ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1299 จากทั้งหมด 6221 หน้า แสดงรายการที่ 25961 - 25980 จากข้อมูลทั้งหมด 124410 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง | วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 25961 | การประชุมระดับรัฐมนตรีของสภาไตรภาคียางพารา (International Tripartite Rubber Council : ITRC) | กษ | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบข้อเสนอเรื่อง การปรับระดับราคาขั้นต่ำ (Reference Price หรือ Defense Price) ในการประชุมระดับรัฐมนตรีของสภาไตรภาคียางพารา (International Tripartite Rubber Council : ITRC) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (รอการยืนยันจากประเทศอินโดนีเซีย) โดยขอปรับระดับราคาขั้นต่ำขึ้นจากเดิม ๑.๒ ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม เป็นระหว่าง ๑.๗ ถึง ๒.๒ ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ๑.๒ เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำเสนอต่อที่ประชุม ITRC ตามวาระการประชุมดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาหาแนวทางและมาตรการด้านการตลาดในด้านอื่น ๆ ที่อยู่นอกกรอบของสภาไตรภาคียางพารา โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านและสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการตลาดของยางพาราไทยด้วย ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับประเทศสมาชิกพิจารณาแนวทางในการขยายความร่วมมือของสภาไตรภาคียางพาราให้ครอบคลุมประเทศผู้ผลิตสำคัญอื่น ๆ เพื่อกำหนดมาตรการร่วมกันในการควบคุมปริมาณการผลิตยางธรรมชาติและสร้างเสถียรภาพราคายางในตลาดโลก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป | |||||||||||||||||||||
| 25962 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (สคก.) | นร09 | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการ จำนวน ๔ คณะ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ๑.๒ คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ๑.๓ คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญา ๑.๔ คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วน บริษัท และองค์กรทางธุรกิจ ๒. ให้คณะกรรมการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งได้แจ้งยืนยันการคงอยู่ของคณะกรรมการไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี) มีผลต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป 
 | |||||||||||||||||||||
| 25963 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางชนาทิพย์ วีระสืบพงศ์) | กค | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางชนาทิพย์ วีระสืบพงศ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาฐานภาษี (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 
 | |||||||||||||||||||||
| 25964 | คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) | ทก | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการ จำนวน ๕ คณะ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยมีการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ๑.๒ คณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ๑.๓ คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวิชาการ โดยมีการปรับปรุงองค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ๑.๔ คณะกรรมการจัดระบบสถิติประเทศไทย ๓ ด้าน โดยมีการปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ๑.๕ คณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๒. ให้คณะกรรมการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งได้แจ้งยืนยันการคงอยู่ของคณะกรรมการไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี) มีผลต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป 
 | |||||||||||||||||||||
| 25965 | ขอความเห็นชอบในการรับรองร่างปฏิญญาโคลัมโบเพื่อการส่งเสริมการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคการขนส่งในยุคหน้าของภูมิภาคเอเชีย | คค | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการรับรองร่างปฏิญญาโคลัมโบเพื่อการส่งเสริมการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคการขนส่งในยุคหน้าของภูมิภาคเอเชีย (Draft Colombo Declaration-For the Promotion of Next Generation Low Carbon Transport Solutions in Asia) ซึ่งจะมีการรับรองในที่ประชุมด้านการขนส่งอย่างยั่งยืนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชีย ครั้งที่ ๘ [Intergovernmental Eighth Regional Environmentally Sustainable Transport (EST) Forum in Asia] ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงโคลัมโบ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ ที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการให้การรับรอง ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดำเนินการได้โดยให้อยู่ในดุลพินิจของคณะผู้แทนไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ที่ประเทศไทยได้มีข้อตกลงไว้แล้ว โดยต้องยึดผลประโยชน์ของประเทศไทยตามแนวทางมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) เป็นหลัก และให้ระมัดระวังเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Methane) ที่อาจมีผลกระทบต่อภาคการเกษตรของไทยด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาหาเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะต่อไป | |||||||||||||||||||||
| 25966 | ร่างพระราชบัญญัติการจำนองเรือและบุริมสิทธิทางทะเล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการจำนองเรือและบุริมสิทธิทางทะเล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขให้เจ้าของเรือสามารถนำเรือที่อยู่ในระหว่างการต่อหรือสร้างมาจำนองเป็นหลักประกันแก่ผู้ให้สินเชื่อที่ต้องการหลักประกันและสามารถนำเงินมาชำระค่าจ้างต่อเรือได้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า แม้ว่าหลักการของร่างพระราชบัญญัติจะเป็นหลักการที่ดีที่จะส่งเสริมธุรกิจพาณิชยนาวีของประเทศ แต่การนำเรือที่อยู่ในระหว่างต่อหรือสร้างมาเป็นหลักประกัน อาจมีปัญหาในเรื่องความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์ที่มาประกันการกู้ เนื่องจากในการจำนองเรือตามพระราชบัญญัติการจำนองเรือและบุริมสิทธิทางทะเล พ.ศ. ๒๕๓๗ ประกอบกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติการจำนองเรือและบุริมสิทธิทางทะเล พ.ศ. ๒๕๓๗ นั้น กำหนดให้เรือที่จะสามารถนำมาจำนองจะต้องเป็นเรือที่มีใบทะเบียนเรือไทย และการจดทะเบียนจำนองเรือไทยให้จดทะเบียนที่ที่ทำการนายทะเบียนเรือประจำเมืองท่าขึ้นทะเบียนของเรือนั้น โดยให้นายทะเบียนเรือเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่รับจดทะเบียน และให้จดไว้ในสมุดทะเบียนและหมายเหตุไว้ในใบทะเบียน ซึ่งทำให้เรือนั้นเป็นสินทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถือสำหรับผู้รับจำนองหรือสถาบันการเงินที่ปล่อยเงินกู้ ดังนั้น การจำนองเรือที่กำลังต่อหรือสร้างจะไม่มีเอกสารสำคัญคือ ใบทะเบียนประกอบการจำนองและไม่มีการทำหมายเหตุไว้ในใบทะเบียน มีเพียงสำเนาสัญญาจ้างต่อหรือสร้างเรือเท่านั้น อาจจะมีปัญหาในเรื่องความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์ที่นำมาจำนองได้ ดังนั้น ในการตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ควรมีมาตรการในการสร้างความน่าเชื่อถือของเรือที่กำลังต่อหรือสร้างซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันการจำนองเรือด้วย เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติมีประสิทธิภาพตามเจตนารมณ์อย่างแท้จริง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป | |||||||||||||||||||||
| 25967 | ร่างพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ของกระทรวงการคลัง ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเสียภาษีการรับมรดก และแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อจัดเก็บภาษีเงินได้จากการรับให้ ให้สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีการรับมรดก และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วย ดังนี้ ๑.๑ กรณีที่กำหนดให้บุคคลผู้มิได้มีสัญชาติไทย แต่มีภูมิลำเนาหรือมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาสามปีติดต่อกันถึงวันที่มีสิทธิรับมรดกนั้น เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามร่างพระราชบัญญัตินี้ นั้น อาจเกิดปัญหาทำให้ชาวต่างชาติที่มีภูมิลำเนาในประเทศไทยย้ายออกจากประเทศไทยเพราะไม่ต้องการเสียภาษีดังกล่าว ๑.๒ ในกรณีที่ผู้รับมรดกมีฐานะยากจน เช่น เกษตรกรได้มรดกเป็นที่นาจากบิดามารดา เพื่อนำมาประกอบอาชีพแต่ไม่มีเงินจะเสียภาษี อาจพิจารณากำหนดมาตรการบรรเทาภาระภาษีให้เหมาะสมและเป็นธรรม เช่น ไม่นำทรัพย์สินบางชนิดที่ใช้ในทางเกษตรกรรมมาคำนวณรวมเป็นฐานภาษี ๒. ให้กระทรวงการคลังเตรียมจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อกำหนดอัตราภาษีโดยให้พิจารณาถึงความเหมาะสมและเป็นธรรม รวมทั้งเตรียมจัดทำร่างอนุบัญญัติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและจำเป็นแก่การบังคับใช้พระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับ ๓. ให้กระทรวงการคลังประชาสัมพันธ์ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนด้วย | |||||||||||||||||||||
| 25968 | การดำเนินการตามมาตรการควบคุมการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม | กษ | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้คณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาในการควบคุมการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม [Illegal, Unreported and Unregulated (IUU) Fishing] ในระดับชาติ พร้อมเร่งรัดการจัดทำแผนระดับชาติในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (NPOA-IUU) โดยกำหนดภารกิจและมอบอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติโดยเร็ว ๑.๒ เร่งรัดให้มีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เรือประมงไทยขนาดตั้งแต่ ๓๐ ตันกรอสขึ้นไป ติดตั้งระบบติดตามเรือ (VMS) เพื่อให้สามารถควบคุมและติดตามการทำประมงของเรือดังกล่าว ๑.๓ มอบหมายให้กรมเจ้าท่าเป็นหน่วยงานหลัก Competent Authority ร่วมกับกรมประมง ภายใต้กฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป ในการดำเนินการควบคุมการประมง IUU ของเรือประมงไทย ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการควบคุมและติดตามตำแหน่งเรือประมง จำนวน ๔๕,๑๗๐,๐๐๐ บาท ให้กรมประมงพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาดำเนินการตามความจำเป็นเร่งด่วนก่อน โดยบูรณาการร่วมกับกรมเจ้าท่า ซึ่งขณะนี้ได้จัดทำระบบควบคุมการจราจรและความปลอดภัยทางทะเลระยะที่ ๑ (Vessel Traffic Management Information System Phase I) และโครงการก่อสร้างและจัดหาระบบตรวจการณ์ชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน VTS ระยะที่ ๒ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของเรือในทะเลเขตน่านน้ำไทย และท่าเรือที่สำคัญ โดยมีสถานีเรดาห์ ๕ สถานี หากไม่เพียงพอให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เรือประมงไทยขนาดตั้งแต่ ๓๐ ตันกรอสขึ้นไป ติดตั้งระบบติดตามเรือ (VMS) เพื่อให้สามารถควบคุมและติดตามการทำประมงของเรือ ควรดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเป็น ๒ ระยะ โดยเริ่มต้นบังคับกับเรือกลประมงทะเลลึก ซึ่งแบ่งเป็นเรือกลประมงทะเลลึกชั้น ๒ ขนาดตั้งแต่ ๖๐ ตันกรอสขึ้นไป และเรือกลประมงทะเลลึกชั้น ๑ ขนาดตั้งแต่ ๑๕๐ ตันกรอสขึ้นไปก่อน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินการโดยขอความร่วมมือจากหน่วยงานด้านความมั่นคงในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำการประมงที่ผิดกฎหมายเพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งพิจารณากำหนดกลไกในการขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาการทำการประมงที่ผิดกฎหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการในระดับพื้นที่ที่มีผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกัน เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าในเรื่องนี้ต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๓ เดือนด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประชาสัมพันธ์การดำเนินการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการทำประมงผิดกฎหมายเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มชาวประมงและผู้ประกอบการประมง | |||||||||||||||||||||
| 25969 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญัติแห่งชาติ) | นร | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| 25970 | คณะกรรมการต่างๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (จำนวน 5 ส่วนราชการ) (กระทรวงการคลัง) | กค | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมา ด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมา ด้านการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติม และให้แต่งตั้งคณะกรรมการของกระทรวงการคลัง จำนวน ๑๓ คณะ ดังนี้ ๑. คณะกรรมการป้องปรามธุรกิจการเงินนอกระบบ ๒. คณะกรรมการพิจารณากำหนดสำนักงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ ๓. คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ๔. คณะกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดขอบเขตที่ดินกำแพงเมือง-คูเมือง ๕. คณะกรรมการพิจารณาการขาย การแลกเปลี่ยน การให้ การจำหน่าย จ่ายโอนหรือจัดหาประโยชน์ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลไทยในต่างประเทศ ๖. คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร ๗. คณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติ ๘. คณะกรรมการกลั่นกรองการจัดเอาประกันภัยทรัพย์สินของรัฐ ๙. คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ๑๐. คณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ๑๑. คณะกรรมการอำนวยการเพื่อกำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ มาตรการและเงื่อนไขเพื่อนำที่ราชพัสดุมาจัดให้เช่าทำการเกษตร ๑๒. คณะกรรมการบริหารระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ๑๓. คณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง 
 | |||||||||||||||||||||
| 25971 | การเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ภัยแล้ง ปี 2558 | มท | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘ ประกอบด้วย การกำหนดพื้นที่เป้าหมายซึ่งคาดว่าจะประสบปัญหาภัยแล้ง การเตรียมการเพื่อให้มีน้ำอุปโภคบริโภคใช้ แผนเตรียมความพร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย แผนปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือ และแผนการสร้างความเข้าใจในข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแก่ประชาชน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยบูรณาการและเร่งรัดการดำเนินงานรองรับสถานการณ์ภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘ ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำที่คาดว่าจะกักเก็บได้และความต้องการใช้น้ำของประชาชนในแต่ละพื้นที่ รวมตลอดถึงการขุดลอกคูคลองและแหล่งกักเก็บน้ำต่าง ๆ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘) ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งปริมาณน้ำและความจำเป็นในการใช้น้ำอย่างประหยัดและเหมาะสมให้ประชาชนทราบโดยทั่วกันด้วย ๒. ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเร่งนำเสนอแผนบริหารจัดการน้ำฉบับสมบูรณ์ต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน รวมทั้งให้พิจารณาด้วยว่ากรณีที่บริษัท/กลุ่มบริษัทเอกชนที่ได้ผ่านการคัดเลือกให้รับผิดชอบดำเนินการตามโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ของรัฐบาลที่ผ่านมาและได้มีการวางเงินค้ำประกันไว้แล้ว สมควรจะดำเนินการประการใด เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไป 
 | |||||||||||||||||||||
| 25972 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน (จำนวน 6 คน) (1. นางบุญทิพา สิมะสกุล ฯลฯ) | พณ | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน จำนวน ๖ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบตามวาระ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. นางบุญทิพา สิมะสกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าระหว่างประเทศ ๒. นายประสัณห์ เชื้อพานิช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบัญชี ๓. นายคนิต ลิขิตวิทยาวุฒิ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเกษตร ๔. นายศักดา ธนิตกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ ๕. นายเสน่ห์ นิยมไทย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการอุตสาหกรรม ๖. นางวริชนันท์ ต่อวงศ์ไพชยนต์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ 
 | |||||||||||||||||||||
| 25973 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จำนวน 14 คน) (นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ ฯ) | พณ | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ชุดใหม่ จำนวน ๑๔ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมที่ได้ดำรงตำแหน่งมาครบกำหนดสี่ปีตามวาระแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๑.๑ นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ สาขาวิทยาศาสตร์ ๑.๒ นางปัจฉิมา ธนสันติ สาขานิติศาสตร์ ๑.๓ นายชัยปิติ ม่วงกูล สาขานิติศาสตร์ ๑.๔ นางลัดดาวัลย์ กรรณนุช สาขาเกษตรศาสตร์ ๑.๕ นางมยุรา มานะธัญญา สาขาเศรษฐศาสตร์ ๑.๖ นายอัคคพันธ์ ลีวุฒินันท์ สาขาเศรษฐศาสตร์ ๒. ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ๒.๑ นายทศพร นุชอนงค์ สาขาภูมิศาสตร์ ๒.๒ นายธนิต ชังถาวร สาขานิติศาสตร์ ๒.๓ นางมะลิ รักเปี่ยม สาขาวิทยาศาสตร์ ๒.๔ นายวุฒิพงษ์ อินทรธรรม สาขาวิทยาศาสตร์ ๒.๕ นางวรนุช กิจสุขจิต สาขาวิทยาศาสตร์ ๒.๖ นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ สาขาเกษตรศาสตร์ ๒.๗ นางสาวศิริพร บุญชู สาขาเกษตรศาสตร์ ๒.๘ นายทรงพล สมศรี สาขาเกษตรศาสตร์ 
 | |||||||||||||||||||||
| 25974 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | พน | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ 
 | |||||||||||||||||||||
| 25975 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์คุณธรรม | วธ | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายธาดา เศวตศิลา เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์คุณธรรม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป และจะมีวาระในการดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คือ ถึงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ 
 | |||||||||||||||||||||
| 25976 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (จำนวน 7 คน) | สธ | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข จำนวน ๗ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมที่ได้ดำรงตำแหน่งครบวาระ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑. ศาสตราจารย์ภิเศก ลุมพิกานนท์ ๒. ศาสตราจารย์วิภาดา คุณาวิกติกุล ๓. นายศุภกิจ ศิริลักษณ์ ๔. นายชำนาญ พิเชษฐพันธ์ ๕. รองศาสตราจารย์ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา ๖. นายสุภกร บัวสาย ๗. นายสุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ 
 | |||||||||||||||||||||
| 25977 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขและผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) (จำนวน 2 ราย) | สธ | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. นายเทียม อังสาชน ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ๒. นายยงยศ ธรรมวุฒิ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 
 | |||||||||||||||||||||
| 25978 | ข้อหารือในระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 22 และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 25 | นร04 | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อหารือในระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๒ ระหว่างวันที่ ๙-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับรายงานการเดินทาง ผลการเยือน และการประชุมเจรจาหารือของนายกรัฐมนตรี) ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ขอความเห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕) อนุมัติในหลักการการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจแบบทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับการซื้อขายผลผลิตทางการเกษตรและการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งทางรถไฟตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ นั้น ในระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๒ นายกรัฐมนตรีได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนและได้พูดคุยถึงเรื่องการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแจ้งว่า ขณะนี้ได้เจรจากับทางฝ่ายสาธารณรัฐประชาชนจีนและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับรายละเอียดเส้นทางรถไฟแล้ว โดยร่างเอกสารบันทึกความเข้าใจดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาในรายละเอียดขั้นสุดท้ายและจะแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ (วันศุกร์ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ได้หารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางฝ่ายสาธารณรัฐประชาชนจีนและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจด้านการค้าสินค้าเกษตร โดยได้มีการกำหนดชนิดของสินค้าทางการเกษตรด้วยแล้ว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์นำร่างบันทึกความเข้าใจทั้ง ๒ ฉบับเสนอคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ 
 | |||||||||||||||||||||
| 25979 | รายงานผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 22 | กต | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๒ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับรายงานการเดินทาง ผลการเยือน และการประชุมเจรจาหารือของนายกรัฐมนตรี) สำหรับสาระสำคัญของการประชุมฯ จีนในฐานะเจ้าภาพการประชุมได้กำหนดหัวข้อหลักของการประชุม คือ “การสร้างอนาคตด้วยความเป็นหุ้นส่วนในเอเชีย-แปซิฟิก (Shaping the Future through Asia-Pacific Partnership) โดยเน้นการหารือความร่วมมือภายใน ๓ ประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (๒) การส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีนวัตกรรม การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเจริญเติบโต และ (๓) การเสริมสร้างความเชื่อมโยงอย่างครอบคลุมและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ในส่วนของการหารือทวิภาคี นายกรัฐมนตรีได้ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับผลกระทบของการเปิดเสรีทางการค้าต่อวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อมและขนาดเล็ก (SMMEs) รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมให้ SMMEs สามารถได้รับประโยชน์ในการเปิดเสรีทางการค้าได้อย่างแท้จริง โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริม SMMEs โดยกำหนดให้เป็นวาระของชาติ ให้มีการลงทะเบียน SMMEs และตั้งกองทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและช่วยแก้ปัญหาที่ SMMEs ประสบ เช่น การเข้าถึงเงินทุน และแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ การเปิดเสรีต้องคำนึงถึงความแตกต่างในระดับการพัฒนาของแต่ละประเทศด้วย อีกทั้งย้ำถึงนโยบายการปฏิรูปของไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และบรรยากาศที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุน ซึ่งจะส่งเสริมให้ SMMEs และทุกภาคส่วนของสังคมมีศักยภาพ และสามารถใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนได้อย่างเต็มที่ สำหรับการดำเนินการของเอเปคในปี ๒๕๕๘ ฟิลิปปินส์จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี ๒๕๕๘ โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ๖ สาขา ได้แก่ การค้า การคลัง การคมนาคม การปฏิรูปโครงสร้าง วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พลังงาน และมีกำหนดจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๗ ณ กรุงมะนิลา ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นด้านการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งมีความคืบหน้า ๓ ประการ คือ ๒.๑ การผลักดันการจัดตั้งเขตการค้าเสรี FTAAP (Free Trade Area of the Asia Pacific) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี ๒๐๑๖ (๒๕๕๙) จะเพิ่มรายได้ประมาณร้อยละ ๔.๙ ของมูลค่า GDP ของไทยในปี ๒๐๒๕ (๒๕๖๘) ๒.๒ ไทยเสนอตัวเป็นผู้นำผลักดัน SME เข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มในการผลิต (Global Value Chain) ในสาขาเกษตร ที่เชื่อมโยงผลผลิตเกษตรและอาหาร ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถกำหนดทิศทางนโยบายของเอเปคเพื่อดึงเกษตรกรและนักธุรกิจการเกษตรของไทยเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มของโลก อันจะส่งผลพัฒนาภาคเกษตรของไทยอย่างยั่งยืนในระยะยาว ๒.๓ ไทยสนับสนุนการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Connectivity) โดยเฉพาะการพัฒนาท่าเรือให้เข้าสู่ระบบท่าเรืออิเล็กทรอนิกส์ของภูมิภาค ซึ่งจะเป็นการพัฒนาที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การอำนวยความสะดวกทางการค้าของไทย 
 | |||||||||||||||||||||
| 25980 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 25 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | กต | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ ๑๒ การประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๗ การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ ๖ การประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ การประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงอาเซียน-ญี่ปุ่น การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) ครั้งที่ ๙ การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๒ และการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยนายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดฯ ในครั้งนี้ และไทยได้มีข้อเสนอที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ อาทิ การส่งเสริมความเชื่อมโยง โดยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจบริเวณชายแดน การให้ความสำคัญกับวาระประชาชน การพิจารณาทิศทางในอนาคตของประชาคมอาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ และข้อเสนอในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสามเรื่องการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของอีโบลา การต่อต้านการค้ามนุษย์ การส่งเสริม SMEs และการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการเกษตร เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบบทบาทของไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-จีนที่ผลักดันให้บรรลุการจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้โดยเร็ว รวมทั้งมีการขยายประเด็นที่เป็นจุดยืนร่วมกัน และมาตรการเร่งด่วนเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่สามารถดำเนินการได้ทันที และนายกรัฐมนตรีได้ใช้โอกาสนี้ขอบคุณเพื่อนสมาชิกอาเซียน คู่เจรจา และสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียนที่เข้าใจสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันด้วย ๒. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับรายงานการเดินทาง ผลการเยือน และการประชุมเจรจาหารือของนายกรัฐมนตรี) 
 | |||||||||||||||||||||
					.....
									
			