ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 107 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 2121 - 2140 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2121 | มาตรการภาษีในการสนับสนุนคนไทยที่มีศักยภาพที่ทำงานในต่างประเทศให้กลับเข้ามาทำงานในประเทศ | กค. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการภาษีในการสนับสนุนคนไทยที่มีศักยภาพที่ทำงานในต่างประเทศให้กลับเข้ามาทำงานในประเทศ
โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คนไทย ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานในต่างประเทศอย่างน้อย ๒ ปี
และวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อดึงดูดคนไทยที่มีศักยภาพสูงและมีความเชี่ยวชาญในสาขาตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายให้กลับเข้ามาทำงานในประเทศไทยในอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตามกฎหมาย
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกไประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิผลของมาตรการควรกำหนดคุณสมบัติที่เป็นหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของทั้งลูกจ้างและนายจ้างในต่างประเทศให้มีความเข้มงวดและมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
เช่น
จบการศึกษาหรือมีประสบการณ์ทำงานในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
เป็นต้น
รวมถึงควรมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ตรวจสอบและรับรองคุณสมบัติดังกล่าวด้วย
รวมทั้งภาครัฐควรพิจารณาดำเนินมาตรการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจในการยกระดับและปรับปรุงทักษะแรงงานไทยที่มีอยู่ให้มีทักษะสอดคล้องตรงตามความต้องการจ้างงานของอุตสาหกรรมเป้าหมายในรูปแบบอื่น
เช่น การให้เครดิตภาษี (Tax Credit) แก่ผู้ที่เข้ารับการอบรม
และการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป้าหมายส่งเสริมลูกจ้างให้มีการศึกษาต่อหรือฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะ
เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้แรงงานไทยมีทักษะและความสามารถตรงตามความต้องการของตลาดมากขึ้น สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
เห็นว่าร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีถ้อยคำในร่างมาตรา ๓ ไม่สอดคล้องกับถ้อยคำตามกฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ซึ่งมาตรา ๓๙ และมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบกับประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
เรื่อง การกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ลงวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ดังนั้น ควรให้หน่วยงานผู้เสนอมาตรการ
ปรับเนื้อหาในร่างมาตรา ๓ ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่าในระยาวหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาภาครัฐและภาคเอกชนจำเป็นต้องพิจารณาการจัดสรรค่าตอบแทน
สวัสดิการ และสิ่งจูงใจที่เหมาะสมกับระดับทักษะความรู้ ประสบการณ์การทำงาน
และภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ
เพื่อสร้างหลักประกันที่มั่นคงทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม
ให้แก่แรงงานไทยที่มีศักยภาพ สำนักงบประมาณ เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวรวมถึงความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ
ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2122 | การเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีขององค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา (Asian-African Legal Consultative Organization: AALCO) สมัยที่ 62 | กต. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีขององค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา
(Asian - African Legal Consultative Organization : AALCO) สมัยที่ ๖๒ ของประเทศไทย และเห็นชอบในหลักการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติอำนวยความสะดวกในการรักษาความปลอดภัยสถานที่ประชุมและผู้แทนระดับรัฐมนตรีที่เดินทางมาเข้าร่วมการประชุม
การจัดการจราจรในพื้นที่โดยรอบ
รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราและการเข้าออกเมืองแก่ผู้เข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย
ประกอบกับการเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปี AALCO สมัยที่ ๖๒
ของกระทรวงการต่างประเทศถือเป็นการดำเนินการที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ
ดังนั้น ในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน
และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายการเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีของ
AALCO สมัยที่ ๖๒
ให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ที่ได้รับจัดสรรรองรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวไว้แล้ว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2123 | ขอความเห็นชอบรายละเอียดความร่วมมือ: เพื่อนำไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและวาระการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - ออสเตรเลีย (เซก้า) | พณ. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายละเอียดความร่วมมือ
: เพื่อนำไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและวาระการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย
- ออสเตรเลีย (เซก้า) และมอบหมายกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อนำวาระการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - ออสเตรเลีย
(เซก้า) ดังกล่าว ไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป โดยรายละเอียดความร่วมมือฯ เป็นเอกสารที่ระบุสาขาความร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันที่จะมีการหารือ/พัฒนา/แลกเปลี่ยนข้อมูล
ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกันในสาขาต่าง ๆ ๘ สาขา ได้แก่ ๑) เกษตรเทคโนโลยี
และระบบอาหารที่ยั่งยืน ๒) การท่องเที่ยว ๓) บริการสุขภาพ ๔) การศึกษา ๕)
การค้าดิจิทัลและเศรษฐกิจดิจิทัล ๖) เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ๗) การลงทุนระหว่างกัน และ
๘) พลังงาน เศรษฐกิจสีเขียว และการลดการปล่อยคาร์บอน และวาระการดำเนินงานฯ
เป็นเอกสารที่ระบุกิจกรรมความร่วมมือตามสาขาที่ได้มีการระบุไว้ในรายละเอียดความร่วมมือฯ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละฝ่าย เช่น สาขาเกษตร
มีการกำหนดกิจกรรมในการแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับระบบอาหารการเกษตรยั่งยืน ส่งเสริมเกษตรอัจฉริยะและแลกเปลี่ยนเงื่อนไขด้านการนำเข้า
โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบของฝ่ายไทย เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
เป็นต้น
สาขาการลงทุนระหว่างกันมีการกำหนดกิจกรรมในการสร้างเครือข่ายภาคธุรกิจด้านการลงทุน
แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการยอมรับทักษะแรงงานระหว่างกัน โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบของฝ่ายไทย
เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารรายละเอียดความร่วมมือ
: เพื่อนำไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและวาระการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - ออสเตรเลีย (เซก้า)
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2124 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย) | กค. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย) มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย
โดยกำหนดให้เงินได้ของบุคคลธรรมดาที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนใน “กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน
(Thailand ESG Fund หรือ TESG)” ในอัตราไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับปีภาษีนั้น (จากเดิมไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐
บาท) เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๗
ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๙ และกำหนดให้ผู้มีเงินได้ไม่ต้องนำเงินหรือผลประโยชน์ใด
ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่ TESG มารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เฉพาะกรณีที่เงินหรือผลประโยชน์ดังกล่าวคำนวณมาจากเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธธรรมดาตามที่กล่าวมา
ทั้งนี้ ต้องถือหน่วยลงทุนดังกล่าวมาแล้วไม่น้อยกว่า ๕ ปี
นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน (จากเดิมไม่น้อยกว่า ๘ ปี
นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังพิจารณาหาแนวทางการเพิ่มรายได้ภาษี เพื่อให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปตามเป้าหมายและเพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการคลังในอนาคต
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงบประมาณ และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าในการดำเนินการควรพิจารณาดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลของภาคธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยกำหนดมาตรการที่เข้มงวดในการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้มีการดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาล
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและสนับสนุนให้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2125 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565-2570 ประจำปี 2566 | กค. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน
พ.ศ. ๒๕๖๕ - ๒๕๗๐ ประจำปี ๒๕๖๖ และโครงการตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน
พ.ศ. ๒๕๖๕ - ๒๕๗๐ ประจำปี ๒๕๖๗ ที่หน่วยงานเสนอเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. ผลการสำรวจทักษะทางการเงินของคนไทยตามกรอบขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
OECD ปี ๒๕๖๕ พบว่า
ภาพรวมคนไทยมีพัฒนาการของระดับทักษะทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๗๑.๔ สูงขึ้นจากปี ๒๕๖๓ ที่ร้อยละ ๖๗.๔ และอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยการสำรวจทักษะทางการเงินของ
OECD ในปี ๒๕๖๓ ที่ร้อยละ ๖๐.๕ ทั้งนี้ คะแนนเพิ่มขึ้นเกิดจากทักษะทางการเงินในด้านความรู้ทางการเงิน
และพฤติกรรมทางการเงินที่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น โดยมีค่าเฉลี่ยคะแนนอยู่ที่ร้อยละ
๖๙.๗ (จากร้อยละ ๖๒.๖) และร้อยละ ๗๐.๓ (จากร้อยละ ๖๖.๔) ตามลำดับ
ขณะที่คะแนนด้านทัศนคติทางการเงิน มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยจากปี ๒๕๖๓ อยู่ที่ร้อยละ
๗๖.๘ (จากร้อยละ ๗๗.๘) ๒. รายงานฯ ประจำปี ๒๕๖๖
เป็นการดำเนินการต่อเนื่องในการวางรากฐานและเตรียมความพร้อมให้ไทยมีกลไกขับเคลื่อนการดำเนินการพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างบูรณาการ
เพื่อสร้างระบบนิเวศด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างยั่งยืน
ซึ่งรายงานดังกล่าวประกอบด้วย ๓ เป้าหมาย ๘ มาตรการ ๑๙ แผนงาน
ในภาพรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการตามแผนงานต่าง ๆ
ได้แล้วเสร็จและเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ๓. โครงการตามแผนปฏิบัติการฯ พ.ศ. ๒๕๖๕ – ๒๕๗๐
ประจำปี ๒๕๖๗ จะเป็นโครงการ (เดิม) ที่ดำเนินการต่อเนื่องจากปี ๒๕๖๖
และโครงการที่หน่วยงานเสนอเพิ่มเติมจำนวน ๙ โครงการ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามเป้าหมายของแผนปฏิบัติการดังกล่าวในการส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลและองค์ความรู้ด้านการเงิน
การผลักดันการพัฒนาทักษะทางการเงินในระบบการศึกษา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2126 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดในวันที่ 17 มิถุนายน 2567 | กค. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดในวันที่
๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๗ โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดในวันที่
๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๗ จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท
(เป็นหนี้ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ระยะที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๔๕) ด้วยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ครั้งที่
๑ จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2127 | การขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของปลัดกระทรวงคมนาคม ครั้งที่ 1 (นายชยธรรม์ พรหมศร) | คค. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นายชยธรรม์ พรหมศร
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม
ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ ๔ ปี ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ต่อไปอีก ๑ ปี
(ครั้งที่ ๑) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2128 | ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (นายจิรุตม์ วิศาลจิตร) และรองปลัดกระทรวงคมนาคม (นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์) | คค. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงคมนาคม จำนวน ๒ ราย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑. นายจิรุตม์ วิศาลจิตร
ตำแหน่งอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ต่อไปอีก ๑ ปี (ครั้งที่ ๒) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม
๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๘
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2129 | การเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2567 | กค. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเรียกให้ทุนหมุนเวียน จำนวน
๔ ทุน นำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียน ปีบัญชี ๒๕๖๗ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๑,๖๙๒,๖๐๒,๐๒๓.๙๘ บาท ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินภายใน ๖๐ วัน
หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดและการนำทุนสะสมหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
พ.ศ. ๒๕๖๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติมฯ ตามมาตรา ๘ และมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเวียนในคราวประชุม
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๗ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
และให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรดำเนินการกำกับ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงาน/โครงการ
รวมทั้งพิจารณาการขอกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดเพิ่มขึ้น
โดยคำนึงถึงถึงผลการดำเนินงานภาระผูกพันเท่าที่จำเป็นตามกฎหมาย และสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับทุนหมุนเวียนต่าง
ๆ เกี่ยวกับการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
ว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการในโอกาสแรก ตลอดจนการจัดทำประมาณการรายได้ดังกล่าวจะต้องกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลาง
ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2130 | ขอความเห็นชอบดำเนินโครงการสินเชื่อ SME Green Productivity วงเงิน 15,000 ล้านบาท เป็นโครงการสินเชื่อธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) | อก. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
(ธพว.) ดำเนินโครงการสินเชื่อ SME Green Productivity
วงเงิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และให้ ธพว.
แยกบัญชีการดำเนินโครงการ SME Green Productivity ออกจากการดำเนินการตามปกติ
เป็นโครงการธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) และอนุมัติกรอบวงเงินงประมาณชดเชยเพื่อดำเนินโครงการ SME Green
Productivity โดยขอรับงบประมาณชดเชยเป็นระยะเวลา ๓ ปี
ในกรอบวงเงินงบประมาณ ๑,๓๕๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ยกเว้นในส่วนของการนำส่วนต่างระหว่างค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงและค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ได้รับชดเชย
เพื่อบวกกลับในการคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานและเป็นส่วนหนึ่งในการปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ
ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง รวมทั้งให้เพิ่มเติมรายละเอียดของกลุ่มเป้าหมายกลุ่มที่
๔ เป็น “ผู้ประกอบการ SME ที่ผ่านการพัฒนาหรือยกระดับด้านผลิตภาพ
(Productivity) โดยมุ่งเน้นสู่อุตสาหกรรมสีเขียว
จากหน่วยงานราชการหรือพันธมิตรที่ ธพว. กำหนด” ตามความเห็นของกระทรวงพลังงาน
(หนังสือกระทรวงพลังงาน ด่วนที่สุด ที่ พน ๐๒๐๔/๑๙๙ ลงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๗)
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้ ธพว.
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ธพว.
และหน่วยงานทีเกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อควรมีความสอดคล้องกับมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
(Thailand Taxonomy) ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายและคุณสมบัติของผู้ประกอบการ
SME ที่ต้องการสนับสนุนสินเชื่อให้ชัดเจน
รวมถึงมีกระบวนการติดตามการใช้สินเชื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การกู้ยืม
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ ควรพิจารณาศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
รวมถึงการใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมในการค้ำประกัน
หรือหลักประกันอื่นให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2131 | การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ | นร.05 | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อเป็นการสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง
ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์และชี้แจงแนวทางการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวแก่เกษตรกรและประชาชนทุกภาคส่วนให้ถูกต้อง
ชัดเจน และทั่วถึงโดยด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2132 | ถ้อยแถลงร่วมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันในกาซา (Joint Statement Calling for the Release of the Hostages Held in Gaza) ฉบับสุดท้าย | กต. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบถ้อยแถลงร่วมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันในกาซา (Joint Statement
Calling for the Release of the Hostages Held in Gaza) ฉบับสุดท้าย
โดยถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการเรียกร้องให้รัฐอิสราเอลและกลุ่มฮามาสเร่งรัดการเจรจาเพื่อนำไปสู่การลงนามข้อตกลงหยุดยิงอย่างถาวร
การปล่อยตัวประกัน
และการยินยอมให้มีการจัดส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้าไปในฉนวนกาซาโดยเร่งด่วน ซึ่งถ้อยแถลงร่วมฯ
ฉบับสุดท้าย มีประเทศที่ร่วมสนับสนุนจำนวนทั้งหมด ๑๗ ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐอาร์เจนตินา
สาธารณรัฐออสเตรีย สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล สาธารณรัฐบัลแกเรีย แคนาดา
สาธารณรัฐโคลอมเบีย ราชอาณาจักรเดนมาร์ก สาธารณรัฐฝรั่งเศส
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สาธารณรัฐโปแลนด์ สาธารณรัฐโปรตุเกส โรมาเนีย สาธารณรัฐเซอร์เบีย
ราชอาณาจักรสเปน ประเทศไทย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา และได้มีการปรับถ้อยคำในเนื้อหาของถ้อยแถลงร่วมฯ
โดยเน้นย้ำให้กลุ่มฮามาสยอมรับในข้อตกลงหยุดยิง
พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐอิสราเอลและกลุ่มฮามาสใช้ความพยายามประนีประนอมอย่างที่สุดเพื่อให้ได้ข้อยุติในการเจรจาปล่อยตัวประกัน
และช่วยบรรเทาความทุกข์ให้แก่ครอบครัวของตัวประกัน
รวมไปถึงประชาชนของทั้งสองฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งด้วย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2133 | การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ MUAYTHAI SOFT POWER ปี 2567 | กก. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๗๕,๖๔๖,๘๐๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ MUAYTHAI SOFT POWER ปี ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการคลัง
และข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรติดตามและประเมินผลลัพธ์ระหว่างการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการอย่างใกล้ชิดตั้งแต่การเริ่มดำเนินโครงการและสิ้นสุดโครงการ
จัดทำรายงานสรุปการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นทางเศรษฐกิจและสังคม
ให้ครอบคลุมทุกมิติอย่างละเอียดและรอบคอบในรายกิจกรรมภายใต้โครงการนี้
เพื่อวัดผลความคุ้มค่าจากการลงทุนที่เกิดขึ้น เร่งประสานหน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ให้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดำเนินโครงการ
เพื่อให้การดำเนินงานสามารถเป็นไปตามเป้าหมายภายใต้ระยะเวลาจำกัด
และเกิดการมีส่วนร่วมอย่างบูรณาการร่วมกัน และวางแผนการส่งเสริมกีฬาพื้นบ้านไทยอื่น
ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์วัฒนธรรรมของประเทศไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ให้กีฬาชนิดอื่น ๆ
เป็น Soft Power สู่สายตานานาชาติต่อไป ๒.
โดยที่มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้อันเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยที่มีมาแต่โบราณและปัจจุบันถือเป็น
Soft Power สำคัญของไทยที่เป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วโลก
ดังนั้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งกฎ กติกา มารยาท แม่ไม้มวยไทย ตลอดจนองค์ประกอบอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการชกมวยไทยให้ถูกต้อง ครบถ้วน และคงอยู่สืบไป โดยไม่ถูกบิดเบือน
ลอกเลียน หรือสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนสับสนกับการชกมวยประเกทอื่น ๆ สมควรที่จะดำเนินการให้มีองค์กรมวยไทยระดับนานาชาติขึ้นอย่างเป็นทางการ
โดยประเทศไทย และมีที่ตั้งขององค์กรอยู่ที่ประเทศไทย รวมทั้งมีผู้บริหารองค์กรเป็นคนไทยที่มีองค์ความรู้
ความสามารถและประสบการณ์ เกี่ยวกับมวยไทยอย่างแท้จริง
เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศและองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
การกีฬาแห่งประเทศไทย และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อให้มีองค์กรมวยไทยระหว่างประเทศในลักษณะเดียวกับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ
(FIFA) ที่กำกับดูแลกีฬาฟุตบอล
แล้วให้รายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2134 | ท่าทีการเจรจาร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ครั้งที่ 15 และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน (JDS) ครั้งที่ 6 ระดับรัฐมนตรี ระหว่างไทยกับมาเลเซีย | กต. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อท่าทีการเจรจาร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ
ได้แก่ ๑)
ท่าทีการเจรจาร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ครั้งที่ ๑๕
มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความคืบหน้าของความร่วมมือระหว่างไทยกับมาเลเซียอย่างรอบด้านและแสดงเจตนารมณ์ร่วมของรัฐบาลทั้งสองประเทศที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกันในทุกระดับ
ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียมีความใกล้ชิดยิ่งขึ้นอันจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนของทั้งสองฝ่าย
๒) ท่าทีการเจรจาร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน
(JDS) ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ครั้งที่ ๖ มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานภายใต้กรอบ
JDS ทั้งในระดับเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงาน เจ้าหน้าที่ระดับสูง
และระดับคณะทำงานรวมถึงการแสดงเจตนารมณ์ร่วมของทั้งสองประเทศในการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทย
- มาเลเซีย เพื่อมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน
โดยผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ
ให้มีความคืบหน้าและการอำนวยความสะดวกด้านการค้า และการลงทุนระหว่างกัน และ ๓) ร่างแผนยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน
(JDS Strategic Plan) ค.ศ. ๒๐๒๔ - ๒๐๒๗ เป็นการเอกสารผลลัพธ์การประชุมมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางและเป้าหมายในการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับชายแดนโดยร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ
ไม่มีรูปแบบหรือถ้อยคำที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
กอปรกับไม่มีการลงนามในร่างแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ดังนั้น ร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ
จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ
ทั้ง ๓ ฉบับ ได้ในวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีการเจรจาร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับมาเลเซีย
ครั้งที่ ๑๕
ท่าทีการเจรจาร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย
ครั้งที่ ๖
และร่างแผนยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน
ค.ศ. ๒๐๒๔ - ๒๐๒๗ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ไห้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
และให้รายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลังพร้อมเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ รวมทั้งให้สื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2135 | โครงการเพิ่มการผลิตบุคลากรสาขาพยาบาลศาสตร์ (ปีการศึกษา 2566-2570) | อว. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการเพิ่มการผลิตบุคลากรสาขาพยาบาลศาสตร์
(ปีการศึกษา ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) เพื่อผลิตพยาบาลวิชาชีพ จำนวน ๕
รุ่น จำนวนรวมทั้งสิ้น ๑๕,๙๘๕ คน ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ
จำนวน ๑๑๐,๐๐๐ บาท/คน/ปี หรือ ๔๔๐,๐๐๐
บาท/คน/หลักสูตร
ซึ่งเป็นอัตราค่าใช้จ่ายเดิมตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในโครงการเพิ่มการผลิตฯ
ระยะที่ ๑ (ปีการศึกษา ๒๕๖๑ - ๒๕๖๒) สำหรับวงเงินงบประมาณจนสิ้นสุดโครงการ จำนวน ๗,๐๓๓,๔๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
พร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และกรุงเทพมหานครรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ข้อเสนอแนะของสำนักงาน ก.พ.ร. และข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรกำหนดระยะเวลาและเงื่อนไขการชดใช้ทุนสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาจากโครงการฯ
เพื่อให้การใช้งบประมาณแผ่นดินสนับสนุนการผลิตบุคลากรสาขาพยาบาลศาสตร์เป็นไปอย่างคุ้มค่า
มีประสิทธิภาพ สอดรับกับทิศทางการพัฒนาด้านสาธารณสุขของประเทศ สำนักงาน ก.พ. เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบริหารอัตรากำลังบุคลากรทางการแพทย์
การพยาบาล และการสาธารณสุข
ตามหลักการและแนวทางการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
(คปร.) กำหนดไว้ในมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๗๐) ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในการประชุมเมื่อวันที่
๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖ เพื่อให้การบริหารอัตรากำลังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
ตลอดจนสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการกำลังคนด้านสุขภาพของประเทศในภาพรวม |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2136 | ร่างหนังสือรับรองความรับผิดชอบในการใช้ยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกา | กห. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างหนังสือรับรองความรับผิดชอบในการใช้ยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาก่อนการลงนาม
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ลงนามในหนังสือรับรองฯ
โดยหนังสือรับรองฯ มีสาระสำคัญเพื่อยืนยันที่จะใช้ยุทโธปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ
ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และจะไม่ใช้ยุทโธปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
ในการขัดขวางการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของสหรัฐฯ ในพื้นที่ความขัดแย้ง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือรับรองความรับผิดชอบในการใช้ยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2137 | การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือ เอ ๐ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย | คค. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรือ
เอ ๐ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป จะทำให้เกิดความต่อเนื่องในการให้บริการสาธารณะและหากมีการบอกเลิกสัญญาอาจนำมาสู่ข้อพิจารณาจนทำให้บริการสาธารณะหยุดลงและส่งผลกระทบต่อประชาชนได้
ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมาย ตามที่คณะกรรมการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุน
บริหารและประกอบการท่าเทียบเรือ เอ ๐ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม (การท่าเรือแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยเคร่งครัดต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย
เร่งรัดการพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรือ ซี ๐
ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนของมาตรา ๗๒
แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามนัยของมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ เพื่อเสนอตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2138 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 | กค. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน
๒๕๖๖ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ดำเนินการตรวจสอบงบการเงินดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่
๑๑ มีนาคม ๒๕๖๗ โดยเห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2139 | รายงานผลการดำเนินโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 | อก. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น
PM2.5 ซึ่งมีการกำหนดอัตราการจ่ายเงินสนับสนุนตามโครงการฯ
โดยใช้ข้อมูลปริมาณอ้อยสดคุณภาพดีของฤดูการผลิตปี ๒๕๖๕/๒๕๖๖ ในอัตราไม่เกิน ๑๒๐
บาทต่อตัน กรอบวงเงินงบประมาณสนับสนุนรวมจำนวน ๗,๗๗๕.๐๑
ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถดำเนินการเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดี และนำไปแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดที่ทำให้เกิดการลักลอบเผาอ้อย
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2140 | การเร่งรัดติดตามการแก้ไขปัญหายาเสพติด | นร. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบนายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗ และวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๗
เกี่ยวกับการปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด
เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับหน่วยงานของรัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินงานในการปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังและเด็ดขาด
ให้มีผลการจับกุมผู้กระทำผิดที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมภายใน ๙๐ วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเป้าหมายที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้กำหนดเป็นพื้นที่สีแดงที่มีปัญหายาเสพติดรุนแรง
จำนวน ๒๕ จังหวัด โดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนและให้รางวัลแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้สำเร็จตามเป้าหมาย
ในขณะเดียวกันก็จะมีบทลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องและละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
นั้น บัดนี้ใกล้ครบเวลาตามเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้ว จึงขอให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดบูรณาการการดำเนินการป้องกัน
ปราบปราม
และแก้ไขปัญหายาเสพติดในจังหวัดเป้าหมายดังกล่าวข้างต้นให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว
และเตรียมขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้
ให้พิจารณาแนวทางการดำเนินการจ่ายเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานยาเสพติดให้ถูกต้อง
ทั่วถึง และรวดเร็วมากยิ่งขึ้งขึ้งขึ้น โดยให้พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการจ่ายเงินค่าตอบแทนบางส่วนก่อน
โดยไม่ต้องรอให้คดีสิ้นสุดด้วย
|