ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 206 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 4101 - 4120 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
4101 | รายงานสรุปผลการประชุมหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ | นร.10 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงาน
ก.พ. เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ โดยกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงาน
ก.พ. ได้ประชุมหารือร่วมกันเพื่อพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลของกระทรวงสาธารณสุขในระหว่างเดือนธันวาคม
๒๕๖๕ ถึงปัจจุบัน รวม ๓ ครั้ง มีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑)
ประเด็นปัญหาการบริหารทรัพยากรบุคคลของกระทรวงสาธารณสุขที่สำคัญ เช่น
การขาดแคลนอัตรากำลัง การปรับปรุงการจ่ายค่าตอบแทน
และการปรับปรุงสวัสดิการให้แก่บุคลากร (๒)
เห็นควรตั้งคณะทำงานร่วมของทั้งสองหน่วยงานในการกำหนดกรอบประเด็นปัญหาในภาพรวมและประเด็นที่จะต้องดำเนินการแก้ไขเร่งด่วน
และ (๓) แนวทางการแก้ปัญหา กำหนดเป็น ๒ ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน เช่น
การกำหนดตำแหน่งระดับชำนาญการพิเศษในราชการส่วนภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น และระยะยาว
เช่น การเพิ่มกำลังการผลิตนักศึกษาในสายงานบุคลากรทางการแพทย์
การปรับปรุงพัฒนาระบบสวัสดิการ และค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ ตามที่สำนักงาน
ก.พ. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
4102 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 | กค. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี
งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ ประกอบด้วย (๑)
รายงานผลการดำเนินงานปีบัญชี ๒๕๖๕ เปรียบเทียบกับปีบัญชี ๒๕๖๔ ได้แก่
งบแสดงฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุนและกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (๒) ทิศทางและแผนยุทธศาสตร์
ปี ๒๕๖๖-๒๕๗๐ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ จำนวน ๗ ด้าน เช่น ผลักดันการขยายธุรกิจ New S-curve และธุรกิจบริการเพื่อสร้างมูลค้าใหม่
(Soft Power and Growth Driver)
ยกระดับธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจสีเขียว (End to End Net Zero Economy Escalator)
และสร้างศักยภาพและความมั่นใจแก่ผู้ประกอบการในการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว
อันเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4103 | รายงานสรุปผลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ประจำปี 2562-2564 | อว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์
ประจำปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.
การดำเนินการตามพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๘ เช่น
การจัดทำกฎหมายลำดับรองประกอบการบังคับใช้ การจัดทำระบบการให้บริการแบบออนไลน์
และการประกาศนโยบายการกำกับดูแลและส่งเสริมการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ๒.
ผลการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒-๒๕๖๔ โดยในปี ๒๕๖๔ มีการดำเนินการที่สำคัญ เช่น (๑) สถานที่ดำเนินการต่อสัตว์ฯ
มีจำนวนรวมทั้งสิ้น ๒๙๙ แห่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการวิจัยมากที่สุด (๒)
สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ มีการใช้สัตว์ฯ จำนวนรวมทั้งสิ้น ๖๖.๕ ล้านตัว
โดยสัตว์ประเภทสัตว์ทดลองที่นิยมใช้มากที่สุด ได้แก่ หนูเมาส์ หนูแรท และหนูตะเภา
(๓) ผู้ใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ มีการยื่นขอรับใบอนุญาตใช้สัตว์ฯ ตั้งแต่ปี
๒๕๕๘-๒๕๖๔ ทั้งสิ้น ๙,๕๐๑ คน (๔) ผู้ผลิตสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์
มีการยื่นขอรับใบอนุญาตผลิตสัตว์ฯ ทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ทั้งสิ้น
๑๖๗ คน (๕) การดำเนินการนำเข้า ส่งออก นำผ่านราชอาณาจักรฯ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๔
มีการแจ้งนำเข้าซึ่งสัตว์ฯ รวม ๙๐ ครั้ง และแจ้งส่งออกซึ่งสัตว์ฯ รวม ๒๓๖ ครั้ง
และ (๖) การขายสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งสิ้น ๘๔,๓๘๓ ตัว ๓.
การพัฒนางานการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ในระยะต่อไป เช่น
การพัฒนาคุณภาพสัตว์ทดลองทั้งชนิดและปริมาณให้หลากหลายตามความตองการของผู้ใช้
และการพัฒนาสถานที่ดำเนินการต่อสัตว์ฯ ให้ได้มาตรฐาน
|
|||||||||||||||||||||
4104 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา 165 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ในช่วงระหว่างเดือนเมษายน - มิถุนายน 2566 | นร.12 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา
๑๖๕ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๕ ในช่วงระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน
๒๕๖๖ ซึ่งสำนักงาน ก.พ.ร. ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.
พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๕ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๕
โดยมาตรา ๑๖๕ กำหนดให้ภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและหัวหน้าหน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติการตามกฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาร่วมกันพิจารณาเพื่อดำเนินการให้หน่วยงานดังกล่าวรับผิดชอบในการป้องกันและปราบปราม
การสืบสวน และการสอบสวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายนั้น ๆ
ทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่จะได้ตกลงกัน
โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและการบูรณาการในการปฏิบัติหน้าที่ และการแบ่งเบาภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบทุกสามเดือน ๒. ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
(นายวิษณุ เครืองาม) ได้เป็นประธานในการประชุมหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อวันที่
๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๖ ได้ข้อยุติร่วมกันในการกำหนดความรับผิดชอบ
โดยให้ตัดโอนภารกิจด้านการป้องกัน การปราบปราม การสืบสวน (ก่อนการจับกุม)
และการจับกุมให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนภารกิจด้านการสอบสวน
ตำรวจยังคงรับผิดชอบเช่นเดิม ซึ่งการตัดโอนภารกิจดังกล่าวกระทำได้ตามกรอบกฎหมาย ๘
ฉบับ เช่น พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งให้อำนาจพนักงาน เจ้าหน้าที่
เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ส่วนกฎหมายอีก
๕ ฉบับ เช่น พระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่มีอำนาจในการปราบปรามและจับกุม
จึงยังคงอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||
4105 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวโน้มการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโลจิสติกส์ไทย ของคณะกรรมาธิการคมนาคม วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง แนวโน้มการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโลจิสติกส์ไทย
ของคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปผลได้ ดังนี้ ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ในส่วนของการให้หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการพัฒนาในประเด็นแนวโน้มที่มีการดำเนินการแล้วแต่ยังไม่สมบูรณ์นั้น
ได้มีการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มมีความหลากหลายและมีมาตรฐานต่างกัน เช่น
การพัฒนาระบบ National Single Window (NSW) ให้มีการเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
การเร่งรัดการพัฒนาระบบการค้าดิจิทัลแพลตฟอร์มแห่งชาติ (National Digital
Trade Platform : NDTP) และขยายผล ASEAN Single Window (ASW)
ให้สามารถเชื่อมโยงกับประเทศอื่นนอกอาเซียน
มีการพัฒนาระบบข้อมูลดิจิทัลด้านโลจิสติกส์ โดยพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ (Big
Data) การขนส่งและโลจิสติกส์ เช่น
จัดทำระบบฐานข้อมูลการค้าธุรกิจบริการโลจิสติกส์ในรูปแบบ Dashboard รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้า และสถิติการค้าธุรกิจโลจิสติกส์
และขยายการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศ เช่น พัฒนาการจัดการและการบริการโลจิสติกส์การขนส่งสินค้าทางอากาศด้วยระบบดิจิทัล
ในส่วนของการให้ภาครัฐเร่งพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่มีความรวดเร็วนั้น
ได้มีการนำระบบการขนส่งอัจฉริยะ (ITS) มาใช้เพิ่มมากขึ้น
เช่น ติดตั้งระบบ Lane Management System ในเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ขยายผลการติดตั้ง
GPS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยในการใช้รถ/ใช้ถนนของรถโดยสารและรถบรรทุก
และได้มีการยกระดับการพัฒนาท่าเรือดิจิทัลให้เป็น e-Port Community System
(PCS) เพื่อการบริหารจัดการอำนวยความสะดวกในภาพรวม
ซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ดำเนินโครงการจ้างเหมาเพื่อพัฒนาระบบดังกล่าวแล้ว
ในส่วนของการให้ภาครัฐสนับสนุนให้มีการพัฒนาด้านการขนส่งด้วยวิธีการขนส่งแบบใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้น
ได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบ ข้อบังคับ ขั้นตอน การปฏิบัติภายในหน่วยงานเพื่อให้การดำเนินธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแพลตฟอร์มของระบบต่าง
ๆ ได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เช่น จัดทำ (ร่าง)
แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย
และในส่วนของการพัฒนาทุนมนุษย์ด้านโลจิสติกส์ ได้มีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ Logistics
Startup ของประเทศไทยเพิ่มขึ้น
โดยภาครัฐมีมาตรการสร้างการเติบโตและกระตุ้นธุรกิจด้าน Digital Logistics
Startup ของประเทศ เช่น จัดกิจกรรมเพื่อดำเนินการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยและต่างประเทศ
และมีการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นผ่านการจัดกิจกรรมต่าง
ๆ ให้แก่บุคลากร เช่น เผยแพร่ ถ่ายทอดความรู้
ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า
พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน การฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4106 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา สรุปผลการพิจารณาได้ว่า (๑)
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการได้มีการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องแผนการลงทุนให้กับข้าราชการทราบผ่านทางช่องทางต่าง
ๆ เช่น โทรศัพท์ โทรสาร ใบแจ้งยอดเงินสมาชิก ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์
แอปพลิเคชัน และเฟสบุ๊คแล้ว (๒)
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่า
การนำเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการไปใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์อื่น
อาจไม่คุ้มค่าและเสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากเงินออม และ (๓)
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการได้นำเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการที่อยู่ในบัญชีเงินสำรองไปลงทุนในหลักทรัพย์
โดยพิจารณาให้เกิดประโยชน์แก่เงินสำรองมากที่สุด เพื่อให้รัฐสามารถประหยัดงบประมาณในการนำส่งเงินสำรองมาให้กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการบริหาร
เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4107 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง มาตรการสนับสนุนสายการบินของไทยภายใต้นโยบายการเปิดน่านฟ้าเสรี ของคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง มาตรการสนับสนุนสายการบินของไทยภายใต้นโยบายการเปิดน่านฟ้าเสรี
ของคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยเห็นชอบกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ และสรุปผลการดำเนินงานได้ว่า ระยะสั้น
ภายใน ๑-๒ ปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการ เช่น
เห็นควรให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาทบทวนสิทธิการบินและเส้นทางบินที่สำคัญ
โดยเฉพาะเส้นทางบินที่ประเทศไทยยังคงมีข้อเสียเปรียบ
รวมทั้งเส้นทางบินที่สายการบินต้นทุนต่ำ (Low
Cost Carrier : LCC) เปิดให้บริการในปัจจุบัน
เนื่องจากสายการบินต้นทุนต่ำมีการเติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีการแข่งขันในตลาดสูง
และควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนาขีดความสามารถเพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณการจราจรทางอากาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ซึ่งจะส่งผลให้การขนส่งทางอากาศของประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
ระยะกลาง ภายใน ๓-๕ ปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการ เช่น
พัฒนาศักยภาพการบริการการจราจรทางอากาศของประเทศให้มีประสิทธิภาพรองรับปริมาณเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ซึ่งได้ดำเนินการตามแผนแม่บทห้วงอากาศและการเดินอากาศแห่งชาติแล้ว
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาทบทวนแนวทางในการเจรจาจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระดับทวิภาคี
โดยเฉพาะการบินพิสัยไกลที่ประเทศไทยมีความสามารถทางการแข่งขันอ่อนกว่าประเทศคู่สัญญา
รวมถึงเจรจาเส้นทางบินใหม่
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและความต้องการของผู้บริโภค เป็นต้น และระยะยาว
ภายใน ๖-๑๐ ปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการ เช่น
ติดตามและประเมินผลกระทบเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ทางการตลาดและปัจจัยอื่น ๆ
เพื่อให้ทราบถึงความต้องการของตลาดและเชื่อมโยงไปยังภาคธุรกิจเกี่ยวเนื่องเพื่อกำหนดเป้าหมายการพัฒนาในระยะยาว
และได้จัดทำนโยบายเพื่อให้มีกฎหมายที่สามารถสร้างผลลัพธ์สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างคล่องตัวและทันท่วงทีด้านการบินให้มีความชัดเจน
เพื่อลดต้นทุนในการกำกับดูแลและส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
เป็นต้น รวมทั้งมีข้อเสนอแนะอื่น ๆ ควรบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เช่น ต้นทุนของผู้ประกอบการ การติดต่อทางธุรกิจ
และการท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
และกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมให้การสนับสนุนเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการบินภายใต้การเปิดน่านฟ้าเสรี
และเป็น Hub ของการซ่อมบำรุงและผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4108 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ความเสียหายจากข้อผูกพันสัญญาในการดำเนินโครงการของรัฐ ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง ความเสียหายจากข้อผูกพันสัญญาในการดำเนินโครงการของรัฐ
ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล
วุฒิสภา โดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณารายงาน
พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ สรุปผลการพิจารณาได้ว่า
ประเด็นตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ บางประการ เช่น
การกำหนดมาตรการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการร่วมลงทุน การป้องกันการทุจริต เป็นต้น
พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้กำหนดรายละเอียดในเรื่องดังกล่าวไว้ชัดเจนแล้ว ส่วนประเด็นอื่น ๆ
เกี่ยวกับกฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับไปพิจารณาต่อไป
สำหรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการนั้น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกันอยู่
ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาศึกษาก่อนแก้ไขกฎหมายดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4109 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง
การจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล
วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปผลได้
ดังนี้ แนวทางการจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ภายใต้ “๑ โครงการ ๑ QR Code” เพื่อเปิดโอกาสและสร้างแรงจูงใจให้เครือข่ายภาคประชาสังคมหรือประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมเฝ้าระวัง
สอดส่อง และแจ้งเบาะแสการทุจริตในพื้นที่ของตนนั้น
ปัจจุบันกรมบัญชีกลางมีระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government
Procurement : e-GP) อยู่แล้ว
โดยจะมีการพัฒนาต่อยอดโดยการบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อจัดทำ QR
Code เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง
ข้อมูลโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ข้อตกลงคุณธรรม
(Integrity Pact) และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น
วงเงินงบประมาณ ราคากลาง เพื่อให้หน่วยงานของรัฐดาวน์โหลด QR Code นำไปใส่ไว้ในป้ายโครงการก่อสร้าง และผู้สนใจทั่วไปสามารถสแกน QR
Code เพื่อดูรายละเอียดโครงการได้
และกรมบัญชีกลางจะพัฒนาเว็บเพจรวบรวมช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความมั่นใจ รวมทั้งจะพัฒนาช่องทางการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
กรมบัญชีกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการปรับปรุงระบบ e-GP เพื่อรองรับแนวทางในการจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
โดยสามารถแบ่งระยะเวลาการดำเนินการได้เป็น ๒ ระยะ
ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการจัดหาผู้พัฒนาระบบงาน (ระยะที่ ๒
ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๖) อย่างไรก็ตาม
กรมบัญชีกลางได้ประสานกับกรมโยธาธิการและผังเมืองและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในเรื่องการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างว่าต้องจัดทำ
QR Code ไว้ที่ป้ายโครงการแล้ว
และได้รับแจ้งว่าการกำหนดแนวทางการปฏิบัติในการติดตั้งแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้างของทางราชการในปัจจุบันเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
(๒๒ มกราคม ๒๕๕๑) ดังนั้น หากต้องการให้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการนำ QR Code ไปแสดงในป้ายแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้าง จึงเห็นควรให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีให้มีมติกำหนดแนวทางในเรื่องดังกล่าวต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4110 | รายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของส่วนราชการ (จำนวน 5 ราย) | นร 05 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของส่วนราชการ
จำนวน ๕ ราย ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายพีรพันธ์
คอทอง รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒.
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายเถลิงศักดิ์
เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม ๓.
กระทรวงแรงงาน นายสมาสภ์
ปัทมะสุคนธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ๔. สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ นายศุภฤกษ์ ภู่พงศ์ศักดิ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ยุทธศาสตร์ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ๕. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ นางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ
ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก |
|||||||||||||||||||||
4111 | รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านความรุนแรงในครอบครัวตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ประจำปี 2563 และปี 2564 | พม. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านความรุนแรงในครอบครัวตามมาตรา
๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ประจำปี
๒๕๖๓ และปี ๒๕๖๔ โดยเป็นการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความรุนแรงในครอบครัว
จำนวนคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์
และจำนวนการละเมิดคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ของพนักงานเจ้าหน้าที่และศาล
และจำนวนการยอมความ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4112 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
พ.ศ. .... ของวุฒิสภา ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยมีระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยข้อบังคับการประชุมสภาท้องถิ่น (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.
๒๕๖๕ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
และกำหนดระยะเวลาให้สภาท้องถิ่นพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ประชาชนเสนอภายใน
๖๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างข้อบัญญัติท้องถิ่น สำหรับหลักการห้ามมิให้สภาท้องถิ่นแก้ไขสาระสำคัญของร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เสนอโดยประชาชน
หรือหากต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจะต้องกระทำโดยกระบวนการเข้าชื่อของประชาชนนั้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับข้อห้ามการแก้ไขสาระสำคัญของข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เสนอโดยประชาชนไว้
และพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๕
บัญญัติให้การพิจารณาร่างข้อบัญญัติฯ ต้องตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อพิจารณา
โดยให้สภาท้องถิ่นแต่งตั้งผู้แทนของผู้เข้าชื่อร่วมเป็นกรรมการวิสามัญด้วย
ประกอบกับการตราข้อบัญญัติท้องถิ่นกระทำโดยสภาท้องถิ่นซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน
ย่อมคำนึงถึงความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นนั้น
จึงเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดมาตรฐานไว้ นอกจากนี้ การเข้าชื่อเสนอร่างข้อบัญญัติเป็นไปเพื่อการแก้ไขและพัฒนาท้องถิ่น
การให้รางวัลในรูปแบบการเชิดชูเกียรติแก่บุคคล ย่อมเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่น
ได้มีการจัดทำโครงการระบบฐานข้อมูล Smart
Law ซึ่งจะมีระบบสืบค้นกฎหมาย ระเบียบ ข้อหารือ
คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องผ่าน Web application และ Mobile
application และมีศูนย์รวมข้อมูลข้อบัญญัติท้องถิ่น (คลังข้อมูลข้อบัญญัติท้องถิ่น)
เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนสืบค้นตัวอย่างข้อบัญญัติท้องถิ่นได้
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4113 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา สรุปได้ ดังนี้ การป้องกันมิให้พยานใช้มาตรการคุ้มครองพยานเป็นเครื่องมือปกป้องตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมาย
กระทรวงยุติธรรมจะได้กำชับหน่วยงานที่รับผิดชอบให้มีการพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบและระมัดระวังเป็นพิเศษต่อไป
บทนิยามคำว่า “พยาน” ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ครอบคลุมจำเลยในคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลมีความสอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญ
และพันธกรณีระหว่างประเทศในเรื่องความเสมอภาคและการปฏิบัติต่อผู้ต้องหาหรือจำเลยก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดนั้นแล้ว
และกระทรวงยุติธรรมจะได้รับข้อสังเกตเกี่ยวกับการดำเนินการมาตรการพิเศษในการเปลี่ยนชื่อตัว
ชื่อสกุล และหลักฐานทางทะเบียน
รวมทั้งการดำเนินการเพื่อกลับสู่ฐานะเดิมตามคำขอของพยานไปประกอบการพิจารณาจัดทำระเบียบเพื่อใช้ในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไป
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4114 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2565 ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) | ส.ส.ท | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี
๒๕๖๕ ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.)
โดยมีผลการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ (๑) ภาพรวมผลงาน ประจำปี ๒๕๖๕ เช่น
นำเสนอข่าวบนพื้นฐานข้อเท็จจริง ครบถ้วน รอบด้าน
เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตอิสระผลิตรายการใหม่ด้านการเรียนรู้ (๒)
แผนบริหารกิจการและแผนงบประมาณ ประจำปี ๒๕๖๖ (๓) ผังรายการในปี ๒๕๖๕ และแผนการจัดทำรายการ
ประจำปี ๒๕๖๖ (๔) งบแสดงฐานะการเงินและงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ (๕) รายงานการตรวจสอบภายใน (๖)
รายงานของคณะกรรมการประเมินผล (๗) การรับฟังความคิดเห็นจากสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ
และ (๘) ความคิดเห็นของผู้ชมและผู้ฟังที่มีต่อรายการของไทยพีบีเอส ตามที่ ส.ส.ท.
เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
4115 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. .... และของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา | สผ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
พ.ศ. .... และของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป สรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้ ๑. การกำหนดระดับของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ซึ่งมีอำนาจปรับเป็นพินัยให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
และการจัดทำคู่มือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ยกร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่จะออกตามความในมาตรา
๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕
เพื่อกำหนดตำแหน่งและคุณสมบัติของผู้ที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย
เพื่อให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายที่บัญญัติความผิดทางพินัยใช้เป็นแนวทางในการกำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย
(ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๖) สำหรับการจัดทำคู่มือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้นั้น
ปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา ๓๘
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่
๓๑๘/๒๕๖๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ลงวันที่ ๙ ธันวาคม
๒๕๖๕ แล้ว ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะเป็นผู้รับผิดชอบการจัดทำแนวทางหรือคู่มือการปฏิบัติงานเพื่อเผยแพร่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานอื่นของรัฐต่อไป ๒.
การเปลี่ยนความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตามกฎหมายในบัญชี ๑
ท้ายพระราชบัญญัตินี้ไม่ได้ระบุเลขมาตราที่จะต้องมีการเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยไว้ด้วย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะจัดทำบัญชีรายชื่อกฎหมายตามบัญชี ๑
ท้ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
พร้อมทั้งระบุมาตราที่จะมีการเปลี่ยนโทษอาญาเป็นการปรับเป็นพินัยเผยแพร่ในระบบเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้แล้วเสร็จก่อนวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
มีผลใช้บังคับ (วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๖)
ตลอดจนได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบอินโฟกราฟิกเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
ให้แก่หน่วยงานของรัฐและประชาชนทั่วไปผ่านทางช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ เพจ facebook ไลน์
ตลอดจนส่งไปยังอีเมลของหน่วยงานต่าง ๆ
เพื่อให้ช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไปในวงกว้างสำหรับการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนั้น ๓.
การปรับปรุงบทบัญญัติที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ไม่ร้ายแรงและมีโทษจำคุกและปรับที่สามารถเปรียบเทียบได้ให้เป็นความผิดทางพินัย
ให้หน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายตามรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อปรับปรุงลักษณะของความผิดและอัตราโทษให้เหมาะสมต่อไป ๔.
การปฏิรูประบบการกำหนดโทษในระบบกฎหมายไทย
การศึกษาระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day
fine) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดีและผู้ด้อยฐานะ
เห็นว่าการนำระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day fine) ในต่างประเทศจะใช้กับการฝ่าฝืนกฎหมายอาญา
เนื่องจากมีต้นทุนในการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ของประชาชน
ประกอบกับประเทศไทยยังไม่มีระบบการจัดเก็บรายได้ของประชาชน
และหานำระบบดังกล่าวมาใช้จะต้องเปลี่ยนระบบในการกำหนดโทษปรับทางอาญาใหม่
จากการกำหนดจำนวนค่าปรับ เป็นการกำหนดเป็นวันปรับ และระบบกฎหมายอาญาของไทยในปัจจุบันเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
เนื่องจากเป็นระบบที่ให้ดุลพินิจแก่ศาลในการพิจารณาสถานะทางเศรษฐกิจของแต่ละบุคคลประกอบการกำหนดโทษได้อยู่แล้ว
จึงยังไม่เห็นความจำเป็นต้องนำระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day
fine) มาใช้ในประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||
4116 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การบูรณาการความรู้ สู่หลักสูตรนวัตวิถีเกษตรเชิงธุรกิจ ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การบูรณการความรู้ สู่หลักสูตรนวัตวิถีเกษตรเชิงธุรกิจ
ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยเห็นชอบกับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
และมีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตรใหม่เพื่อกระจายอำนาจให้สถานศึกษาเพื่อพัฒนาหลักสูตรการศึกษาและเป็นไปตามความต้องการของท้องถิ่น
เพื่อให้เกิดการสร้างงานและอาชีพใหม่ ๆ
โดยการวิเคราะห์อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร
การจัดการทางธุรกิจที่จะนำมาใช้ในการประกอบอาชีพ
และได้มีการอนุมัติหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช ๒๕๖๓
(เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๕) ประเภทวิชาเกษตรกรรม สาขาวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร
ซึ่งมีการออกแบบหลักสูตรที่เน้นจากการเป็นผู้ใช้สู่การเป็นนวัตกร
ด้วยกระบวนการวิจัยและพัฒนา เพื่อเป็นผู้ผลิต ผู้ให้บริการเชิงธุรกิจ
รวมทั้งได้ปรับปรุงพัฒนาหลักสูตร เช่น สาขาวิชาอุตสาหกรรมเกษตร
สาขาวิชาช่างกลเกษตร สาขาวิชาพืชศาสตร์ สาขาวิชาสัตวศาสตร์
และสาขาวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
ซึ่งเป็นหลักสูตรภายใต้โครงการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา (Excellent Center) โดยหลักสูตรดังกล่าวเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะที่เชื่อมโยงสอดคล้องกับมาตรฐานอาชีพตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
(NQF) และกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน (AQRF) ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ ทั้งนี้
หลักสูตรต้องมีความยืดหยุ่นสามารถปรับให้เท่าทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจการค้า
และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการประกอบกิจการของตน
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4117 | งดการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2566 | นร.05 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า
ในวันอังคารที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ เป็นวันอาสาฬหบูชา และวันพุธที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๖
เป็นวันเข้าพรรษา นายกรัฐมนตรีจึงมีบัญชาให้งดการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑
สิงหาคม ๒๕๖๖
|
|||||||||||||||||||||
4118 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... ของรัฐสภา | สผ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. .... ของรัฐสภา ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยได้เห็นชอบในหลักการว่า
ในระหว่างที่ยังไม่มีการตราพระราชกฤษฎีกาโอนหน้าที่และอำนาจให้หน่วยงานหรือเจ้าพนักงานอื่นใดที่มีอำนาจในการจับกุมปราบปรามผู้กระทำความผิดอาญาที่เกิดขึ้นตามกฎหมายซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบเป็นหน่วยงานหรือเจ้าพนักงานผู้รับผิดชอบในการจับกุมปราบปรามผู้กระทำความผิดอาญาที่เกิดขึ้นโดยตรง
การให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาให้บุคลากรที่ทำหน้าที่ด้านวิชาการ
วิจัยและนวัตกรรม ครูผู้สอน ครูฝึก
หรือบุคลากรที่มีหน้าที่ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอื่น ๆ
มีตำแหน่งทางวิชาการหรือวิทยฐานะ
รวมทั้งได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมและครอบคลุมและการรับบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา
๖๐ (๑) นั้น จะต้องดำเนินการอย่างเสมอภาคและเป็นระบบ
และจะต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถของบุคคลเป็นสำคัญ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4119 | การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ประจำปี 2566 (เพิ่มเติม) | นร.05 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบกำหนดให้วันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖ เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษอีก
๑ วัน ในปี ๒๕๖๖ ๒.
ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็น
หรือราชการสำคัญในวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษดังกล่าวที่ได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว
ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน
ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร
โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและกระทบต่อการให้บริการประชาชน
|
|||||||||||||||||||||
4120 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านประกอบ จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... | มท. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านประกอบ
จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลทับช้าง และตำบลประกอบ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา
เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน
การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งมีนโยบายและมาตรการในการพัฒนาเมืองเพื่อรองรับการเป็นด่านถาวรที่มีมาตรฐานสากลและพัฒนาชุมชนชายแดนให้เป็นชุมชนน่าอยู่
ส่งเสริมและพัฒนาการใช้ประโยชน์ที่ดินในชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และสอดคล้องกับบทบาทชุมชนชายแดนบ้านประกอบ
รวมทั้งการรักษาพื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรแก้ไขเพิ่มเติม และให้มีข้อกำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบ และความเห็นชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ ควรคำนึงถึง กฎ ระเบียบ ที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย
เช่น มาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ มาตรการการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่อนุรักษ์
โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ควรพิจารณาทบทวนหรือกำหนดข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัญชีท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย
ในประเภทหรือชนิดของโรงงาน ลำดับที่ ๒๔ โรงงานถักผ้า ผ้าลูกไม้
หรือเครื่องนุ่งห่มด้วยด้ายหรือเส้นใย หรือฟอกย้อมสี เป็นต้น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนด
เพื่อให้การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทสอดคล้องกับเจตนารมณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |