนกลางของอาเซียน
เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน ตลอดจนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
ครั้งที่ ๙
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4473 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... | คค. | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข
๗ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ ภายในระยะเวลาที่กำหนด
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข
๗ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ตั้งแต่เวลา
๐๐.๐๑ นาฬิกา ของวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๖ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๑๘
เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๖
เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเดินบนทางหลวงพิเศษในช่วงเทศกาลดังกล่าว
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม ที่เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลให้กรมทางหลวง
เร่งศึกษาความเหมาะสมและความคุ้มครองของระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมค่าผ่านทางแบบไม่มีไม้กั้น
(M-Flow) ในเส้นทางนำร่อง
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการลงทุนพัฒนา/ปรับปรุงรูปแบบของระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางของทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและทางหลวงพิเศษในอนาคต ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้ใช้ทาง
รวมถึงแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่าน
ตลอดจนภาระภาครัฐในการยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางระหว่างวันหยุดต่อเนื่องในระยะยาวต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4474 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | สผผ. | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ สรุปได้ ดังนี้ (๑) ได้รับเรื่องร้องเรียน ๕,๒๕๐ เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ
๒,๘๓๙ เรื่อง
ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนและเรื่องที่ดำเนินการแล้วเสร็จเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๔ (๒) ศึกษาและจัดทำรายงานพร้อมข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี
ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ
ของรัฐธรรมนูญ จำนวน ๔ เรื่อง เช่นสิทธิการเข้าถึงบริการไฟฟ้าในครัวเรือน (๓)
ได้รับเรื่องร้องเรียนตามมาตรา ๒๓
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๐ รวม ๘๐
เรื่อง โดยได้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ/ศาลปกครองแล้ว ๔ เรื่อง
และยุติการพิจารณาแล้ว ๗๖ เรื่อง (๔)
ได้รับเรื่องร้องเรียนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณา พ.ศ.
๒๕๖๑ จำนวน ๖๒ เรื่อง และยุติการพิจารณาแล้ว ๕๓ เรื่อง โดยไม่มีการยื่นคำร้องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ
(๕) ผลการดำเนินงานในภาพรวมเมื่อแบ่งตามยุทธศาสตร์ชาติ พบว่า
ส่วนใหญ่มีผลการดำเนินการที่บรรลุเป้าหมาย (๖) ภาพรวมความพึงพอใจของผู้ร้องเรียนอยู่ในระดับมาก
คิดเป็นร้อยละ ๘๓.๔ โดยด้านที่ร้องเรียนมีความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านการยื่นและรับเรื่องร้องเรียน
และ (๗) ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน เช่น
การได้รับข้อมูลเรื่องร้องเรียนไม่ครบถ้วนหรือไม่ชัดเจนเพียงพอ
และการไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐที่จะให้ข้อมูลหรือข้อชี้แจง
ข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณา ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4475 | รายงานประจำปีคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | ยธ. | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.)
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ (๑)
ภาพรวมสถานการณ์กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓ เช่น
ข้อมูลสถิติจำนวนคดีที่รับแจ้งความและการจับกุมผู้ต้องหา (๒) ผลการดำเนินงานของ
กพยช. และคณะอนุกรรมการภายใต้ กพยช. จำนวน ๖ คณะ เช่น การจัดทำร่างพระราชบัญญัติประวัติอาชญากรรม
พ.ศ. .... (๓) ผลการดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ของ กพยช. ตามพระราชบัญญัติพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๙ (มาตรา ๑๐) เช่น จัดทำร่างแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่
๔ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๙) และจัดทำร่างแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม
ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๙) (๔)
การขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕)
เช่น รายงานผลการดำเนินการโครงการสำคัญภายใต้แผนแม่บทฯ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
มีการดำเนินโครงการทั้งสิ้น ๑๖๔ โคงการ และใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๔,๘๑๘.๔๖ ล้านบาท และ (๕)
ผลการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการเพื่อสนับสนุนภารกิจของ กพยช. เช่น
พัฒนาข้อมูลและสถิติที่สำคัญต่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรม
และประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการบริหารงานยุติธรรม
โดยนำเสนอผ่านรูปภาพและภาษาที่เข้าใจได้ง่ายในรูปแบบอินโฟกราฟิก โมชั่นกราฟิก วิดีโอ
และบทความ รวมถึงช่องทางออนไลน์ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4476 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อว. | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาตรีในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ
เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี (ฉบับที่..) พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรม
เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๘ กันยายน ๒๕๔๑ ให้ถือเป็นหลักการว่าเมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาได้อนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้ แต่โดยที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า
สภามหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต
(หลักสูตรใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๓) เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๓
และได้มีการเปิดการเรียนการสอนสาขาวิชาอุตสาหกรรมศิลป์ในปี ๒๕๖๓
โดยจะมีผู้สำเร็จการศึกษาในปี ๒๕๖๖ ดังนั้น กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
เมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดอนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จึงต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อนแล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้
เพื่อให้พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับก่อนเปิดทำการสอน
ซึ่งจะรองรับศักดิ์และสิทธิ์แห่งปริญญาให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษา
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4477 | รายงานสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมใหญ่คณะกรรมการนโยบายด้านกฎหมาย (Regulatory Policy Committee - RPC) ครั้งที่ 27 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง | นร.09 | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมใหญ่คณะกรรมการนโยบายด้านกฎหมาย
(Regulatory Policy
Committee-RPC) ครั้งที่ ๒๗ ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(OECD) และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๔-๖
ธันวาคม ๒๕๖๕ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยได้รายงานสรุปผลการเข้าร่วมประชุม
ดังนี้ (๑) สรุปผลการประชุมใหญ่คณะกรรมการนโยบายด้านกฎหมาย (Regulatory
Policy Committee-RPC) ครั้งที่ ๒๗
มีหัวข้อการประชุม ๓ หัวข้อ ได้แก่ ๑) การออกกฎหมายเพื่อผลลัพธ์ที่ดี
โดยมีประเด็นอภิปราย ๔ ประเด็น คือ การพิจารณาว่าด้วยกฎระเบียบเป็นทรัพย์สิน
ความเชื่อมั่นในกฎระเบียบและหน่วยงานกำกับดูแล การกำกับดูแลเพื่อผลลัพธ์
และการกำกับดูแลเพื่ออนาคต ๒)
ความท้าทายในการส่งเสริมนโยบายการกำกับดูแลในระดับต่าง ๆ ของรัฐ และ ๓)
ความคืบหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของ OECD และ( ๒) สรุปผลการหารือระดับทวิภาคีกับเจ้าหน้าที่ของ
OECD
เพื่อขับเคลื่อนโครงการความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กับ OECD ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4478 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 | กษ. | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑)
สถานการณ์สับปะรดโรงงาน เช่น การผลิตในปี ๒๕๖๖ ลดลงเนื่องจากเกษตรกรลดพื้นที่ปลูก
ส่วนการตลาดและการส่งออกเพิ่มขึ้นเนื่องจากสินค้าสับปะรดยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก
และแนวทางการดำเนินการบริหารจัดการสับปะรด ปี ๒๕๖๖ เช่น เชื่อมโยงตลาดล่วงหน้า
โดยมีการประชุมบริหารจัดการผลิตและการตลาดสับปะรดในพื้นที่
กระจายผลิตผ่านเครือข่านร้านธงฟ้า (๒)
รับทราบผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านสับปะรด ปี ๒๕๖๔-๒๕๖๕ โดยในปี ๒๕๖๔
มีแผนงาน/โครงการบรรลุเป้าหมาย ๒๓ โครงการ ๓ กิจกรรม (จาก ๒๔ โครงการ ๙ กิจกรรม)
ซึ่งมีการยกเลิกโครงการเนื่องจากสถานการณ์โควิด-๑๙ และในปี ๒๕๖๕
มีแผนงาน/โครงการบรรลุเป้าหมาย ๑๖ โครงการ ๑๒ กิจกรรม (จาก ๑๗ โครงการ ๑๓ กิจกรรม)
ซึ่งมีโครงการที่ไม่บรรลุเป้าหมาย เนื่องจากมีสหกรณ์ เพียง ๔ แห่ง
ที่เข้าร่วมโครงการ โดยสหกรณ์ส่วนใหญ่ต้องใช้เงินทุนของตนเองในการรวบรวบ
ส่งผลให้ปริมาณการรวบรวมผลผลิตสับปะรดไม่เป็นไปตามเป้าหมาย (๓) เห็นชอบ (ร่าง)
แผนพัฒนาด้านสับปะรด พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐
โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนและพัฒนาสับปะรดให้สามารถสร้างคุณค่าและมูลค่าทางเศรษฐกิจ
รวมถึงสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร และ (๔) การเสนอให้มีกฎหมายพืชสับปะรดเป็นการเฉพาะ
เพื่อแก้ไขปัญหาสับปะรด
โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนพัฒนาสับปะรดพิจารณาข้อเสนอดังกล่าวต่อไป ตามที่คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4479 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... | อว. | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาตรีในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ
เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร (ฉบับที่..) พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์
รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๘ กันยายน ๒๕๔๑ ให้ถือเป็นหลักการว่าเมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาได้อนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน
แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้ แต่โดยที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าสภามหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชรได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต
(หลักสูตรใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๓) เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓
และได้มีการเปิดการเรียนการสอนสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ในปี ๒๕๖๓ โดยจะมีผู้สำเร็จการศึกษาในปี
๒๕๖๖ ดังนั้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
เมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดอนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จึงต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อนแล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้
เพื่อให้พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับก่อนเปิดทำการสอน
ซึ่งจะรองรับศักดิ์และสิทธิ์แห่งปริญญาให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษา
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4480 | ผลการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. 2022 (ITU Plenipotentiary Conference 2022: PP-22) | กสทช. | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. 2022 (ITU Plenipotentiary Conference 2022 : PP-22) ระหว่างวันที่ ๒๖ กันยายน-๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๕
ณ กรุง บูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย และรับทราบการแสดงเจตจำนงของประเทศไทย
โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติในการเป็นจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยการพัฒนาโทรคมนาคม
ปี ค.ศ. ๒๐๒๕ (World Telecommunication Development
Conference 2025 : WTDC-25) โดยที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นสำคัญต่าง
ๆ เช่น ผลการเลือกตั้ง การกล่าวถ้อยแถลงเชิงนโยบาย การแก้ไขข้อมติต่าง ๆ
การลงนามในกรรมสารสุดท้าย บทบาทของคณะผู้แทนไทย การหารือทวิภาคีระหว่างการประชุมฯ
และแสดงเจตจำนงเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม WTDC-25 ณ กรุงเทพมหานคร ในปี ๒๕๖๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ
|