ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 203 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 4041 - 4060 จากข้อมูลทั้งหมด 124441 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง  | 
									วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 4041 | รายงานสถานการณ์เพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็ก ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | รง. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็ก
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ มีสาระสำคัญในประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) สถานการณ์เด็กทำงานในประเทศไทย
(๒) สถานการณ์การใช้แรงงานเด็กที่เลวร้าย ในปีงบประมาณ ๒๕๖๕ (๓)
ผลการประเมินจัดระดับสถานการณ์แรงงานเด็ก ตามรายงานประจำปี ๒๕๖๔
ของกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา (๔)
การขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายของประเทศไทย
และ (๕) ข้อเสนอแนะจากการวิเคราะห์สถานการณ์และการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ 
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4042 | โครงการสินเชื่อคืนถิ่นแรงงานไทย (อิสราเอล) | กค. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการสินเชื่อคืนถิ่นแรงงานไทย
(อิสราเอล) ภายในกรอบวงเงินประมาณ ๑,๒๐๐ ล้านบาท
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย 
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4043 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2566 | นร.11 สศช | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๖
เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๖ ดังนี้ (๑) รับทราบการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๔ ของกระทรวงมหาดไทย (จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดสุพรรณบุรี)
โดยยกเลิกการดำเนินโครงการ จำนวน ๓ โครงการ วงเงิน ๗.๙๖๕๐ ล้านบาท เนื่องจากไม่สามารถลงนามและผูกพันสัญญาได้ภายในเดือนพฤษภาคม
๒๕๖๕ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕ และ (๒) รับทราบผลการนำส่งเงินกู้เหลือจ่ายโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ คืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ของสำนักบริหารหนี้สาธารณะ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างคุ้มค่า
มีประสิทธิภาพ และบรรลุผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามที่ได้กำหนดไว้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ข้อ ๒๒ และ ๒๓ สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการ รายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังภายใน ๓ เดือน
นับจากวันที่สิ้นสุดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖
เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรกำกับติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงานโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
และกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย 
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4044 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 12/2566 | นร.11 สศช | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุม
ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๖ โดยอนุมัติให้จังหวัด
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕
พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งปรับปรุงรายละเอียดของโครงการในระบบ
eMENSCR ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
และมอบหมายให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากแหล่งเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
และอยู่ระหว่างดำเนินการให้เร่งรัดการดำเนินงานและต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีได้
เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการต่อไปให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
โดยใช้จ่ายจากแหล่งเงินอื่นต่อไปตามนัยมติเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๖ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้
ให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจังหวัดยะลา จำนวน ๓ โครงการ จังหวัดหนองบัวลำภู
จำนวน ๑ โครงการ จากเดิมที่เสนอไว้ให้สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖
เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ
และบรรลุผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามที่ได้กำหนดไว้
และจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
เป็นไปตามหลักเกณฑ์ อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย 
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4045 | การกำหนดสินค้าควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุม ปี ๒๕๖๖ เพิ่มจำนวน ๑ รายการ
ได้แก่ น้ำตาลทราย ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เพื่อป้องกันการกำหนดราคาซื้อ
ราคาจำหน่ายหรือการกำหนดเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติทางการค้าอันไม่เป็นธรรม และกำกับดูแลสินค้าน้ำตาลทรายให้มีราคาที่เป็นธรรมและมีปริมาณที่เพียงพอ
และเห็นควรพิจารณามอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้ได้รับผลตอบแทนอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตอ้อยในแต่ละช่วงเวลา โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 
											    												    		
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4046 | มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชน | พน. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชน
เพื่อให้มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปตามแนวนโยบายของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ กันยายน ๒๕๖๖ และสามารถดำเนินการได้ทันท่วงที เพื่อลดผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน
และให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
และมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชนให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ 
											    												    		
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4047 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภาคประชาชนระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | อว. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภาคประชาชนระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญคือ
ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนกิจกรรมการแลกเปลี่ยนภายใต้โครงการที่จะดำเนินการร่วมกัน
ได้แก่ (๑) โครงการแลกเปลี่ยนระดับประชาชนสำหรับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ (๒)
การเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือสำหรับสถาบันวิจัย และ (๓)
การประชุมเชิงปฏิบัติการและการสัมมนาวิชาการ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาคประชาชนระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรจัดเตรียมแนวทางการดำเนินงานร่วมกันทั้งในส่วนของประเด็นความร่วมมือที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ
ยกระดับความสามารถในการดูดซับวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ (Absorptive Capacity) ของนักวิจัยและผู้ประกอบการไทย
และแนวทางการแบ่งปันผลประโยชน์จากผลงานการวิจัย เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของทั้ง
๒ ประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย 
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4048 | การเร่งรัดเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด | สลน. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
รัฐบาลตระหนักและให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นควัน PM2.5
ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปีและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเกิดการบูรณาการอย่างยั่งยืน มีประสิทธิภาพ เกิดผลเป็นรูปธรรม
และเท่าทันต่อสถานการณ์ จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก
พัชรวาท วงษ์สุวรรณ)
เร่งรัดเสนอร่างกฎหายเกี่ยวกับการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน ตามมาตรา ๗๗
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒
รวมทั้งการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากฎหมายและสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวด้วย 
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4049 | การสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ | นร. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้ว่า รัฐบาลจะผลักดันให้มีกฎหมายสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ
นั้น เพื่อให้การดำเนินนโยบายดังกล่าวเกิดผลเป็นรูปธรรม จึงขอมอบหมาย ดังนี้ ๑. ให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ
เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการสมรสเท่าเทียม การรับรองเพศสภาพ
การยกเลิกการปราบปราบการค้าประเวณี โดยให้กำหนดองค์ประกอบ
และหน้าที่และอำนาจให้เหมาะสมและครบถ้วนด้วย ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(ฉบับที่..) พ.ศ. .... (สมรสเท่าเทียม) อย่างรอบด้าน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา
๗๗ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ.
๒๕๖๒
รวมทั้งให้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายให้สอดคล้องกับสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว
ก่อนเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..)
(สมรสเท่าเทียม) ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๓. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางพวงเพ็ชร
ชุนละเอียด) รับไปประสานกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชนและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันให้ไทยเป็นเจ้าภาพการจัดงาน
World Pride ในปี ๒๕๗๑ 
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4050 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2566 ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย | อก. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖
ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย (Memorandum of Understanding on the Cooperation on
Projects of the Lancang-Mekong Cooperation Special Fund 2023) และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดสำหรับการดำเนินโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
เกี่ยวกับการส่งเสริมความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ในอนุภูมิภาค
ตลอดจนช่วยสนับสนุนความพยายามของประเทศสมาชิกในการผลักดันการขนส่งสีเขียวและการประหยัดพลังงาน
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเห็นควรวิเคราะห์และติดตามประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป           ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4051 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (สินค้าน้ำมันเบนซินและน้ำมันที่คล้ายกัน) | กค. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเป็นการปรับลดอัตราภาษีสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทน้ำมันเบนซิน
๑ บาทต่อลิตร โดยให้อนุพันธ์ของน้ำมันดังกล่าวมีการปรับลดอัตราภาษีตามสัดส่วนเนื้อน้ำมันที่ผสมอยู่
ตั้งแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๗
และหลังจากนั้นให้อัตราภาษีกลับสู่อัตราเดิมก่อนการปรับลด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายกระทรวงพลังงานใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อปรับราคาขายปลีกให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคณะรัฐมนตรีในการลดราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์
๙๑ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันเบนซินที่สะท้อนต้นทุนตามข้อเท็จจริง ประชาชนตระหนักถึงภาระการชดเชยต้นทุนส่วนต่าง
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์
และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการทางภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ความสำคัญกับการดูแลแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางต่อการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและราคาน้ำมัน
และพิจารณาให้ราคาน้ำมันเบนซินเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาน้ำมันในตลาดโลก
เพื่อให้ประชาชนและระบบเศรษฐกิจมีการปรับตัวไปสู่การประหยัดพลังงาน
รวมทั้งลดแรงกดดันทางด้านการคลัง
และรักษาขีดความสามารถของกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรองรับความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดีเซล
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย  
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4052 | การยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติอินเดียและไต้หวัน เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว | กต. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติอินเดียและไต้หวัน
เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติอินเดียและไต้หวัน
เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๓.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปดำเนินการ โดยแยกประกาศกระทรวงมหาดไทยเป็น
๒ ฉบับ เนื่องจากฐานอำนาจในการดำเนินการต่างกัน และดำเนินการดังนี้     ๓.๑
แก้ไขชื่อร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยในส่วนของการยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสาธารณรัฐอินเดีย
เป็น “ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง
ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว
ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินสามสิบวัน
เป็นกรณีพิเศษ” เพื่อให้สอดคล้องกับข้อ ๑๓ (๓) (ก) แห่งกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจ การยกเว้น และการเปลี่ยนประเทศการตรวจลงตรา พ.ศ.
๒๕๔๕ และประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับทั่วไปที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน     ๓.๒
การจัดทำร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย สำหรับกรณีไต้หวัน แยกอีกฉบับหนึ่ง
โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศควรเป็นหน่วยงานหลักในการประสานความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน
ต่อมาตรการการตรวจลงตราฯ ดังกล่าว หน่วยงานด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ
อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ควรมีการติดตามเฝ้าระวัง
และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญในกลุ่มนักท่องเที่ยวสัญชาติอินเดีย
เพื่อให้มาตรการยกเว้นการตรวจลงตราฯ เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจต่อประเทศไทยอย่างคุ้มค่าและแท้จริง
ควรเร่งประเมินความพร้อมและศักยภาพของประเทศไทยในการเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ
โดยจัดทำเป็นแผนงาน การดำเนินงาน (road map) ที่ระบุถึงกลุ่มประเทศที่จะมีการยกเว้นการตรวจลงตรา
และระยะเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถสร้างโอกาส
และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวให้ดีขึ้นในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๕. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
กระทรวงมหาดไทย สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมีการเฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบ
และประเมินผลการเข้ามาของนักท่องเที่ยวทั้งสองสัญชาติอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
หากพบว่าผลกระทบด้านความมั่นคงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงสามารถเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกหรือปรับเปลี่ยนมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราฯ
ควรมีการติดตามเฝ้าระวัง
และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญในกลุ่มนักท่องเที่ยวสัญชาติอินเดีย
เพื่อให้มาตรการยกเว้นการตรวจลงตราฯ
เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจต่อประเทศไทยอย่างคุ้มค่าและแท้จริง และควรเร่งประเมินความพร้อมและศักยภาพของประเทศไทยในการเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ
โดยจัดทำเป็นแผนงาน การดำเนินงาน (road map) ที่ระบุถึงกลุ่มประเทศที่จะมีการยกเว้นการตรวจลงตรา
และระยะเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถสร้างโอกาส
และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวให้ดีขึ้นในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4053 | ขอความเห็นชอบต่อการรับรองเอกสารร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียน-จีนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 43 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | กษ. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียน-จีนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร
(ASEAN-China Joint Statement on Deepening
Agricultural Cooperation) ซึ่งเป็นเอกสารที่ได้มีการเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน
ครั้งที่ ๒๖ ในวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๖ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
เพื่อให้ที่ประชุมรับรอง โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรที่เป็นประโยชน์ร่วมกันด้วยวิสัยทัศน์ใหม่
แนวทางใหม่ และมาตรการใหม่
เพื่อให้พร้อมเผชิญกับความท้าทายที่มีอยู่และความท้าทายใหม่ อาทิ
การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกความร่วมมือทางการเกษตรระดับทวิภาคีและพหุภาคี
และสนับสนุนให้องค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (APTERR) และสำนักงานเลขานุการระบบข้อมูลสารสนเทศความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคอาเซียน
(AFSIS) ให้มีบทบาทมากขึ้น
การส่งเสริมระบบอาหารและการเกษตรที่ยั่งยืน การเกษตรหมุนเวียน
และการเกษตรคาร์บอนต่ำ การพัฒนาการเกษตรอัจฉริยะ
การส่งเสริมความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานทางการเกษตร
และการเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียในความร่วมมือด้านการเกษตรระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบเอกสารร่างแถลงการณ์ร่วมฯ แล้ว
กระทรวงการต่างประเทศจะมีหนังสือแจ้งการรับรองดังกล่าวอย่างเป็นทางการให้กับสำนักเลขาธิการอาเซียนต่อไป
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4054 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายเอกรัฐ พลซื่อ) | นร.04 | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายเอกรัฐ พลซื่อ
เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ 
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4055 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายโกเมนทร์ ทีฆธนานนท์) | ทส. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายโกเมนทร์
ทีฆธนานนท์ เป็นข้าราชการการเมือง
ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ 
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4056 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงศึกษาธิการ) | ศธ. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๕ คณะ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑. คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(ซีมีโอ) ๒. คณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าสื่อ วัสดุ
เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการศึกษา ๓.
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๔. คณะกรรมการฝ่ายการศึกษาของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๕.
คณะกรรมการฝ่ายวัฒนธรรมของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๖.
คณะกรรมการฝ่ายวิทยาศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๗.
คณะกรรมการฝ่ายสังคมศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๘.
คณะกรรมการฝ่ายสื่อสารมวลชนของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๙.
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ๑๐.
คณะกรรมการโครงการมนุษย์และชีวมณฑลของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ๑๑. คณะกรรมการโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน ๑๒. คณะกรรมการ PISA
แห่งชาติ ๑๓.
คณะกรรมการกำหนดนโยบายผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๑๔. คณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ 
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4057 | การบูรณาการการดำเนินงานเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเร่งด่วน | นร. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาสำคัญเร่งด่วนของชาติ
รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องต่าง ๆ
ทั้งที่เป็นภัยทางสังคมและภัยทางธรรมชาติ
สามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นบรรลุผลได้อย่างรวดเร็วและเท่าทันสถานการณ์ให้มากที่สุด
จึงขอให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
ประสานความร่วมมือและร่วมดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่และอำนาจในการดำเนินการป้องกัน
แก้ไขปัญหา และให้ความช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องต่าง ๆ เช่น
ปัญหาภัยพิบัติและภัยธรรมชาติ ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด
เพื่อบูรณาการการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด 
											    												    		
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4058 | เร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล | นร. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
เพื่อให้การพิจารณาร่างกฎหมายต่าง ๆ
ของคณะรัฐมนตรีเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา
จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน)
กำกับและติดตามให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติที่อยู่ในความรับผิดชอบต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
เพื่อให้สามารถนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาให้ทันสมัยการประชุมรัฐสภาครั้งถัดไป 
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4059 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง กฎหมายด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา | สว. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑.
รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง กฎหมายด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา
โดยคณะกรรมาธิการฯ
มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเร่งรัดและผลักดันในการจัดทำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และการออกกฎหมายแต่ละฉบับให้มีความสอดคล้องซึ่งกันและกัน
รวมถึงการดำเนินการเพื่อเกิดการเสริมสร้างระบบธรรมาภิบาลขึ้นในสถาบันอุดมศึกษา
ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ           ๒.
มอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป 
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4060 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การปฏิรูปการขึ้นทะเบียนคนพิการเพื่อให้คนพิการได้รับสิทธิสวัสดิการและความช่วยเหลือได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา | สว. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้           ๑.
รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
การปฏิรูปการขึ้นทะเบียนคนพิการเพื่อให้คนพิการได้รับสิทธิสวัสดิการและความช่วยเหลือได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง
ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ
และผู้ด้อยโอกาส โดยคณะกรรมาธิการฯ มีข้อเสนอแนะต่อการปฏิรูปการขึ้นทะเบียนคนพิการเพื่อให้คนพิการได้รับสิทธิสวัสดิการและความช่วยเหลือได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง
เช่น ควรเร่งปรับปรุงหลักเกณฑ์การประเมิน การวินิจฉัย และการรับรองความพิการ
เพื่อให้คนพิการได้เข้าสู่ระบบการขึ้นทะเบียนคนพิการได้ครอบคลุมและทั่วถึง
ควรเพิ่มเติมการออกบัตรประจำตัวคนพิการแบบชั่วคราว
และควรพัฒนาฐานข้อมูลคนพิการให้สามารถเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลอื่นแบบเรียลไทม์ (Real-time) และคนพิการเข้าถึงได้โดยสะดวก
เป็นต้น ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ           ๒. มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป 
  | 
											    |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
