ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1452 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29021 - 29040 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29021 | รายงานสถานะปัจจุบันในการดำเนินงานตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี | ยธ | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะปัจจุบันในการดำเนินงานตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยผลจากการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ทำให้ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องดำเนินการ ๔ ประการ ดังนี้
๑. การประกันให้เกิดสิทธิตามอนุสัญญาฯ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ดำเนินการศึกษาและยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. .... เพื่อปรับแก้ให้กฎหมายภายในประเทศมีความสอดคล้องกับอนุสัญญาฯ โดยกำหนดให้ความผิดฐานทรมานเป็นความผิดเฉพาะที่สามารถลงโทษได้ตามกฎหมายอาญา ปัจจุบันร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับ ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และคณะกรรมการพัฒนากฎหมายของกระทรวงยุติธรรมแล้ว และอยู่ระหว่างประมวลเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ๒. การปฏิบัติให้เกิดสิทธิตามอนุสัญญาฯ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมวิทยากรและหลักสูตรเผยแพร่หลักการและสาระสำคัญของอนุสัญญาฯ โดยส่งมอบให้หน่วยงานต่าง ๆ นำไปเผยแพร่ให้กับบุคลากรในสังกัดเพื่อนำไปปรับใช้ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม และกรมราชทัณฑ์ ได้จัดฝึกอบรมเกี่ยวกับอนุสัญญาฯ ให้กับบุคลากรในสังกัด รวมทั้งได้มีหนังสือเวียนกำชับไม่ให้บุคลากรดำเนินการขัดต่อหลักการของอนุสัญญาฯ ๓. การเผยแพร่หลักการของอนุสัญญาฯ อย่างกว้างขวาง กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ดำเนินการเผยแพร่หลักการและสาระสำคัญของอนุสัญญาฯ ให้แก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งในรูปแบบของสื่อ เช่น หนังสือ แผ่นพับ และการจัดฝึกอบรม ประชุม สัมมนา โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้จัดการฝึกอบรมความรู้เกี่ยวกับอนุสัญญาฯ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง ๙ ภูมิภาค เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญตามอนุสัญญาฯ ๔. การจัดทำรายงานประเทศตามอนุสัญญาฯ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฯ โดยได้รายงานผลการดำเนินงานฯ ฉบับสมบูรณ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษแล้ว และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าว จึงได้ส่งรายงานผลการดำเนินงานฯ ให้แก่กระทรวงการต่างประเทศเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการต่อต้านการทรมานขององค์การสหประชาชาติเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะมีกำหนดเดินทางไปนำเสนอรายงานด้วยวาจา ณ สำนักงานองค์การสหประชาชาติ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29022 | การประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย สมัยพิเศษ ในโอกาสการฉลองครบรอบ 20 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - อินเดีย และการเยือนสาธารณรัฐประชาชน บังกลาเทศอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย สมัยพิเศษ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย และการเยือนสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ ของนายกรัฐมนตรี และให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการเข้าร่วมการประชุมและผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดียฯ ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้ร่วมรับรองเอกสารวิสัยทัศน์อาเซียน-อินเดีย (ASEAN-India Vision Statement) เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินความสัมพันธ์และความร่วมมือในทศวรรษหน้า โดยจะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ได้แก่ ด้านการเมืองและความมั่นคง โดยเฉพาะความมั่นคงทางทะเล การค้าสินค้าบริการและการลงทุน ด้านการเชื่อมโยง การแลกเปลี่ยนด้านสังคมและวัฒนธรรม ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา และการส่งเสริมบทบาทของอินเดียเพื่อร่วมพัฒนาอาเซียน ทั้งนี้ ไทยได้เน้นย้ำจุดแข็งในการเป็น land bridge เชื่อมโยงอาเซียนและอินเดีย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจแม่โขง-อินเดีย เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า สำหรับประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ ๑.๑ การดำเนินการตามกระบวนการภายในเพื่อให้ความตกลงด้านการค้าบริการและการลงทุนอาเซียน-อินเดีย มีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒ การพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างกันแบบรอบด้านทั้งทางโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และประชาชน โดยมีความเชื่อมโยงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (digital connectivity) เป็นตัวเร่ง โดยให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นกับทางหลวงสามฝ่ายไทย-เมียนมาร์-อินเดีย และการต่อขยายไปยัง สปป.ลาว และกัมพูชา รวมถึงการสร้างทางหลวงสายใหม่เชื่อมโยงเวียดนาม ๑.๓ การสนับสนุนต่อกองทุนเพื่อความร่วมมือต่าง ๆ ระหว่างอาเซียนและอินเดีย เช่น กองทุนอาเซียน-อินเดีย กองทุนสีเขียวอาเซียน-อินเดีย และกองทุนอาเซียน-อินเดียเพื่อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๑.๔ การเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันในด้านความมั่นคง รวมทั้งความมั่นคงรูปแบบใหม่ อาทิ อาชญากรรมข้ามชาติ การต่อต้านการก่อการร้าย การค้ามนุษย์ ปัญหายาเสพติด ๑.๕ การบูรณาการการจัดเก็บข้อมูลลู่ทางการขยายอุตสาหกรรมไทยในอินเดีย ในการสนับสนุนนักธุรกิจไทยในเรื่องต่าง ๆ อาทิ การส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างอาเซียน-อินเดีย และไทย-อินเดีย เพื่อลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ในการนำเข้าวัตถุดิบและสร้างความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย ๒. ผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศฯ ผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือระหว่างกันในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านการคมนาคม ความร่วมมือทางวัฒนธรรม วิชาการ และการทหาร การทำงานร่วมกันภายใต้กรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค และการสนับสนุนบทบาทซึ่งกันและกันในเวทีระหว่างประเทศ รวมทั้งเห็นพ้องเรื่องการเพิ่มมูลค่าการค้าทวิภาคี การต่ออายุบันทึกความเข้าใจเรื่องการค้าข้าวนึ่ง การสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปลงทุนในบังกลาเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการเจรจาทำความตกลงเรื่องการส่งแรงงานบังกลาเทศเข้ามาในไทย และการเชิญไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มศึกษาปอกระเจาระหว่างประเทศ และขอให้ไทยพิจารณาเพิ่มการนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาจากบังกลาเทศ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของไทยกับบังกลาเทศ สำหรับประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ ๒.๑ การต่ออายุบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลบังกลาเทศตกลงจะซื้อข้าวนึ่งจากไทยปีละไม่เกินหนึ่งล้านตันเมื่อมีความจำเป็นออกไปอีกสามปี จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๙ การส่งเสริมให้ภาคเอกชนของแต่ละฝ่ายเข้าร่วมงานแสดงสินค้าของแต่ละฝ่ายเพิ่มมากขึ้น การเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มศึกษาปอกระเจาระหว่างประเทศตามคำเชิญของบังกลาเทศ การจัดตั้งคณะทำงานระหว่างกระทรวงสาธารณสุขของทั้งสองฝ่าย เพื่อขยายความร่วมมือด้านบริการสุขภาพ และอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวบังกลาเทศมารักษาพยาบาลในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น การให้เอกชนไทยเข้ามาลงทุนในสาขาที่ภาคเอกชนไทยมีศักยภาพ การสรรหาแรงงานจากบังกลาเทศมาทำงานในภาคการประมงในไทย การให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการในการศึกษาเชิงลึกเพื่อพัฒนาภาคการท่องเที่ยวของบังกลาเทศ และพิจารณาแสวงหาโอกาสด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการในบังกลาเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และเชิงพุทธศาสนา รวมทั้งการส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยลงทุนในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมของไทยขึ้นเป็นการเฉพาะในบังกลาเทศ ๒.๒ การเชื่อมโยงความร่วมมือในระดับภูมิภาคทั้งทางอากาศ ทางทะเล และทางบก โดยการหารือถึงรูปแบบความร่วมมือในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๗ ที่กำหนดจะจัดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และการให้ความสำคัญกับการยกระดับท่าเรือระนองให้สามารถให้บริการด้านโลจิสติกส์ในลักษณะจุดเดียว ๒.๓ การขยายโครงการความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างไทย-บังกลาเทศ ๒.๔ การกระชับความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกัน ๒.๕ การยกระดับความร่วมมือด้านการทหาร และการส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีในด้านการข่าวเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ อาวุธ และยาเสพติด และการก่อการร้าย ๒.๖ การยกระดับความร่วมมือระดับภูมิภาคและทำงานร่วมกันภายใต้กรอบ BIMSTEC, ARF และ ACD การสนับสนุนการสมัครของบังกลาเทศเข้าเป็นสมาชิกในกรอบความร่วมมือ East-West Economic Corridor (EWEC) และความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-คงคา การจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ การผลักดันให้การเจรจาความตกลงการค้าเสรีในกรอบ BIMSTEC เสร็จสิ้นโดยเร็ว และการแลกเสียงสนับสนุนซึ่งกันและกันในกรอบองค์การสหประชาชาติ และในเวทีระหว่างประเทศอื่น ๆ เช่น UPU Postal Operations Council และ Council of Administration
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29023 | การบริหารงานบุคคลสำหรับข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. | นร51 | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางการบริหารงานบุคคลข้าราชการพลเรือนประจำกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ตามที่ กอ.รมน. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. และอำนาจหน้าที่ ๑.๒ กำหนดผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ๑.๓ ให้สำนักงาน ก.พ. รับไปดำเนินการเรื่อง การโอนเพื่อให้ข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. สามารถโอนได้เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนสามัญ ๒. ให้ กอ.รมน. ไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อปรับแก้ไขแนวทางการบริหารงานบุคคลข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ในส่วนของการกำหนดผู้มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. การกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และการกำหนดให้คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการกำหนดเงินค่าตอบแทนพิเศษเสนอผู้อำนวยการ กอ.รมน. เพื่อประกาศใช้บังคับ ให้เป็นไปตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. เรื่องผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ควรกำหนดให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ โครงสร้าง และสายการบังคับบัญชาของ กอ.รมน. โดยคำนึงถึงความคล่องตัวในการบริหารจัดการเป็นหลัก ส่วนการกำหนดค่าตอบแทนพิเศษควรให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณา รวมทั้งเห็นควรให้มีคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. (อ.ก.พ. ประจำ กอ.รมน.) ขึ้นอีกคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองการบริหารงานบุคคล ไปประกอบการพิจารณาด้วย ก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรพิจารณาให้ความเห็นชอบ แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 29024 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิกต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิกต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิกต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. ๒๕๐๘-๒๕๕๕ ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ ๔๓๙๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระเบื้องดินเผาปูพื้น กระเบื้องดินเผาเคลือบบุผนังภายใน และกระเบื้องดินเผาบุผนังภายนอก และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิก ลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29025 | ขออนุมัติเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง และขอก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ | อก | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๑ คัน ระยะเวลา ๕ ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๖๐ ในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๓๕,๒๘๐ บาท โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เป็นต้นไป วงเงินทั้งสิ้น ๑,๙๗๕,๖๘๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๘๒,๒๔๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๑,๖๙๓,๔๔๐ บาท ซึ่งเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการและแนวทางการขอก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้ว ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ได้รับจัดสรรในงบดำเนินการ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ.๒๕๖๐ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29026 | รายงานผลการดำเนินการกรณีข้อร้องเรียนของประชาชน | นร04 | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีมีองค์กรต่างๆ และประชาชนยื่นหนังสือร้องเรียนร้องทุกข์ต่อนายกรัฐมนตรีในระหว่างเดินทางไปประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดสุรินทร์ โอกาสเดินทางไปตรวจเยี่ยมและติดตามการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๕ การประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดกระบี่ และระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสุราษฎร์ธานี สรุปได้ ดังนี้
๑. มีผู้ร้องเรียน จำนวน ๒๐ ราย โดยมีประเด็นข้อร้องเรียนที่สำคัญ ได้แก่ การขอออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำกิน การเปลี่ยนสภาพมหาวิทยาลัย การจัดการศึกษา การขอให้ปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จบำนาญลูกจ้าง (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๕๒ การขอให้แก้ไขความเดือดร้อนของเกษตรกร การก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน การขอให้ติดตามกรณีการทุจริตการจ่ายเงินชดเชยช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม การสนับสนุนให้ตรากฎหมายกำหนดตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และตำแหน่งอื่น ๆ เพื่อช่วยบริหารราชการของอำเภอเกาะสมุย การขอรับสนับสนุนงบประมาณโครงการต่าง ๆ เป็นต้น ๒. ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อเรียกร้อง ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จังหวัดสตูล สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดร้อยเอ็ด และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้รายงานผลการดำเนินการไปในลักษณะส่งต่อให้หน่วยปฏิบัติดำเนินการต่อไป ๓. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเห็นควรส่งเรื่องให้ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนำเข้าระบบเรื่องร้องเรียนนายกรัฐมนตรีและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29027 | การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการสำมะโนการเกษตร พ.ศ. 2556 | ทก | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการสำมะโนการเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ คนที่ ๑ คนที่ ๒ และคนที่ ๓ เป็นรองประธานกรรมการ ผู้แทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักสถิติสังคม สำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานโครงการสำมะโนการเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งให้คำปรึกษา แนะนำ และกำกับการดำเนินงานตามโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มผู้แทนหน่วยงานกรมการข้าว กรมหม่อนไหม ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นคณะกรรมการในคณะกรรมการบริหารโครงการสำมะโนการเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๖ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๔๖,๓๔๐,๗๐๐ บาท นั้น เห็นควรให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป และควรเพิ่มคุ้มรวมกิจกรรมการบริการทางการเกษตร เช่น การรับจ้างไถด้วยรถแทรกเตอร์ การเก็บเกี่ยวพืชผล เป็นต้น จัดเก็บข้อมูลผู้ประกอบการทางการเกษตร แยกประเภทครัวเรือน และธุรกิจหรือนิติบุคคล เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ และการปรับปรุงจัดทำรายได้ประชาชาติ จัดเก็บข้อมูลโครงสร้างต้นทุนการผลิตภาคเกษตร เพิ่มการจำแนกประเภทและขนาดการใช้ปุ๋ยและสารปราบศัตรูพืชในไร่นาระหว่างการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และ/หรือ ปุ๋ยเคมี รวมทั้งสารปราบศัตรูพืชจากสารชีวภาพ และ/หรือ สารเคมี การจัดเก็บข้อมูลประมงน้ำจืด ให้ครอบคลุมครัวเรือนเกษตรกร และปริมาณการจับสัตว์น้ำในบริเวณแหล่งน้ำสำคัญตามธรรมชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 29028 | รายงานผลการดำเนินการ "โครงการธงฟ้าเคลื่อนที่เพื่อประชาชน" (Mobile Unit) | พณ | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการ “โครงการธงฟ้าเคลื่อนที่เพื่อประชาชน” (Mobile Unite) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ มกราคม ๒๕๕๖ กรมการค้าภายในได้จัดรถเคลื่อนที่เพื่อนำสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพไปจำหน่ายในชุมชนที่มีรายได้น้อยและลูกจ้างในสถานประกอบการต่างๆ ไม่ต่ำกว่าวันละ ๑๐ จุด ในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร (๕๐ เขต) ปริมณฑล (จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม) รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียง ในราคาต่ำกว่าท้องตลาดร้อยละ ๒๐-๔๐ จำนวน ๗ ชนิด ได้แก่ น้ำมันพืช น้ำตาลทราย ข้าวสาร ไข่ไก่ เนื้อสุกรชำแหละ เนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ รวมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ เช่น ผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาล้างจาน ฯลฯ มียอดจากการจำหน่ายสินค้ารวมทั้งสิ้น ๔,๐๘๐,๐๒๐ บาท ประชาชนให้การตอบรับโครงการธงฟ้าเคลื่อนที่เพื่อประชาชน (Mobile Unit) และให้ความสนใจซื้อสินค้าประมาณ ๑๑,๔๗๕ คน สินค้าที่ขายดี ได้แก่ น้ำมันพืช น้ำตาลทราย และสินค้าอุปโภคบริโภค สามารถลดภาระค่าครองชีพประชาชน ประมาณ ๑,๗๔๘,๕๘๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29029 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2555 | ทก | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน จำนวน ๔๐.๑๗ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๙๗ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๑.๕๗ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๔.๐ หมื่นคน ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔ จำนวน ๗.๒ แสนคน (จาก ๓๙.๔๕ ล้านคน เป็น ๔๐.๑๗ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ จำนวน ๓๙.๙๗ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔ จำนวน ๙.๙ แสนคน (จาก ๓๘.๙๘ ล้านคน เป็น ๓๙.๙๗ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๕ ทั้งนี้ ผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น ๑.๓ ล้านคน รองลงมาเป็นสาขาการผลิต ๒.๖ แสนคน สาขาการก่อสร้าง ๑.๕ แสนคน สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร ๑.๕ แสนคน สำหรับผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ ๒.๔ แสนคน รองลงมาเป็น สาขากิจกรรมการบริการด้านอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีด และซักแห้ง เป็นต้น ๒.๑ แสนคน สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และรถจักรยานยนต์ ๑.๔ แสนคน สาขากิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย ๖.๐ หมื่นคน และสาขาการศึกษา ๖.๐ หมื่นคน เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ จำนวน ๑.๕๗ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๔ ของกำลังแรงงานรวม (ลดลง ๑.๖๕ แสนคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔) ผู้ว่างงาน ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน ๕.๖ หมื่นคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน ๑.๐๑ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการบริการและการค้า ๕.๒ หมื่นคน ภาคการผลิต ๔.๕ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๔.๐ พันคน เป็นผู้ว่างงานที่มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จำนวน ๕.๙ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๓.๗ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๓.๖ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๑.๖ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๙.๐ พันคน ทั้งนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง ๗.๑ หมื่นคน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒.๖ หมื่นคน ภาคใต้ ๒.๔ หมื่นคน ภาคเหนือ ๒.๐ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๑.๖ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29030 | ปัญหาอาชญากรรม (ในรอบเดือนธันวาคม 2555) [รายงานข้อมูลปัญหาอาชญากรรม] | ตช | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานข้อมูลปัญหาอาชญากรรม ในรอบเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการป้องกันอาชญากรรม ๑.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ คดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๓๙๗ คดี ๑.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ คดีประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย และเพศ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๒,๑๐๘ คดี ๑.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๓,๙๐๓ คดี ๒. ด้านการปราบปรามอาชญากรรม ๒.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ จับกุมได้ ๒๓๙ คดี คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๒๐ ของการรับแจ้ง (๓๙๗ คดี) ๒.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ จับกุมได้ ๙๙๒ คดี คิดเป็นร้อยละ ๔๗.๐๖ ของการรับแจ้ง (๒,๑๐๘ คดี) ๒.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ จับกุมได้ ๑,๖๓๖ คดี คิดเป็นร้อยละ ๔๑.๙๒ ของการรับแจ้ง (๓,๙๐๓ คดี) ๓. ด้านการประชาสัมพันธ์ ได้ดำเนินการเร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของตนเองให้มากยิ่งขึ้น โดยไม่เปิดโอกาสให้คนร้ายเข้ามาประทุษร้ายต่อทรัพย์ของตนเองได้ง่าย รวมทั้งการให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสการกระทำผิดของคนร้าย สำหรับกรณีที่มีการจับกุมผู้กระทำผิดในคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายในภาพรวมหรือกระทบต่อความสงบสุขในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน ให้พิจารณาจัดแถลงข่าวทางสื่อมวลชนให้ประชาชนได้รับทราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29031 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... | สผ | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป และมอบให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และสำนักงาน ก.พ. รับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณา และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ดังนี้
๑. เห็นควรให้แก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... เป็นดังนี้ "โดยที่การขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีความสำคัญต่อระบบการค้าระหว่างประเทศ และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนได้มีการทำความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน ซึ่งวางกรอบความร่วมมือในการให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินพิธีการร่วมกันในพื้นที่เดียวกัน ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและเป็นการปฏิบัติตามพันธะกรณีดังกล่าว สมควรกำหนดให้มีพื้นที่สำหรับดำเนินพิธีการร่วมกันและกำหนดหลักเกณฑ์กลางสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศภาคีตามความตกลงเพื่อดำเนินพิธีการในพื้นที่ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้" ๒. ในการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเตรียมการกำหนดพื้นที่ควบคุมร่วมกันในอนาคต หากปรากฏว่าปริมาณสินค้าส่งออกของไทยมีปริมาณมากกว่าสินค้านำเข้า กระทรวงคมนาคมควรพิจารณากำหนดให้มีการดำเนินการพิธีการร่วมกันในเขตประเทศไทย ๓. กรมศุลกากรจำเป็นต้องปรับปรุงพิธีการสำหรับสินค้าผ่านแดน (Transit goods) ให้สามารถใช้บังคับกับการขนส่งผ่านแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศโดยเร่งด่วน พิธีการดังกล่าวควรพิจารณากำหนดมาตรการในการอำนวยความสะดวกยิ่งกว่าพิธีการสำหรับการนำเข้าและส่งออกโดยทั่วไป ๔. กระทรวงคมนาคมควรพิจารณาแยกพื้นที่ควบคุมร่วมกันสำหรับการดำเนินพิธีการเกี่ยวกับสินค้าออกจากพื้นที่ควบคุมร่วมกันสำหรับการดำเนินพิธีการเกี่ยวกับบุคคล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารความเสี่ยงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและป้องกันปัญหาการคับคั่งของด่านพรมแดน ๕. เนื่องจากในอนาคตการควบคุมที่ด่านพรมแดนจะเน้นในด้านสังคม สุขอนามัย สาธารณสุข ความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม มากกว่าการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร หน่วยงานด้านคนเข้าเมือง (Immigration) สุขอนามัยและสาธารณสุข (Quarantine) ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่การเพิ่มอัตรากำลังและงบประมาณสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ที่ด่านพรมแดนที่สำคัญ โดยคำนึงถึงการแยกพิธีการสำหรับสินค้าและบุคคลตามข้อสังเกตในข้อ ๔ ประกอบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29032 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางของทางราชการ | กค | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าหารือร่วมกันกับประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๐๓/๗ วรรคหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ โดยที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า การเปิดเผยราคากลางตามพระราชบัญญัติฯ มีเจตนารมณ์มุ่งเน้นให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลราคากลางและตรวจสอบได้เป็นสำคัญ หากเกิดกรณีการจัดหาพัสดุชนิดเดียวกันแต่ราคากลางที่เปิดเผยแตกต่างกันจะต้องพิจารณาจากเจตนาและพฤติการณ์แวดล้อมของการได้มาของราคากลางนั้น ซึ่งกระทรวงการคลังได้แจ้งเวียนให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการแล้ว สำหรับการเปิดเผยราคากลางของการจัดซื้อจัดจ้างประเภทอื่นที่มิใช่งานก่อสร้าง เห็นควรให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาตามแนวทางการดำเนินการประกวดราคากลางและรายละเอียดการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกำหนด และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติตามแนวทางการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ ตามที่กระทรวงการคลังกำหนด และแนวทางการเปิดเผยราคากลางเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างประเภทอื่นที่มิใช่งานก่อสร้าง ตามมติที่ประชุมหารือระหว่างกระทรวงการคลังและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดมีความพร้อมให้ดำเนินการได้ทันที ส่วนหน่วยงานใดที่ยังไม่มีความพร้อมให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๓/๘ วรรคหนึ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. ให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางร่วมกับกระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางยานอกบัญชียาหลักและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา และสำนักงบประมาณดำเนินการกำหนดราคามาตรฐานโดยให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ ให้แจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 29033 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตำแหน่งที่ว่าง | ลต | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๙,๒๘๑,๐๖๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ ๔ แทนตำแหน่งที่ว่าง ในวันเสาร์ที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ กรณีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้ โดยการปรับแผนการใช้จ่ายเงินอุดหนุนที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐ ทั้งนี้ หากพิจารณาตรวจสอบแล้วมีไม่เพียงพอ ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29034 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมอบให้กระทรวงยุติธรรมรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ดังนี้
๑. ควรให้มีการแก้ไขในส่วนของเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติให้มีความชัดเจนขึ้น เป็นดังนี้ "โดยที่ปัจจุบันความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศต่าง ๆ เป็นอย่างมาก ถึงแม้ประเทศไทยจะมีการกำหนดความผิดฐานก่อการร้ายไว้ในประมวลกฎหมายอาญา และกำหนดให้เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแล้วก็ตาม แต่ยังคงไม่มีมาตรการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการเข้าถึงเงินทุนของผู้ก่อการร้าย ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องกำหนดมาตรการในการป้องกันและปราบปรามเรื่องดังกล่าว โดยให้มีการจัดทำรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนด การระงับการดำเนินการกับทรัพย์สินของผู้มีชื่ออยู่ในรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนด การกำหนดให้ผู้มีหน้าที่รายงานการทำธุรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินระงับการดำเนินการกับทรัพย์สินของผู้มีชื่ออยู่ในรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนด การกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินให้สอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องดังกล่าวข้างต้น ตลอดจนการกำหนดโทษสำหรับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการร่วมมือกันเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำใดที่เป็นการก่อการร้าย ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือกรณีอื่นใดที่มีวัตถุประสงค์จะนำไปใช้ในการก่อการร้าย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้" ๒. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินควรรายงานผลการปฏิบัติงานต่อคณะรัฐมนตรีอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง เกี่ยวกับการจัดทำรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนดหรือการดำเนินการใด ๆ ทางกฎหมายกับบุคคลเหล่านั้น ทั้งที่เป็นรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนดตามมติของหรือประกาศภายใต้คณะะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนดซึ่งจัดทำขึ้นโดยประเทศไทยเอง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29035 | ขออนุมัติขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | สธ | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) เพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการจำนวน ๓ คัน ระยะเวลา ๕ ปี ภายในวงเงินทั้งสิ้น ๒,๘๕๑,๒๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แล้ว จำนวน ๖๓๓,๖๐๐ บาท ส่วนที่เหลือผูกพันงบประมาณปีต่อ ๆ ไป โดยให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามวงเงินและระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29036 | การร่วมทุนโครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเงี้ยบ 1 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ของบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด | พน | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดย ๑.๑ เห็นชอบการลงทุนของบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเงี้ยบ ๑ พร้อมอนุมัติวงเงินการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ ๓๐ จำนวน ๗๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ๒,๔๓๘ ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน ๓๑ บาท ต่อ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ) ๑.๒ เห็นชอบการร่วมทุนและอนุมัติให้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเงี้ยบ ๑ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ของบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ๑.๓ เห็นชอบให้สัญญาผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว รวมทั้งเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการร่วมทุนในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเงี้ยบ ๑ ใช้เงื่อนไขการระงับข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญา โดยวิธีอนุญาโตตุลาการ ๒. ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้ บริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรมีการจัดทำแผนบริหารโครงการด้านการระบายน้ำที่เหมาะสม เนื่องจากการเก็บกักน้ำจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทางน้ำ ทั้งบริเวณเหนือเขื่อนและใต้เขื่อน ซึ่งอาจมีผลทำให้คุณภาพน้ำเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกที่มีการกักเก็บน้ำซึ่งระดับน้ำที่สูงเกิดภาวะน้ำนิ่งจะทำให้เกิดการหมักน้ำเสียของอินทรีย์วัตถุต่าง ๆ ส่งผลให้คุณภาพน้ำเสื่อมโทรมลงได้ และในกรณีลำน้ำใต้เขื่อนบางบริเวณอาจมีปริมาณน้ำเสีย หรือเกิดภาวะน้ำนิ่งทำให้เกิดภาวะน้ำเสียได้ หากมีการระบายลงสู่แหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น แม่น้ำโขง อาจส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำของประชาชนไทยในบริเวณนั้นได้ รวมทั้งต้องมีการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนจัดการคุณภาพน้ำ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 29037 | การแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มและราคาผลปาล์มตกต่ำปี 2555 - 2556 | พณ | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มและราคาผลปาล์มตกต่ำ ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ตามมาตรการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบออกจากระบบตลาด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดูดซับน้ำมันปาล์มออกจากระบบตลาดรอบที่ ๑ การรับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกร ตั้งแต่วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๕-๒๔ มกราคม ๒๕๕๖ มีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มรับซื้อตามโครงการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มและราคาผลปาล์มตกต่ำ ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ รอบที่ ๑ จำนวน ๔๒ ราย รับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรตามโควตาที่ได้รับจัดสรรคิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบรวม ๔๓,๕๘๓ ตัน (คิดเป็นผลปาล์มอัตราน้ำมันร้อยละ ๑๗ ประมาณ ๒๕๕,๖๘๐ ตัน) และได้ส่งมอบน้ำมันปาล์มดิบเข้าคลังกลางขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ณ วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๖ แล้ว จำนวน ๒๗,๒๓๓.๘๔ ตัน ทั้งนี้ ผลต่อราคาตลาด ราคารับซื้อผลปาล์ม ณ หน้าโรงงาน เดือนมกราคม ๒๕๕๖ ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ กิโลกรัมละ ๓.๓๕-๓.๘๐ บาท เป็นกิโลกรัมละ ๓.๘๐-๔.๐๐ บาท ๒. การดูดซับน้ำมันปาล์มออกจากระบบตลาดรอบที่ ๒ คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ มีมติ ๒.๑ เห็นชอบให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเพิ่มเติมอีก ๕๐,๐๐๐ ตัน รวมเป็น ๑๐๐,๐๐๐ ตัน ในราคากิโลกรัมละ ๒๕ บาท ระยะเวลาการรับซื้อ เดือนธันวาคม ๒๕๕๕-เมษายน ๒๕๕๖ ระยะเวลาจำหน่าย เดือนมกราคม-กันยายน ๒๕๕๖ ระยะเวลาโครงการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มและราคาผลปาล์มตกต่ำ ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ รอบที่ ๒ เดือนธันวาคม ๒๕๕๕-พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒.๒ อนุมัติเงินทุนหมุนเวียน จำนวน ๑,๒๕๐ ล้านบาท ให้ อคส. ใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดเพิ่มเติมอีก ๕๐,๐๐๐ ตัน ในราคากิโลกรัมละ ๒๕ บาท ๒.๓ อนุมัติเงินจ่ายขาด จำนวน ๒๙๒.๕๙๖ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการรับซื้อและระบายน้ำมันปาล์มดิบ ปริมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ตัน (โดยยกเลิกมติ คชก. เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ในส่วนของการอนุมัติวงเงินจ่ายขาดในการเก็บสต็อกน้ำมันปาล์มดิบรอบที่ ๑ ปริมาณ ๕๐,๐๐๐ ตัน) ประกอบด้วย วงเงิน ๒๘๒.๔๐ ล้านบาท ให้ อคส. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝากเก็บสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ วงเงิน ๑.๙๙๖ ล้านบาท ให้กรมส่งเสริมการเกษตรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนและออกใบรับรองเกษตรกรของกรมส่งเสริมการเกษตรตามโครงการฯ และวงเงิน ๘.๒๐ ล้านบาท ให้กรมการค้าภายในเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ ค่าเบี้ยประชุม ค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมคณะอนุกรรมการระบายน้ำมันปาล์มดิบตามโครงการฯ และค่าใช้จ่ายดำเนินงานของจังหวัดที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ อคส. เบิกค่าใช้จ่ายในการเก็บสต๊อคน้ำมันปาล์มดิบตามปริมาณและระยะเวลาที่เกิดขึ้นจริง โดยให้เร่งระบายน้ำมันปาล์มดิบที่รับซื้อไว้ เพื่อนำเงินส่งคืนกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร สำหรับดำเนินการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรอื่นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29038 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (นายประยูร เชี่ยววัฒนา) | วท | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายประยูร เชี่ยววัฒนา ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ ตามนัยมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๐ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29039 | สรุปสถานการณ์รวมของไฟป่าและหมอกควันใน 9 จังหวัดภาคเหนือประจำสัปดาห์ที่ 1 | อื่นๆ | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์รวมของไฟป่าและหมอกควันใน ๙ จังหวัดภาคเหนือ (จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน และตาก) ในช่วง ๗ วัน ณ วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเภทจังหวัด ๑.๑ จังหวัดเชียงราย เกิดไฟป่า ๑ ครั้ง รวมพื้นที่ ๒๓ ไร่ ค่า PM10 สูงสุด ๘๙ ๑.๒ จังหวัดเชียงใหม่ เกิดไฟป่า ๑ ครั้ง รวมพื้นที่ ๑ ไร่ ค่า PM10 สูงสุด ๘๖ ๑.๓ จังหวัดลำปาง เกิดไฟป่า ๒๗ ครั้ง ค่า PM10 สูงสุด ๑๓๒ ณ สถานี สำนักงานการประปาส่วนภูมิภาคแม่เมาะ (เกินค่ามาตรฐาน ๑๒๐) ๑.๔ จังหวัดลำพูน เกิดไฟป่า ๙๙ ครั้ง รวมพื้นที่ ๒๔๘ ไร่ ค่า PM10 สูงสุด ๙๐ ๑.๕ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยังไม่มีรายงานการเกิดไฟป่า ค่า PM10 สูงสุด ๔๕ ๑.๖ จังหวัดน่าน เกิดไฟป่า ๑ ครั้ง รวมพื้นที่ ๖๐ ไร่ ค่า PM10 สูงสุด ๖๔ ๑.๗ จังหวัดแพร่ เกิดไฟป่า ๘ ครั้ง รวมพื้นที่ ๑,๓๑๐ ไร่ ค่า PM10 สูงสุด ๑๐๙ ๑.๘ จังหวัดพะเยา เกิดไฟป่า ๓ ครั้ง คิดเป็นพื้นที่ ๙ ไร่ ค่า PM10 สูงสุด ๗๓ ๑.๙ จังหวัดตาก เกิดไฟป่า ๑ ครั้ง รวมพื้นที่ ๒๐๐ ไร่ ค่า PM10 สูงสุด ๖๘ ๒. ประเภทพื้นที่ ๒.๑ พื้นที่ป่าอนุรักษ์ ๒๒๐ จุด ๒.๒ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ๑๖๑ จุด ๒.๓ พื้นที่การเกษตร ๕๐ จุด ๒.๔ พื้นที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ๑๐ จุด ๒.๕ พื้นที่สองข้างทางหลวง ๑๐ จุด ๒.๖ พื้นที่อื่น ๆ ๑๘ จุด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29040 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 3 ราย 1. นายชลธิศ สุรัสวดี ฯลฯ) | ทส | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายชลธิศ สุรัสวดี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาวภาวิณี ปุณณกันต์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายเสรี โสภณดิเรกรัตน์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
