ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1454 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29061 - 29080 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29061 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรไทย - บังกลาเทศ | กษ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐบังกลาเทศ ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ในระหว่างการเยือนสาธารณรัฐบังกลาเทศอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยมีนายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย กับนายมันซุร์ ฮอร์เซน ปลัดกระทรวงเกษตร เป็นผู้ลงนามฝ่ายบังกลาเทศ และมีนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศร่วมเป็นสักขีพยาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29062 | รายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 และ 2553 | กษ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับรายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักเกณฑ์ในการจัดทำงบการเงิน และข้อเสนอแนะประกอบการสอบบัญชี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานงบการเงินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ ประกอบด้วย ๑.๑ สินทรัพย์หมุนเวียน ปี ๒๕๕๑ รวม ๕,๑๒๖,๐๘๘,๐๙๗.๔๗ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๕,๒๓๖,๐๔๘,๓๓๖.๙๐ บาท ๑.๒ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ปี ๒๕๕๑ รวม ๓,๕๙๒,๒๓๒,๙๒๓.๘๒ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๓,๕๒๘,๘๑๐,๗๐๗.๔๒ บาท ๑.๓ รวมสินทรัพย์ ปี ๒๕๕๑ รวม ๘,๗๑๘,๓๒๑,๐๒๑.๒๙ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๘,๗๖๔,๘๕๙,๐๔๔.๓๒ บาท ๑.๔ หนี้สินหมุนเวียน ปี ๒๕๕๑ รวม ๒,๒๐๐.๐๐ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๑,๔๐๔.๐๐ บาท ๑.๕ รวมสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ปี ๒๕๕๑ รวม ๘,๗๑๘,๓๑๘,๘๒๑.๒๙ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๘,๗๖๔,๘๕๗,๖๔๐.๓๒ บาท ๒. รายงานงบการเงินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ประกอบด้วย ๒.๑ สินทรัพย์หมุนเวียน ปี ๒๕๕๒ รวม ๕,๒๓๖,๐๔๘,๓๓๖.๙๐ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๕,๒๐๐,๗๙๒,๙๐๓.๓๕ บาท ๒.๒ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ปี ๒๕๕๒ รวม ๓,๕๒๘,๘๑๐,๗๐๗.๔๒ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๓,๕๙๐,๓๙๔,๗๓๔.๙๘ บาท ๒.๓ รวมสินทรัพย์ ปี ๒๕๕๒ รวม ๘,๗๖๔,๘๕๙,๐๔๔.๓๒ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๘,๗๙๑,๑๘๗,๖๓๘.๓๓ บาท ๒.๔ หนี้สินหมุนเวียน ปี ๒๕๕๒ รวม ๑,๔๐๔.๐๐ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๒,๓๔๐.๐๐ บาท ๒.๕ รวมสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ปี ๒๕๕๒ รวม ๘,๗๖๔,๘๕๗,๖๔๐.๔๐ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๘,๗๙๑,๑๘๕,๒๙๘.๓๓ บาท ๓. ข้อเสนอแนะประกอบการสอบบัญชีประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ โดยให้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกรดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ รายได้ค้างรับ ให้แจ้งเรื่องการติดตามเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อดำเนินการเร่งรัดและติดตามเงินรายได้ค้างรับดังกล่าวจากองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรต่อไป ๓.๒ ลูกหนี้ระยะสั้น ให้เร่งรัดหน่วยงานที่ค้างชำระหนี้รีบดำเนินการนำเงินส่งคืนกองทุนฯ โดยเร็ว ในกรณีที่พบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานหรือคาดว่าไม่สามารถชำระหนี้คืนเงินกองทุนฯ ได้ภายในกำหนดให้รายงานให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรทราบโดยด่วน ตามระเบียบคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๖.๒ (๑) และข้อ ๑๒ เพื่อกำหนดมาตรการในการเร่งรัดหนี้ต่อไป ๓.๓ ลูกหนี้ระยะยาว ซึ่งเป็นลูกหนี้ค้างชำระเป็นเวลานานเกินกว่า ๑๐ ปี ให้เร่งรัดหน่วยงานที่ค้างชำระหนี้รีบดำเนินการนำเงินส่งคืนกองทุนฯ โดยเร็ว ในกรณีที่พบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานหรือคาดว่าไม่สามารถชำระหนี้คืนเงินกองทุนได้ภายในกำหนด ให้รายงานให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรทราบโดยด่วน ตามระเบียบคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๖.๒ (๑) และข้อ ๑๒ เพื่อกำหนดมาตรการในการเร่งรัดหนี้ต่อไป และขอให้เร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเจ้าของโครงการรีบดำเนินการยื่นเรื่องขอปิดโครงการพร้อมเอกสารตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรโดยด่วนเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อกองทุนฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29063 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน - อินเดียด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 2 | กษ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมอาเซียน-อินเดียด้านการเกษตรและป่าไม้ (ASEAN-India Ministerial Meeting on Agriculture and Forestry-AIMMAF) ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินความร่วมมือด้านการเกษตรและป่าไม้ระหว่างอาเซียนและอินเดีย โดยให้ ASEAN-India Working Group on Agriculture and Forestry ดำเนินกิจกรรมความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหาร ด้วยการวิจัยและพัฒนา การเสริมสร้างศักยภาพ และความร่วมมือทางวิชาการตาม ASEAN-India Medium term Plan of Action (2011-2015) ต่อไป ซึ่งประกอบด้วย Action Programmes ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านการส่งเสริมความร่วมมือด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ในประเด็นที่สนใจร่วมกัน ด้านการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร นักวิทยาศาสตร์ สถาบันทางวิชาการที่เกี่ยวเนื่องกับด้านการเกษตรระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและอินเดีย ด้านการส่งเสริมการเสริมสร้างศักยภาพ การถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาตามที่ได้เห็นชอบร่วมกัน และด้านการเปิดโอกาสให้เกษตรกรของอาเซียนและอินเดีย รวมทั้งยุวเกษตรกรได้เรียนรู้และพัฒนาการทำการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ มีทักษะในการบริหารจัดการ โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูล ๒. อาเซียนควรให้มีการส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรด้วยการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี การผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืน การเสริมสร้างศักยภาพให้แก่องค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหกรณ์การเกษตร รวมทั้งจัดทำโครงการความร่วมมือร่วมกัน เช่น การวิจัยข้าว การถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาระหว่างอาเซียนและอินเดีย เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ซึ่งเบื้องต้น ที่ประชุมเห็นควรให้อินเดียจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารและการควบคุมโรคระบาดสัตว์ข้ามแดน ๓. ที่ประชุมเห็นควรให้มีการพัฒนานวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการของเยาวชนเกษตร เพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนในภูมิภาค และดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างยุวเกษตรกร เพื่อให้เยาวชนหันมาสนใจอาชีพเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น ๔. ที่ประชุมเห็นชอบให้ ASEAN-India Agri Expo เป็นเวทีให้เกษตรกรและภาคเอกชนได้มีโอกาสนำเสนอนวัตกรรมด้านการเกษตร สร้างเครือข่ายระหว่างนักธุรกิจ และส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุนในภาคการเกษตร ๕. ที่ประชุมรับทราบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์อาเซียน-อินเดีย เพื่อการปรับตัวและการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อภาคการเกษตร (ASEAN-India Roadmap on Climate Change Adaptation and Mitigation in Agriculture Sector) โดยพัฒนาเทคโนโลยีและการจัดการความเสี่ยง การแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อส่งเสริมการผลิตและการเพิ่มผลผลิตเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ลดผลกระทบจากภาวะแห้งแล้ง น้ำท่วม และฝนตกหนักในภูมิภาค ๖. ที่ประชุมเห็นควรให้มีการส่งเสริมความร่วมมือด้านการผลิตอาหารและการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญระหว่างอาเซียนและอินเดีย เพื่อประกอบการวางแผนด้านความมั่นคงอาหาร โดยให้เจ้าหน้าที่อาวุโสจัดทำโครงการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหาร การบริหารจัดการสต็อก การจัดหาธัญพืชให้เพียงพอ การให้ประชาชนที่ด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงอาหารได้ รวมทั้งความโปร่งใสด้านการตลาด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29064 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางสาวกรรณิการ์ เอกเผ่าพันธุ์) | กค | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวกรรณิการ์ เอกเผ่าพันธุ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29065 | ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (จัดตั้งสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์) | พณ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังนี้ ๑.๑ เพิ่มเติม (๑๐) ของมาตรา ๒๙ เพื่อจัดตั้งสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า มีฐานะเป็นส่วนราชการระดับกรมในกระทรวงพาณิชย์ ๑.๒ ให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ที่เป็นของสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรี ที่เป็นของสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ และโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้และภาระผูกพันทั้งปวงของสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ไปเป็นของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า แล้วแต่กรณี ๑.๓ ให้โอนบรรดาข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลังของสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมทรัพย์สินทางปัญญา ตามจำนวนอัตราที่กำหนด ไปเป็นของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้และภาระผูกพัน รวมทั้งการโอนข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลัง ควรกำหนดให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนอัตรากำลังที่เกลี่ยจากกรมต่าง ๆ ในกระทรวงพาณิชย์ไปเป็นของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า อาจจะก่อให้เกิดความไม่ยืดหยุ่นในทางปฏิบัติ จึงควรกำหนดในลักษณะที่ให้มีการโอนอัตรากำลังจากกรมต่าง ๆ ในกระทรวงพาณิชย์โดยการเกลี่ยอัตรากำลังและไม่เป็นการเพิ่มอัตรากำลังขึ้นใหม่ นอกจากนี้ ควรให้สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าทำหน้าที่เป็นหน่วยงานด้านยุทธศาสตร์การพาณิชย์และเป็นฐานข้อมูลเศรษฐกิจการพาณิชย์ในเชิงลึกที่ทันสมัย โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานอื่น ๆ และมีความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล รวมทั้งควรพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจการพาณิชย์ในภาพรวม ทั้งกฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับกลุ่มกฎหมายหรือสำนักนิติการของกรมต่าง ๆ ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ที่ต่างมีกฎหมายในการกำกับดูแล ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29066 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดป่าจิตตสามัคคี ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดป่าจิตตสามัคคี ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดป่าจิตตสามัคคี ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ให้แก่กรมทางหลวงเพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒ สายสระบุรี-หนองคาย (เขตแดน) ตอนเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29067 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนธันวาคม 2555 | อก | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์การผลิตเหล็กในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ คาดว่าเหล็กทรงยาวจะยังคงทรงตัวอยู่เนื่องจากสถานการณ์อุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศที่ยังคงทรงตัวอยู่ ในขณะที่เหล็กทรงแบนในส่วนของเหล็กแผ่นรีดร้อนอาจจะขยายตัวเล็กน้อย เนื่องจากการนำเข้าที่ลดลงจากการที่กรมการค้าต่างประเทศได้เปิดการไต่สวนการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่นๆ ชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับผู้นำเข้าในประเทศได้ใช้ช่องว่างทางภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนที่เจือโบรอนหรือโครเมียม (โดยสำแดงว่าเป็นเหล็กอัลลอยด์) ที่นำเข้ามาจากทั้งจีนและเกาหลีเป็นปริมาณมาก ส่งผลทำให้ผู้ผลิตไทยไม่สามารถแข่งขันทางด้านราคาได้และบางรายต้องหยุดการผลิตลง ๒. อุตสาหกรรมรถยนต์ ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ เนื่องจากความต้องการรถยนต์ของตลาดในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากการขยายสิทธิตามนโยบายรถคันแรก สำหรับการผลิตรถยนต์ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ ๕๗ และส่งออกร้อยละ ๔๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29068 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนเงินทดแทน สำหรับปีสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2554 และ 2553 | รง | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนเงินทดแทน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรอง และผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนแล้ว ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๓๐ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29069 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดป่าแหน ตำบลหนองโดน อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดป่าแหน ตำบลหนองโดน อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดป่าแหน ตำบลหนองโดน อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๒๐ สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๒๒ (พระพุทธบาท)-หนองโดน ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29070 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 11/2555 | นร11 | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบแผนงานการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ของคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ(อยอ.) และอนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อใช้ในการดำเนินการ จำนวน ๖.๕๓ ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสำนักงาน กยอ. โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดสรรงบประมาณและโอนเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อเบิกจ่ายเงินงบประมาณแทนกันต่อไป ๒. ที่ประชุมรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงและคณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรดำเนินกระบวนการเพื่อสร้างการยอมรับจากเมียนมาร์และนานาประเทศ และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการดำเนินโครงการของเมียนมาร์ให้บรรลุเป้าหมายได้ การให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบโครงข่ายถนนรองรับการพัฒนาโครงการ โดยแนวทางการลงทุนควรพิจารณาแหล่งเงินลงทุนในรูปแบบเงินกู้ระยะยาวจากแหล่งเงินทุนที่ได้รับประโยชน์จากการมีโครงการ การสนับสนุนความน่าเชื่อถือของเมียนมาร์ในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับโครงการและให้เมียนมาร์ในฐานะเจ้าของโครงการเป็นผู้ตัดสินใจเลือกแหล่งเงินทุนหรือประเทศผู้ร่วมลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้ ภาคเอกชนไทยควรให้ความสำคัญในการสร้างความเข้าใจกับภาคเอกชนเมียนมาร์ถึงผลการพัฒนาที่จะมีต่อการจ้างงาน การสร้างรายได้ และมูลค่าเพิ่มจากการให้บริการต่อเนื่องของโครงการ โดยการลงทุนในด้านต่างๆ ควรอยู่ในรูปของการร่วมทุนของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจถึงผลกระทบในวงกว้างของโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ๓. ที่ประชุมรับทราบผลการตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ และชลบุรี ของ อยอ. ซึ่งผลการติดตามสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการพบว่า คลองประเวศบุรีรมย์ซึ่งเป็นคลองที่รับน้ำจากกรุงเทพฯ จังหวัดสมุทรปราการจะรับน้ำจากคลองดังกล่าวเข้าสู่ลำคลองสายหลักของจังหวัด ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ส่วนพื้นที่คลองพระองค์ไชยานุชิตจากบริเวณสถานีสูบน้ำประเวศบุรีรมย์ถึงสถานีสูบน้ำชลหารพิจิตร ๑ และ ๒ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปลายน้ำจึงมีวัชพืชลอยตามน้ำมาติดในพื้นที่คลองอยู่เสมอ รวมทั้งมีการบุกรุกพื้นที่คลองเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยและปลูกพืชผักในลำคลอง ทำให้การระบายน้ำในบางช่วงยังไม่รวดเร็วเท่าที่ควร ๔. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งผลการสำรวจสถานะผู้ประกอบการในนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรม ณ วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีผู้ประกอบการเปิดดำเนินการเต็มกำลังการผลิต จำนวน ๔๗๐ ราย เปิดดำเนินการบางส่วน จำนวน ๒๑๗ ราย และยังไม่เปิดดำเนินการ ๑๕๒ ราย จากจำนวนผู้ประกอบการทั้งสิ้น ๘๓๙ ราย ๕. ที่ประชุมรับทราบมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ ที่ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ความหลากหลายทางชีวภาพและปรับปรุงโครงการแม่บทประเทศไทย : การจัดระบบบัญชีรายการทรัพยากรพันธุกรรมที่ทรงคุณค่าการใช้ประโยชน์ และการจัดทำระบบฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการด้านการเก็บรักษา การปกป้องคุ้มครอง และการให้บริการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน ซึ่งหากกรอบงบประมาณไม่เปลี่ยนแปลงมากเกินไปกว่าที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม กยอ. ครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ จำนวน ๓๐๐.๐๔ ล้านบาท ให้ดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ หากมากกว่ากรอบงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบ ให้ กยอ. ดำเนินการพิจารณาทบทวนตามขั้นตอนอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29071 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดในเดือนธันวาคม 2555 | กค | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๓ รุ่น วงเงินรวม ๓๕,๓๕๐.๐๐ ล้านบาท และดำเนินการกู้เงินเพื่อชำระคืนเงินทดรองจ่ายจากการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒๔๕.๐๐ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ทั้งสิ้น ๓๕,๕๙๕.๐๐ ล้านบาท (๓๕,๓๕๐.๐๐+๒๔๕.๐๐) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
๑. ทดรองจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง (บัญชี Premium FIDF 1&3) จำนวน ๑๐,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท และกู้เงินระยะสั้น จำนวน ๘,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้ที่ครบกำหนด จำนวน ๓ รายการ จำนวนรวม ๑๙,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ ๑.๑ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ งวดที่ F1/183/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๘,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท ชำระจากเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากทั้งจำนวน ๑.๒ พันธบัตรออมทรัพย์ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๓ ที่ครบกำหนดในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ชำระจากเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังทั้งจำนวน ๑.๓ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดฯ ) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ งวดที่ F3/182/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๘,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท ชำระจากการกู้เงินระยะสั้นทั้งจำนวน ๒. กู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) วงเงินรวม ๑๖,๕๙๕.๐๐ ล้านบาท อายุเงินกู้ไม่เกิน ๒ ปี อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง [อัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาเฉลี่ย ๗ วัน ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ๔ แห่ง (FDR) ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย] บวกร้อยละ ๑.๐๐ ต่อปี และปรับอัตราดอกเบี้ยทุกงวด ๖ เดือน (ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน และวันที่ ๑๒ ธันวาคม ของทุกปี) โดยนำไปชำระหนี้ที่ครบกำหนด จำนวน ๒ รายการ วงเงินรวม ๑๖,๓๕๐.๐๐ ล้านบาท รวมกับชำระคืนเงินทดรองจ่ายคงค้างจากการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒๔๕.๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๑๖,๕๙๕.๐๐ ล้านบาท ซึ่งการชำระหนี้ที่ครบกำหนด จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ ๒.๑ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดฯ) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ งวดที่ F2/182/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๗,๘๕๐.๐๐ ล้านบาท ๒.๒ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดฯ) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ งวดที่ F4/182/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๘,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29072 | แผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. การตรวจราชการแบบบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนประเด็นนโยบายสำคัญ (Issue) จำนวน ๒ ประเด็น ได้แก่ ประเด็นนโยบายการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตด้านปัญหายาเสพติด และประเด็นนโยบายการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ๒. การตรวจราชการแบบบูรณาการโครงการสำคัญเฉพาะพื้นที่ (Specific Area) เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะพื้นที่ร่วมกันระหว่างผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ เศรษฐกิจการค้าชายแดน และพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติ ๓. แนวทางและขั้นตอนการตรวจราชการแบบบูรณาการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓.๑ ผู้ตรวจราชการสอบทาน/วิเคราะห์ และร่วมกำหนดแนวทางการตรวจราชการแบบบูรณาการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓.๒ กำหนดประเด็นปัญหา/ประเด็นการพัฒนาภายใต้ประเด็นสำคัญของนโยบาย (Issue) ๓.๓ แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓.๔ ประชุมเพื่อกำหนดประเด็นการตรวจราชการแบบบูรณาการโครงการสำคัญเฉพาะพื้นที่ (Specific Area) ๓.๕ กระทรวงและกรมจัดทำคำสั่งการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการออกตรวจราชการตามแผนที่กำหนด ๓.๖ จัดส่งรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการภาพรวมรายรอบที่ ๑ ภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ของปีงบประมาณ ๓.๗ ประชุมผู้ตรวจราชการเพื่อติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงาน นำเสนอรายงานรอบ ๖ เดือน ต่อนายกรัฐมนตรี ๓.๘ จัดส่งรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการภาพรวมรายโครงการรอบที่ ๒ ภายในวันที่ ๓๐ ตุลาคม ของปีงบประมาณ ๓.๙ นำเสนอสรุปผลการดำเนินงานประเด็นนโยบายสำคัญในรายงานผลการตรวจราชการประจำปีต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบและพิจารณา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29073 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารแม่แบบการปฏิบัติการผู้ป่วยโรคติดต่อ สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค | สธ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าก่อสร้างอาคารแม่แบบการปฏิบัติการผู้ป่วยโรคติดต่อ สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค จากเดิม ๓๖๕,๘๑๘,๗๐๕ บาท เป็น ๓๘๒,๒๑๘,๗๐๕ บาท โดยวงเงินที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๖,๔๐๐,๐๐๐ บาท ให้จ่ายจากเงินบำรุงสถาบันบำราศนราดูร ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29074 | การจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพสำหรับการจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ร่วมกับ สำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) | ยธ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพสำหรับการจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) จำนวน ๔ รายการ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (ข้อกำหนดกรุงเทพฯ) ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๑.๒ การประชุมผู้เชี่ยวชาญสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เพื่อการพัฒนาหลักสูตรในการฝึกอบรมตามข้อกำหนดกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ๑.๓ การประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อการพัฒนาเอกสารการฝึกอบรมสำหรับอัยการและผู้พิพากษาในด้านการขจัดความรุนแรงต่อหญิง ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ ๑.๔ การประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อการพัฒนาแผนปฏิบัติการต้นแบบเพื่อป้องกันและตอบสนองต่อการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง เพื่อบรรลุเป้าหมายของการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทย ประจำสำนักงานสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา เป็นผู้ลงนามในหนังสือตอบรับความตกลงประเทศเจ้าภาพสำหรับการจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับประเด็นสารัตถะของหนังสือแลกเปลี่ยนของ UNODC ที่เห็นว่าในส่วนของเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของผู้เข้าร่วมการประชุมและบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการประชุม รวมทั้งบุคลากรที่รัฐบาลจัดให้ตามความตกลงนี้ UNODC ควรส่งสำเนารายชื่อผู้เข้าร่วมการประชุมและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการประชุมทั้งหมดข้างต้นให้รัฐบาลไทยทราบล่วงหน้า และประเด็นมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่เห็นว่าหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทยประกอบกับหนังสือแลกเปลี่ยนของ UNODC ก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับกฎหมายระหว่างประเทศ จึงเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ แต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ วรรค ๒ ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เนื่องจากหนังสือสัญญาดังกล่าวเป็นการกำหนดพันธกรณีเกี่ยวกับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับการประชุมทั้ง ๔ รายการในประเทศไทย ซึ่งมีพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสหประชาชาติและทบวงการชำนัญพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๐๔ รองรับให้กระทำได้อยู่แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29075 | การเสนอชื่อผู้สมัครจากประเทศไทยเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการบริหารของ International Trade Center (ITC) | พณ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเสนอชื่อ นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์ เป็นผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการบริหารของ International Trade Center (ITC) โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย ๒. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการให้นายกฤษฎาฯ เป็นผู้สมัครที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย เพื่อดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการบริหารของ ITC อย่างเป็นทางการ ๓. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศประสานการสนับสนุนให้นายกฤษฎาฯ เข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการบริหารขององค์กรดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29076 | ขออนุมัติดำเนินการจัดประชุมวิชาการนานาชาติแมลงวันผลไม้ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ ครั้งที่ 9 พ.ศ. 2557 [9th International Symposium on Fruit Flies of Economic Importance (ISFFEI) 2014] | กษ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ดำเนินการจัดประชุมวิชาการนานาชาติแมลงวันผลไม้ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๙ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ [9th International Symposium on Fruit Flies of Economic Importance (ISFFEI) 2014] ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการจัดประชุม รวมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรจัดตั้งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินการจัดการประชุมดังกล่าว จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรขยายขอบเขตของสาระในการประชุมให้ครอบคลุมเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (precision farming) การจำลองและทำนายการแพร่ระบาดของแมลงวันผลไม้ และเทคโนโลยีการควบคุมและทำลายด้วยวิธีทางกายภาพและชีวภาพ เป็นต้น และควรมีเรื่องระเบียบการนำเข้าและส่งออกผลไม้ที่เกี่ยวข้องกับการปนเปื้อนของไข่แมลงวันผลไม้ในสาระของการประชุม รวมทั้งให้นักวิจัย นักวิชาการ นักศึกษา แกนนำเกษตรกรของไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมมากขึ้น และควรเชิญผู้ส่งออกและนำเข้าผลไม้ของไทยเข้าร่วมประชุมด้วย นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับช่องทางการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลไม้ของไทยที่สำคัญ และคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัยอาหารของผลไม้ไทยควบคู่ไปกับการนำเสนอผลงานด้านวิชาการ เพื่อขยายและเปิดตลาดผลไม้ไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ส่วนงบประมาณสำหรับการดำเนินการจัดประชุม ISFFEI 2014 ครั้งที่ ๙ ให้กรมส่งเสริมการเกษตรเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29077 | การดำเนินงานบูรณาการแผนงาน/โครงการสำหรับแผนปฏิบัติการของยุทธศาสตร์ประเทศ ประเด็นข้อ 8 การวิจัยและพัฒนา | วท | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการดำเนินงานบูรณาการแผนงาน/โครงการสำหรับแผนปฏิบัติการของยุทธศาสตร์ประเทศ ประเด็นข้อ ๘ การวิจัยและพัฒนา ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างหน่วยงานในสังกัดเพื่อบูรณาการแผนงาน/โครงการร่วมกัน และมีข้อสรุปของแผนงานรวมทั้งสิ้น ๔๖ แผนงาน ได้แก่ ๑.๑.๑ ข้อ ๘.๑ การขับเคลื่อนค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเป็นร้อยละ ๑ ของ GDP มีเป้าหมายเพื่อการสร้างงาน สร้างรายได้ เตรียมพร้อมรองรับอนาคต พัฒนาชีวิต และสร้างฐานความรู้ ประกอบด้วย ๔๔ แผนงาน ๑.๑.๒ ข้อ ๘.๒ Talent Mobility การใช้ประโยชน์จากกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรวิจัยและพัฒนา และพัฒนาบุคลากรวิจัยฯ ให้ตรงตามความต้องการของภาคการผลิต ประกอบด้วย ๑ แผนงาน ๑.๑.๓ ข้อ ๘.๓ การใช้ประโยชน์ Regional Science Park มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและความสามารถการแข่งขันของธุรกิจ/อุตสาหกรรม ส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยี เกิดการขยายผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ และมีอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ประกอบด้วย ๑ แผนงาน ๑.๒ ร่วมกับจังหวัดในการพิจารณาเพื่อวางกรอบนโยบายการดำเนินงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการของแต่ละพื้นที่ โดยใช้จังหวัดแพร่เป็นจังหวัดนำร่องโครงการ และจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “เทคโนโลยีสู่อาเซียนในกลุ่มล้านนาตะวันออก” ณ จังหวัดแพร่ เมื่อวันที่ ๔-๕ มกราคม ๒๕๕๖ ผลการประชุมมีข้อสรุปที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะผลักดันและดำเนินงานโครงการร่วมกันกับจังหวัดแพร่ จำนวน ๒๔ เรื่อง มีโครงการสำคัญ (Flagship) จำนวน ๙ โครงการ ซึ่งจะบรรจุโครงการไว้ในแผนยุทธศาสตร์ของจังหวัด ได้แก่ โครงการ Teak Valley โครงการ OTOP นาโน โครงการ Smart Space ศูนย์ป่าเศรษฐกิจ โครงการปุ๋ยอินทรีย์เคมีนาโนแห่งชาติ การจัดทำ No Fruit Fly Zone หรือพื้นที่ปลอดแมลงวันผลไม้ โครงการศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพสูงร่วมกับการใช้เทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำและปุ๋ย โครงการ Thailand Delicious และโครงการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เพื่ออนาคตล้านนาตะวันออก ๑.๓ กำหนดขั้นตอนที่จะดำเนินการบูรณาการกับกองทุนต่าง ๆ ของภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชน เพื่อให้การดำเนินงานโครงการทั้ง ๒๔ เรื่อง ในจังหวัดแพร่สำเร็จลุล่วง อันจะนำไปสู่การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาสเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนในจังหวัด ๑.๔ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการบูรณาการแผนงานร่วมกับกระทรวง กรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๔-๑๘ มกราคม ๒๕๕๖ เพื่อเติมเต็มห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของทั้ง ๔๖ แผนงานให้ครบถ้วนสมบูรณ์สามารถตอบสนองเป้าประสงค์ยุทธศาสตร์ประเทศได้อย่างแท้จริง ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) ที่เห็นควรให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการแผนการดำเนินงานในภาพรวมและงบประมาณที่จะใช้ในแต่ละแผนงาน เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการกำหนดมาตรการการประเมินผลความสำเร็จของแต่ละแผนงาน รวมทั้งคำนึงถึงความพร้อมของนักวิจัย ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดเจ้าภาพของประเด็นเรื่องที่จะดำเนินการ ๒๔ เรื่องให้ชัดเจน เพื่อลดปัญหาการดำเนินงานที่มีความซ้ำซ้อนกันของแต่ละหน่วยงาน โครงการ Teak Valley ควรมีการประสานกับโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมป่าไม้ของไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โครงการ OTOP นาโน ควรจัดระบบการจดสิทธิบัตรผลการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ของโครงการที่ก่อให้เกิดนวัตกรรม โครงการปุ๋ยอินทรีย์เคมีนาโนแห่งชาติ ควรมีการพัฒนาให้มีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์เคมีที่ใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าปุ๋ยเคมีอันจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นทางปัจจัยการผลิตของประเทศอีกทางหนึ่ง และจัดลำดับความสำคัญของโครงการวิจัยและพัฒนา และการใช้ประโยชน์กำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับเป้าหมายและงบประมาณรายจ่ายของประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการกระตุ้นภาคเอกชนให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการลงทุน วิจัยและพัฒนา เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมในระยะยาว รวมทั้งมีการทบทวนการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่แล้วเสร็จสมบูรณ์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29078 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติขยายวงเงินค่าก่อสร้างและระยะเวลาก่อสร้างโครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก - อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี | กษ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติขยายวงเงินค่าก่อสร้างและระยะเวลาก่อสร้างโครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก-อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ และอาคารประกอบ สัญญาที่ ๑ กรมชลประทานได้ดำเนินการแก้ไขสัญญาเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงวงเงินค่าก่อสร้าง จากสัญญาเดิม ๑,๙๗๘,๒๙๕,๙๑๔.๕๐ บาท เป็นวงเงินตามสัญญาใหม่ ๒,๒๗๐,๑๒๖,๑๒๑.๕๐ บาท กำหนดสิ้นสุดสัญญาในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ รวมระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น ๑,๐๔๕ วัน ปัจจุบันมีผลงานก่อสร้างสะสมทั้งสัญญาร้อยละ ๖๐.๑๑๘ และมีการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นเงิน ๙๑,๑๗๔,๔๑๒.๗๓ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๖.๐๒ ของวงเงินที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒. รายการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ และอาคารประกอบ สัญญาที่ ๒ อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขสัญญา โดยหลังจากกรมชลประทานแก้ไขสัญญาก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยจะมีผลให้วงเงินค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นจาก ๒,๑๑๖,๘๙๗,๙๗๗.๑๔ บาท เป็น ๒,๓๔๗,๑๑๕,๗๗๖.๓๕ บาท และมีระยะเวลาก่อสร้างเพิ่มขึ้นอีก ๑๒๐ วัน ส่งผลให้สัญญาก่อสร้างสิ้นสุดประมาณเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ปัจจุบันมีผลงานก่อสร้างสะสมทั้งสัญญาร้อยละ ๘๕.๓๗๙ และมีการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไปแล้ว เป็นเงิน ๒๗,๒๒๗,๔๙๒.๔๗ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๕.๐๗ ของวงเงินที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓. กรมชลประทานได้จัดเตรียมข้อมูลประกอบการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อรองรับแผนการดำเนินงานก่อสร้างตามกำหนดระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และได้แจ้งให้ผู้รับจ้างเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ รวมทั้งได้ประสานกับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ก่อสร้าง (กรมทางหลวง) และหน่วยงานเจ้าของระบบสาธารณูปโภคที่แนวท่อของกรมชลประทานวางผ่าน [กรมทางหลวง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค] เพื่อขอดำเนินการวางท่อเรียบร้อยแล้วทั้งหมด ๔. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน ผู้รับจ้างมีชุดทำงานในการดำเนินงานดันท่อลอดไม่เพียงพอ ส่งผลให้การดำเนินงานก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ และอาคารประกอบ สัญญาที่ ๒ ไม่เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ทั้งนี้ กรมชลประทานได้แจ้งให้ผู้รับจ้างเพิ่มการจัดหาเครื่องจักร เครื่องมือ และเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติงานให้มากขึ้น เพื่อเร่งรัดงานก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ และแล้วเสร็จโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29079 | รายงานผลการประชุมระดับโลกว่าด้วยโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ค.ศ. 2012 (WCIT-12) ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ | ทก | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมระดับโลกว่าด้วยโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ค.ศ. ๒๐๑๒ (World Conference on International Telecommunications 2012 : WCIT-12) ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ระหว่างวันที่ ๓-๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การพิจารณาแก้ไขข้อบังคับโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Regulation : ITRs) ๑.๑ ที่ประชุมพิจารณาข้อเสนอของประเทศสมาชิกสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) เกี่ยวกับการแก้ไข ITRs ทั้งข้อเสนอในนามรายประเทศและข้อเสนอในนามของกลุ่มประเทศในแต่ละภูมิภาค ได้แก่ อเมริกา ยุโรป กลุ่มพันธมิตรรัสเซีย แอฟริกา อาหรับ และเอเชียและแปซิฟิก โดยยึดหลักฉันทามติในการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ที่มีการยื่นข้อเสนอเพื่อปรับปรุงแก้ไข ITRs และจะใช้วิธีการลงคะแนนเสียง (vote) เพื่อให้ได้ความเห็นของประเทศสมาชิกข้างมากในกรณีที่มีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น ๑.๒ ที่ประชุมและประเทศสมาชิกจากภูมิภาคต่าง ๆ ให้ความสำคัญและมีความเห็นแตกต่างกัน ได้แก่ การเพิ่มข้อความที่อ้างอิงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนไว้ในหมวดอารัมภบท (Preamble) ประเด็นการเพิ่มคำว่า ICT ไว้ในนิยามของคำว่าโทรคมนาคม และการรวม Internet ไว้ในบทบัญญัติของ ITRs ประเด็นเรื่องความมั่นคงปลอดภัย (Security) ประเด็นเรื่อง “spam” รวมทั้งคำนิยามและประเด็นที่ว่าหน่วยงานผู้ให้บริการโทรคมนาคมประเภทใดบ้างที่ควรอยู่ภายใต้บทบัญญัติของ ITRs ๑.๓ ที่ประชุมเห็นชอบ ITRs ฉบับแก้ไขใหม่ ปี ค.ศ. ๒๐๑๒ ซึ่งมีการยกเลิกบางมาตราที่ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน การแก้ไขรายละเอียดของข้อบทต่าง ๆ ในแต่ละมาตรา และการเพิ่มมาตราใหม่เข้ามาใน ITRs ฉบับแก้ไขใหม่ ๒. ที่ประชุมได้กำหนดให้มีการลงนามรับรองกรรมสารสุดท้าย (Final Acts) ในพิธีปิดการประชุมฯ เป็นการรับรองผลการประชุมซึ่งรวมถึง ITRs ฉบับแก้ไขใหม่ ปี ค.ศ. ๒๐๑๒ มีประเทศที่ลงนามในกรรมสารสุดท้าย จำนวน ๘๙ ประเทศ โดยในส่วนของประเทศไทยได้จัดทำข้อสงวน (Reservation) สรุปสาระสำคัญได้ว่า คณะผู้แทนไทยประกาศว่า ประเทศไทยขอตั้งข้อสงวนสิทธิ์ที่จะยังไม่ให้ ITRs ฉบับแก้ไขใหม่มีผลบังคับใช้กับประเทศไทย โดยจะนำ ITRs ฉบับแก้ไขใหม่มาดำเนินการตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องภายในประเทศเสียก่อน และ ITRs ฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้กับประเทศไทยก็ต่อเมื่อไทยได้มีการยื่นสัตยาบันสารหรือเอกสารแจ้งความจำนงให้ ITRs มีผลบังคับใช้กับประเทศไทยต่อเลขาธิการ ITU เท่านั้น รวมทั้งประเทศไทยได้สงวนสิทธิ์ที่จะจัดทำข้อสงวนเพิ่มเติมในภายหลังหากมีความจำเป็น ตลอดจนข้อสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินมาตรการที่จำเป็นต่าง ๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยและเพื่อให้มั่นใจว่าสอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศ ในกรณีที่ประเทศหนึ่งประเทศใดไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อบังคับใน ITRs หรือตีความข้อบังคับใน ITRs อย่างไม่เหมาะสมจนอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานและบริการโทรคมนาคมของไทย ตลอดจนสิทธิอธิปไตยของไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29080 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการร่วมงานแสดงพืชสวนโลก Floriade 2012 ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ | กษ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการร่วมงานแสดงพืชสวนโลก Floriade 2012 ณ เมืองเวนโล ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ ๕ เมษายน-๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ โดยมีกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานโครงการและเข้าร่วมจัดแสดงนิทรรศการและจัดกิจกรรมในงานดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จัดตั้งศูนย์แสดงสินค้าและบริการข้อมูลพืชสวนไทยภายในอาคาร Villa Flora เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดแสดงสินค้าและบริการข้อมูลพืชสวนของไทย ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวประเทศไทย และจัดแสดงสินค้าและข้อมูลด้านการแพทย์แผนไทย โดยมีการจัดนิทรรศการหมุนเวียนแสดงสินค้าและบริการข้อมูลพืชสวนไทย จำนวน ๑๔ ครั้ง ตลอดการจัดงาน ๒. จัดกิจกรรมสัปดาห์ประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๘-๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยจัดแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ประกอบด้วย การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย การนวดแผนไทย การจัดแสดงสินค้าพืชสวน กล้วยไม้และผลไม้ไทย เป็นต้น ๓. จัดสัมมนาเจรจาธุรกิจและศึกษาตลาดสินค้าพืชสวน ระหว่างวันที่ ๒-๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ มีเกษตรกร ผู้ส่งออก และผู้นำเข้าร่วมเจรจาธุรกิจและศึกษาดูงาน จำนวน ๕ บริษัท รวม ๑๒ คน ๔. งานแสดงพืชสวนโลก Floriade 2012 มีพิธีปิดในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ นิทรรศการประเทศไทยได้รับประกาศนียบัตร Certificate of Winner พร้อมเงิน ๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
