ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 68 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 1341 - 1360 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1341 | การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ 2548 เพื่อแก้ปัญหาธรณีพิบัติภาคใต้ | นร | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) เสนอให้จัดสรร
เงินอุดหนุนปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวนเงิน 1,500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นในเขตพื้นที่ประสบธรณีพิบัติ ฟื้นฟูสภาพจิตใจของประชาชนและโครงสร้างพื้นฐาน โดยใช้จ่าย จากเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อแก้ไขปัญหาการกระจายอำนาจ จำนวน 500 ล้านบาท เงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อปรับปรุงเส้นทางคมนาคมและเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อก่อสร้างฝายทดน้ำ จำนวน 1,000 ล้านบาท และได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนดังกล่าวประกอบด้วย หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีใน เขตจังหวัดที่ประสบธรณีพิบัติ สำนักงบประมาณ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมบัญชีกลาง กรม ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และผู้แทนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าร่วมเป็นอนุกรรมการ
|
|||||||||||||||||||||
1342 | สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง (วันที่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 6 มกราคม 2548) | มท | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2547 - 6 มกราคม 2548 มีจังหวัดที่ประสบภัย 55 จังหวัด 547 อำเภอ 51 กิ่งอำเภอ 4,166 ตำบล 37,402 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 7,518,739 คน 2,043,542 ครัวเรือน แยกเป็น ภาคเหนือ 17 จังหวัด ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด ภาคกลาง 11 จังหวัด และภาคตะวันออก 8 จังหวัด พื้นที่การเกษตร เสียหาย 11,750,518 ไร่ แยกเป็น นาข้าว 9,417,267 ไร่ พืชไร่ 2,223,198 ไร่ พืชสวน 110,053 ไร่ มูลค่าความเสียหายประมาณ 6,262,762,149 บาท การให้ความช่วยเหลือ ได้มีการจัดสรรน้ำเพื่อ การเกษตร รวมทั้งแจกจ่ายน้ำอุปโภค/บริโภค ในส่วนของงบประมาณดำเนินการใช้จ่ายไปแล้วรวมเป็นเงิน ทั้งสิ้น 296,400,420.88 บาท จำแนกเป็น งบฉุกเฉินทดรองราชการของจังหวัด (งบ 50 ล้านบาท) 191,867,465 บาท งบฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 76,985,443.88 บาท และงบประมาณ อื่นๆ เช่น งบจังหวัด CEO 27,547,512 บาท
|
|||||||||||||||||||||
1343 | ร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... (Agenda based) | นร | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอร่างพระราชบัญญัติเขต
เศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... ที่คณะทำงานด้านกฎหมาย ซึ่งมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ได้ยกร่างและแก้ไข เพิ่มเติมตามผลการประชุมหารือร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครือ งาม) เป็นประธาน โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวมีสาระสำคัญคือ กำหนดให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ขึ้นเพื่อให้การพัฒนาพื้นที่เฉพาะสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ และความต้องการของประชาชน และเพื่อ ให้การพัฒนาระบบบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อันจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการ แข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็น และข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องการถือครองที่ดิน และการเช่าที่ดินของคนต่างด้าว ตามข้อสังเกตกรมที่ดิน เรื่องการอุดหนุนซึ่งอาจขัดต่อพันธกรณีใน WTO ตามข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ และเรื่องแรงงานต่างด้าวตามข้อสังเกตของกระทรวงแรงงาน รวมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณา ด้วยดังนี้ โดยที่ในบางเรื่องอาจมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว เช่น การกำหนดให้เป็นเขตเกษตรเศรษฐกิจ ตามพระราชบัญญัติเศรษฐกิจการเกษตร พ.ศ. 2522 เป็นต้น จึงสมควรพิจารณาว่า หากจะยกเลิกกฎหมาย ดังกล่าว แล้วใช้กฎหมายในเรื่องนี้เพียงฉบับเดียว จะเหมาะสมหรือไม่ ควรกำหนดความสัมพันธ์ระหว่าง รัฐบาลกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะจัดตั้งขึ้นเป็นองค์การมหาชนในลักษณะ ที่ให้สามารถกำกับดูแลการดำเนินงานของสำนักงาน ห้เป็นไปอย่างสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลได้ นอกจากนี้ให้พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างผู้ว่าการเขตเศรษฐกิจพิเศษกับรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระ ราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษด้วย รวมทั้งกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของเขตเศรษฐกิจพิเศษใน พื้นที่ที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาให้ชัดเจน เพื่อมิให้เกิดความสับสนหรือขัดแย้งกับอำนาจหน้าที่ของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่นั้น ในกรณีเป็นที่ดินขององค์กรทางศาสนา ควรดำเนินการตามแนว ทางในกฎหมายว่าด้วยการจัดรูปที่ดิน เมื่อตรวจร่างเสร็จแล้ว ควรมีการรับฟังความเห็นจากภาคเอกชนและ ภาครัฐอีกครั้งหนึ่ง แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1344 | แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ รวม 9 กลุ่มลุ่มน้ำ | นร | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และการจัดการ 25 ลุ่มน้ำ สำคัญของประเทศ และแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ รวม 9 กลุ่มลุ่มน้ำ อาทิเช่น รัฐควรดำเนินการแบ่ง 25 แม่น้ำสำคัญเป็น 9 กลุ่มลุ่มน้ำ เพื่อให้สามารถดำเนิน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำได้เป็นระบบทั้งลุ่มน้ำที่เกี่ยวเนื่องกัน และควรดำเนินการให้มียุทธศาสตร์การ จัดการลุ่มน้ำเพื่อตอบสนองความจำเป็นเพื่อการใช้น้ำในกิจกรรมต่างๆ โดยใช้กระบวนการรับฟังความคิดเห็น สาธารณะจากประชาชน ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมรับผิดชอบการรักษาความอุดมสมบูรณ์ ของลุ่มน้ำ รวมทั้งทบทวนกรอบการทำงานและการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกำหนด นโยบายและเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรดิน และทรัพยากรมนุษย์ ให้มีความสอดคล้องและสัมพันธ์กันเพื่อให้มีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น และมอบให้กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการจัดทำข้อมูลตามประเด็นอภิ ปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ได้แก่ การกำหนดวิธีการและแสดงผลการศึกษาให้ทราบถึงต้นตอและ สาเหตุแห่งปัญหาน้ำของประเทศ การบริหารจัดการน้ำ การจัดทำระบบการโยกย้ายน้ำ (Water rid) และข้อ เสนอของสภาที่ปรึกษา ฯ ที่เห็นควรให้มีพระราชบัญญัติน้ำและจัดตั้งกระทรวงน้ำ และการปรับปรุงองค์กร บริหารจัดการน้ำในระดับต่าง ๆ แล้วเสนอคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ พิจารณาโดยด่วนต่อไป ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับความเห็น และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาและพัฒนาลุ่มน้ำของ ประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำ แบบบูรณาการเพื่อประโยชน์ในการผลิต การบริโภค และการป้องกันอุทกภัยต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1345 | สรุปสถานการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์บริเวณชายฝั่งทะเลภาคใต้ฝั่งอันดามัน | มท | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสรุปสถานการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์บริเวณชายฝั่งทะเล ภาคใต้ฝั่งอันดามัน สรุปได้ดังนี้ ตามที่ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหว โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณด้านตะวันตกของ เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 เวลา 07.58 นาฬิกา โดยวัดแรงสั่นสะเทือน ได้ 8.0 ริกเตอร์ นั้น จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พื้นที่ในจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทยได้ รับผลกระทบและประสบความเสียหาย รวม 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต ตรัง พังงา กระบี่ ระนอง และสตูล มีผู้เสียชีวิตทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ รวม 918 คน บาดเจ็บ 7,396 คน สูญหาย 1,367 คน บ้าน เรือนได้รับความเสียหาย 308 หลังคาเรือน มูลค่าความเสียหาย 274,584,730 บาท ในการนี้ รัฐมนตรีว่า การกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนแห่งราชอาณาจักร ได้ประกาศให้พื้น ที่ 6 จังหวัดดังกล่าวเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน และให้ทุกจังหวัดที่ประสบภัยจัดตั้งศูนย์ประสานงาน การรับแจ้ง ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ณ ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด โดยให้มี Call Center เพื่อให้ข้อมูลแก่ญาติของนักท่องเที่ยว รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสำรวจรายชื่อผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของจังหวัด ในส่วนของการให้ความเหลือ ช่วยเหลือ อาทิเช่น การจัดเจ้าหน้าที่ออกให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย แจกจ่ายถุงยังชีพ เสื้อผ้า/เครื่อง นุ่งห่ม และน้ำดื่ม การเปิดรับบริจาคเงินผ่านบัญชีชื่อ บัญชีสมทบทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยหมาย เลข 00-0006-20-01446-3 ประเภทเผื่อเรียก ธนาคารออมสิน สาขามหาดไทย และรับบริจาคสิ่ง ของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ของสำนักช่วยเหลือผู้ประสบภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ การใช้เงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด (งบ 50 ล้านบาท) หรืองบประมาณขององค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังกล่าว เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
1346 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยค่าตอบแทนที่ปรึกษาซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง พ.ศ. 2547 | นร | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎ
หมาย ฯ) ที่มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ด้วยค่าตอบแทนที่ปรึกษาซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ กำหนดค่าตอบแทนที่ปรึกษา และอนุที่ปรึกษา โดยที่ปรึกษาให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละหนึ่งพัน บาท ส่วนอนุที่ปรึกษาให้ได้รับค่าตอบแทนครึ่งหนึ่งของที่ปรึกษา โดยกำหนดให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นราย ครั้ง เฉพาะครั้งที่มาประชุมในอัตราครั้งละห้าร้อยบาท กำหนดให้ที่ปรึกษาหรืออนุที่ปรึกษาซึ่งมิได้เป็นข้าราช การ พนักงานราชการ หรือลูกจ้างของทางราชการ หรือพนักงาน หรือลูกจ้างรัฐวิสาหกิจให้ได้รับค่าตอบแทน เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าของค่าตอบแทนที่ผู้นั้นมีสิทธิได้รับ ประธานคณะที่ปรึกษา และประธานคณะอนุที่ปรึกษา ให้ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสี่ของค่าตอบแทนที่ปรึกษา หรืออนุที่ปรึกษา ให้เลขานุการ และผู้ช่วย เลขานุการของคณะที่ปรึกษา หรือคณะอนุที่ปรึกษาให้ได้รับค่าตอบแทนเช่นเดียวกับที่ปรึกษา หรืออนุที่ ปรึกษาแล้วแต่กรณี และให้ร่างระเบียบ ฯ ดังกล่าว มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นไป โดย ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รับไปดำเนินการแก้ไขตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่น กรองฯ ดังนี้ ตามร่างข้อ 6 กำหนดอัตราค่าตอบแทนที่ให้กับที่ปรึกษาหรืออนุที่ปรึกษาซึ่งมิได้เป็นข้าราชการ พนักงานราชการหรือลูกจ้างของทางราชการหรือพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ ราชการส่วนท้องถิ่น ให้ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าของค่าตอบแทนที่ผู้นั้นมีสิทธิได้รับ เห็นควรตัด ออก เนื่องจากที่ปรึกษาหรืออนุกรรมการที่ปรึกษา ตามที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งทั้งที่เป็นข้าราชการและมิได้ เป็นข้าราชการจะปฏิบัติหน้าที่ และมีความรับผิดชอบที่ใกล้เคียงกัน และเพิ่มเติมให้นายกรัฐมนตรีเห็นชอบ ให้ที่ปรึกษาหรืออนุที่ปรึกษาได้รับค่าตอบแทนแตกต่างจากที่กำหนดไว้ในระเบียบ ฯ ได้ตามที่กระทรวงการ คลังเสนอแล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานงานกับสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาด้วย |
|||||||||||||||||||||
1347 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และการจัดการ 25 ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ" และ เรื่อง"แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ รวม 9 กลุ่มลุ่มน้ำ" | นร | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และการจัดการ 25 ลุ่มน้ำ สำคัญของประเทศ และแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ รวม 9 กลุ่มลุ่มน้ำ อาทิเช่น รัฐควรดำเนินการแบ่ง 25 แม่น้ำสำคัญเป็น 9 กลุ่มลุ่มน้ำ เพื่อให้สามารถดำเนิน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำได้เป็นระบบทั้งลุ่มน้ำที่เกี่ยวเนื่องกัน และควรดำเนินการให้มียุทธศาสตร์การ จัดการลุ่มน้ำเพื่อตอบสนองความจำเป็นเพื่อการใช้น้ำในกิจกรรมต่างๆ โดยใช้กระบวนการรับฟังความคิดเห็น สาธารณะจากประชาชน ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมรับผิดชอบการรักษาความอุดมสมบูรณ์ ของลุ่มน้ำ รวมทั้งทบทวนกรอบการทำงานและการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกำหนด นโยบายและเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรดิน และทรัพยากรมนุษย์ ให้มีความสอดคล้องและสัมพันธ์กันเพื่อให้มีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น และมอบให้กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการจัดทำข้อมูลตามประเด็นอภิ ปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ได้แก่ การกำหนดวิธีการและแสดงผลการศึกษาให้ทราบถึงต้นตอและ สาเหตุแห่งปัญหาน้ำของประเทศ การบริหารจัดการน้ำ การจัดทำระบบการโยกย้ายน้ำ (Water rid) และข้อ เสนอของสภาที่ปรึกษา ฯ ที่เห็นควรให้มีพระราชบัญญัติน้ำและจัดตั้งกระทรวงน้ำ และการปรับปรุงองค์กร บริหารจัดการน้ำในระดับต่าง ๆ แล้วเสนอคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ พิจารณาโดยด่วนต่อไป ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับความเห็น และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาและพัฒนาลุ่มน้ำของ ประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำ แบบบูรณาการเพื่อประโยชน์ในการผลิต การบริโภค และการป้องกันอุทกภัยต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1348 | โครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ของประชาชน (โครงการประปาเอื้ออาทร) | มท | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเกี่ยวกับโครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ของประชาชน (โครงการประปาเอื้ออาทร) โดยเห็นควรมอบให้กระทรวงมหาดไทยรับประเด็นอภิปรายของ คณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่าการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ควรให้กระทรวงมหาดไทยรับไป พิจารณาตามแนวทางการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2547 เรื่อง ปัญหาสืบเนื่องจากการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น (ประปาหมู่บ้าน) ที่ได้มอบหมาย ให้ประธาน ฯ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีรับเรื่อง การจัดทำระบบประปาหมู่บ้านไปจัดประชุมร่วมกับส่วน ราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยบูรณาการงบประมาณที่ได้รับเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลน น้ำอุปโภค บริโภคในหมู่บ้าน ในปี พ.ศ. 2547-2548 จำนวน 5,622.61 ล้านบาท ให้อยู่ภายใต้กรอบการ ดำเนินงานของโครงการที่เสนอ โดยในการจัดทำระบบประปาหมู่บ้าน ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ ดำเนินการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปรับปรุงระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นสามารถซื้อบริการจากส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐได้ รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติ ฯ สนับสนุนด้านวิชาการและเทคนิคขั้นสูงแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย นอกจากนี้ ให้กระทรวง มหาดไทยประสานงานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ จัดทำแผนการบำรุงรักษาและซ่อมแซมระบบ ประปารวมทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบ ดำเนินการอย่างชัดเจน ให้มีระบบติดตาม ประเมิน และรายงานผลการดำเนินโครงการเป็นระยะ ๆ อย่าง ต่อเนื่อง และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบเสนอแนะการปรับปรุงการดำเนินงาน ตาม โครงการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ไปดำเนินการด้วย และให้สำนักงานคณะกรรมการการ กระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็น ควรกำหนดภารกิจการให้บริการน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค ให้แก่ประชาชนที่จะถ่ายโอนให้แก่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นเป็นภารกิจที่จะต้องดำเนินการมากกว่าภารกิจที่สามารถเลือกดำเนินการได้ ไปพิจารณา ดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1349 | ขอให้หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น หน่วยงานที่จัดตั้งตามรัฐธรรมนูญและรัฐวิสาหกิจแก้ไขระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุให้สอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 145 ฉ | กค | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับการขอความร่วมมือหน่วยงานตาม
กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราช การบริหารส่วนท้องถิ่น หน่วยงานที่จัดตั้งตามรัฐธรรมนูญและรัฐวิสาหกิจแก้ไขระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วย การพัสดุให้สอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 145 ฉ ที่กำหนดว่า กรณีที่นิติบุคคลใดถูกสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงาน โดยการกระทำดังกล่าวเกิดจากหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงานในกิจการของนิติบุคคลนั้น ให้ผู้รักษาการตาม ระเบียบ ฯ สั่งให้บุคคลดังกล่าวเป็นผู้ทิ้งงานด้วย ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไป ดำเนินการด้วย ดังนี้ หน่วยงานที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งกฎหมายให้อำนาจกระทรวงมหาดไทย กำหนดระเบียบพัสดุ และกระทรวงมหาดไทยก็กำหนดระเบียบเรื่องนี้ไว้แล้ว เห็นควรกำชับให้มีการถือปฏิบัติ โดยเคร่งครัด ก็น่าจะเพียงพอ ส่วนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ให้รัฐมนตรีผู้กำกับดูแลสั่งการให้มีการดำเนินการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ รวมทั้งหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่มีฐานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ อาทิ เช่น บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย และมหาวิทยาลัยนอกระบบ เป็นต้น ให้รัฐมนตรีผู้กำกับดูแลสั่งการให้มี การดำเนินการตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง สำหรับหน่วยงานที่เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญและ หน่วยงานอื่นที่มิได้สังกัดราชการบริหาร อาทิเช่น สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานเลขาธิการ วุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม และศาลปกครอง เห็นควรขอความร่วมมือให้พิจารณาดำเนินการ ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||
1350 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมการจัดการป่าต้นน้ำและลุ่มน้ำของประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน | นร | 21/12/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่ายการ
เกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมการ จัดการป่าต้นน้ำและลุ่มน้ำของประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดให้มีระบบการ บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นให้ประชาชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมและรับผิดชอบ การแก้ปัญหาการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า โดยใช้ยุทธศาสตร์ "คนอยู่กับป่า" การเร่งจัด สรรที่ดินทำกินให้แก่ประชาชนที่ไร้ที่ทำกินในสถานที่และจำนวนที่เหมาะสมโดยให้เอกสารที่ให้สิทธิครอบครอง เพื่อทำกินเท่านั้น การพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับการใช้น้ำในสภาพปัจจุบัน และกำหนดมาตรการ การลดการสูญเสียน้ำในกระบวนการใช้น้ำทั้งในภาคการเกษตร การอุปโภคบริโภค การอุตสาหกรรม และการ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการจัดการน้ำให้มากที่สุด เป็นต้น รวมทั้งรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ และส่วน ราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา และรับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการ กลั่นกรอง ฯ เกี่ยวกับการปรับปรุงและกำหนดยุทธศาสตร์ และมาตรการดำเนินการ โดยจัดให้มีการบริหารจัด การแบบบูรณาการร่วมกันและมีหน่วยงานรับผิดชอบและระบบการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน และให้ รับประเด็นการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมจัดการลุ่มน้ำของประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนว่า จะปรับปรุง โครงสร้างองค์กรและวิธีดำเนินการที่ใช้ในปัจจุบันอย่างใด เพื่อให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับ กับภาครัฐมากขึ้น และกำหนดเป้าหมายการรักษาป่าต้นน้ำและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับเจ้าหน้าที่และ ประชาชนเห็นถึงประโยชน์ของป่าและตระหนักในความสำคัญที่จะร่วมกันปลูกป่าและช่วยดูแลรักษาป่าอย่างแท้ จริง และเนื่องจากในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... มาตรา 18 ของวุฒิสภา คณะกรรมาธิ การร่วมได้ขอปรับปรุงจากร่างของสภาผู้แทนราษฎร โดยมีมติให้ตัดข้อความเกี่ยวกับการจัดตั้งป่าชุมชนในเขต อนุรักษ์ออก เนื่องจากเกรงว่าผู้ที่อยู่ในเขตอนุรักษ์จะเข้าใจว่า เมื่อตั้งป่าชุมชนแล้วต่อไปจะสามารถตัดไม้ได้ตาม ประสงค์ จะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ซึ่งข้อเท็จจริงโดยเฉพาะในภาคเหนือมีประชาชนอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ อยู่ก่อนแล้ว และไม่สามารถจะโยกย้ายให้ออกจากบริเวณดังกล่าวได้อย่างถาวรกลับมีผลเสียต่อการดูแลรักษา ป่าอนุรักษ์นั้นให้ประสบผลสำเร็จได้ จึงให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ จัดเจ้าหน้าที่ไปชี้แจงต่อคณะกรรมา ธิการร่วมได้ทราบเหตุผลของการกำหนดร่างมาตรการดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับป่าเขตอนุรักษ์ว่า จะกระทำได้ เฉพาะกรณีเป็นชุมชนดั้งเดิม และมีพฤติกรรมที่แสดงถึงวัฒนธรรมแห่งการอยู่อาศัยที่เกื้อกูลต่อการดูแลรักษา ที่ขอกำหนดเป็นป่าชุมชนอย่างต่อเนื่องมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีก่อนวันที่ขอจัดตั้งซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักให้คน สามารถอยู่กับป่า และมีส่วนร่วมปลูกและช่วยดูแลรักษาป่าให้เป็นป่าที่ยั่งยืนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1351 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 21/12/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่าย
กฎหมาย ฯ) ที่มีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยว กับการศึกษาของบุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ การขยายสิทธิการเบิกเงินค่าการศึกษาของ บุตรให้แก่ผู้มีสิทธิที่มีบุตรศึกษาอยู่ในหลักสูตรระดับปริญญาตรี ทั้งสถานศึกษาของทางราชการและเอกชน โดยกำหนดให้มีสิทธิได้รับค่าการศึกษาของบุตรครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ได้จ่ายไปจริง แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตรา ที่กระทรวงการคลังกำหนด และควบคุมการเบิกจ่ายกรณีผู้มีสิทธิมีคู่สมรส ซึ่งมีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยว กับการศึกษาของบุตรจากหน่วยงานอื่น จะไม่มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรจากทาง ราชการ เว้นแต่ค่าการศึกษานั้นต่ำกว่าที่ผู้มีสิทธิจะได้รับตามร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ ให้มีสิทธิได้รับเฉพาะ ส่วนที่ยังขาดอยู่ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ร่างพระราชกฤษฎีกาดัง กล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่ปีการศึกษา 2548 เป็นต้นไป และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้ง ประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนของคำนิยาม "สถานศึกษา ของทางราชการ" ในร่างมาตรา 3 ดังนี้ ตาม (1) "มหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาที่เรียกชื่ออย่างอื่น ในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย" อาจเกิดปัญหาการตีความ เนื่องจากสถาบันอุดมศึกษาปัจจุบันมีอยู่ในหลาย สังกัด เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โรงเรียนนายร้อยสังกัดกระทรวงกลาโหม เป็นต้น ตาม (2) "วิทยาลัยในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการหรือสังกัดส่วนราชการอื่นที่ ก.พ. รับรองคุณวุฒิ" คำว่า "วิทยาลัย" อาจเป็นคำที่เฉพาะเจาะจงมากเกินไปหรือไม่ เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมให้ครอบคลุมถึงสถาบันการศึกษา ทั้งที่ มีอยู่แล้วในปัจจุบันหรือที่จะเกิดขึ้นใหม่ ซึ่งอาจมิได้ใช้ชื่อว่า "วิทยาลัย" และตาม (3) เห็นว่า ในอนาคตอาจ มีสถานศึกษาที่สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบล เมืองพัทยา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ จึงควร กำหนดคำนิยามให้มีความหมายกว้างและครอบคลุมกรณีดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วดำเนิน การต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
1352 | รายงานผลการติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง พื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 | นร | 21/12/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการติดตามการแก้ไข
ปัญหาภัยแล้ง พื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 ประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ เมื่อ วันที่ 1 ธันวาคม 2547 ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) สรุปดังนี้ จากการติดตามการแก้ไข ปัญหาดังกล่าว มีพื้นที่ประสบภัยรวม 78 อำเภอ 9 กิ่งอำเภอ 692 ตำบล 7,550 หมู่บ้าน พื้นที่การเกษตร จำนวน 4,352,016 ไร่ ในส่วนของจังหวัดได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ สนับ สนุนรถบรรทุกน้ำ ช่วยเหลือด้านการเกษตรแจกจ่ายน้ำอุปโภค-บริโภค ใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยผู้ประสบ ภัยตามระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2546 ในการนี้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปพัลลภ) ได้สั่งการ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัด ไปเร่งรัดการสำรวจข้อมูลพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากปัญหาภัยแล้งในปี 2547 โดยด่วน ให้ทุกจังหวัดประสานงานกับภาคเอกชนเพื่อให้ช่วยแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ำที่แต่ละจังหวัดมีไม่ เพียงพอ และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงบริหาร จัดการในรูปแบบบูรณาการ โดยไม่คำนึงถึงเขตการปกครอง แต่ให้ดำเนินการในลักษณะของกลุ่มจังหวัด ให้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยธรรม ชาติ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 แต่จังหวัดยังมิได้รับเงินทำให้ไม่ สามารถจ่ายเงินให้เกษตรกรได้ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงแก้ไขการให้ความช่วยเหลือ ราษฎรผู้ประสบภัย เช่น การสำรวจความเสียหาย การเบิกจ่ายงบประมาณให้รวดเร็ว |
|||||||||||||||||||||
1353 | การพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจและเพิ่มรายได้แก่ประชาชนพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 16 | นร | 14/12/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ
ดังนี้ (1) รับทราบกรอบปัญหาของพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 16 (จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช และพัทลุง) และ เห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์แนวทางการพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าว (2) อนุมัติในหลักการของแผน งาน/โครงการเร่งด่วน จำนวน 10 โครงการ ที่ขอเบิกจ่ายจากงบกลาง ปี 2548 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อ กรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม 531.81 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดลำดับความ สำคัญของโครงการ ความเหมาะสมของวงเงิน ระยะเวลาดำเนินงานที่สามารถดำเนินการได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ปรับแผนการดำเนินงานจากงบปกติในโอกาสแรกก่อน หากไม่ สามารถดำเนินการได้หรือไม่เพียงพอ ก็ให้เบิกจ่ายจากงบกลางปี 2548 ได้ โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบ ประมาณต่อไป (3) เห็นชอบในหลักการของแผนงาน/โครงการ และวงเงินงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุน จากงบประมาณตามปกติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 26 โครงการ วงเงินงบประมาณรวม 6,231.61 ล้าน บาท และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดของแผนงาน/โครงการ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่าย ประจำปีต่อไป (4) รับทราบแผนงาน/โครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบกลาง รายการค่าใช้ จ่ายเพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (งบ 5,000 ล้านบาท) จำนวน 31 โครง การ วงเงินรวม 217.11 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) รับไปพิจารณาจัด ลำดับความสำคัญของโครงการ ฯ ความเหมาะสมของวงเงิน และระยะเวลาดำเนินงานร่วมกับ สศช. สำนักงบ ประมาณ และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติและให้ดำเนินการต่อไปได้ (5) รับทราบแผนงาน/โครงการ ที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2548 (งบ 40,000 ล้านบาท) จำนวน 75 โครงการ วงเงินรวม 1,553.63 ล้านบาท และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องเร่งจัดเตรียมราย ละเอียดโครงการ/แผนงาน ที่จะขอใช้งบประมาณ รวมทั้งความพร้อมเพื่อที่จะดำเนินการเมื่องบประมาณราย จ่ายเพิ่มเติม ฯ ได้รับอนุมัติแล้ว (6) เห็นชอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนภาคประชาชน และ ปราชญ์ชาวบ้าน เป็นคณะที่ปรึกษา (Advisory Body) ในด้านการจัดทำแผนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหา ของจังหวัดตามระบบการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (CEO) โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนิน งานตามแผนงาน/โครงการ ตามข้อ 2-5 และรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการดำเนิน การด้วย และคณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติม โดยเห็นชอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานหน่วย งานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว โดยรวมจังหวัดตรังเข้าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การ ท่องเที่ยวในเขตอันดามัน โดยให้เน้นศักยภาพและจุดแข็งของจังหวัดตรัง และควรที่จะส่งเสริมและพัฒนาศักย ภาพบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีความพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจในการบริหารจัดการ และขับ เคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้หน่วยงานต่าง ๆ ประสานกับกับกระทรวง มหาดไทย เพื่อกำหนดหลักสูตรและถ่ายทอดความรู้เท่าที่จำเป็นแก่บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เหมาะสมต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1354 | ปัญหาการประเมินคุณภาพผลงานของข้าราชการครู และการถ่ายโอนภารกิจด้านการบริหารการศึกษาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 14/12/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับเรื่องปัญหาการประเมินคุณภาพผล
งานของข้าราชการครู และการถ่ายโอนภารกิจด้านการบริหารการศึกษาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึง ขอให้ดำเนินการดังนี้ การประเมินคุณภาพผลงานทางวิชาการ ฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการแก้ ไขปรับปรุงระบบการประเมินคุณภาพผลงานทางวิชาการ ฯ ให้เหมาะสม ชัดเจน เป็นธรรม และสอดคล้อง กับวิชาชีพครูมากยิ่งขึ้นเพื่อเอื้อต่อการประเมินผลงานทางวิชาการ ฯ ที่มีคุณภาพ สามารถผ่านการประเมิน ได้อย่างรวดเร็ว สำหรับการถ่ายโอนสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานไป สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในทางปฏิบัติหลายประการ จึงเห็นควรให้ กระทรวงศึกษาธิการชะลอการดำเนินการในเรื่องนี้ และหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ให้ได้ข้อยุติก่อน
|
|||||||||||||||||||||
1355 | การพัฒนาและปรับปรุงแหล่งน้ำบาดาลเพื่อบรรเทาและแก้ปัญหาภัยแล้ง | ทส | 07/12/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งน้ำบาดาลเพื่อบรรเทาและแก้ปัญหาภัยแล้ง
โดยอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำบาดาล) ดำเนินการพัฒนาและ ปรับปรุงแหล่งน้ำบาดาลเพื่อบรรเทาและแก้ปัญหาภัยแล้งเป็นกรณีเร่งด่วน โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม 28,000,000 บาท ประกอบด้วย การพัฒนาบ่อน้ำบาดาล จำนวน 5,000 บ่อ เป็นเงิน 23,000,000 บาท ซ่อมเครื่องสูบน้ำแบบบ่อลึก จำนวน 2,500 เครื่อง เป็นเงิน 2,500,000 บาท และติดตั้งจุดจ่ายน้ำ จำนวน 500 จุด เป็นเงิน 2,500,000 บาท ทั้งนี้ หากไม่เพียงพอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขอ ความสนับสนุนค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1356 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไขวัน เดือน ปีเกิดในทะเบียนประวัติข้าราชการ พ.ศ. .... | นร | 30/11/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่าย
กฎหมาย ฯ) ที่มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไข วัน เดือน ปีเกิด ในทะเบียนประวัติข้าราชการ พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไขวัน เดือน ปีเกิด ในทะเบียนประวัติข้าราชการ พ.ศ. 2547 เกี่ยวกับระยะเวลา การยื่นคำขอแก้ไขวัน เดือน ปีเกิด โดยกำหนดให้ข้าราชการในสังกัดราชการบริหารทุกส่วนราชการ ยื่นคำ ขอแก้ไขวัน เดือน ปีเกิด ภายในเดือนธันวาคมของปีงบประมาณถัดไป สำหรับราชการส่วนท้องถิ่น องค์กร อิสระตามรัฐธรรมนูญ หน่วยงานอื่นซึ่งมิได้สังกัดราชการบริหารอาจนำระเบียบนี้ไปใช้ได้โดยอนุโลม และ กำหนดให้ประธาน ก.พ. เป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้ และให้สำนักงาน ก.พ. เป็นผู้เสนอความเห็นเพื่อ ประกอบการตีความและให้ความเห็นหรือการวินิจฉัย ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. รับประเด็นอภิปรายของคณะ กรรมการกลั่นกรอง ฯ เกี่ยวกับระยะเวลาที่ต้องยื่นคำขอแก้ไขวัน เดือน ปีเกิด ที่กำหนดไว้ในร่างระเบียบ ฉบับนี้เป็นเพียงกำหนดเวลาการยื่นคำขอเพื่อประโยชน์ต่อผู้จะเกษียณอายุและประสงค์จะขอแก้ไขวัน เดือน ปี เกิด โดยการยื่นหลักฐานเพื่อให้เจ้าหน้าที่มีระยะเวลาดำเนินการได้ทันภายในปีนั้น และให้แก้ไขถ้อยคำ "... ซึ่งจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณถัดไป" เป็น "... ซึ่งจะมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ในปี งบประมาณถัดไป" และจาก "... เดือนธันวาคมของปีงบประมาณถัดไป" เป็น "... เดือนธันวาคมของปีงบ ประมาณนั้น" เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไปแก้ไขเพิ่มเติม แล้วนำเสนอ อ.ก.พ. วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและ ระเบียบข้าราชการพิจารณา ก่อนดำเนินการเพื่อประกาศใช้บังคับต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1357 | ผลการดำเนินการตามโครงการฝึกอบรมหลักสูตรเตรียมความพร้อมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 30/11/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) ประธานกรรมการ
การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รายงานผลการดำเนินการตามโครงการฝึก อบรมหลักสูตรเตรียมความพร้อมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 3 หลักสูตร ประกอบด้วย หลัก สูตรที่ 1 การสัมมนาวิชาการ เรื่อง "ครึ่งทศวรรษของการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. เพื่อให้ผู้บริหาร อปท. ได้ทราบแนวนโยบายและทิศทางการกระจายอำนาจในอนาคต โดยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2547 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร หลักสูตรที่ 2 การฝึกอบรมเตรียมความพร้อมให้ แก่ อปท. เรื่อง "ขอบเขต/อำนาจหน้าที่และการใช้อำนาจอนุญาตตามภารกิจที่ถ่ายโอน" โดยจัดแบ่งการ ฝึกอบรม 32 รุ่น ระยะเวลาดำเนินการ ระหว่างวันที่ 11 พฤษภาคม - 22 กันยายน 2547 มีผู้เข้าร่วม การฝึกอบรมรวมทั้งสิ้น 13,503 คน และหลักสูตรที่ 3 การฝึกอบรมเตรียมความพร้อมให้แก่ อปท. เรื่อง "ด้านช่างสำหรับผู้ปฏิบัติงานของ อปท." โดยกำหนดการฝึกอบรม 32 รุ่น ระยะเวลาดำเนินการระหว่าง วันที่10 พฤษภาคม - 10 กันยายน 2547 มีผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมรวมทั้งสิ้น 6,007 คน ทั้งนี้ คณะกรรม การการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) เห็นควรให้กรมส่งเสริมการปกครองท้อง ถิ่นกำหนดหลักสูตรการฝึกอบรมให้กับผู้บริหาร ปลัด และนายช่างโยธา อปท. ที่เข้าดำรงตำแหน่งใหม่ทุก คน รวมทั้งควรมีการฝึกอบรมเตรียมความพร้อมให้กับ อปท. สำหรับภารกิจที่จะต้องถ่ายโอนให้ อปท. เพิ่มขึ้น โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้กับส่วนราชการที่ถ่ายโอนภารกิจและที่กำกับการ ถ่ายโอนภารกิจ เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรของ อปท. สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ได้มีคำสั่งที่ 19/2547 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2547 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อ พิจารณายุทธศาสตร์การพัฒนาบุคลากรของ อปท. โดยมีศาสตราจารย์วรเดช จันทรศร เป็นประธานอนุ กรรมการ มีอำนาจและหน้าที่พิจารณายุทธศาสตร์การพัฒนาบุคลากรของ อปท. ที่มาจากการเลือกตั้งให้ สอดคล้องกับนโยบายการกระจายอำนาจ โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน |
|||||||||||||||||||||
1358 | รายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองบริเวณตำบลหน้าพระลาน (ครั้งที่ 7 เดือนตุลาคม 2547) | ทส | 30/11/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้า
การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองบริเวณตำบลหน้าพระลาน ครั้งที่ 7 (เดือนตุลาคม 2547) โดยการติดตามตรวจสอบ สถานการณ์ฝุ่นละอองในบรรยากาศในพื้นที่หน้าพระลาน กรมควบคุมมลพิษ และสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 7 จังหวัดสระบุรี ได้ทำการติดตามตรวจสอบ พบว่าระดับฝุ่นขนาดเล็กบริเวณโรงเรียนหน้าพระลาน มีค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ส่วนบริเวณบ้านราษฎรเลขที่ 146 หมู่ 5 และวัดถ้ำศรีวิไล ตรวจพบฝุ่นละอองมี ค่าเกินมาตรฐาน ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงอยู่ในช่วง 42-193 มคก./ลบ.ม. ตามลำดับ (มาตรฐานเท่ากับ 120 มคก. /ลบ.ม.) สำหรับการตรวจสอบวัตถุระเบิด ของคณะกรรมการตรวจสอบควบคุมดูแลการใช้วัตถุระเบิดในเขตพื้น ที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ พบว่ามีการใช้วัตถุระเบิดในพื้นที่หน้าพระลานและพื้นที่ข้างเคียงถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ สำนักงานเทศบาลตำบลหน้าพระลานและองค์การบริหารส่วนตำบลหน้าพระลาน ได้นำรถฉีดพรม น้ำเพื่อลดฝุ่นละอองบนถนนสายหลัก และโรงงานปูนซีเมนต์ 2 แห่ง ในพื้นที่หน้าพระลานได้สนับสนุนรถกวาด และดูดฝุ่นเพื่อทำความสะอาดถนนพหลโยธิน ในส่วนของแผนงานในระยะต่อไป กรมควบคุมมลพิษ สำนักงาน สิ่งแวดล้อมภาคที่ 7 จังหวัดสระบุรี และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสระบุรี จะทำการตรวจสอบการ ระบายฝุ่นละอองจากโรงโม่บดและย่อยหิน รวมทั้งระดับเสียงและความสั่นสะเทือนในพื้นที่หน้าพระลาน และ จัดประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในพื้นที่หน้าพระลาน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2547 |
|||||||||||||||||||||
1359 | ร่างพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. .... | ศธ | 23/11/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.1
(ฝ่ายการศึกษา ฯ) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอร่างพระราชบัญญัติโรงเรียน เอกชน พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการ ฯ ที่ให้บัญญัติเรื่องบทบาท หน้าที่ของหน่วยงานตามร่างพระราชบัญญัติ ฯ ในระดับต่าง ๆ ให้ชัดเจนในเรื่องที่จะต้องส่งเสริมการ ประสานงานระหว่างรัฐกับโรงเรียนเอกชน โดยมีการแลกเปลี่ยนเสนอแนะนโยบายระหว่างกันได้อย่าง เต็มที่ เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมกิจการของโรงเรียนเอกชนอย่างแท้จริง และร่างพระราชบัญญัติ ฯ ต้องไม่ขัดแย้งหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นที่มีอยู่แล้ว แต่อาจมีมาตรการเชื่อมโยงสนับสนุนซึ่งกันและกัน ได้ รวมทั้งต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาด้านการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชนและเอกชนในการจัดการศึกษาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2546 เรื่อง ยุทธศาสตร์ การปฏิรูปการศึกษา นอกจากนี้ ให้ปรับปรุงสัดส่วนของคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนกรุง เทพมหานครและคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัด โดยให้มีสัดส่วนกรรมการจากภาคเอก ชนมากกว่ากรรมการโดยตำแหน่งจากส่วนราชการ สำหรับกรุงเทพมหานครมีผู้แทนของกรุงเทพมหา นคร และให้มีผู้แทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดในคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนระดับ จังหวัด เพื่อการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทน ราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1360 | รายงานผลการดำเนินงานตามระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) | กค | 23/11/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานตามระบบบริหาร
การเงินการคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) โดยสรุปคือ ได้มีการเตรียมการก่อนปฏิบัติงาน จริงในวันที่ 1 ตุลาคม 2547 โดยเชิญประชุมชี้แจงส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐ มอบหมายเจ้าหน้าที่ ของสำนักงานคลังจังหวัด ให้คำปรึกษาแนะนำการปฏิบัติงาน GFMIS แก่ส่วนราชการในภูมิภาคและองค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดวิธีการให้ส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติ เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายและนำเงินส่งคลังตามระบบดังกล่าว จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจเพื่อตอบปัญหา สำหรับ ผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1-22 ตุลาคม 2547 มีการแจกจ่ายบัตรกำหนดสิทธิผู้ใช้งาน และ User ID ของ Excel Loader ให้บริการตอบปัญหาการปฏิบัติงาน โดยศูนย์เฉพาะกิจ ฯ รวม 2,888 ราย และได้ จัดทำแผนปฏิบัติงาน โดยมีเป้าหมายที่จะยกเลิกการปฏิบัติงานในระบบเดิมภายใน 6 เดือน เพื่อให้การ ปฏิบัติงานในระบบ GFMIS เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด |
.....