ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1431 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 28601 - 28620 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 28601 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทาน ที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน จำนวน 3 ฉบับ | กษ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทาน ที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยกะเลงเวก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยกะเลงเวก ในท้องที่ตำบลเทพรักษา อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำบ้านเกาะแก้ว เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำบ้านเกาะแก้ว ในท้องที่ตำบลเกาะแก้ว อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ตำบลผักไหม อำเภอห้วยทับทัน และตำบลสวาย อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำอำปึล เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำอำปึล ในท้องที่ตำบลเทนมีย์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28602 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลช่อแล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ถึงกิโลเมตรที่ ๑๑.๐๒๐ ในท้องที่ตำบลแม่หอพระ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28603 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ) (นายครรชิต พุทธโกษา) | วช | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายครรชิต พุทธโกษา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28604 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร และร่างกฎกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง รวม 3 ฉบับ | กษ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร และร่างกฎกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง รวม ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ ให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร มีภารกิจเกี่ยวกับการปฏิบัติการฝนหลวงและการบินเกษตรทั้งระบบ โดยการทำฝน กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนแม่บทเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำในชั้นบรรยากาศ และมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการของประเทศ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการทำฝนและการดัดแปรสภาพอากาศ ตลอดจนการให้บริการด้านการบินและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนภารกิจด้านการเกษตรและอื่น ๆ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ๑.๒ ให้แบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้แก่ สำนักงานเลขานุการกรม กองบริหารการบินเกษตร กองปฏิบัติการฝนหลวง และกองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีฝนหลวง ๑.๓ ให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน และกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร รับผิดชอบงานขึ้นตรงต่ออธิบดี โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการ และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยตัดอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการปฏิบัติการฝนหลวงและการบินเกษตร ของสำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ออกจากสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย ๒.๑ ให้ยกเลิก (๙) ของข้อ ๒ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๒.๒ ให้ยกเลิก (๑๖) ของ ก. ราชการบริหารส่วนกลาง ของข้อ ๓ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๒.๓ ให้ยกเลิกข้อ ๑๙ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๓. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยกลุ่มภารกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรเป็นส่วนราชการในกลุ่มภารกิจด้านบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิต โดยให้ยกเลิกความใน (ข) ของข้อ ๘ แห่งกฎกระทรวงว่าด้วยกลุ่มภารกิจ พ.ศ. ๒๕๔๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(ข) กลุ่มภารกิจด้านบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิต ๑. กรมชลประทาน ๒. กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ๓. กรมพัฒนาที่ดิน ๔. สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม” |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28605 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างรายการอาคารที่ทำการศาลจังหวัดสมุทรสงครามแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว 1 หลัง บ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ ขออนุมัติปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 และขอขยายระยะเวลาการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับเนื้องานที่เพิ่มขึ้น | ศย | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดสมุทรสงครามแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จากวงเงิน ๔๖,๙๙๖,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๕๑,๖๒๖,๐๐๐ บาท โดยมีค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๔,๖๓๐,๐๐๐ บาท ๒. เพิ่มวงเงินค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดสมุทรสงครามแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จากวงเงิน ๘๖๕,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๙๕๗,๖๐๐ บาท โดยมีค่าควบคุมงานที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๙๒,๖๐๐ บาท ๓. ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันการก่อสร้างและควบคุมงานก่อสร้างเพิ่มขึ้นอีก ๑๒๐ วัน ไปถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาดำเนินการ ๔. สำหรับงบประมาณค่าก่อสร้างและควบคุมงานที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๔,๗๒๒,๖๐๐ บาท เห็นสมควรให้สำนักงานศาลยุติธรรมปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จากรายการค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28606 | ขออนุมัติลงนามและดำเนินการให้สนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือกันทางการศาลในคดีแพ่งและพาณิชย์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี มีผลใช้บังคับ | ศย | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างสนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือกันทางการศาลในคดีแพ่งและพาณิชย์ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐเกาหลี และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย แล้วแต่กรณี เป็นผู้ลงนามสนธิสัญญาฯ โดยสาระสำคัญของสนธิสัญญาฯ เป็นการกำหนดเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือกันทางการศาลในคดีแพ่งและพาณิชย์ระหว่างภาคีทั้งสองฝ่าย ได้แก่ ๑.๑.๑ ภาคีทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือกันในการส่งเอกสาร การสืบพยานหลักฐาน และการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศทางกฎหมายและข้อมูลคดีที่เปิดเผยต่อสาธารณะในคดีแพ่งและพาณิชย์ ๑.๑.๒ คนชาติของภาคีแต่ละฝ่ายจะได้รับความคุ้มครองทางการศาลเช่นเดียวกันกับที่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งให้แก่คนชาติของตน รวมถึงนิติบุคคลซึ่งก่อตั้งขึ้นตามกฎหมายของภาคีฝ่ายหนึ่ง และมีภูมิลำเนาอยู่ในอาณาเขตของภาคีฝ่ายนั้น ๑.๑.๓ ภาคีแต่ละฝ่ายมีสิทธิปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือหากเห็นว่าจะกระทบต่ออธิปไตย ความมั่นคง หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาล ๑.๑.๔ การดำเนินการตามคำร้องขอต้องไม่เป็นเหตุให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ เว้นแต่ การส่งเอกสารโดยเจ้าหน้าที่ของศาลหรือบุคคลที่มีอำนาจตามกฎหมายด้วยวิธีการส่งเอกสารเป็นพิเศษ หรือการสืบพยานหลักฐานที่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือล่าม ๑.๑.๕ เจ้าหน้าที่ทางทูตหรือกงสุลของภาคีแต่ละฝ่ายอาจส่งเอกสารทางการศาลให้แก่คนชาติของตนหรือสอบปากคำคนชาติของตน ซึ่งอยู่ในอาณาเขตของภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งและจะใช้มาตรการบังคับอย่างใด ๆ มิได้ ๑.๑.๖ พยานบุคคลอาจปฏิเสธที่จะเบิกความ หากเป็นผู้มีเอกสิทธิ์ ความคุ้มกัน หรือมีหน้าที่จะปฏิเสธการเบิกความ ๑.๑.๗ สนธิสัญญาฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อครบกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ภาคีทั้งสองฝ่ายได้แจ้งต่อกันเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านวิถีทางการทูตว่า แต่ละฝ่ายได้ปฏิบัติตามมาตรการที่จำเป็นตามกฎหมายภายในของตนเพื่อให้สนธิสัญญานี้มีผลใช้บังคับแล้ว ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สนธิสัญญาฯ มีผลใช้บังคับ ตามแต่จะได้ตกลงกับฝ่ายสาธารณรัฐเกาหลีต่อไป ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างสนธิสัญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้สำนักงานศาลยุติธรรมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างสนธิสัญญาฉบับนี้เป็นหนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันราชอาณาจักรไทย หากผู้ลงนามหนังสือสัญญามิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ลงนามต้องได้รับมอบอำนาจโดยหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ซึ่งออกให้โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28607 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๕๒๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นนโยบายขาดดุล จำนวน ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท รายได้สุทธิจำนวน ๒,๒๗๕,๐๐๐ ล้านบาท และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๑.๒ รับทราบการจัดสรรงบประมาณในลักษณะงบลงทุนที่สอดคล้องกับแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้น จำนวน ๓๓๑,๒๒๙.๙ ล้านบาท จำแนกเป็นรายการตามแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้น จำนวน ๓๒๔,๓๘๖.๗ ล้านบาท และเป็นรายการนอกแผนความต้องการลงทุนเบื้องต้น จำนวน ๖,๘๔๓.๒ ล้านบาท ๑.๓ เห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ในขั้นตอนและกิจกรรมลำดับที่ ๑๒-๑๕ คือ การนำเสนอรายละเอียดงบประมาณ และการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณ สำหรับขั้นตอนและกิจกรรมในลำดับถัดไปยังคงเป็นไปตามกำหนดระยะเวลาในปฏิทินงบประมาณเดิม ๑.๔ เห็นชอบขั้นตอนและแนวทางการดำเนินงานการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อให้สำนักงบประมาณ โดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีพิจารณาและปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๖ ตามขั้นตอนและกิจกรรมตามปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ปรับปรุงตามข้อ ๑.๓ ๒. ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาทบทวนด้วยว่า การพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นต้องยึดหลักความสำคัญของภารกิจ อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน ความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายรัฐบาล รวมถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน โดยไม่เกิดความเหลื่อมล้ำและซ้ำซ้อน และให้คำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแหล่งเงินนอกงบประมาณ โดยเฉพาะเงินกู้ตามร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28608 | ขออนุมัติกู้เงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร วงเงิน 7,824 ล้านบาท ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กู้เงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ จำนวน ๓,๙๑๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาแหล่งเงินกู้ วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินที่เหมาะสม ตลอดจนความจำเป็นในการค้ำประกันการกู้เงินดังกล่าว และให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณเพื่อชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกู้เงินดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สำหรับวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการฯ ในส่วนที่เหลือ ให้ กทพ. เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามแผนการดำเนินงานและแผนเบิกจ่ายเป็นลำดับแรกต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28609 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีสาระสำคัญคือ การแก้ไขปัญหาสมาชิก กบข. ในเรื่องบำนาญ โดย ๑.๑.๑ ข้าราชการ (สมาชิก กบข. ซึ่งเข้ารับราชการก่อนวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๐ และสมัครเป็นสมาชิก กบข.) ๑.๑.๑.๑ สมาชิก กบข. ซึ่งประสงค์จะกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ให้แสดงความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ และให้ถือว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลง ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๑.๒ ผู้ซึ่งจะต้องออกจากราชการไม่ว่ากรณีใด ๆ ยกเว้นกรณีถึงแก่ความตาย ก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้สมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลงเมื่อวันออกจากราชการ ๑.๑.๑.๓ การแสดงความประสงค์ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ หรือวันออกจากราชการ และให้มีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ทั้งนี้ การแสดงความประสงค์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ๑.๑.๑.๔ ข้าราชการตามข้อ ๑.๑.๑.๑-๑.๑.๑.๓ ไม่มีสิทธิได้รับเงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว โดยให้ กบข. ส่งเงินดังกล่าวเข้าบัญชีเงินสำรอง สำหรับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว กบข. จะจ่ายคืนให้แก่ข้าราชการผู้นั้น ๑.๑.๑.๕ การส่งเงินเข้าบัญชีเงินสำรองและการจ่ายคืนเงินสะสมและผลประโยชน์ให้เป็นไปตามที่ กบข. กำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังซึ่งจะกำหนดให้ กบข. นำเงินประเดิม เงินสมทบ เงินชดเชย และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวที่ได้รับคืนจากสมาชิกส่งเข้าบัญชีเงินสำรอง ทั้งนี้ กบข. จะต้องจัดทำรายงานการนำเงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวส่งเข้าบัญชีเงินสำรองต่อกรมบัญชีกลางตามวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่งจะกำหนดรายละเอียดข้อมูลที่ กบข. จะต้องรายงานให้กรมบัญชีกลางทราบ ๑.๑.๑.๖ หากข้าราชการซึ่งได้แสดงความประสงค์ไว้แล้วถึงแก่ความตายก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ หรือก่อนวันออกจากราชการ ให้ถือว่าการแสดงความประสงค์นั้นไม่มีผลใช้บังคับ ๑.๑.๒ ผู้รับบำนาญ (สมาชิก กบข. ซึ่งเข้ารับราชการก่อนวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๐ และสมัครเป็นสมาชิก กบข. แต่ได้ออกจากราชการแล้ว) ๑.๑.๒.๑ หากประสงค์จะขอกลับไปรับบำนาญตามสูตรเดิม (พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔) ให้แสดงความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ และผู้รับบำนาญจะต้องคืนเงินก่อน (เงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว) ที่ได้รับไปแล้วแก่ทางราชการโดยผู้รับบำนาญจะได้รับบำนาญตามสูตรเดิม ตั้งแต่วันที่ออกจากราชการจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ โดยวิธีหักกลบลบกัน ๑.๑.๒.๒ การหักกลบลบกัน หากมีกรณีที่ผู้รับบำนาญต้องคืนเงิน ให้ผู้รับบำนาญคืนเงินแก่ส่วนราชการผู้เบิกภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ เพื่อนำส่งให้กรมบัญชีกลาง โดยเงินที่ส่วนราชการได้รับคืน ไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หากมีกรณีที่ต้องคืนเงินให้ผู้รับบำนาญ กรมบัญชีกลางจะคืนเงินให้ผู้รับบำนาญ หากมีเงินเหลือ จะนำส่งเข้าบัญชีเงินสำรอง ๑.๑.๒.๓ ผู้รับบำนาญที่ได้แสดงความประสงค์แล้ว เป็นผู้รับบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ตั้งแต่วันที่ออกจากราชการ แต่หากผู้รับบำนาญมีกรณีที่ต้องคืนเงิน ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ จึงจะได้รับสิทธิดังกล่าว ๑.๑.๒.๔ หากผู้รับบำนาญซึ่งได้แสดงความประสงค์ไว้แล้วถึงแก่ความตายก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้ถือว่าการแสดงความประสงค์นั้นไม่มีผลใช้บังคับ และหากมีกรณีต้องคืนเงิน ให้ส่วนราชการผู้เบิกแจ้งกรมบัญชีกลางเพื่อถอนเงินที่ผู้รับบำนาญคืนให้แก่ส่วนราชการผู้เบิก เพื่อคืนให้แก่ผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบำนาญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด จะกำหนดเรื่องการดำเนินการถอนเงินคืนให้แก่ผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบำนาญที่ตายไปก่อนกฎหมายมีผลใช้บังคับ ๑.๒ เห็นชอบให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว รวมทั้งเงินบำนาญส่วนเพิ่ม จากการดำเนินการตามแนวทางที่ให้ข้าราชการและผู้รับบำนาญ ซึ่งเป็นสมาชิก กบข. โดยสมัครใจสามารถเลือกกลับไปรับบำนาญตามระบบเดิม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือและลดภาระให้แก่ข้าราชการและผู้รับบำนาญ ๒. ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วเสนอคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28610 | การประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 47 | ศธ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าร่วมประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ ๔๗ (47th SEAMEO Council Conference : SEAMEC) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สรุปได้ ดังนี้
๑. Mr. Truong Tan Sang ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้กล่าวเปิดการประชุม โดยย้ำความสำคัญด้านภูมิศาสตร์และการเมืองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตในการพัฒนาทวีปเอเชียและโลก โดยการศึกษาและการฝึกอบรมนับเป็นยุทธศาสตร์ความร่วมมือที่สำคัญของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ ได้มีพิธีเชิญธงประจำชาติของสหราชอาณาจักรเข้าเป็นสมาชิกสมทบของซีมีโอ พิธีลงนามเอกสารข้อกฎหมายของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยการเรียนรู้ตลอดชีวิตของซีมีโอ พิธีมอบโล่เกียรติยศด้านการศึกษาแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสมาชิกและผู้ทำคุณประโยชน์ด้านการศึกษา พร้อมทั้งเปิดตัวโครงการ SEAMEO College ๒. H.E. Prof. Dr. Pham Vu Luan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและฝึกอบรมแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมคและประธานการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๗ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาซีเมค และรองประธานการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๗ ๓. การประชุมวาระเฉพาะ (In-Camera Sessions) รัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงของซีมีโอได้รับทราบการติดตามผลการดำเนินงานตามข้อมติสภาซีเมค ๒๕๕๕ การเสนองบประมาณดำเนินการของซีมีโอ ระยะ ๓ ปี การสมัครเข้าเป็นสมาชิกสมทบขององค์การซีมีโอของสหราชอาณาจักร ข้อเสนอแผนงานความร่วมมือระหว่างองค์การซีมีโอและอาเซียน แถลงการณ์ยุทธศาสตร์ความร่วมมือของซีมีโอ และการอนุมัติของสภาซีเมคเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์ของซีมีโอเพื่อให้บรรลุภาพลักษณ์องค์กร “Golden SEAMEO” ๔. การประชุมเต็มคณะ (Plenary Sessions) ที่ประชุมได้รับทราบรายงานความก้าวหน้าและการนำเสนอโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ การดำเนินความร่วมมือระหว่างซีมีโอกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับกลุ่มด้อยโอกาสในภูมิภาค ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีการลงนามประกาศรับสหราชอาณาจักรเข้าเป็นประเทศสมาชิกสมทบของซีมีโอ และได้ร่วมลงนามในแถลงการณ์ยุทธศาสตร์ความร่วมมือของซีมีโอต่อการพัฒนาในระดับภูมิภาคกับประเทศสมาชิกซีมีโอ ทั้ง ๑๑ ประเทศ ๕. การประชุม Policy Forum หัวข้อ “Lifelong Learning : Policy and Vision” ได้มีการนำเสนอเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิตในภูมิภาค โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ราชอาณาจักรเดนมาร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ทั้งนี้ ศ.ดร. สุมาลี สังข์ศรี อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชได้ร่วมเป็นวิทยากรนำเสนอเกี่ยวกับพัฒนาการของการเรียนรู้ตลอดชีวิต นโยบาย และข้อเสนอยุทธศาสตร์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในประเทศไทย ๖. การประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีศึกษา (Ministerial Round-table Meeting) ที่ประชุมได้เห็นพ้องร่วมกันในเรื่องเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษและประเด็นด้านการศึกษาภายหลังปี ๒๕๕๘ การเพิ่มกิจกรรมที่สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่ศูนย์ระดับภูมิภาคของซีมีโอจะดำเนินการ การจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อประสานการดำเนินงานในการสำรวจสื่อการเรียนการสอนด้าน ICT และการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงสื่อการเรียนการสอน การจัดให้มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและการจัดทำมาตรฐานศึกษาระหว่างประเทศสมาชิก และการจัดเวทีสำหรับผู้นำในประเทศ ๗. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ได้มีการหารือทวิภาคีร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันว่า การจัดทำความตกลงในเรื่องการแลกเปลี่ยนครูของสองประเทศนั้น เป็นโอกาสที่ดีที่ครูจะได้รับประสบการณ์ในการทำงานในต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างกัน และคาดว่าจะสามารถจัดให้มีการลงนามภายใน ๑-๒ เดือนนี้ สำหรับเรื่องการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ฝ่ายไทยมีนโยบายส่งเสริมเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียน รวมทั้งการปรับเปลี่ยนการเปิด-ปิดภาคเรียน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายของนักเรียน/นักศึกษา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นว่าควรมีการพิจารณากำหนดประเภทวีซ่าสำหรับนักเรียนให้สอดคล้องในแต่ละหลักสูตรของการศึกษาด้วย ๘. ในปี ๒๕๕๘ ประเทศไทยได้รับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๘ แทนสาธารณรัฐสิงคโปร์ เนื่องจากรัฐบาลสิงคโปร์มีกำหนดจัดงานเฉลิมฉลองเอกราชครบ ๕๐ ปี ในปีเดียวกัน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยจะดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมค ระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ และทำหน้าที่ประธานการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๘
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28611 | บัญชีเงินฝากรายได้แผ่นดินของกระทรวงการต่างประเทศที่ฝากไว้กับธนาคารในต่างประเทศ | กต | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อมูลสถานะปัจจุบันของบัญชีเงินฝากรายได้แผ่นดินของกระทรวงการต่างประเทศที่ฝากไว้กับธนาคารในต่างประเทศ ซึ่ง ณ วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๖ ส่วนราชการในต่างประเทศมียอดเงินรายได้แผ่นดินในบัญชีเงินฝากธนาคารในสกุลต่าง ๆ รวมประมาณ ๖,๒๑๒,๖๘๐,๒๘๘ บาท ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยสรุปสาระสำคัญและผลประโยชน์ ดังนี้ ๑.๑ รายได้แผ่นดินในต่างประเทศมาจาก (ก) ค่าธรรมเนียมการกงสุล ซึ่งประกอบด้วยค่าธรรมเนียมในการตรวจลงตรา การออกหนังสือเดินทาง และนิติกรณ์ต่าง ๆ และ (ข) เงินงบประมาณเหลือจ่ายที่โอนเข้าเป็นรายได้แผ่นดินเมื่อสิ้นปีงบประมาณตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการนำเงินรายได้แผ่นดินส่งคลังของส่วนราชการในต่างประเทศ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๑๔ ๑.๒ กระทรวงการต่างประเทศได้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ในการหักโอนเงินงบประมาณรายจ่ายจากเงินรายได้แผ่นดินที่ฝากไว้ในบัญชีธนาคารต่างประเทศ ๑.๓ ส่วนราชการในสังกัดในต่างประเทศได้ฝากเงินรายได้แผ่นดินไว้ในบัญชีเงินฝากประเภทต่าง ๆ ทั้งที่มีดอกเบี้ยและไม่มีดอกเบี้ย โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพความคล่องตัวในการดำเนินภารกิจและการหักโอนเงินตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการเงินรายได้ของกระทรวงการต่างประเทศในบัญชีเงินฝากธนาคารในต่างประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าเงินบาทมีความผันผวนอย่างรุนแรง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28612 | ขออนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับ รัฐบาลแห่งมองโกเลียว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี | กต | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งมองโกเลียว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Mongolia on the Establishment of the Consultative Body on Bilateral Cooperation) มีสาระสำคัญเพื่อจัดตั้งกลไกหารือทวิภาคีเพื่อหารือ ทบทวนและผลักดันความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การค้า การลงทุน ธุรกิจ อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และความร่วมมือทางวิชาการให้มีความเป็นรูปธรรม ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเติมคำว่า “years” ในบันทึกความเข้าใจฉบับภาษาอังกฤษ ในบรรทัดแรกของ Article 5 หลังคำว่า “two” ก่อนการลงนามด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28613 | ผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 19 และการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 20 | ทส | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑ รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๙ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ มกราคม ๒๕๕๖ ณ เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นความร่วมมือในการพัฒนาลุ่มน้ำโขง ได้แก่ การศึกษาการพัฒนาที่ยั่งยืนของลุ่มน้ำโขง และการศึกษาผลกระทบของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายประธาน (The Study on Sustainable Management and Development of the Mekong River including Impacts by Mainstream Hydropower Project) หรือ Council Study เพื่อสร้างบรรทัดฐานให้ประเทศสมาชิกทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ จากโครงการพัฒนา ทั้งเชิงบวกและลบให้มีความชัดเจนก่อนการพัฒนาโครงการใด ๆ โดยการศึกษาประกอบด้วย ๖ เรื่อง คือ การชลประทาน การเกษตรและการใช้ที่ดิน การใช้น้ำในครัวเรือนและอุตสาหกรรม โครงสร้างการป้องกันน้ำท่วม ไฟฟ้าพลังน้ำ และการคมนาคมขนส่ง ซึ่งการศึกษาจะเริ่มในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยคณะทำงานด้านวิชาการของแผนงานพัฒนาลุ่มน้ำเป็นผู้ดำเนินการศึกษา ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงเร่งรัดดำเนินกระบวนการศึกษาดังกล่าว รวมทั้งได้อนุมัติงบประมาณบริหารองค์กร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ (Operation Expenses Budget for 2013) จำนวน ๓,๘๔๘,๔๔๒ ดอลลาร์สหรัฐ และสนับสนุนให้ประเทศภาคีสมาชิกเพิ่มการจ่ายเงินสนับสนุนคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในอนาคต เนื่องจากมีกิจกรรมเพิ่มขึ้น ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๐ ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒. สถานที่จัดประชุมคณะมนตรีฯ ครั้งที่ ๒๐ ให้เปลี่ยนไปจัดที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว จำนวน ๙๓๗,๐๐๐ บาท ให้กรมทรัพยากรน้ำใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันประเด็นความร่วมมือในการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตามมติที่ประชุมคณะมนตรีฯ ครั้งที่ ๑๙ ที่เห็นชอบให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงเร่งรัดดำเนินกระบวนการศึกษาผลกระทบของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายประธานโดยเร็วต่อไป โดยให้ติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการศึกษาในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28614 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | คค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๗ กับถนนภายในท่าเรือแหลมฉบัง เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28615 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28616 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ 19 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ ๑๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-คณะกรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรป และการประชุมภาคธุรกิจอาเซียน-สหภาพยุโรป ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๙ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับรองเอกสารมาตรการสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economics Community : AEC) ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๖ และปี ๒๕๕๘ เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ พิจารณาในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ และเห็นว่าสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์และประเทศมาเลเซียซึ่งจะเป็นประธานอาเซียนในปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘ ควรเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักเพื่อให้การดำเนินการสู่ AEC เป็นไปตามกำหนด รวมทั้งอาเซียนจะเริ่มหารือแนวทางการดำเนินการด้านเศรษฐกิจภายหลังปี ๒๕๕๘ เพื่อให้ผู้นำอาเซียนพิจารณาในปี ๒๕๕๘ ๒. ที่ประชุมมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสทางเศรษฐกิจของอาเซียน (Senior Economic Officials Meetings : SEOM) และคณะกรรมการประสานงานการดำเนินการภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (Committee on ASEAN Trade in Goods Agreement : CCA) เร่งจัดทำแผนการดำเนินงานในเรื่องมาตรการที่มิใช่ภาษีของอาเซียน (Work Programme on ASEAN NTMs) รวมทั้งหารือแนวทางในการแจ้ง ประเมิน และยกเลิกอุปสรรคทางการค้า จัดตั้งกลไกดูแลมาตรการที่มิใช่ภาษีในแต่ละประเทศ และปรับปรุงฐานข้อมูลเรื่อง NTM ของอาเซียน โดยใช้ระบบการจำแนกมาตรการ NTMs ของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development : UNCTAD) เพื่อให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจพิจารณารับรองระหว่างการประชุม AEM ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๓. ตามที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจได้ลงนามความตกลงว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาในช่วงการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ (วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) ซึ่งความตกลงฯ กำหนดให้อาเซียนดำเนินการให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับภายใน ๑๘๐ วันหลังการลงนาม (วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖) ขณะนี้อาเซียนอยู่ระหว่างการจัดทำข้อผูกพันเพื่อผนวกกับความตกลงฯ ให้แล้วเสร็จ ที่ประชุมจึงมอบหมายให้คณะทำงานด้านการค้าบริการ (Coordinating Committee on Services : CCS) ดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอให้ที่ประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ ๙ ให้การรับรองในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ ๔. ที่ประชุมเห็นชอบให้ภาคเอกชนหารือร่วมกันในประเด็นและข้อเสนอแนะและเสนอต่อภาครัฐก่อนเพื่อพิจารณาความจำเป็นในการจัดประชุมหารือร่วมกัน โดยในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers Meeting : AEM) ครั้งที่ ๔๕ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ จะมีการหารือกับภาคธุรกิจสาขาสุขภาพ นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ควรให้สภาธุรกิจของอาเซียน (ASEAN Business Council : ABAC) เป็นกลไกหลักในการดำเนินการหารือกับภาครัฐ ๕. รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ลงนามพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงด้านเศรษฐกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้าของอาเซียน (Protocol to Amend Certain ASEAN Economic Agreements) ซึ่งมีสาระสำคัญคือ ให้ความตกลงด้านเศรษฐกิจอื่น ๆ ดังกล่าวอ้างอิงถึงความตกลงด้านสินค้าของอาเซียนในปัจจุบัน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) แทนการอ้างอิงความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (Common Effective Preferential Tariff Scheme-ASEAN Free Trade Area : CEPT-AFTA)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28617 | ขออนุมัติใช้ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 2956 และ กท. 0456 (แปลง บบส. เดิม) เพื่อสร้างสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ | นร07 | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงบประมาณใช้ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. ๒๙๕๖ และ กท. ๐๔๕๖ (แปลง บบส. เดิม) ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุที่ตั้งอยู่ในทำเลการค้า สำหรับเป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ เพื่อกรมธนารักษ์จะได้พิจารณาอนุญาตต่อไป ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณโอนเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณจากรายการค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานพร้อมครุภัณฑ์ประจำอาคาร ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเตรียมการและการศึกษาออกแบบรายละเอียดของสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ (เรื่อง ขอมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ) และวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๖ (เรื่อง ขอแก้ไขเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ เรื่อง ขอมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ) เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การใช้ที่ราชพัสดุของส่วนราชการ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ๓. ให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการออกแบบก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ให้เหมาะสม สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มพื้นที่ มีพื้นที่และระบบการจัดเก็บเอกสารข้อมูลต่าง ๆ ที่ปลอดภัย ทันสมัย รวมทั้งจะต้องมีพื้นที่สำหรับให้บริการสาธารณะและจัดแสดงสินค้าในเชิงพาณิชย์ (เช่น สินค้า OTOP) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28618 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนแจ้งเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ [๔ ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ ช่องทางตู้ ปณ.๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑] รวมทั้งสิ้น ๒๖,๘๗๕ ครั้ง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐกรณีคัดค้านเนื้อหาของร่างกฎหมายที่แก้ไขวาระการดำรงตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านให้ดำรงตำแหน่งคราวละ ๕ ปี ตามลำดับ ๒. หน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามลำดับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี ตามลำดับ ๓. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเรียงตามลำดับประเภทเรื่องที่มีการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ๑๐ ลำดับแรก ได้แก่ สาธารณูปโภค ๓,๒๕๓ เรื่อง สังคมเสื่อมโทรม ๒,๒๕๔ เรื่อง การแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ ๒,๒๐๘ เรื่อง สวัสดิการสงเคราะห์ ๘๘๘ เรื่อง การกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต ๘๑๙ เรื่อง ร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๘๑๙ เรื่อง การประพฤติตนไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๗๘๐ เรื่อง การใช้อำนาจของหน่วยงานของรัฐ ๖๓๙ เรื่อง การพนัน ๕๓๔ เรื่อง และการเกษตร ๔๕๕ เรื่อง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28619 | รายงานสรุปการดำเนินงานของ กฟผ. เพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤติพลังงานกรณีการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่งก๊าซของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ | พน | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปการดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤติพลังงานกรณีผู้ผลิตก๊าซแหล่งยาดานาของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (ก๊าซฯ ตะวันตก) แจ้งหยุดจ่ายก๊าซฯ ให้กับ กฟผ. ตั้งแต่ เวลา ๐๐.๐๐ น. วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๖ ถึง เวลา ๒๔.๐๐ น. ของวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเตรียมการรองรับสถานการณ์สำหรับวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๖ โดยมีการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าไว้ที่ ๒๖,๖๐๐ เมกะวัตต์ หลังจากการหยุดจ่ายก๊าซฯ ด้านตะวันตก ส่งผลให้โรงไฟฟ้าไม่สามารถเดินเครื่องได้บางส่วน ทำให้กำลังผลิตพร้อมจ่ายเหลือเพียง ๒๗,๐๖๗ เมกะวัตต์ โดยมีกำลังผลิตสำรองเพียง ๔๖๗ เมกะวัตต์ ซึ่งต่ำกว่าปกติที่ กฟผ. รักษาไว้ที่ประมาณ ๑,๒๐๐ เมกะวัตต์ แต่จากความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะมาจากภาคการผลิต หรือ Supply side ที่ช่วยกันผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และภาคการใช้ไฟฟ้า หรือ Demand side ที่ช่วยกันลดการใช้ไฟฟ้าลง ทำให้มีกำลังผลิตสำรองเพิ่มขึ้นเป็น ๑,๖๘๗.๗ เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ในระดับที่มีความมั่นคงเพียงพอ ๒. สำหรับวันที่ ๙ และ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ มีการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าไว้ที่ ๒๕,๙๕๐ เมกะวัตต์ ในขณะที่กำลังผลิตพร้อมจ่ายเท่าเดิมอยู่ที่ ๒๗,๐๖๗ เมกะวัตต์ ทำให้มีกำลังผลิตสำรองเหลือ ๑,๑๑๗ เมกะวัตต์ แต่จากความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในลักษณะเดียวกันกับวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๖ ทำให้มีกำลังผลิตสำรองเพิ่มขึ้นเป็น ๑,๔๗๔.๒ เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ในระดับที่มีความมั่นคงเพียงพอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28620 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง แทนตำแหน่งที่ว่าง | ลต | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดระนอง แทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ค่าใช้จ่ายที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเอง เป็นจำนวนเงิน ๗,๗๐๗,๖๐๐ บาท ๑.๒ ค่าใช้จ่ายของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจที่ร่วมดำเนินการ เป็นจำนวนเงิน ๒,๑๘๒,๑๐๐ บาท ประกอบด้วย กรมการปกครอง สำนักบริหารการทะเบียน เป็นจำนวนเงิน ๔๖๙,๘๐๐ บาท สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นจำนวนเงิน ๗๔๐,๗๐๐ บาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นจำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน ๔๓,๑๐๐ บาท บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นจำนวนเงิน ๖๒๘,๕๐๐ บาท และกรมประชาสัมพันธ์ เป็นจำนวนเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้ โดยการปรับแผนการใช้จ่ายเงินอุดหนุนที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐ ทั้งนี้ หากพิจารณาตรวจสอบแล้วมีไม่เพียงพอ ก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
