ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 62 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 1221 - 1240 จากข้อมูลทั้งหมด 1462 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1221 | รายงานผลความก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | พม | 27/01/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานผลความ
ก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของส่วนราชการในสังกัด ดังนี้ (1) กรมพัฒนา สังคมและสวัสดิการ ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ งานสงเคราะห์และจัดสวัสดิการ เด็กและเยาวชน (อาหารกลางวัน, อาหารเสริมนม) การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้ป่วยเอดส์ การสงเคราะห์เบี้ยยัง ชีพคนพิการ ศูนย์บริการทางสังคมผู้สูงอายุ และสถานสงเคราะห์คนชรา 13 แห่ง (2) สำนักงานกิจการสตรี และสถาบันครอบครัว ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ งานฌาปนกิจสงเคราะห์ 100 สมาคม งานฌาปนกิจสงเคราะห์ 3,147 สมาคม (3) สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ การอนุญาตให้ควบคุมหอพักเอกชนตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2507 และ (4) การเคหะแห่งชาติ ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด |
||||||||||||||||||
1222 | กระทู้ถามที่ 1085 ร. เรื่อง การสนับสนุนและพัฒนาให้วัดป่าฟ้าระงึมเป็นสถานที่ท่องเที่ยว | สผ | 20/01/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1085 ร.
เรื่อง การสนับสนุนและพัฒนาให้วัดป่าฟ้าระงึมเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ ว่า การติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างในเส้นทางสัญจรเข้าวัดป่าฟ้าระงึม อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น การไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค ได้ดำเนินการติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะตามเส้นทางเข้าวัดป่าฟ้าระงึม ในช่วงที่ผ่านหมู่บ้านหัวหนอง อำเภอบ้านไผ่แล้ว รวมระยะทางประมาณ 1,800 เมตร ส่วนการติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะตามเส้นทางส่วนที่ เหลือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอบ้านไผ่ ได้สำรวจขยายเขตไฟฟ้าสาธารณะเพิ่มเติมแล้ว ปรากฏว่าต้องใช้ งบประมาณดำเนินการประมาณ 122,781.43 บาท ซึ่งจังหวัดขอนแก่นจะได้ประสานหน่วยงานราชการ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อทำการพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการ ดังกล่าวต่อไป สำหรับการขยายขอบเขตบริการน้ำประปาเข้าไปยังวัดป่าฟ้าระงึม องค์การบริหารส่วนตำบล หัวหนอง อำเภอบ้านไผ่ ได้ดำเนินการประสานกับสำนักงานประปาบ้านไผ่ สำนักงานประปาเขต 6 ขอนแก่น เพื่อดำเนินการสำรวจออกแบบและประมาณราคาค่าใช้จ่ายให้องค์การบริหารส่วนตำบลหัวหนองแล้วเป็นเงิน งบประมาณค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 458,486 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดสรรงบ ประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบลหัวหนองเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว ในส่วนของการประปาส่วนภูมิ ภาคจะดำเนินการสำรวจรายละเอียดโครงการขยายเขตจำหน่ายน้ำไปยังพื้นที่ป่าฟ้าระงึม บ้านหัวหนอง หมู่ 1 ตำบลหัวหนอง อำเภอบ้านไผ่ เพื่อขอเสนองบประมาณอุดหนุนด้วยอีกทางหนึ่ง ส่วนการติดตั้งป้ายและ สัญลักษณ์บอกทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว รัฐบาลสนับสนุน ให้หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเส้นทาง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้ ดำเนินการติดตั้งป้ายดังกล่าวต่อไป |
||||||||||||||||||
1223 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | สว | 13/01/2547 | |||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วน ตำบล(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ สภาผู้แทน ราษฎรมีข้อสังเกตว่า ในการกำหนดให้สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลมีสมาชิก ซึ่งมาจากการเลือก ตั้งของราษฎรหมู่บ้านละสองคน ควรกำหนดให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของจำนวนราษฎรในแต่ละ หมู่บ้านซึ่งมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน และให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วน ตำบล ฯ ในโอกาสต่อไป โดยให้หมู่บ้านที่มีขนาดเล็กมีสมาชิกได้หนึ่งคน ส่วนการวินิจฉัยว่า สมาชิกหรือนายก องค์การบริหารส่วนตำบลมีส่วนได้เสียในสัญญาหรือกิจการที่กระทำกับสภาตำบล หรือองค์การบริหารส่วน ตำบล ควรที่กระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะได้ดำเนินการกำหนดหลัก เกณฑ์หรือรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาวินิจฉัยให้เกิดความชัดเจน และเพื่อเป็น มาตรการป้องกันการกลั่นแกล้งกันต่อไปด้วย และให้มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิก สภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดความชัดเจนที่จะกำหนดเวลา ให้สามารถประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลได้ อันจะมีผลให้การบริหารกิจการขององค์การบริหารส่วน ตำบลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สมควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้ดำเนินการศึกษาในเรื่องการ บริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจัง เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลส่วน ท้องถิ่นที่จะได้แก้ไขประเด็นปัญหาต่าง ๆ โดยอาจกำหนดให้มีหน่วยงานกลางเข้าทำหน้าที่พิจารณาการโยก ย้ายหมุนเวียนข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น หรือมีผู้ทรงคุณวุฒิหรือบุคคลภายนอก ร่วมเป็นคณะกรรม การสอบสวนความผิดของผู้บริหารท้องถิ่น หรือข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็น ธรรมแก่ทุกฝ่าย สำหรับคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ วุฒิสภา มีข้อสังเกตว่า กระทรวงมหาดไทยควรเสนอขอแก้ ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2457 เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่ บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และสารวัตรกำนัน ให้ชัดเจนมิให้ซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ขององค์ การบริหารส่วนตำบล และควรจะได้มีการทำความเข้าใจ รวมทั้งกำหนดระเบียบหรือประกาศในส่วนที่เกี่ยว ข้องกับอำนาจหน้าที่ในการอำนวยการจัดทำแผนพัฒนาตำบล และการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลให้ชัดเจน โดยให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของกรรมการหมู่บ้านและประชาชน ในท้องถิ่นด้วย ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับไปพิจารณาดำเนิน การ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
1224 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือซึ่งออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. .... | กค | 13/01/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่ง
ออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. .... และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดให้ข้าราชการที่ออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรอง รับการเปลี่ยนแปลง มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจากทางราชการเพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการออกจากราชการ สำหรับ งบประมาณที่จะต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจำนวนประมาณ 350 ล้านบาท จากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการไว้ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เนื่องจากได้นำเงินเลื่อนขั้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2547 มารวมเป็นฐาน เงินเดือนเพื่อคำนวณสิทธิประโยชน์จูงใจให้ใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ของส่วน ราชการที่มีข้าราชการเข้าร่วมโครงการก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จากเงินงบกลาง รายการเงินเลื่อนขั้น เลื่อนอัน ดับเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ ส่วนงบประมาณเพื่อการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวนประมาณ 8,000 ล้านบาท ให้ใช้จากเงินงบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ หากไม่เพียงพอให้ใช้จากเงินคงคลัง และให้สำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณที่ตั้งไว้ใน หมวดเงินอุดหนุนสำหรับการถ่ายโอนบุคลากรไปท้องถิ่น ที่จัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในกรณีข้า ราชการที่ยังไม่ได้ถ่ายโอนไปท้องถิ่นสมัครใจลาออก ตามมาตรการ 2 หากไม่มีผลกระทบกับสัดส่วนต่อรายได้ของ รัฐบาลที่จะต้องจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้น ตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ให้โอนเงินในส่วนดังกล่าวกลับคืนคลัง นอกจากนี้ เห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เกี่ยวกับเป้าหมายรวมของจำนวน ข้าราชการผู้มีสิทธิเข้าสู่มาตรการ 1 และมาตรการ 2 เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีสิทธิเข้า ร่วมมาตรการเพื่อให้ถูกต้องและเป็นไปตามที่สำนักงาน ก.พ. ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการควบคุมจำนวนข้าราชการที่จะเข้าสู่มาตรการ ฯ มาตรการที่ 1 และมาตรการที่ 2 ไม่ให้เกินจำนวน ร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีสิทธิเข้าร่วมมาตรการตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลังด้วย |
||||||||||||||||||
1225 | กระทู้ถามที่ 1272 ร. เรื่อง การก่อสร้างถนนสายหนองปรือ - น้ำยาง - ทุ่งเอี้ยง - เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดยให้ลาดยางหรือเทคอนกรีต | สผ | 30/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1272 ร. เรื่อง
การก่อสร้างถนนสายหนองปรือ-น้ำยาง-ทุ่งเอี้ยง-เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดย ให้ลาดยางหรือเทคอนกรีต และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ถนน สายบ้านหนองปรือ-น้ำยาง-ทุ่งเอี้ยง-เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ระยะทางตลอด สาย 9.000 กิโลเมตร เป็นถนนผิวจราจรลาดยาง 1.200 กิโลเมตร ผิวจราจรลูกรัง 7.800 กิโลเมตร เดิมอยู่ใน ความรับผิดชอบของกรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท ปัจจุบันได้ส่งมอบให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลกเป็นผู้รับ ผิดชอบตามแผนปฏิบัติการกระจายอำนาจการปกครองให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดให้กรมทางหลวง ชนบท ต้องถ่ายโอนภารกิจด้านการก่อสร้างถนนในท้องถิ่นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการเอง โดยกรม ทางหลวงชนบททำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในด้านวิชาการและเทคนิควิศวกรรม ดังนั้น กระทรวงคมนาคม โดยกรมทาง หลวงชนบท จึงไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างถนนสายดังกล่าวได้ เนื่องจากเป็นถนนที่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นจะต้องดูแลรับผิดชอบเอง สำหรับเม็ดเงินงบประมาณที่จะอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น นั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนก้อนหนึ่งไว้เพื่อการนี้แล้ว โดยกรมส่ง เสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จะเป็นผู้พิจารณาจัดสรร |
||||||||||||||||||
1226 | กระทู้ถามที่ 307 ร. เรื่อง การสร้างองค์กรชุมชนให้เข้มแข็ง | สผ | 30/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 307
ร. เรื่อง การสร้างองค์กรชุมชนให้เข้มแข็ง ของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชี รายชื่อ) และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลได้สนับ สนุนให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ โดยการพัฒนาศักยภาพและเสริมบทบาทของกลุ่ม/องค์กรประชาชน การวางโครงการ ดำเนินงาน การติดตามประเมินผล และแก้ปัญหาของชุมชน โดยกระตุ้น ส่งเสริมให้ ประชาคมมีองค์ประกอบที่หลากหลายและมีสัดส่วนที่เหมาะสม จัดทำบัญชีปัญหาความต้องการของหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เพื่อใช้ประโยชน์จากบัญชีปัญหาความต้องการ ให้มีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ ให้มีส่วนร่วม ในการจัดทำแผนพัฒนาอำเภอ ตั้งแต่เริ่มต้นจะสิ้นสุดกระบวนการ มีส่วนร่วมตรวจสอบการบริหารขององค์ การบริหารส่วนตำบล ฯลฯ สำหรับมาตรการและแนวทางในการส่งเสริมองค์กรชุมชนให้เข้มแข็งเพื่อเพิ่ม ศักยภาพในการพัฒนาประเทศนั้น รัฐบาลได้มีมาตรการ ดังนี้ การแก้ไขปัญหายาเสพติด ใช้กระบวนการ ประชาคมหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับหมู่บ้าน/ชุมชน ในการเอาชนะปัญหายาเสพติดแบบ ยั่งยืน และสามารถเอาชนะปัญหายาเสพติดให้ครบทุกหมู่บ้านได้ ภายในปี พ.ศ. 2547 รณรงค์ให้ความรู้ เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการประธานประชาคมหมู่บ้าน และโครงการประเทศไทย ใสสะอาด นอกจากนี้ ได้มีการสนับสนุนการดำเนินการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและบทบาทขององค์กร ชุมชนในการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในระดับต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยสร้างกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่าง ภาครัฐกับประชาชน ส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนในการขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบในวง ราชการ ส่งเสริมบทบาทของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้ามามีส่วนร่วมและรับผิดชอบ การบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการจัดตั้งสมาคมผู้นำสตรีพัฒนาชุม ชนไทย รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานของสมาคมผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนไทย และสมาคมผู้นำอาชีพก้าว หน้าแห่งประเทศไทย |
||||||||||||||||||
1227 | กระทู้ถามที่ 1190 ร. เรื่อง การติดตั้งระบบประปาชุมชน | สผ | 16/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่
1190 ร. เรื่อง การติดตั้งระบบประปาชุมชน ของนายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะแก้ ไขปัญหาหมู่บ้านภัยแล้งอย่างถาวร โดยตั้งเป้าหมายให้ประชาชนในหมู่บ้านชนบททุกหมู่บ้านมีระบบประปาหมู่ บ้านสำหรับจ่ายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอทุกฤดูกาล รวมทั้งพื้นที่ชุมชนหมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 5 ตำบล โพธิ์เก้าต้น หมู่ที่ 12 ตำบลบ้านข่อย และหมู่ที่ 7 ตำบลท้ายตลาด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ทั้งนี้ ตามพระ ราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กำหนดให้ โครงการระบบประปาหมู่บ้านเป็นงานภารกิจที่ถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ ดังนั้น ผู้ประสงค์จะติดตั้งระบบประปาชุมชนต้องประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรงต่อไป และในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณตามภารกิจดังกล่าวเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อส่งเสริม และพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้ที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไป ลงสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุก แห่งตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด |
||||||||||||||||||
1228 | การยกเว้นค่ากระแสไฟฟ้าสาธารณะให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 16/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมติคณะกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ครั้งที่ 7/2546 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 โดยให้เทศบาล ได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าสาธารณะให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ควบคู่ไปกับการรับการ ถ่ายโอนภารกิจงานบำรุงรักษาทางหลวงจากกรมทางหลวง เช่นเดียวกับที่กรมทางหลวงเคยได้รับสิทธิพิเศษนี้จาก กฟภ. ทั้งนี้ การได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าวให้ถือเป็นมาตรการชั่วคราว จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2547 เท่านั้น และ ให้ กกถ. เร่งดำเนินการจัดสรรเงินเพื่อให้เทศบาลสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้เองโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||
1229 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | นร | 16/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ)
เสนอแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง โดยอำนาจในการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุญาต ขุดลอกห้วย หนอง คลอง บึงและแม่น้ำทั้งหมดในเขตพื้นที่จังหวัด ซึ่งเป็นอำนาจของกรมการขนส่งทางน้ำและ พาณิชย์นาวี นั้น ให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวีมอบอำนาจดังกล่าวให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด (ยกเว้น แม่น้ำสายหลักที่ใช้ในการขนส่งทางน้ำ) โดยถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธี การเกี่ยวกับการอนุญาตให้ดำเนินการขุดลอกแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ที่ตื้นเขิน พ.ศ. 2536 ส่วนกรวดหิน ดิน ทราย ที่ได้จากการขุดลอก ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการจัดหาผลประโยชน์ตามมาตรา 9 แห่งประมวล กฎหมายที่ดิน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งตรวจสอบ ติดตาม การดำเนินการ ขุดลอก ห้วย หนอง คลอง บึง และลำน้ำต่าง ๆ ในเขตพื้นที่ รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากวัสดุที่ได้จากการขุดลอก ตามความจำเป็นเหมาะสม โดยประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยด่วนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
1230 | ส่งรายงานประจำปี 2545 | นร | 02/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. 2545
ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้ความเห็นชอบ แล้วในคราวประชุม ครั้งที่ 4/2546 เมื่อวันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม 2546 โดยมีสาระสำคัญ 7 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2544 เปรียบเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ส่วนที่ 2 คณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนที่ 3 ผลการปฏิบัติงานการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ส่วนที่ 4 ผลการดำเนินงานในด้านอื่น ๆ เช่น การศึกษาการเปลี่ยนแปลงเขตของกรุงเทพมหานครเพื่อ จัดตั้งเป็นนครธนบุรี ส่วนที่ 5 ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ส่วนที่ 6 การตอบข้อหารือและคำถามที่ได้รับจากการสัมมนา ส่วนที่ 7 ภาคผนวก (กฎหมาย คำสั่ง ประกาศเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) |
||||||||||||||||||
1231 | มาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง | นร | 29/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรอง
รับการเปลี่ยนแปลง ตามลักษณะของกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย 3 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการสนับ สนุนผู้ประสงค์จะเริ่มอาชีพใหม่นอกระบบราชการ หรือมาตรการชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 50 ปี มาตรการสำหรับ ผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับระบบราชการ (recommended retirement) และมาตรการพัฒนาและบริหาร กำลังคนเพื่อออกนอกระบบราชการ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป โดยให้รับความเห็น ของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ มาตรการทั้ง 3 มาตรการดังกล่าว เมื่อจะจัดทำเป็น โครงการเพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้ข้าราชการได้รับรู้โดยทั่วกันควรกำหนดชื่อของมาตรการ/โครงการ ให้ เหมาะสม สื่อความหมายที่ดีและชัดเจน รวมทั้งควรระบุสิทธิประโยชน์ที่ข้าราชการซึ่งเข้าร่วมมาตรการในแต่ ละมาตรการพึงได้รับ ให้ครบถ้วนชัดเจน เพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย โดยให้สำนักงาน ก.พ. เป็นผู้ดำเนิน การด้านประชาสัมพันธ์และบริหารโครงการ โดยให้เบิกค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้จากเงินงบประมาณ ประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน 20 ล้านบาท กับ ให้กำหนดเป้าหมายรวมของจำนวนข้าราชการของทุกส่วนราชการ และของแต่ละส่วนราชการที่จะเข้าร่วมตาม มาตรการแรก เป็นจำนวนร้อยละ 10 ของข้าราชการทั้งหมด โดยให้ใช้หลักสมัครก่อน ได้สิทธิก่อน หากส่วน ราชการใดมีข้าราชการสมัครเกินร้อยละ 10 ในขณะที่ส่วนราชการอื่น ๆ มีข้าราชการสมัครน้อยกว่าร้อยละ 10 หากส่วนราชการเจ้าสังกัดที่มีผู้สมัครเกินจำนวนเห็นชอบ ก็ให้ข้าราชการที่สมัครได้รับสิทธิเข้าร่วมโครง การโดยใช้โควตาของส่วนราชการอื่นที่เหลืออยู่ได้ โดยจำนวนข้าราชการที่ได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นจะต้องไม่ทำให้ จำนวนรวมเกินเป้าหมายรวมที่กำหนดไว้ร้อยละ 10 ด้วย ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ไม่รวมถึง ข้าราชการในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ สามารถ พิจารณาดำเนินการได้เองตามความจำเป็นเหมาะสม สำหรับข้าราชการทหารและตำรวจ ซึ่งเดิมมีโครงการ เกษียณอายุก่อนกำหนด โดยได้รับสิทธิประโยชน์ในการได้รับพระราชทานชั้นยศเพิ่มขึ้น เป็นทางเลือกอยู่ ด้วยนั้น ให้กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปพิจารณาความเหมาะสมว่า ประสงค์จะยังคง ดำเนินโครงการตามแนวทางเดิม เป็นทางเลือกของข้าราชการในสังกัดต่อไปด้วย หรือจะเข้าร่วมดำเนินการ ตามมาตรการนี้เพียงทางเดียว โดยจะต้องไม่มีผลให้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ใด ๆ ในภาพรวมทั้ง ระบบเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สิทธิประโยชน์จูงใจอื่น ในส่วนของการได้รับการพิจารณาเสนอขอพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น มอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม ต่อไป
|
||||||||||||||||||
1232 | การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 29/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอความเห็นเกี่ยวกับเรื่อง
การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) โดยคณะรัฐมนตรีเห็นว่า การดำเนินการ ถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจทางการเงิน การคลัง และงบ ประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ควรจะต้องสร้าง ความเข้าใจที่ชัดเจนถูกต้องตรงกันทั้งในส่วนของราชการที่ถ่ายโอนภารกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ รับการถ่ายโอนภารกิจว่า ภารกิจใดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดทำ และภารกิจใดราชการบริหาร ส่วนกลางยังคงต้องเป็นผู้ทำ มิฉะนั้นภารกิจบางอย่างอาจเกิดปัญหาขาดเจ้าภาพที่จะรับผิดชอบดำเนินการ ขึ้นได้ นอกจากนี้ ถ่ายโอนภารกิจจะต้องคำนึงถึงศักยภาพ ความพร้อม ตลอดจนขีดความสามารถของแต่ละ ท้องถิ่นในการดำเนินการ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญด้วย เช่น ภารกิจ เกี่ยวกับการบริหารสถานีรถโดยสาร และงานทะเบียนรถยนต์ของกรมการขนส่งทางบก เป็นต้น ส่วนที่ สามารถถ่ายโอนให้ท้องถิ่น ได้แก่ การบริหารสถานีรถโดยสารที่วิ่งอยู่ในท้องถิ่นหรือภายในจังหวัดนั้น ๆ และการกำหนดสถานที่จอดและการเก็บค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง ส่วนสถานีรถโดยสารที่วิ่งรับส่งผู้โดยสาร ระหว่างจังหวัดยังคงให้กรมการขนส่งทางบกดูแลรับผิดชอบต่อไป เพื่อให้การจัดระบบการขนส่งในภาพรวม ของประเทศสอดคล้องเชื่อมโยงกัน และมิให้กระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการ สำหรับงานทะเบียนรถยนต์ซึ่ง ในปัจจุบันได้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลทั่วทั้งประเทศ เพื่อให้สามารถให้บริการเกี่ยวกับ ทะเบียนรถยนต์แก่ประชาชนทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว หากถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ก็จะกระทบกับการให้บริการประชาชนโดยตรง เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีระบบ ฐานข้อมูลรองรับการดำเนินการได้ รวมทั้งการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวจะต้องดำเนินการแก้ไขข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องก่อนด้วย จึงให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายนิกร จำนง) รับไปหารือกับรองนายก รัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
1233 | รายงานผลการดำเนินการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 25/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการดำเนินการกระจาย
อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ออกประกาศคณะกรรมการ ฯ เรื่อง กำหนดอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะขององค์การ บริหารส่วนจังหวัด มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2546 และจากการออกประกาศ ฯ เป็นผลให้การดำเนิน การตามอำนาจและหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดในเขตจังหวัด ไม่เกิดความซ้ำซ้อนกับการดำเนินการตาม อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นในจังหวัด พร้อมทั้งได้แจ้งให้กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการ จังหวัดทุกจังหวัดซึ่งกำกับดูแลองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้ดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศ ฯ แล้ว ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า ในการดำเนินการบริหารจัดการท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในบางกรณียังเกิด ปัญหาการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หน่วยราชการส่วนกลางซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในท้องถิ่น ควรประสานและกำกับดูแล ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตามสมควรด้วย เช่น กรณีหาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต มีการถมที่ดินในทะเล ทำให้เกิดผล กระทบต่อสภาพแวดล้อมและสภาพธรรมชาติในบริเวณนั้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวไม่อยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะอนุญาต/อนุมัติให้กระทำได้ แต่เป็นกรณีที่ผู้ดำเนินการจะต้องจัดทำรายงานการ วิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาเห็นชอบก่อนตาม ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจ การของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) เป็นต้น จึงให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อติด ตาม ดูแล แก้ไขปัญหากรณีดังกล่าวร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ถูกต้อง และเป็นไปตามบทบัญญัติของ กฎหมายต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
1234 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการใหัสัมปทานในที่ดินของรัฐ พ.ศ. .... | มท | 25/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7) ที่มี
มติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ สัมปทานในที่ดินของรัฐ พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็น ของ คกก.7 และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับความเห็น ของ คกก.7 เห็นว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการในการพิจารณาการให้สัมปทานในที่ดินของรัฐตามร่างกฎ กระทรวง ฯ นี้ควรมีผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าว ด้วย เพราะในบริเวณที่ดินของรัฐที่จะให้สัมปทานอาจจะยังมีพื้นที่ป่าซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติ ฯ รวมอยู่ด้วย ส่วนกรณีการให้สัมปทานในที่ดินของรัฐตามร่างกฎกระทรวง ฯ จะอยู่ในข่ายต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 หรือไม่ นั้น โดย ที่คำนิยาม "ร่วมงานหรือดำเนินการ" ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวหมายความถึง การร่วมทุนกับภาคเอกชนไม่ว่า โดยวิธีใดหรือมอบให้เอกชนลงทุนแต่ฝ่ายเดียวโดยวิธีการอนุญาต หรือให้สัมปทาน ดังนั้น การนำที่ดินของรัฐซึ่งมิ ได้มีบุคคลใดมีสิทธิครอบครองไปให้สัมปทานตามมาตรา 12 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จึงน่าจะถือได้ว่าเป็นการ "ร่วมงานหรือดำเนินการ" ตามพระราชบัญญัติ ฯ และหากเป็นการลงทุนที่มีวงเงินหรือทรัพย์สินตั้งแต่ 1,000 ล้าน บาทขึ้นไป ก็น่าจะต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติ ฯ ด้วย นอกจากนี้ องค์ประกอบของคณะกรรมการ พิจารณาเรื่องราวการให้สัมปทาน ฯ และคณะกรรมการพิจารณาเรื่องราวการให้สัมปทาน ฯ ประจำจังหวัด ควร เพิ่มให้มีผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสามคน ร่วมเป็นกรรมการ โดยกำหนดที่มาและกระบวนการสรรหาให้เหมาะสม ด้วย สำหรับการกำหนดให้ค่าตอบแทนที่ผู้ได้รับสัมปทานต้องชำระให้ตกเป็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่ง ท้องที่ที่ขอสัมปทานนั้น ให้นำส่งเข้าบัญชีเงินคงคลังตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ส่วนการที่จะจัด สรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างไรนั้น ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 บัญญัติไว้ แม้มาตรา 28 (13) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจมีรายรับจากรายได้จาก ทรัพย์สินของแผ่นดินก็มิได้เป็นบทบังคับให้ทุกกฎหมายต้องบัญญัติความให้ต้องโอนรายได้ให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นเสมอไป อีกทั้งการโอนรายได้ไปดังกล่าวทำให้ส่วนกลางไม่ทราบเม็ดเงินที่แท้จริง ทำให้เกิดปัญหาการ จัดสรรในภายหน้าได้ ประกอบกับการกำหนดดังกล่าวเป็นการเกินอำนาจกฎหมายแม่บทตามมาตรา 12 ของ ประมวลกฎหมายที่ดิน หรือไม่ จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับประเด็นกฎหมายดังกล่าวไปพิจารณา ต่อไป |
||||||||||||||||||
1235 | รายงานผลความก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 25/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการถ่ายโอนภารกิจ
ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น โดยให้ส่วนราชการที่ยังไม่ถ่ายโอนภารกิจเร่งดำเนินการถ่ายโอนภารกิจตามที่แผนปฏิบัติการดังกล่าว กำหนดไว้ โดยให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2546 สำหรับผลความก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว ส่วนราชการต่าง ๆ ได้แจ้งผลการดำเนินการถ่ายโอนภารกิจ สรุปได้ดังนี้ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 87 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 69 ภารกิจ ด้านงานส่งเสริม คุณภาพชีวิต ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 103 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 65 ภารกิจ ด้านการจัดระเบียบชุมชน/สังคม และ การรักษาความสงบเรียบร้อย ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 17 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 1 ภารกิจ ด้านการวางแผน การส่ง เสริมการลงทุน พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 19 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 14 ภารกิจ ด้าน การบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 17 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 13 ภารกิจ และด้านศิลปะ วัฒนธรรมจารีตประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 2 ภารกิจ ถ่าย โอนแล้ว 2 ภารกิจ
|
||||||||||||||||||
1236 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 18/11/2546 | |||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญ
พิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ พิจารณาเห็นควรแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ ฉบับนี้ ดังนี้ การให้สมาชิกภาพของสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสิ้นสุดลงในกรณีที่ถูกราษฎรผู้มีสิทธิเลือก ตั้งในเขตองค์การบริหารส่วนจังหวัดเข้าชื่อถอดถอนเพราะเหตุที่ไม่สมควรดำรงตำแหน่งต่อไป นั้น ตามพระราช บัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 บัญญัติให้ ถือเกณฑ์จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติองค์การ บริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 กำหนดให้เขตขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งการเข้าชื่อถอดถอนหรือลง คะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเกณฑ์ แต่การ เลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น พ.ศ. 2545 บัญญัติว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้ถือเขตอำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง ซึ่งไม่สอดคล้อง กัน จึงเห็นควรแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การเลือกตั้งและการถอดถอนใช้เขตเลือกตั้งเดียวกัน ส่วนใน กรณีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลาออกก่อนครบวาระโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและก่อให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งและมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ควรมี บทบัญญัติในกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย และปัจจุบันอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหาร ส่วนจังหวัดมีหลายประการที่ซ้ำซ้อนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น เพื่อให้การกระจายอำนาจให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ควรแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อ กำหนดบทบาท ขอบเขต อำนาจและหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดให้มีความชัดเจน เพื่อมิให้ซ้ำซ้อนกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น และมอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ แล้ว แจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
1237 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | นร | 18/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ตามที่
กระทรวงมหาดไทยเสนอ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งได้ปรับ ปรุงแก้ไขตามมติคณะรัฐมนตรีแล้วนั้น ยังมีหลักการสำคัญบางประการที่สมควรได้รับการพิจารณาทบทวนเพื่อ ให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างขององค์กร อำนาจหน้าที่ขององค์ กรและพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งรายได้และระบบบริหารงานการเงินขององค์กร จึงให้กระทรวงมหาดไทยนำ ร่างพระราชบัญญัติ ฯ ไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วย ดังนี้ ในการ กำหนดอำนาจหน้าที่และความสัมพันธ์ของกรุงเทพมหานครและนครควรพิจารณาให้สอดคล้องกับแนวทางตาม พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และ ควรนำอำนาจหน้าที่และความสัมพันธ์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด และองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศ บาลมาประกอบการพิจารณาด้วย ในส่วนของตำแหน่งผู้บริหารกรุงเทพมหานครและนคร ควรมาจากผู้มีคุณ สมบัติด้านการบริหารจัดการ สำหรับหลักการต่าง ๆ ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ควรคำนึงถึงประโยชน์ที่ จะเกิดขึ้นกับประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมทั้งให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วย ว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ยังมีการทับซ้อนของอำนาจการจับกุม และสอบสวนของพนักงานเจ้าหน้าที่ของ กรุงเทพมหานครและนครในบางส่วน และในกรณีที่อำนาจหน้าที่ทับซ้อนกัน ควรมีกลไกกำหนดให้ฝ่ายใดฝ่าย หนึ่งรับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
1238 | ขอนำเรื่องเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (เรื่อง รายงานผลความก้าวหน้าในการเตรียมการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยและครอบครัว) | พม | 11/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมพัฒนา
สังคมและสวัสดิการรายงานผลความก้าวหน้าในการเตรียมการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยและครอบครัว โดยกำหนด กรอบภารกิจ ดังนี้ จัดทำแนวทางการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยและครอบครัว เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินงานของ หน่วยงานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ซึ่งประกอบด้วย การฟื้นฟูศักยภาพของผู้ประสบอุทกภัยและ ครอบครัว สร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพและรายได้ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับองค์กรภาคเอกชน มูลนิธิ สมาคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการให้การสงเคราะห์ ฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพแก่ผู้ประสบภัยหลัง น้ำลดได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ โดยในส่วนของการสร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพและรายได้ ได้จัดทำโครงการสร้างความมั่นคงด้านอาชีพและรายได้ผู้ประสบภัยหลังน้ำลด โดยขออนุมัติใช้เงินงบประมาณ รายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2547 ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ งบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ รายการ ค่าแรงงานสตรี (20 ล้านบาท) และรายการเงินอุดหนุนสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง (20 ล้านบาท) จำนวนทั้งสิ้น 40 ล้านบาท กับมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาสังคมและสวัสดิการจังหวัด และหน่วย งานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ และจัดทำ แผนการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย เพื่อการประสานการทำงานร่วมกัน รวมทั้งได้เตรียมการแต่งตั้งคณะกรรมการ บูรณาการการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย โดยปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานกรรมการ และอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นกรรมการและเลขานุการ นอกจากนี้ ได้ จัดประชุมร่วมระหว่างผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และพัฒนาสังคม และสวัสดิการจังหวัด ในพื้นที่ 6 จังหวัดที่ประสบปัญหาอุทกภัย (จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ พิษณุโลก สุโขทัย เพชรบูรณ์ และนครสวรรค์) เพื่อจัดทำแผนเตรียมการฟื้นฟูศักยภาพผู้ประสบอุทกภัยและครอบครัว อย่างเป็นองค์รวมและมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||
1239 | กระทู้ถามที่ 857 ร. เรื่อง การก่อสร้างปรับปรุงทางหลวง สายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอมะนัง จังหวัดสตูล | สผ | 04/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 857 ร.
เรื่อง การก่อสร้างปรับปรุงทางหลวงสายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอ มะนัง จังหวัดสตูล ของนายสนั่น สุธากุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล และให้ประกาศในราชกิจจา นุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท ตรวจสอบทางหลวงสายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอมะนัง จังหวัดสตูล แล้วปรากฎว่า สายทางดังกล่าวมีระยะทาง 11.50 กิโลเมตร โดยช่วง กม. 0+000-6+850 เป็นถนนลาด ยาง อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนช่วง กม. 6+850-11+500 เป็นถนนลูกรัง อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท แต่เนื่องจากการปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม โดยกรม ทางหลวงชนบทเป็นหน่วยงานที่เกิดจากการรวมหน่วยงานด้านถนน ของกรมโยธาธิการ และกรมการเร่งรัด พัฒนาชนบท ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องจัดระบบการบริหารงานให้สอดคล้องกับภารกิจตามที่กฎกระทรวง กำหนดและกำลังดำเนินการศึกษาถนนทั้งหมดที่เคยอยู่ในความรับผิดชอบว่า สอดคล้องกับภารกิจหลักหรือ ไม่ หากสายทางดังกล่าวมีความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ แล้ว กรมทางหลวงชนบทจะพิจารณาจัดลำดับความ สำคัญ และจัดเข้าแผนในการของบประมาณเพื่อสนับสนุนต่อไป นอกจากนี้ การปรับปรุงถนนลูกรังให้เป็น ถนนลาดยางต้องสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในอันที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม แต่เนื่องจาก งบประมาณที่จำกัด และรัฐบาลมีภาระที่จะต้องพัฒนาประเทศในอีกหลายด้าน ซึ่งทุกด้านจำเป็นที่จะต้องใช้ งบประมาณในการพัฒนาทั้งสิ้น ดังนั้น หากถนนดังกล่าวมีความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ แล้ว กรมทางหลวง ชนบทจะได้พิจารณาจัดเข้าแผนงานเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป |
||||||||||||||||||
1240 | ขออนุมัติเปิดสอนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร | มท | 04/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (คกก.4) ที่มี
มติเกี่ยวกับโครงการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวง มหาดไทยเสนอ โดยอนุมัติโครงการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 2 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนบ้านบางกะปิ สำนักงานเขตบางกะปิ และโรงเรียนวิชูทิศ สำนักงานเขตดินแดง ในปีการศึกษา 2546 โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย สำหรับงบ ประมาณสำหรับดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และอนุมัติเป็นหลักการว่า หากโรงเรียนในสังกัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เปิดทำการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและพร้อมที่จะเปิดทำการเรียน การสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเปิดทำการเรียนการสอนในระดับมัธยม ศึกษาตอนปลายได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี แต่ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด และดำเนินการตามประเด็นอภิปรายของ คกก.4 ดังนี้ กรณีโรงเรียน ในสังกัดกรุงเทพมหานครที่มีความพร้อมจะเปิดทำการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้เปิดทำการ เรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี นั้น จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ ความพร้อมของการขยายการจัดการศึกษาในทุกด้าน โดยเฉพาะคุณภาพการศึกษา เพื่อที่คณะกรรมการเขตพื้นที่ การศึกษาจะใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติ และให้มีการจัดทำแผนที่แสดงที่ตั้งสถานศึกษาและสภาพข้อมูลที่เกี่ยว ข้องในบริเวณใกล้เคียงอื่น ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในการพิจารณากรณีจะขอขยายการเรียนการสอนในโรงเรียนของ กรุงเทพมหานคร รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ โดยการขอขยายการจัดการศึกษาควรดำเนินการแบบ ค่อยเป็นค่อยไป แต่อย่างไรก็ตามในระยะยาวการจัดการศึกษาโดยภาครัฐควรต้องลดลง ในขณะที่ต้องส่งเสริมให้มี การจัดการศึกษาโดยภาคเอกชนเพิ่มขึ้น โดยให้พิจารณาว่า หากโอนภารกิจเกี่ยวกับการจัดการศึกษาให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเท่าใด ก็ควรปรับลดสัดส่วนระหว่างโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและโรงเรียน ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยอาจต้องโอนโรงเรียนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือยุบเลิกโรงเรียน เพื่อมิให้มีการขยายขอบเขตการให้การศึกษาจนเป็นการแข่งขันกับเอกชน โดยรัฐอาจพิจารณาสนับสนุนภาคเอก ชนในเรื่องปัจจัยอุดหนุนอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น จัดให้มีครูอาจารย์จากโรงเรียนของรัฐไปช่วยสอนเสริมในโรงเรียน เอกชนที่อยู่ใกล้เคียง หรือกำหนดสัดส่วนจำนวนนักเรียนต่อห้องเรียนในโรงเรียนของรัฐให้เหมาะสมกับการสอน ที่มีประสิทธิภาพไว้เป็นมาตรฐานและจะไม่เพิ่มจำนวนนักเรียนต่อห้องเกินกว่ามาตรฐานดังกล่าว รวมทั้งไม่ขยาย จำนวนห้องเรียนเพิ่มเติม เป็นต้น และให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์เพื่อคณะกรรมการเขต พื้นที่การศึกษาใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติตามประเด็นอภิปรายดังกล่าว แล้วแจ้งให้คณะกรรมการเขตพื้นที่ การศึกษาทราบโดยเร็วต่อไป |
.....