ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 180 จากข้อมูลทั้งหมด 1463 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
161 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร | ปช. | 13/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต
กรณีศึกษาโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท
ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
เป็นผู้ร่วมดำเนินการในการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน
ทั้งในส่วนของการกำหนดแผนยุทธศาสตร์การก่อสร้าง และการบริหารจัดการท่อร้อยสายสื่อสารให้เป็นแนวทางเดียวกันทั้งประเทศ
เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการโทรคมนาคมทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ เสถียรภาพของโครงข่ายสื่อสาร
ความมั่นคงของประเทศ และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของพื้นที่มีหน้าที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินการ ๑.๒ ให้บริษัท
กรุงเทพธนาคม จำกัด
เป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อให้สามารถตรวจสอบการดำเนินงานได้ กรณีตามวรรคหนึ่ง ให้รวมถึงบริษัทหรือนิติบุคคลที่จัดตั้งโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือหุ้นเกินร้อยละ
๕๐ ๑.๓
พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาในเรื่องของขั้นตอนการขออนุญาตดำเนินการก่อสร้างท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน
ตามมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
โดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ควรพิจารณาร่วมกันเพื่อให้อนุญาตการใช้สิทธิแห่งทาง
และอนุญาตให้ใช้พื้นที่ในการก่อสร้าง ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาและความเสียหายต่อประโยชน์ของรัฐ
อันเกิดจากการที่ผู้ประกอบการได้รับอนุญาตใช้สิทธิแห่งทาง
แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพื้นที่ก่อสร้าง
จึงไม่สามารถดำเนินการได้แม้ว่ามีการลงนามในสัญญาว่าจ้างก่อสร้างแล้วก็ตาม ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
(กรุงเทพมหานคร) สำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเช่น (๑)
ในระดับจังหวัดและท้องถิ่น
เห็นควรให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อบูรณาการการดำเนินการนำสายสื่อสารลงใต้ดินโดยหน่วยงานเจ้าของพื้นที่เป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับบริษัท
ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (๒)
เห็นควรนำแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินเพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียนของการไฟฟ้านครหลวงไปประกอบการพิจารณาในการดำเนินการต่อไปด้วย
และ (๓) เห็นควรจัดทำแผนเพื่อให้เป็นแนวปฏิบัติเดียวกันทั่วประเทศ การจัดทำแผนใด ๆ
ต้องรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
หน่วยงานที่มีแผนจะนำสายสื่อสารลงใต้ดินขอให้นำส่งแผนมาที่สำนักงานกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
เพื่อพิจารณาความพร้อมและบรรจุเป็นแผนนำสายสื่อสารลงใต้ดินของสำนักงานกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
162 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต และหนังสือรับรองการแจ้งตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฎิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... | สธ. | 04/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตและหนังสือรับรองการแจ้งตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต
หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. ๒๕๕๙
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการดำเนินกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพที่มีข้อกำหนดของท้องถิ่นให้เป็นกิจการควบคุมการจัดตั้งตลาด
การจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารหรือสะสมอาหาร การจำหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ
และค่าธรรมเนียมการออกหนังสือรับรองการแจ้งเกี่ยวกับการจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารหรือสะสมอาหารที่ราชการส่วนท้องถิ่นสามารถเรียกเก็บได้ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต
หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. ๒๕๕๙
โดยมีกำหนดระยะเวลาใช้บังคับหนึ่งปีนับแต่วันที่ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการยกเว้นค่าธรรมเนียมตามร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อรายได้ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดเก็บ
จึงเห็นควรที่กระทรวงสาธารณสุขจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วนสำหรับใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการคลังของประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
163 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร01 | 21/07/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือนเมษายน ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปัจจุบัน อปท. ทุกแห่ง ได้จัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ครบเรียบร้อยแล้ว และมีการบันทึกรายชื่อผู้สมัครในระบบรายงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Report) ของกรมการปกครองแล้ว ๔๒๕,๔๑๘ คน และมีการฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำ อปท. ๕๘ จังหวัด ๑,๑๙๓ อปท. โดยมีผู้ผ่านการอบรม ๖๑,๙๖๔ คน ๒. การสำรวจข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด ๒๐๑๙ มีผลการดำเนินการ ได้แก่ (๑) ประชาชนมีความประสงค์ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพในโครงการฟาร์มตัวอย่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ๓,๔๖๗ คน (๒) ประชาชนที่อาศัยอยู่รอบพระราชวัง/พระตำหนักในพื้นที่ ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (พระราชวังบางปะอิน) จังหวัดเชียงใหม่ (พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์) จังหวัดสกลนคร (พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (พระราชวังไกลกังวล) และจังหวัดนราธิวาส (พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์) ได้รับความเดือดร้อน ๒, ๓๕๗ คน และ (๓) ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่จังหวัดที่มีคำสั่ง/ประกาศปิดพื้นที่เป็นการชั่วคราว ได้รับถุงยังชีพ ๘๓,๐๓๐ คน ๓. การดำเนินการจัดกิจกรรม “จิตอาสาต้านภัยแล้ง การประสานความร่วมมือการแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน” ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานได้ดำเนินการจัดกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา (จังหวัดต้นแบบ) และจังหวัดที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) แล้ว ๑,๔๐๔ ครั้ง ๔. การประชุมติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองเปรมประชากร โดยกระทรวงมหาดไทยได้จัดประชุม เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๓ โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสำรวจข้อมูลสะพานไม้ข้ามคลองเปรมประชากรในพื้นที่ว่า มีสภาพเหมาะสมต่อการใช้งานมากน้อยเพียงใด และจังหวัดได้มีการบริหารจัดการหรือกำหนดแนวทางการพัฒนา เช่น การก่อสร้างสะพานคอนกรีตทดแทน รวมทั้งแนวทางอื่น ๆ ที่เหมาะสมอย่างไร ๕. ข้อมูลจำนวนจิตอาสาและกิจกรรมจิตอาสา ณ วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๓ มีจิตอาสาลงทะเบียน ๖,๖๓๔,๕๘๕ คน จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ๔๕,๖๙๔ ครั้ง และกิจกรรมจิตอาสาภัยพิบัติ ๔๗๒ ครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
164 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร01 | 09/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปัจจุบัน อปท. ทุกแห่ง ได้มีการจัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ครบเรียบร้อยแล้ว (ตามเป้าหมาย ๗,๕๕๐ แห่ง ๓๗๗,๕๐๐ คน) โดยมีผู้เข้ารับการอบรมและผ่านการอบรมแล้ว ๑๘,๘๕๐ คน ๒. การดำเนินการจัดกิจกรรม “จิตอาสาต้านภัยแล้ง การประสานความร่วมมือการแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน” ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.จอส.) ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อจัดกิจกรรมจิตอาสาต้านภัยแล้งฯ โดยกำหนดเป้าหมายการดำเนินการในพื้นที่ ๒๓ จังหวัด ที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) รวม ๑๓๙ อำเภอ ๗๑๔ ตำบล ๖,๐๖๕ หมู่บ้าน ซึ่งการดำเนินกิจกรรมฯ ประสบความสำเร็จ มีความยั่งยืน สามารถนำไปต่อยอดในอนาคตได้ โดยไม่ใช้งบประมาณเพิ่มเติมจากงบประมาณเดิมที่มีแผนอยู่แล้ว ๓. ข้อมูลจำนวนจิตอาสาและกิจกรรมจิตอาสา ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ มีจิตอาสาลงทะเบียน ๖,๖๒๗,๘๗๐ คน โดยจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ๔๕,๐๒๓ ครั้ง และจิตอาสาภัยพิบัติ ๓๙๗ ครั้ง ๔. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุมติดตามงานประจำสัปดาห์ ศอญ.จอส.พระราชทาน และประสานติดตามผลการดำเนินการที่สำคัญ เช่น การพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียและระบบความปลอดภัยทางน้ำในคลองแสนแสบ การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ และบทบาทของจิตอาสาในด้านสาธารณสุข เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาด และการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาภัยแล้งปี ๒๕๖๓ ในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
165 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนวัด เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) | นร | 02/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนวัด เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับเรื่องนี้ไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติที่เหมาะสมโดยให้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงการให้ความช่วยเหลือแก่ศาสนสถานของศาสนาอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติบูรณาการร่วมกับจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการสำรวจจำนวนวัดและพระภิกษุ สามเณร ที่ประสบปัญหาความขาดแคลน และไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ได้รับเงินอุปถัมภ์นิตยภัต ตลอดจนวัดที่มีศักยภาพเพียงพอที่สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยคำนึงถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งความสอดคล้องกับระยะเวลาที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว เห็นควรให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และใช้จ่ายจากงบประมาณที่เหลือจ่ายจากการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์แล้ว หรือรายการที่หมดความจำเป็นมาดำเนินการก่อนในลำดับแรก หากไม่เพียงพอ ขอให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดทำแผนการใช้จ่ายเพื่อขอรับการสนับสนุนจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ในลำดับต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการลดภาระค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าให้แก่ศาสนสถานต่าง ๆ ในแนวทางเดียวกับการดำเนินมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานสำหรับประชาชนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
166 | ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยแก้ไขบทนิยาม “การอนุรักษ์ดินและน้ำ” ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน หน้าที่กรมพัฒนาที่ดิน และแก้ไขเพิ่มเติมให้เกษตรกรสามารถขอใช้บริการวิเคราะห์ ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ำ พืช ปุ๋ย หรือสิ่งปรับปรุงดินจากหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และให้ผู้ที่ประสงค์ในการยื่นคำขอใช้บริการเกี่ยวกับการปรับปรุงดินหรือที่ดินอนุรักษ์ดินและน้ำ บริการแผนที่ ข้อมูลทางแผนที่ สามารถยื่นคำขอต่อหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่โดยการเสียค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามกฎกระทรวง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นว่า (๑) การแก้ไขบทนิยามคำว่า “การอนุรักษ์ดินและน้ำ” ควรกำหนดขอบเขต/พื้นที่ดำเนินงาน กลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานอื่น เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพในการจัดสรรและใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐในภาพรวม (๒) ภารกิจของกรมพัฒนาที่ดิน ในส่วนของการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กซึ่งเป็นไปตามบทนิยามคำว่า “การอนุรักษ์ดินและน้ำ” จะต้องคำนึงถึงพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ ที่กำหนดให้กรมพัฒนาที่ดินถ่ายโอนภารกิจการพัฒนาและปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำขนาดเล็กตามขอบเขตการถ่ายโอน ขั้นตอน/วิธีปฏิบัติของแผนฯ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการแทน จึงเห็นควรให้มีการพิจารณาทบทวนหรือกำหนดบทบาทความรับผิดชอบระหว่างหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เกิดความชัดเจนและสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไป และ (๓) เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดินฯ ได้แก้ไขบทนิยามคำว่า “การอนุรักษ์ดินและน้ำ” จึงควรดำเนินการให้สอดคล้องกับบทบัญญัติมาตรา ๓๕ (๑) และมาตรา ๑๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมพัฒนาที่ดินประชาสัมพันธ์บทบาทและภารกิจของกรมพัฒนาที่ดินที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดินฯ เพื่อการเข้าถึงบริการและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกร ตลอดจนควรติดตามและเฝ้าระวังกรณีการปนเปื้อนจากสารเคมีหรือมลพิษที่อาจส่งผลต่อความเสื่อมโทรมของดินอย่างต่อเนื่อง เพื่อประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายสำหรับควบคุมมลพิษได้อย่างเหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
167 | ปัญหาการเบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เกี่ยวกับการกักกันผู้เดินทางที่มาจากต่างประเทศ | นร | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบการดำเนินการแยกกัก กักกัน หรือคุมไว้ สังเกตอาการของบุคคลที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั้งที่เป็นคนไทยที่อยู่อาศัยในประเทศและที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ รวมทั้งบุคคลไร้สัญชาติและชาวต่างประเทศที่พำนักอยู่ในประเทศไทย ทั้งที่อยู่ในที่พักอาศัยของตนเอง (Home Quarantine) อยู่ในสถานที่กักกันโรคในท้องที่ (Local Quarantine) หรืออยู่ในสถานที่กักกันโรคที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ให้สามารถเบิกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในส่วนของภาครัฐที่เกี่ยวข้องที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ได้ทุกรายการตามข้อเท็จจริงและความจำเป็น เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ายานพาหนะ ค่าเครื่องมือและค่าอุปกรณ์ที่จำเป็นในการป้องกันและควบคุมโรค ค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าตอบแทนผู้ปฏิบัติงาน ค่าทำความสะอาดสถานที่ เป็นต้น โดยให้เบิกจ่ายจากงบกลาง งบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการ งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือเงินทดรองราชการในเชิงป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ได้ตามแต่กรณี ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ของส่วนราชการ หรือระเบียบ หลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณากำหนดตามแต่กรณี ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่ประสงค์จะขอเบิกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามข้อ ๑ จากเงินงบกลาง ส่งคำขอการเบิกจ่ายดังกล่าวพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปยังกระทรวงสาธารณสุขโดยด่วน เพื่อพิจารณาอัตราค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และแจ้งผลการพิจารณาอัตราค่าใช้จ่ายให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบทราบ เพื่อให้ส่วนราชการพิจารณาดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
168 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร01 | 12/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา ๙๐๔ “หลักสูตรพื้นฐาน” รุ่นที่ ๔/๖๓ หน่วยราชการในพระองค์ฯ ได้จัดการฝึกอบรมหลักสูตรฯ ระหว่างวันที่ ๑-๑๕ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน มีผู้เข้ารับการอบรมจากส่วนราชการต่าง ๆ รวมทั้งประชาชนจิตอาสาทั้งส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง จำนวน ๕๐๐ คน ๒. งานแถลงข่าวโครงการฝึกอบรมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานจิตอาสา CPR เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยกระทรวงมหาดไทยร่วมกับมูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์ฯ และคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ดำเนินโครงการฝึกอบรมฯ โดยฝึกอบรมให้แก่ประชาชนในพื้นที่ให้เป็นผู้มีองค์ความรู้และทักษะที่ถูกต้องในการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน และแจกจ่ายอุปกรณ์การสอนให้แก่ ๖ จังหวัดนำร่อง ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน สมุทรปราการ สุรินทร์ ชุมพร ปัตตานี และสงขลา จังหวัดละ ๓๐ ชุด ๓. ความคืบหน้าการจัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปัจจุบัน อปท. ทุกแห่งได้มีการจัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ครบเรียบร้อยแล้ว (ตามเป้าหมาย ๗,๕๕๐ แห่ง ๓๗๗,๕๐๐ คน) โดยมีผู้เข้ารับการอบรมและผ่านการอบรมแล้ว ๔,๓๒๒ คน ๔. การดำเนินการจัดกิจกรรม “จิตอาสาต้านภัยแล้ง การประสานความร่วมมือการแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน” ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กรมกิจการพลเรือนทหารบก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดกิจกรรมจิตอาสาต้านภัยแล้งฯ โดยกำหนดดำเนินการในพื้นที่ ๒๒ จังหวัดที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ๕. การดำเนินการขับเคลื่อน “โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการจัดทำหน้ากากอนามัยเพื่อการป้องกันตนเอง” และ “โครงการพลังคนไทยร่วมใจป้องกันไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” โดยกระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขดำเนินโครงการฯ โดยการสร้างทีมวิทยากรหรือทีมครู ก. เพื่อเผยแพร่วิธีการจัดทำหน้ากากอนามัยป้องกันโรคให้แก่ประชาชนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อหน้ากากอนามัย ๖. การจัดกิจกรรมโครงการจิตอาสา “เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” กิจกรรมทำความสะอาด และปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่บริเวณ ๒ ฝั่งคลองคูเมืองเดิม เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ สำนักนโยบายและแผนกลาโหม กระทรวงกลาโหม ได้จัดกิจกรรมโครงการจิตอาสาฯ โดยมีกำลังพลจิตอาสาจากกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และส่วนราชการต่าง ๆ รวมทั้งประชาชนจิตอาสาในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม ๘๐๐ คน ๗. ข้อมูลจำนวนจิตอาสาและกิจกรรมจิตอาสา ณ วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ มีจิตอาสาลงทะเบียน ๖,๕๗๐,๘๐๑ คน โดยจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ๔๓,๙๑๖ ครั้ง และจิตอาสาภัยพิบัติ ๓๒๓ ครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
169 | การบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนและโครงการอาหารเสริม (นม)โรงเรียน ในช่วงปิดภาคเรียน | นร | 05/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้ส่งผลให้สถานศึกษาต่าง ๆ ทั้งในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปิดเรียนตั้งแต่วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๓ และมีกำหนดเปิดเรียนในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้นักเรียนได้รับสิทธิตามโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนและโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนอย่างต่อเนื่องและครบถ้วนในช่วงการปิดเรียนดังกล่าว คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อให้นักเรียนได้รับอาหารกลางวันและอาหารเสริม (นม) โรงเรียนที่มีคุณภาพ ถูกหลักอนามัยอย่างต่อเนื่องและครบถ้วน โดยให้พิจารณาแนวทางการบริหารจัดการให้ถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้อาหารและนมถึงมือนักเรียนที่ไม่ได้มายังสถานศึกษาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
170 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2563 และข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน | มท | 28/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๓ ระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒-๒ มกราคม ๒๕๖๓ (รวม ๗ วัน) พบว่า สถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๓ ในภาพรวมมีจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๒ (รวม ๗ วัน) โดยสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ดื่มแล้วขับ รองลงมา คือ การขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ส่วนประเภทรถที่เกิดเหตุสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ ในการนี้ คณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนได้มีข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน โดยแบ่งออกเป็น ๔ มาตรการสำคัญ คือ (๑) การเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย (๒) การสร้างจิตสำนึกและวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน (๓) การลดปัจจัยเสี่ยงทางถนนและสภาพแวดล้อม และ (๔) การบริหารจัดการและการติดตามประเมินผล ๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน และขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการต่อคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรับความเห็นและข้อเสนอแนะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นว่า (๑) แนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานในระยะต่อไปซึ่งจะเป็นประโยชน์และสร้างความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้น ขอให้มีการจัดทำ ติดตั้งป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร ที่เป็นภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักท่องเที่ยว (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ วิเคราะห์สาเหตุ หรือการดำเนินการแก้ไขปัญหาในบริเวณที่เป็นความเสี่ยงให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และ (๓) ในการดำเนินการเชิงรุกเพื่อเฝ้าระวังในระดับชุมชน ควรต้องดำเนินการอย่างจริงจังให้ครอบคลุมทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ และการสนับสนุนจิตอาสามาร่วมในการรณรงค์และแก้ไขปัญหาในทุกช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวันด้วยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
171 | รายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร01 | 15/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) ภารกิจของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (๒) ภารกิจของคณะอนุกรรมการต่าง ๆ ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (๓) ภารกิจของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่าง ๆ (๔) ภารกิจของสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ และ (๕) แผนงาน/โครงการในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๒. ให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานกำกับดูแลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ สำหรับหน่วยงานที่ไม่ได้รายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายงานข้อขัดข้องให้สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการทราบโดยเร็ว ๓. การรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ในปีต่อไป ให้หน่วยงานต้นสังกัดเป็นผู้รายงานในภาพรวม สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้จังหวัดเป็นผู้รายงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
172 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2563 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 15/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๖๓ ของการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๙ โครงการ ประกอบด้วย แผนงานโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค สาขาพัทยา-แหลมฉบัง-ศรีราชา [รองรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)] สาขาชลบุรี-พนัสนิคม-(พานทอง)-(ท่าบุญมี) ระยะที่ ๒ [รองรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)] สาขาเชียงใหม่-แม่ริม-สันกำแพง สาขายโสธร สาขานาทวี สาขาภูเขียว-(บ้านเป้า) สาขาจัตุรัส และสาขาปราจีนบุรี (ประจันตคาม)-(ศรีมหาโพธิ์) และแผนงานโครงการก่อสร้างปรับปรุงกิจการประปาภายหลังการรับโอนการประปาส่วนภูมิภาค สาขาตราด (องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะกูด) โดยจะดำเนินการปรับปรุงระบบประปาทั้งระบบ (ระบบน้ำดิบ ระบบผลิต ระบบจ่ายน้ำ และระบบอื่น ๆ) เพื่อตอบสนองความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้น ปรับปรุงการให้บริการ และแก้ไขปัญหาอื่น ๆ ไปพร้อมกัน และมีแผนบริหารจัดการลดน้ำสูญเสีย ประกอบด้วยกิจกรรมหลักคือ การบริหารจัดการแรงดัน การซ่อมท่อที่รวดเร็ว การสำรวจหาน้ำสูญเสียเชิงรุก การบริหารจัดการมาตรวัดน้ำ และให้ความสำคัญกับการปรับปรุงเส้นท่อซึ่งเป็นสาเหตุหลักของน้ำสูญเสียทั้งหมด วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๙,๖๒๙.๙๙๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้การประปาส่วนภูมิภาคพิจารณาใช้จ่ายเงินลงทุนจากเงินรายได้เป็นลำดับแรก และหากมีความจำเป็นต้องใช้เงินกู้ ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) ดำเนินตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานและบูรณาการแผนงานการให้บริการน้ำประปาร่วมกับหน่วยงานผู้ให้บริการน้ำประปาอื่น อาทิ การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานและให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด และหากโครงการตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติมจะต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้การประปาส่วนภูมิภาคเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหาที่ดินเพื่อใช้ดำเนินโครงการโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ยังไม่มีความพร้อมด้านที่ดินอยู่ระหว่างการจัดหาที่ดินหรือการขอใช้ที่ดิน ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
173 | มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัสโคโรนา (Covid -19) ของกระทรวงพลังงาน | พน | 03/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัสโคโรนา (Covid-19) เพิ่มเติม ของกระทรวงพลังงาน ประกอบด้วย (๑) การลดค่าครองชีพของประชาชนและช่วยเหลือผู้ประกอบการ (๒) การส่งเสริมการลงทุนและส่งเสริมอาชีพด้านพลังงาน (๓) การจัดหาแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันโควิด-19 ให้ประชาชนทั้งประเทศผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ (๔) การจำหน่ายแอลกอฮอล์ทำความสะอาด ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
174 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] | สธ | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] (ยกเว้นหลักเกณฑ์ฯ ข้อ ๙) โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับเป็นสำคัญ และการจัดให้มีระบบการกำกับ ติดตาม และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข อัตราที่กำหนด และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ เอกชน หรือกองทุนอื่นที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุข ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] และดำเนินการจ่ายค่าใช้จ่ายในอัตราตามบัญชีแนบท้ายหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยประกันวินาศภัยให้ใช้สิทธิดังกล่าวก่อน ๓. เห็นชอบให้กองทุนของส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุขดำเนินการแก้ไขปรับปรุง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ๔. เห็นชอบให้สถานพยาบาลซึ่งดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษาของรัฐ สภากาชาดไทย ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
175 | การดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดฃองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | นร | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ดังนี้
๑. การรวบรวมข้อมูลมาตรการและจัดทำจดหมายเหตุสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ๑.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขรวบรวมข้อมูลมาตรการป้องกัน การรักษา และการบริหารจัดการ ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังรวบรวมข้อมูลมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ๑.๓ ให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดทำจดหมายเหตุสถานการณ์และการดำเนินการในมิติต่าง ๆ ทั้งในส่วนของประเทศไทยและภาพรวมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดการออกประกาศเพื่อยกเว้นอากรสำหรับสินค้านำเข้าที่เกี่ยวกับการตรวจรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น ยาและเวชภัณฑ์ หน้ากากอนามัย เครื่องมือ ชุดตรวจ และสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ โดยเร็ว ทั้งนี้ ให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์) เร่งรัดการดำเนินการตรวจรับรองมาตรฐานอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้ในการตรวจคัดกรองและรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด (ภายใน ๕ วัน) รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและป้องกันไม่ให้มีการทุจริตและเรียกรับผลประโยชน์ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลการผลิตและการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีพของประชาชนให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเข้มงวดในราคาที่เป็นธรรม รวมทั้งพิจารณาทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมของระยะเวลาการห้ามส่งออกไข่ไก่สดไปนอกราชอาณาจักรที่กำหนดไว้ ๗ วัน ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๓ เรื่อง ห้ามส่งออกไข่ไก่สดไปนอกราชอาณาจักร ๕. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาประเมินผลมาตรการห้ามการเดินทางเข้า-ออกพื้นที่เขตจังหวัดที่ใช้ในจังหวัดภูเก็ต และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส) หากมีผลสัมฤทธิ์เป็นที่น่าพอใจ สมควรที่จะนำไปปรับใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป ๖. ให้ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการอย่างเข้มงวดเพื่อมิให้มีการรวมกลุ่มของประชาชน เช่น การจัดการชกมวย การลักลอบเล่นการพนัน การมั่วสุมดื่มสุรา และเสพยาเสพติด การจัดการแข่งขันรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์บนถนน รวมถึงกรณีที่ผู้ให้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ (วินมอเตอร์ไซค์) ไม่ใส่หน้ากากอนามัยและมีการพูดคุยกับผู้โดยสารในระหว่างการขับขี่ ๗. การจัดสรรและแจกจ่ายหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้ภายในประเทศ จำนวน ๒,๓๐๐,๐๐๐ ชิ้น ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม-๓ เมษายน ๒๕๖๓ (๕ วัน) ให้จัดสรรให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงก่อน โดยดำเนินการ ดังนี้ ๗.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบการจัดหาหน้ากากอนามัยให้แก่กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ ชิ้น และกระทรวงมหาดไทย จำนวนไม่น้อยกว่า ๘๐๐,๐๐๐ ชิ้น เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่กลุ่มเป้าหมายในแต่ละวัน ๗.๒ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประสานงานบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับผิดชอบการขนส่งหน้ากากอนามัยไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยกำหนด ๗.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบการบริหารจัดการการแจกจ่ายหน้ากากอนามัย จำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ ชิ้นต่อวัน ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ ทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงสถานพยาบาลของเอกชน ๗.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบการบริหารจัดการการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยจำนวนไม่น้อยกว่าวันละ ๘๐๐,๐๐๐ ชิ้น ให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐทั่วประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งปฏิบัติงานให้บริการแก่ประชาชน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทหาร ตำรวจ รวมทั้งประชาชนกลุ่มเสี่ยง ทั้งนี้ การจัดสรรหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชนให้พิจารณาดำเนินการในระยะต่อไป ๘. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและกระทรวงสาธารณสุขประสานงานในการระดมนักศึกษาแพทย์และพยาบาล ตลอดจนนักศึกษาด้านสาธารณสุขอื่น ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนการดูแลผู้ป่วย เพื่อแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงเตรียมการรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ๙. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการพิจารณากำหนดแนวทางการนำคนไทยที่อยู่ต่างประเทศเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย โดยให้มีการกักกันตามมาตรการที่กำหนด รวมทั้งประสานประเทศต่าง ๆ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องรับชาวต่างประเทศกลับประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
176 | รายงานผลดำเนินงานตามมาตรการลดภาระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม กรณีอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | พม | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลดำเนินงานตามมาตรการลดภาระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมกรณีอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานตามมาตรการฯ รอบระยะเวลา ๓ เดือนแรก (ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน-๓๐ กันยายน ๒๕๖๒) ของมาตรการสามารถช่วยเหลือลดภาระและเพิ่มกำลังซื้อให้กับกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่ไม่สูงมากนักและมีความสามารถในการผ่อนชำระได้ ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้เร็วขึ้น ได้เข้าถึงในกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย จำนวน ๓๗,๕๑๕ ราย คิดเป็นร้อยละ ๖๔.๓๐ ของเป้าหมายรวม ๑๒ เดือน จำนวน ๕๘,๓๔๐ ราย (จำนวนประมาณ ๑๗๕,๐๒๐ คน) ๒. ผลกระทบต่อรายได้การเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซึ่งเป็นรายได้ของรัฐ โดยกรมที่ดินเป็นผู้จัดเก็บให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นลดลง รอบระยะ ๓ เดือนแรกของมาตรการฯ (ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน-๓๐ กันยายน ๒๕๖๒) จำนวน ๕๐๐.๒๖๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๙.๔๓ ของเป้าหมายรวม ๑๒ เดือน ที่รัฐต้องสูญเสียรายได้ จำนวน ๑,๗๐๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
177 | ร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 - 2565 | สธ | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ จัดทำขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซี่งจะเป็นแผนที่นำไปสู่การพึ่งตนเองและความมั่นคงด้านวัคซีนอย่างยั่งยืน โดยมีวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านวัคซีน ประชาชนทุกคนในประเทศเข้าถึงการป้องกันโรคด้วยวัคซีนที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ๑๔ แผนงาน ๖๗ โครงการ ระยะเวลาดำเนินงาน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕) กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑,๐๗๘,๙๔๖,๕๕๓ บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายและภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายบูรณาการการดำเนินงานและนำร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ ส่วนค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เห็นควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ไปดำเนินการ และค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน ความคุ้มค่า และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรจัดทำ list of priority vaccine ที่ต้องการผลิตให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมในช่วง ๓-๕ ปี ควรพิจารณาส่งเสริมความสามารถในการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคจากสัตว์สู่คน ควรเพิ่มความชัดเจนและความท้าทายของตัวชี้วัดและเป้าหมายให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ของแผนยุทธศาสตร์และงบประมาณที่ได้รับ ควรพิจารณาระบบการจัดสรรทุนวิจัยที่มีความต่อเนื่อง (block grant) เน้นประเด็นโจทย์วิจัยที่เป็นปัญหาเร่งด่วนและสอดคล้องกับแผนงานเป้าหมาย ควรพิจารณาการเคลื่อนย้ายบุคลากรในสถาบันการศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนไปปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตให้กับภาคอุตสาหกรรม (Talent Mobility) และควรพิจารณาเพิ่มเติมประเด็นการพิจารณาวัคซีนในสัตว์ เนื่องจากโรคในสัตว์หลายชนิดมีความสำคัญทั้งทางด้านสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจ ซี่งควรมีแผนและนโยบายที่ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
178 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าวัสดุอุปกรณ์ในการจัดทำหน้ากากอนามัยในการดำเนินโครงการพลังคนไทยร่วมใจป้องกันไวรัสโคโรนา (COVID - 19) | มท | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการจัดทำโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการจัดทำหน้ากากอนามัยเพื่อการป้องกันตนเอง ๑.๒ อนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงินงบประมาณ ๒๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับเป็นค่าวัสดุอุปกรณ์ในการจัดทำหน้ากากอนามัยในโครงการพลังคนไทยร่วมใจป้องกันไวรัสโคโรนา (COVID-19) โดยการจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๗,๗๗๔ แห่ง (เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
179 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๓ นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งรัดดำเนินการป้องกัน ควบคุม แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ดังต่อไปนี้
ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๑. ด้านการป้องกันโรค/สุขภาพ ๑.๑ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) อย่างเคร่งครัด และหากมีความจำเป็น ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสามารถกำหนดมาตรการภายในได้ตามความเหมาะสมต่อไป ๑.๒ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐระงับหรือเลื่อนการเดินทางไปศึกษา ดูงาน ฝึกอบรม หรือประชุม ในประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และประเทศเฝ้าระวัง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยในส่วนของการดูงานหรือฝึกอบรม ให้พิจารณาเปลี่ยนแปลงงบประมาณเป็นการดูงาน หรือฝึกอบรมภายในประเทศแทน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เว้นแต่กรณีมีความจำเป็นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ต้องได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรจากหัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีผลกระทบต่อเอกชนคู่สัญญาในการระงับหรือเลื่อนการเดินทางไปศึกษา ดูงาน ฝึกอบรม หรือประชุมน้อยที่สุด ๑.๓ ให้เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เดินทางกลับมาจาก หรือเดินทางผ่าน หรือมีเส้นทางแวะผ่าน (Transit/Transfer) ประเทศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และจำเป็นต้องสังเกตอาการ อยู่ปฏิบัติงานภายในที่พักเป็นเวลา ๑๔ วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับให้ข้าราชการปฏิบัติงานภายในที่พักตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นได้ โดยให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ ให้ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการคัดกรองประชาชนที่เดินทางกลับมาจาก หรือเดินทางผ่าน หรือมีเส้นทางแวะผ่าน (Transit/Transfer) ประเทศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) อย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนด ในกรณีที่มีความจำเป็นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการขนส่งประชาชนกลุ่มดังกล่าวกลับภูมิลำเนาหรือไปยังสถานพยาบาลอย่างเหมาะสม และการกำกับดูแล การกักกันตนเอง ณ ที่พักอาศัย โดยให้มีการบูรณาการการดำเนินงานระหว่างชุมชน จิตอาสา อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และสถานพยาบาลในพื้นที่ในการติดตาม เฝ้าระวัง ตรวจสอบ และป้องกันอย่างใกล้ชิด ๑.๕ ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินมาตรการคัดกรองผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟ สถานีรถไฟฟ้า สถานีขนส่งผู้โดยสาร และท่ารถอย่างเคร่งครัด ๑.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมจัดเตรียมสถานที่/พื้นที่สำหรับสังเกตอาการในกรณีที่พบว่าผู้เดินทางเป็นหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดต่ออันตราย โรคระบาด หรือพาหะนำโรคตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ๑.๗ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการภาคเอกชนหลีกเลี่ยงหรือเลื่อนการจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของประชาชนเป็นจำนวนมาก และอาจมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโดยไม่จำเป็น เช่น การแข่งขันกีฬา การจัดคอนเสิร์ต และการจัดมหรสพ เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนมีความจำเป็นต้องจัดกิจกรรมโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ให้ดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด ในกรณีที่เป็นกิจกรรมที่ต้องขออนุญาตจากส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้มีอำนาจอนุญาตพิจารณาความเหมาะสมของการจัดกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่มีการรวมตัวของประชาชนจำนวนมาก ให้พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงต่อสาธารณชนโดยรวมต่อการแพร่ระบาดของโรคเป็นสำคัญ ๑.๘ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันพิจารณาปริมาณความต้องการของสินค้าที่จำเป็นต่อการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น หน้ากากอนามัย และน้ำยาฆ่าเชื้อหรือเจลฆ่าเชื้อและจัดหาให้เพียงพอกับความต้องการดังกล่าวในแต่ละช่วงเวลา โดยควรจัดลำดับความสำคัญในการกระจายสินค้าที่จำเป็นดังกล่าวตามระดับความเสี่ยงของบุคคล หน่วยงาน และสถานที่ เช่น สถานพยาบาลทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และประชาชนทั่วไป ๑.๙ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการป้องกันการกักตุนและควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น หน้ากากอนามัย และน้ำยาฆ่าเชื้อหรือเจลฆ่าเชื้ออย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมถึงช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ด้วย ๑.๑๐ ในกรณีกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความจำเป็นต้องจัดหาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นเพิ่มเติม ให้ประสานสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อให้มีเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับดำเนินการอย่างเพียงพอ ๑.๑๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงแรงงานติดตามและดูแลคนไทยที่พำนักอยู่ในประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และประเทศเฝ้าระวัง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างใกล้ชิด ๑.๑๒ ให้คณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติมีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับทราบสถานการณ์และข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งพิจารณาตัดสินใจกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาให้ทันต่อสถานการณ์ ๑.๑๓ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดให้มีศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ขึ้น ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อบูรณาการข้อมูลจากทุกส่วนราชการ รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน และสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้แก่สาธารณชน โดยเฉพาะในส่วนของมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในทุกมิติ รวมถึงจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงทุกกลุ่ม เพื่อสร้างการรับรู้ ตระหนัก และขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยเฉพาะขั้นตอนการเฝ้าระวังและการป้องกัน ๑.๑๔ ให้กระทรวงสาธารณสุขดูแลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม และจัดให้มีสวัสดิการพิเศษเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง และครอบครัว ๑.๑๕ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณาจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เพื่อสนับสนุนการจัดหาสินค้าที่จำเป็นต่อการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น หน้ากากอนามัย และน้ำยาฆ่าเชื้อหรือเจลฆ่าเชื้อ ดูแลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคณะรัฐมนตรีจะสมทบเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเป็นทุนประเดิม ๑.๑๖ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เพื่อรองรับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ หากมีความจำเป็น ๒. ด้านการบรรเทาผลกระทบที่เกี่ยวข้อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยครอบคลุมด้านต่าง ๆ ได้แก่ มาตรการทางภาษี มาตรการด้านสินเชื่อและพักชำระหนี้ มาตรการด้านงบประมาณ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน มาตรการการจ้างงานและพัฒนาทักษะ และมาตรการด้านสินค้าเกษตรและสินค้าอื่นในชุมชน เพื่อเสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาโดยเร็ว ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งให้ข้อมูลและสื่อสารกับสาธารณชน เพื่อให้เกิดเอกภาพและสร้างความมั่นใจให้แก่สาธารณชน ผ่านศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ที่จะได้มีการจัดตั้งขึ้น ณ ทำเนียบรัฐบาล ในการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
180 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติจัดระเบียบการจอดรถในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2562 รวม 3 ฉบับ | มท | 11/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการ (๑) ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับขนาดความหนาแน่นในการจราจร รายได้ และขีดความสามารถในการใช้บังคับให้เป็นไปตามกฎหมายที่จะบังคับแก่เทศบาลตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจอดรถในที่จอดรถ ค่าใช้จ่ายในการใช้เครื่องมือบังคับไม่ให้เคลื่อนย้ายรถ ค่าเคลื่อนย้ายรถ และค่าดูแลรักษารถในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และ (๓) ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการมอบให้เอกชนทำหน้าที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจอดรถแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความหนาแน่นในการจราจรที่จำเป็นต้องจัดให้มีที่จอดรถในทางหลวงหรือในที่สาธารณะและจัดระเบียบการจอดรถ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจอดรถ อัตราค่าใช้จ่ายในการใช้เครื่องมือบังคับไม่ให้เคลื่อนย้ายรถ อัตราค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายรถและอัตราค่าดูแลรักษารถที่ถูกเคลื่อนย้าย และกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อาจมอบหมายให้เอกชนทำหน้าที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจอดรถแทนก็ได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๒ (๓) ของร่างกฎกระทรวงตาม (๑) เป็น “มีความพร้อมในการจัดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ วัสดุอุปกรณ์ และการบริหารจัดการ” และมีขีดความสามารถในการบังคับตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบการจอดรถในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๔ ในส่วนของหมายเหตุของร่างกฎกระทรวงตาม (๒) เป็น “ในกรณีที่รถถูกใช้เครื่องมือบังคับไม่ให้เคลื่อนย้ายรถตาม ข้อ ๓ อีก” รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๕ ของร่างกฎกระทรวงตาม (๓) เป็น “เอกชนที่ได้รับมอบให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจอดรถแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องดำเนินการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามอัตราและวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อบัญญัติท้องถิ่น และในอัตราไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชนเกินสมควร” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวต้องคำนึงถึงการได้รับประโยชน์และไม่เป็นภาระแก่ประชาชนเป็นสำคัญ เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล คุ้มค่า โปร่งใสและตรวจสอบได้ และให้ อปท. ตรวจสอบ ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลโดยเคร่งครัด รวมทั้ง อปท. ควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการเก็บค่าธรรมเนียม ค่าดูแลรักษา และการปฏิบัติอื่น ๆ ให้เป็นไปอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|