ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 66 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 1301 - 1320 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1301 | การตรวจราชการเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด | พน | 10/05/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลผลการตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งในจังหวัดจันทบุรี
และจังหวัดตราด ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) สรุปได้ดังนี้ การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จังหวัดจันทบุรี จังหวัดได้ดำเนินการช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยแจกจ่ายน้ำอุปโภคบริโภค แจกจ่ายน้ำ เพื่อการเกษตร ก่อสร้างฝายชั่วคราว (ฝายกระสอบดิน) ขุดลอกบ่อ ขุดบ่อน้ำตื้น และเป่าล้างบ่อบาดาล โดยใช้ เงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด (50 ล้านบาท) ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรอง ราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 (กรณีภัยแล้ง) ไปแล้ว 14.23 ล้านบาท งบฉุก เฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4.90 ล้านบาท และงบของหน่วยราชการอื่น ๆ (งบปกติ) 14.07 ล้านบาท ในการนี้ จังหวัดได้เสนอโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งในระยะยาว อาทิ โครงการวางท่อกระจายน้ำจากโรงสูบ น้ำขององค์การบริหารส่วนจังหวัด โครงการปรับปรุงและเปลี่ยนฝายยางกั้นแม่น้ำจันทบุรี โครงการก่อสร้างอ่าง เก็บน้ำคลองวังโตนด เป็นต้น สำหรับการแก้ไขปัญหาภัยแล้งจังหวัดตราด จังหวัดได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ประชาชนอย่างเร่งด่วนในพื้นที่ โดยแจกจ่ายน้ำอุปโภคบริโภค แจกจ่ายน้ำเพื่อการเกษตร สูบน้ำช่วยเหลือพื้นที่ การเกษตร และจังหวัดได้เสนอโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งในระยะยาว เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ได้แก่ โครงการก่อสร้างเขื่อนดินปิดกั้นลำคลองสะพานหิน ก่อสร้างเขื่อนสะตอ และก่อสร้างฝายตามลำน้ำคลอง สะตอ โดยสถานการณ์ปัจจุบันปัญหาภัยแล้งได้คลี่คลายและทุเลาลงแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1302 | ขอให้พิจารณาอนุมัติวงเงินงบประมาณ เพื่อดำเนินการก่อสร้างตามโครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค เทศบาลนครนครราชสีมา | มท | 10/05/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานสรุปผลการประชุมหารือผู้เกี่ยวข้องเกี่ยว
กับการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค เทศบาลนครราชสีมา เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2548 โดยผลการประชุมสรุปได้ว่า เทศบาลนครนครราชสีมายินดีสมทบงบประมาณดำเนินโครงการ ฯ จากเดิม ร้อยละ 20 วงเงิน 760 ล้านบาท เป็นร้อยละ 30 วงเงิน 1,140 ล้านบาท และจะดำเนินการปรับปรุงอัตราค่าใช้ น้ำประปาให้สามารถบริการกิจการประปาให้มีกำไร เพื่อให้ถึงจุดคุ้มการลงทุนโดยเร็ว พร้อมทั้งได้ขอให้รัฐบาล จัดสรรงบประมาณ ในส่วนที่นอกเหนือจากเงินอุดหนุนที่จัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งไม่เกี่ยวกับ สัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้รัฐบาล ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการ กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า โครงการที่เสนอมีความ จำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการและเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในเขตชุมชนเมืองของนครราชสีมา ซึ่งปัจจุบันมี การขยายตัวมากและมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จึงเห็นชอบในหลักการในการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการ ฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549-พ.ศ. 2551 วงเงิน 2,660 ล้านบาท โดยให้ถือว่า วงเงิน จำนวนดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจะจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราช บัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และให้สำนัก งบประมาณรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และเพื่อให้การดำเนินโครงการ ฯ เกิดประโยชน์แก่ประชา ชนในวงกว้างมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีส่วนช่วยในการบรรเทาปัญหาภัยแล้งในพื้นที่อื่น จังหวัดนครราชสีมาและเทศ บาลนครราชสีมาจึงควรพิจารณาดำเนินการให้ท้องที่ซึ่งเป็นทางผ่านท่อส่งน้ำดิบได้ร่วมใช้ประโยชน์เพื่อการอุป โภคและบริโภคด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
1303 | การแก้ปัญหาภัยแล้งทั้งระบบในภาพรวม | อก | 03/05/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลผลการติดตามดูแลการแก้ไขปัญหาภัยแล้งทั้งระบบในภาพ
รวมในเขตพื้นที่จังหวัดกระบี่ และจังหวัดตรัง ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยในเขตพื้นที่จังหวัดกระบี่ ได้มีการ แจกจ่ายน้ำอุปโภคบริโภคในทุกอำเภอ รวมทั้งขุดลอกแหล่งน้ำ และซ่อมสร้างทำนบ ฝาย ขณะนี้สถานการณ์ ภัยแล้งของจังหวัดได้พ้นวิกฤติแล้ว แต่ยังมีการแจกจ่ายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคบางพื้นที่ สำหรับในเขตพื้นที่ จังหวัดตรัง ได้มีการช่วยเหลือเช่นเดียวกับจังหวัดกระบี่ ขณะนี้สถานการณ์ภัยแล้งคลี่คลายเนื่องจากมีฝนตกใน พื้นที่ แต่ทุกส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1304 | ขอรับการสนับสนุนงบกลางเพื่อจ่ายเป็นเงินบำเหน็จบำนาญและเงินบำเหน็จดำรงชีพให้แก่บุคลากรท้องถิ่นที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ | นร | 03/05/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรม
การการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เสนอการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญและเงินบำเหน็จ ดำรงชีพให้แก่ข้าราชการครู กรุงเทพมหานคร จำนวน 879,555,700 บาท พนักงานครูเทศบาลและภารโรง จำนวน 350,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,229,555,700 บาท สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายให้ดำเนินการ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ โดยให้ดำเนินการตามกฎหมาย กฎกระทรวง ระเบียบและ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจริงต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1305 | การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | คค | 03/05/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับผลการดำเนินการแก้ไขปัญหา
ภัยแล้งในจังหวัดลำปาง และจังหวัดลำพูน สรุปได้ดังนี้ การแก้ไขปัญหาภัยแล้งจังหวัดลำปาง ทางจังหวัดได้ใช้เงิน ฉุกเฉินในการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง เป็นเงินประมาณ 18 ล้านบาทเศษ เพื่อใช้เป็นค่าน้ำมันรถบรรทุกน้ำ เครื่อง สูบน้ำ กระสอบทรายสำหรับกั้นน้ำ และก่อสร้างฝายต้นน้ำลำธาร (ฝายแม้ว) เพิ่มเติม และจัดทำโครงการเพื่อ จัดสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำที่สำคัญ รวมทั้งโครงการขุดลอกพัฒนาแหล่งน้ำและปรับปรุงถนน สำหรับการแก้ไข ปัญหาภัยแล้งจังหวัดลำพูน ได้มีการแจกจ่ายน้ำเพื่อการเกษตรกรรม น้ำอุปโภคบริโภค เป่าล้างบ่อบาดาล โดย ใช้งบประมาณฉุกเฉินขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เป็นเงินประมาณ 820,000 บาทเศษ และเสนอโครงการ แก้ไขปัญหาภัยแล้ง และจัดทำแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรจังหวัดลำพูน พ.ศ. 2548- 2550
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1306 | การกำกับ ติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้งของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี | นร | 03/05/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลผลการกำกับ ติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในจังหวัดฉะเชิง
เทราและจังหวัดนครนายก ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ) สรุปได้ดังนี้ การ แก้ไขปัญหาภัยแล้งจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้แจกจ่ายน้ำอุปโภคบริโภค ติดตั้งจุดจ่ายน้ำ และรับน้ำที่ระบายจากเขื่อน บางปะกง และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ส่งเข้าคลองหลักและคลองย่อยเพื่อใช้ในการเกษตร เป่าล้างบ่อบาดาลและซ่อม เครื่องสูบน้ำ ขุดบ่อบาดาลเพิ่มเติม และก่อสร้างประตูระบายน้ำ อาคารบังคับน้ำ และอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในพื้น ที่ที่เป็นต้นน้ำ ส่วนการแก้ไขปัญหาภัยแล้งจังหวัดนครนายก ได้ให้ความช่วยเหลือน้ำอุปโภคบริโภค และประสาน งานกับโครงการส่งน้ำรังสิตเหนือเพื่อขอน้ำมาเติมในคลองส่งน้ำสายใหญ่เพื่อให้มีน้ำใช้ในการเกษตร และดำเนิน การเป่า ล้างบ่อบาดาล ซ่อมบ่อบาดาล ติดตั้งจุดจ่ายน้ำ และเจาะบ่อบาดาล รวมทั้งดำเนินโครงการแก้ไขปัญหา ขาดแคลนน้ำใช้-น้ำเพื่อการปศุสัตว์แบบยั่งยืน โดยขุดสระน้ำประจำไร่-นา หมู่บ้านละ 10 ครัวเรือน เพื่อใช้เป็น แหล่งน้ำกิน และการปศุสัตว์ ในการนี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา ระยะยาว โดยภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนควรเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนทั้งในด้านการ กำจัดผักตบชวา การสร้างอ่างเก็บน้ำ การขุดลอก การแก้ไขปัญหาน้ำเสียและอื่นๆ โดยมอบหมายให้ผู้ว่าราชการ จังหวัดฉะเชิงเทราในฐานะหัวหน้ากลุ่มจังหวัดประชุมร่วมกับจังหวัดในกลุ่มเพื่อวางแผนการบริหารจัดการน้ำอย่าง เป็นระบบทั้งในด้านการวางแผนแก้ไขปัญหาระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว โดยดูเป็นลุ่มน้ำเพื่อจะได้แก้ปัญหา ครบถ้วน และเชิญทุกภาคส่วนคือ ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้ามา มีส่วนร่วมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1307 | ขอให้พิจารณาอนุมัติวงเงินงบประมาณ เพื่อดำเนินการก่อสร้างตามโครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค เทศบาลนครราชสีมา | มท | 26/04/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอโครงการแก้ไขปัญหาการขาด
แคลนน้ำอุปโภคบริโภค เทศบาลนครนครราชสีมา โดยวัตถุประสงค์ของโครงการ ฯ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาด แคลนน้ำอุปโภคบริโภคในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยรอบ โดยให้รอง นายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์) รับไปพิจารณาทบทวนในรายละเอียดร่วมกับรัฐมนตรีว่า กระทรวงยุติธรรม (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติในประเด็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการ และ การมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินโครงการ ฯ เช่น สัดส่วนงบประมาณลงทุนโครง การ ฯ ที่รัฐบาลสมควรอุดหนุนและที่เทศบาลจะสมทบ การจัดหาแหล่งน้ำดิบเพิ่มเติม และการกำหนดราคา จำหน่ายน้ำประปาที่เหมาะสม เป็นต้น โดยให้รับความเห็นของ สศช. และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกต ของคณะรัฐมนตรี โดยในส่วนของคณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า โครงการ ฯ ที่เสนอเป็นโครงการขนาดใหญ่ มี วงเงินดำเนินการสูง และมิได้บรรจุอยู่ในพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 หากจะ ดำเนินการโดยใช้งบกลางบางส่วน และให้ก่อหนี้ผูกพันงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549-2551 ต่อไป ควรแสดงเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนของการดำเนินโครงการนี้ให้ชัดเจน เนื่องจากเป็นลักษณะโครง การที่อาจจะมีปัญหาความจำเป็นในพื้นที่อื่น ๆ ลักษณะเดียวกัน แต่ไม่ได้รับการสนับสนุน และกรณีเงินอุด หนุนจากรัฐบาลดังกล่าว จะถือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดสรรงบประมาณตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือไม่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว เพื่อให้ สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
1308 | รายงานสรุปความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ (ครั้งที่ 15) | มท | 19/04/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับสรุปข้อมูลความเสียหายและ
การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ครั้งที่ 15) จนถึงวันที่ 18 เมษายน 2548 ดังนี้ พื้นที่ประสบภัยพิบัติบริเวณ พื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันของจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันตก 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล มีพื้นที่ประสบภัย รวม 25 อำเภอ/กิ่งอำเภอ 95 ตำบล 407 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 58,550 คน 12,017 ครอบครัว จำนวนผู้เสียชีวิต 5,395 คน (คนไทย 1,961 คน คนต่างประเทศ 1,953 คน ไม่สามารถระบุได้ 1,481 คน) บาดเจ็บ 8,457 คน (คนไทย 6,065 คน คนต่างประเทศ 2,392 คน) สูญหาย 2,845 คน (คนไทย 1,937 คน คนต่างประเทศ 908 คน) และเด็กกำพร้ามีจำนวนทั้งสิ้น 1,221 คน ด้านความ เสียหายต่อทรัพย์สิน ประกอบด้วย บ้านเรือนราษฎรเสียหายทั้งหลัง 3,302 หลัง และเสียหายบางส่วน 1,504 หลัง พื้นที่การเกษตร เสียหายคิดเป็นมูลค่า 6,625,174.50 บาท พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และเครื่องมือประมง เสียหายคิดเป็นมูลค่า 1,808,891,883 บาท ปศุสัตว์ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 17,625,605.50 บาท และสถาน ประกอบการ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 13,101,249,720 บาท ด้านสิ่งสาธารณประโยชน์ ได้แ ก่ ท่าเทียบเรือ สะพาน ถนน ท่อระบายน้ำ พนัง/เขื่อน ระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และอื่น ๆ ได้รับความเสีย หายประเมินขั้นต้นประมาณ 1,057.39 ล้านบาท และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับความเสีย หายทั้งด้านสภาพชายหาด ป่าชายเลน ป่าไม้ แหล่งน้ำ สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ได้แก่ การจ่ายเงินช่วย เหลือผู้ประสบภัย (จนถึงวันที่ 12 เมษายน 2548) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 319,220,471 บาท การจ่ายเงินช่วย เหลือชาวประมงและผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ข้อมูล ณ วันที่ 17 เมษายน 2548) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 439,434,110 บาท และการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย จำนวน 4,237 ราย เป็นเงิน 83,910,000 บาท ในส่วน ฃของการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ประสบภัยได้สำรวจจำนวนความต้องการ (ณ วันที่ 8 เมษายน 2548) มีเป้า หมายยอดรวมทั้งสิ้น 2,786 หลัง โดยก่อสร้างเสร็จแล้ว 433 หลัง และราษฎรขอรับเงินชดเชย 30,000 บาท เพื่อก่อสร้างบ้านเอง 547 ราย นอกจากนี้ ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการฟื้นฟูจัดระเบียบการก่อ สร้างอาคารสิ่งก่อสร้าง และการจัดระเบียบชายหาด โดยทำความสะอาดขนย้ายซากปรักหักพัง ขยะมูลฝอย การบูรณะฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งให้ความช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมในพื้นที่เขาหลัก และช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เอกสารสิทธิชำรุด สูญหาย ทำการรังวัดปู เขตที่ดินที่หลักเขตสูญหาย และการจัดระเบียบที่ดิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1309 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 | นร | 12/04/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี
งบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 50,000 ล้านบาท โดยแบ่งการจัดสรรออกเป็น ดังนี้ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณี ฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 17,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา จังหวัดสำหรับผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ จำนวน 15,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาศักยภาพ ของหมู่บ้านหรือชุมชน (SML) จำนวน 9,400 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและความ ยากจนของประชาชน จำนวน 4,000 ล้านบาท และเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อดำเนินการ ตามมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จำนวน 4,600 ล้านบาท และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1310 | ส่งรายงานประจำปี 2546 | นร | 12/04/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. 2546 ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจ
ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยรายงาน ฯ เป็นการนำเสนอผลการปฏิบัติงาน อาทิ การกระจายอำนาจด้าน ภารกิจ อำนาจหน้าที่ การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง งบประมาณ และการถ่ายโอนบุคลากร เป็นต้น และผลการดำเนินงานในด้านอื่นๆ อาทิ การศึกษาปรับปรุงกฎหมายกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น สรุปผลการประชุมระดมความคิดเห็น "ระบบจูงใจเพื่อการถ่ายโอนบุคลากรไปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" และ สรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงานกระจายอำนาจ รวมทั้งปัญหา และ อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1311 | การตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จังหวัดเลยและจังหวัดอุดรธานี | วท | 12/04/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานสรุปผล
การตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งจังหวัดเลยและจังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 7-8 เมษายน 2548 โดยผล การช่วยเหลือราษฎรทั้ง 2 จังหวัดที่ประสบภัยแล้ง ทางจังหวัดได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วโดยใช้เงินทดรองราช การในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด (50 ล้านบาท) ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2546 ดังนี้ จังหวัดเลย 29 ล้านบาท จังหวัดอุดรธานี 46.47 ล้านบาท งบอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและงบปกติของส่วนราชการ ในการนี้ รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้มอบนโยบายให้จังหวัดเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือให้ทันท่วงที โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ดำเนินการเพื่อการกักเก็บน้ำที่จะต้องเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จประมาณ กลางเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อให้สามารถกักเก็บน้ำได้ทันในฤดูฝนที่จะมาถึง สำหรับปัญหาอุปสรรคที่พบและ เห็นสมควรให้มีการดำเนินการแก้ไข อาทิ เร่งรัดการส่งงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการขุดลอกแหล่งน้ำลงสู่พื้น ที่ เพื่อให้การดำเนินการแล้วเสร็จก่อนฤดูฝนจะมาถึงเพื่อให้การจัดเก็บน้ำสามารถทำได้ทันเวลา และเพื่อป้อง กันไม่ให้เกิดปัญหาดังเช่นทุกปีที่ผ่านมาซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้และต้องเลื่อนไปดำเนินการในปีถัดไป โดย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันรับผิดชอบพิจารณาคัดแยกโครงการเร่งด่วนเฉพาะหน้า เกี่ยวกับการแก้ปัญหา เรื่องน้ำเพื่อให้งบประมาณสามารถจัดส่งลงถึงพื้นที่ได้ทันในปีนี้ เป็นต้น โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพินิจ จารุสมบัติ) รับข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคและแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งรายงาน หรือข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในจังหวัดอื่นๆ ทั้งหมดของรัฐมนตรีทุกท่านที่ได้รับมอบ หมายให้ดูแลพื้นที่จังหวัดซึ่งได้เดินทางไปตรวจราชการ และได้เสนอคณะรัฐมนตรีมาแล้วในคราวนี้ และที่จะ เสนอในคราวต่อ ๆ ไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2548 เรื่อง การแก้ไขปัญหาภัยแล้งทั้งระบบในภาพรวมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1312 | รายงานสรุปความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ (ครั้งที่ 14) | มท | 05/04/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับข้อมูลความเสียหายและการ
ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ครั้งที่ 14) จนถึงวันที่ 4 เมษายน 2548 โดยพื้นที่ประสบภัยพิบัติบริเวณพื้นที่ ชายฝั่งทะเลอันดามันของจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันตก 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล มีพื้นที่ประสบภัยรวม 25 อำเภอ/กิ่งอำเภอ 95 ตำบล 407 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 58,550 คน 12,017 ครอบครัว ผู้เสียชีวิต 5,395 คน (คนไทย 1,952 คน คนต่างประเทศ 1,953 คน ไม่ สามารถระบุได้ 1,490 คน) บาดเจ็บ 8,457 คน (คนไทย 6,065 คน คนต่างประเทศ 2,392 คน) สูญหาย 2,906 คน (คนไทย 1,998 คน คนต่างประเทศ 908 คน) และเด็กกำพร้ามีจำนวนทั้งสิ้น 1,172 คน ด้าน ความเสียหายต่อทรัพย์สิน ประกอบด้วย บ้านเรือนราษฎรเสียหายทั้งหลัง 3,302 หลัง และเสียหายบางส่วน 1,504 หลัง พื้นที่การเกษตร เสียหายคิดเป็นมูลค่า 6,625,174.50 บาท พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และเครื่องมือ ประมง เสียหายคิดเป็นมูลค่า 1,808,891,883 บาท ปศุสัตว์ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 17,625,605.50 บาท สถานประกอบการ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 13,101,249,720 บาท ส่วนสิ่งสาธารณประโยชน์ ประกอบด้วย ท่าเทียบเรือ สะพาน ถนน ท่อระบายน้ำ พนัง/เขื่อน ระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และอื่น ๆ ได้รับความเสียหายประเมินขั้นต้นประมาณ 1,057.39 ล้านบาท และความเสียหายด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่แวดล้อม ได้รับความเสียหายทั้งด้านสภาพชายหาด ป่าชายเลน ป่าไม้ แหล่งน้ำจืด แนวปะการัง รวมทั้ง เกิดสภาพดินเค็มในบางพื้นที่ สำหรับการให้ความช่วยเหลือได้มีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย (จนถึงวันที่ 3 เมษายน 2548) เป็นเงินทั้งสิ้น 318,546,471 บาท การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวประมงและผู้เพาะเลี้ยงสัตว์ น้ำ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 2548) เป็นเงินทั้งสิ้น 409,827,243 บาท การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกอบ การรายย่อย ถึงวันที่ 1 เมษายน 2548 เป็นเงินทั้งสิ้น 83,910,000 บาท ในส่วนของการจัดหาที่อยู่อาศัย ให้แก่ผู้ประสบภัย ได้สำรวจจำนวนความต้องการ (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548) มีเป้าหมายยอดรวมทั้งสิ้น 2,783 หลัง โดยก่อสร้างเสร็จแล้ว 406 หลัง และราษฎรขอรับเงินชดเชย 30,000 บาท เพื่อก่อสร้างบ้านเอง 278 ราย นอกจากนี้ ได้ดำเนินการฟื้นฟูจัดระเบียบการก่อสร้างอาคารสิ่งก่อสร้าง และจัดระเบียบชายหาด โดยทำความสะอาดขนย้ายซากปรักหักพัง ขยะมูลฝอย การบูรณะฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมในพื้นที่เขาหลัก และช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เอกสารสิทธิ ชำรุด สูญหาย และทำการรังวัดปูเขตที่ดินที่หลักเขตสูญหาย ตลอดจนช่วยเหลือการจัดระเบียบที่ดิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1313 | รายงานสรุปความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ (ครั้งที่ 13) | มท | 29/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสรุปข้อมูลความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ครั้งที่ 13) จนถึงวันที่ 28 มีนาคม 2548 โดยข้อมูลพื้นที่ประสบภัยและความเสียหาย 6 จังหวัดภาคใต้ รวม 25 อำเภอ/กิ่งอำเภอ 95 ตำบล 407 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 58,550 คน 12,017 ครอบ ครัว จำนวนผู้เสียชีวิต 5,395 คน (คนไทย 1,939 คน คนต่างประเทศ 1,953 คน ไม่สามารถระบุได้ 1,503 คน) บาดเจ็บ 8,457 คน (คนไทย 6,065 คน คนต่างประเทศ 2,392 คน) สูญหาย 2,929 คน (คนไทย 2,020 คน คนต่างประเทศ 909 คน) และเด็กกำพร้ามีจำนวนทั้งสิ้น 1,172 คน ในส่วนของความเสียหาย ต่อทรัพย์สิน ประกอบด้วย บ้านเรือนราษฎรเสียหาย 4,806 หลัง แยกเป็นเสียหายทั้งหลัง 3,302 หลัง และ เสียหายบางส่วน 1,504 หลัง พื้นที่การเกษตร เสียหายคิดเป็นมูลค่า 6,625,174.50 บาท พื้นที่เพาะเลี้ยง สัตว์น้ำ และเครื่องมือประมง เสียหายคิดเป็นมูลค่า 1,808,891,883 บาท ปศุสัตว์ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 17,625,605.50 บาท สถานประกอบการ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 13,101,249,720 บาท ส่วนความเสีย หายด้านสิ่งสาธารณประโยชน์ ประกอบด้วย ท่าเทียบเรือ สะพาน ถนน ท่อระบายน้ำ พนัง/เขื่อน ระบบ สาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และอื่น ๆ ได้รับความเสียหาย ประเมินขั้นต้นประมาณ 1,057.39 ล้านบาท และความเสียหายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับความเสียหายทั้งด้านสภาพชาย หาด ป่าชายเลน ป่าไม้ แหล่งน้ำจืด แนวประการัง รวมทั้งเกิดสภาพดินเค็มในบางพื้นที่ สำหรับการช่วย เหลือ ประกอบด้วย การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย (จนถึงวันที่ 25 มีนาคม 2548) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 317,088,451 บาท การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวประมงและผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ข้อมูล ณ วันที่ 27 มีนาคม 2548) รวมเป็นเงิน 393,444,733 บาท และการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ถึงวันที่ 24 มีนาคม 2548 จำนวน 4,238 ราย รวมเป็นเงิน 83,930,000 บาท การก่อสร้างบ้านพักถาวร จากข้อมูล สำรวจจำนวนความต้องการ ณ วันที่ 28 มีนาคม 2548 มีเป้าหมายยอดรวมทั้งสิ้น 2,751 หลัง โดยก่อ สร้างแล้วเสร็จ 176 หลัง และราษฎรขอรับเงินชดเชย 30,000 บาท เพื่อก่อสร้างบ้านเอง 266 ราย นอก จากนี้ ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการฟื้นฟูจัดระเบียบการก่อสร้างอาคารสิ่งก่อสร้างและการ จัดระเบียบชายหาด โดยการทำความสะอาดขนย้ายซากปรักหักพัง ขยะมูลฝอย การบูรณะฟื้นฟูโครงสร้าง พื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้ความช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม ในพื้นที่เขาหลัก และช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เอกสารสิทธิชำรุด สูญหาย และทำการรังวัดปูเขตที่ดินที่หลัก เขตสูญหาย ตลอดจนช่วยเหลือการจัดระเบียบที่ดิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1314 | สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2547 - 10 มีนาคม 2548) | มท | 22/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ความแห้งแล้ง
ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2547-10 มีนาคม 2548 มีพื้นที่ประสบภัย 66 จังหวัด 633 อำเภอ 61 กิ่งอำเภอ 4,808 ตำบล 41,668 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 2,479,626 ครัวเรือน 9,596,883 คน ส่วนพื้นที่การ เกษตรที่ประสบความแห้งแล้ง (ภาพรวมทั้งประเทศ) มีดังนี้ นาข้าวเสียหาย 10,243,419 ไร่ พืชไร่เสียหาย 3,006,473 ไร่ และพืชสวนเสียหาย 454,783 ไร่ สำหรับการให้ความช่วยเหลือของจังหวัด/อำเภอ/กิ่งอำเภอ ได้ดำเนินการจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร และน้ำเพื่ออุปโภค/บริโภค ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้ประชุม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการการแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นระบบ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2548 ดังนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างกำชับให้เกษตรกรงดการปลูกข้าวนาปรัง ครั้งที่ 2 โดย เด็ดขาด และในเขตพื้นที่อ่างเก็บน้ำที่อยู่ในขั้นวิฤต ได้แก่ อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคอง ลำพระเพลิง กระเสียว ทับเสลา แก่งกระจาน และปราณบุรี ให้จังหวัดประกาศให้เกษตรกรงดการปลูกพืชฤดูแล้ง และสงวนน้ำไว้ใช้ เพื่อการอุปโภคและบริโภคเท่านั้น รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นจัดระบบการแจกจ่ายน้ำ โดยให้ประสานกับจุดจ่ายน้ำของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลในพื้นที่ ต่างๆ เพื่อรับน้ำไปแจกจ่ายให้หมู่บ้านที่ประสบภัยแล้ง และแจ้งให้ผู้จัดการการประปาภูมิภาคเตรียมการผลิต น้ำประปาเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20 แจกจ่ายให้หมู่บ้านประสบภัยแล้ง นอกจากนี้ ให้ขุดลอกแหล่งน้ำขนาดเล็ก ก่อสร้างฝ่ายประชาอาสาและจัดหาถังน้ำกลางประจำหมู่บ้าน โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนงบ ประมาณในเบื้องต้น ทั้งนี้ หากเกินขีดความสามารถให้ร้องขอไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1315 | รายงานสรุปความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ (ครั้งที่ 11) | มท | 22/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับข้อมูลความเสียหาย และการ
ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ครั้งที่ 11) จนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2548 โดยมีพื้นที่ประสบภัยรวม 6 จังหวัด ภาคใต้ 25 อำเภอ/กิ่งอำเภอ 95 ตำบล 407 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือนร้อน 58,550 คน 12,017 ครอบครัว จำนวนผู้เสียชีวิต 5,395 คน (คนไทย 1,926 คน คนต่างประเทศ 1,953 คน ไม่สามารถระบุได้ 1,516 คน) บาดเจ็บ 8,457 คน (คนไทย 6,065 คน คนต่างประเทศ 2,392 คน) สูญหาย 2,932 คน (คน ไทย 2,023 คน คนต่างประเทศ 909 คน) และเด็กกำพร้ามีจำนวนทั้งสิ้น 882 คน ในส่วนของความเสียหายต่อ ทรัพย์สิน ประกอบด้วย บ้านเรือนราษฎรเสียหายทั้งหลัง 3,302 หลัง และเสียหายบางส่วน 1,505 หลัง พื้นที่ การเกษตร เสียหายคิดเป็นมูลค่า 6,767,958.75 บาท พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และเครื่องมือประมง เสียหายคิด เป็นมูลค่า 1,811,407,405 บาท ปศุสัตว์ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 17,625,605 บาท และสถานประกอบการ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 12,852,617,712 บาท ส่วนความเสียหายด้านสิ่งสาธารณประโยชน์ ประกอบด้วย ท่า เทียบเรือ สะพาน ถนน ท่อระบายน้ำ พนัง/เขื่อน ระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และอื่น ๆ ได้ รับความเสียหาย ประเมินขั้นต้นประมาณ 1,057.39 ล้านบาท และความเสียหายด้านทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ได้รับความเสียหายทั้งด้านสภาพชายหาด ป่าชายเลน ป่าไม้ แหล่งน้ำจืด แนวประการัง รวมทั้ง เกิดสภาพดินเค็มในบางพื้นที่ ด้านการตรวจพิสูจน์ สามารถยืนยันได้แล้ว (Identified) 1,870 ศพ (ไทย 1,471 ศพ ต่างชาติ 399 ศพ) โดยญาติได้รับศพไปแล้ว 1,789 ศพ แยกเป็นคนไทย 1,446 ศพ คนต่างชาติ 343 ศพ คงเหลือศพที่ยังไม่มารับ 81 ศพ แยกเป็นคนไทย 25 ศพ คนต่างชาติ 56 ศพ ในส่วนของผลความคืบหน้าการ ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและบริหารจัดการเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตที่ไม่สามารถยืนยันได้ (Unidentified) โดย ณ วันที่ 7 มีนาคม 2547 สามารถพิสูจน์ยืนยันบุคคลและรับศพไปแล้ว 800 ศพ แยกเป็นที่สุสานไม้ขาว จังหวัด ภูเก็ต 742 ศพ ที่วัดย่านยาว จังหวัดพังงา 58 ศพ คงเหลือศพคนต่างชาติและศพคนไทยที่รอการยืนยัน 3,082 ศพ สำหรับการช่วยเหลือ ประกอบด้วย การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย (จนถึงวันที่ 13 มีนาคม 2548) รวม เป็นเงิน 312,076,051 บาท การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวประมงและผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ข้อมูล ณ วันที่ 13 มีนา คม2548) รวมเป็นเงิน 293,896,516 บาท และการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยถึงวันที่ 11 มีนา คม 2548 จำนวน 4,239 ราย รวมเป็นเงิน 83,950,000 บาท การก่อสร้างบ้านพักถาวร จากข้อมูลสำรวจ จำนวนความต้องการ ณ วันที่ 10 มีนาคม 2548 มีเป้าหมายยอดรวมทั้งสิ้น 2,745 หลัง โดยก่อสร้างแล้วเสร็จ 148 หลัง และราษฎรขอรับเงินชดเชย 30,000 บาท เพื่อก่อสร้างบ้านเอง 266 ราย นอกจากนี้ ได้ดำเนินการ ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการฟื้นฟูจัดระเบียบการก่อสร้างอาคารสิ่งก่อสร้าง และการจัดระเบียบชายหาด โดย การทำความสะอาดขนย้ายซากปรักหักพัง ขยะมูลฝอย การบูรณะฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น และให้ความช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมในพื้นที่เขาหลัก และช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยที่เอกสารสิทธิชำรุด สูญหาย และทำการรังวัดปูเขตที่ดินที่หลักเขตสูญหาย ตลอดจนช่วยเหลือการ จัดระเบียบที่ดิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1316 | สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง (จนถึงวันที่ 21 มีนาคม 2548) | มท | 22/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง และผลการดำเนินการให้ ความช่วยเหลือ จนถึงวันที่ 21 มีนาคม 2548 มีจังหวัดที่ประสบภัย 71 จังหวัด 696 อำเภอ 61 กิ่งอำเภอ 5,340 ตำบล 44,519 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 2,843,540 ครัวเรือน 11,058,902 คน แยกเป็นภาค เหนือ 17 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด ภาคกลาง 13 จังหวัด และภาคตะวันออก 8 จังหวัด ภาคใต้ 14 จังหวัด พื้นที่การเกษตรเสียหาย 13,736,660 ไร่ แยกเป็น นาข้าว 10,190,292 ไร่ พืชไร่ 3,031,745 ไร่ พืชสวน 514,623 ไร่ มูลค่าความเสียหายประมาณ 7,565,861,139 บาท ด้าน การให้ความช่วยเหลือ ได้มีการจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่นอกเขตชลประทาน รวมทั้งแจกจ่ายน้ำ อุปโภค/บริโภค ในส่วนของงบประมาณดำเนินการใช้จ่ายไปแล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,235,807,193.56 บาท จำแนกเป็น งบฉุกเฉินทดรองราชการของจังหวัด (งบ 50 ล้านบาท) 896,851,630 บาท งบ ฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 263,637,264.56 บาท และงบประมาณอื่นๆ เช่น งบจังหวัด CEO 75,318,299 บาท นอกจากนี้ได้มีการติดตามสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งการช่วยเหลือ/ ปัญหาอุปสรรคต่างๆ ได้มีมาตรการเร่งด่วนให้ทุกจังหวัดดำเนินการในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน 2548 ดังนี้ ให้จังหวัดประสานงานสำนักฝนหลวง เร่งปฏิบัติการฝนหลวงทันทีเมื่อมีเมฆ หรือสภาวะ อากาศเอื้ออำนวย ให้มีการจัดระบบการแจกจ่ายน้ำ โดยประสานกับจุดจ่ายน้ำของกรมทรัพยากรน้ำ บาดาล ในพื้นที่ต่างๆ เร่งซ่อมบ่อบาดาลเดิม และขุดบ่อบาดาลเพิ่มเติมในหมู่บ้านแล้งรุนแรงให้แล้วเสร็จ ในเดือนเมษายน ส่วนในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ให้เกษตรกรงดการปลูกข้าวนาปรัง ครั้งที่ 2 โดย เด็ดขาด สำหรับในเขตอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในขั้นวิกฤติ ให้เกษตรกรงดการปลูกพืชฤดูแล้ง และสงวนน้ำไว้ ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคเท่านั้น และให้พิจารณาขุดลอกแหล่งน้ำขนาดเล็ก ก่อสร้างฝายประชาอาสา จัดหาถังน้ำกลางประจำหมู่บ้าน ตลอดจนให้มีการบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ทั่วถึงและเป็น ธรรม และรณรงค์ให้ประชาชนประหยัดการใช้น้ำ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1317 | สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม - 2547 - 3 มีนาคม 2548) | มท | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสถานการณ์ความแห้งแล้งและการให้ความช่วยเหลือ สรุปได้ดัง นี้ สถานการณ์ความแห้งแล้ง (ข้อมูลถึงวันที่ 3 มีนาคม 2548) มีจังหวัดประสบภัย 63 จังหวัด 631 อำเภอ 59 กิ่งอำเภอ 4,701 ตำบล 41,099 หมู่บ้าน และคาดว่า ช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2548 จะ มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความแห้งแล้งทั่วประเทศ 70 จังหวัด 643 อำเภอ 60 กิ่งอำเภอ สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ที่ประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉาย แสง) เป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2548 ณ ทำเนียบรัฐบาล ได้กำหนดนโยบาย/มาตรการ แก้ไขปัญหาภัยแล้งในช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนาย 2548 ดังนี้ ในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ขอให้งดการ ปลูกข้าวนาปรัง ครั้งที่ 2 โดยเด็ดขาด ส่วนอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในขั้นวิฤต 6 อ่าง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคอง ลำพระเพลิง กระเสียว ทับเสลา แก่งกระจาน และปราณบุรี ให้งดการปลูกพืชฤดูแล้ง และสงวนน้ำไว้ใช้ เพื่อการอุปโภค บริโภค และให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดระบบการแจกจ่ายน้ำ รวมทั้งให้ขุด ลอกแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดเล็กประมาณ 14,000 แห่ง โดยใช้แรงงานท้องถิ่นในฤดูแล้งนี้ และให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณในเบื้องต้น ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้เร่งรัดให้จังหวัดที่ ประสบภัยแล้งใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการป้องกันและให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 784,091,141 บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1318 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "แนวทางการพัฒนางานด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นขององค์กรภาคประชาชน" | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับ "แนวทางการพัฒนางานด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นขององค์กร ภาคประชาชน" ที่เห็นว่า ควรปรับบทบาทสภาวัฒนธรรมตำบลในการดำเนินกิจกรรมด้านวัฒนธรรมให้ครอบ คลุม โดยมีการแบ่งกลุ่มงานเพิ่มเพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินงานด้านวัฒนธรรม รวมทั้งส่งเสริมการสร้างวัฒน ธรรมท้องถิ่นเข้มแข็ง โดยลดการพึ่งพิงรัฐ อาศัยแนวความคิดในการพัฒนาชุมชน โดยมีชุมชนเป็นศูนย์กลางและ พัฒนาอย่างเป็นองค์รวมทุกมิติ ทั้งมิติเศรษฐกิจ มิติสังคมและวัฒนธรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในระยะ ยาว และส่งเสริมบทบาทกลุ่มแกนนำต่าง ๆ ในชุมชนที่มีพลังในการขับเคลื่อนงานทางด้านวัฒนธรรมท้องถิ่น ให้พัฒนาต่อไปได้ เป็นต้น และรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการ ดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรม กรณีการบรรจุประเด็นทางวัฒนธรรมอันเกี่ยวกับอนุรักษ์ ฟื้นฟู ส่งเสริม วิถีชีวิตชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ในแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ด้านที่ 6 ด้านศิลปวัฒนธรรมและจารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น และสนับสนุนงบประมาณ เพื่อการดำเนินงานวัฒนธรรมให้แก่ทุกจังหวัด และเขตในกรุงเทพมหานคร เป็นต้น โดยให้กระทรวงวัฒนธรรม รับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1319 | การยกฐานะสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานระดับกรมในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และการจัดทำและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่าย
กฎหมาย ฯ) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นเสนอ ร่างพระราชบัญญัติ รวม 3 ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระ จายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติโอนอำนาจหน้าที่และกิจการบริหารบางส่วนของ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... และตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ร่างพระราชบัญญัติ รวม 4 ฉบับ ได้แก่ ร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่างพระราช บัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้น ตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ตั้งคณะกรรมการคณะพิเศษตรวจพิจารณา ทั้งนี้ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประ เด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ อาทิเช่น ร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตราขึ้นในวาระที่แตกต่างกัน ทำให้มีภารกิจ และอำนาจหน้าที่ไม่สอดคล้อง และเป็นแนวทางเดียวกัน ควรพิจารณาในเรื่องของการนำกฎหมายหลาย ฉบับมารวมกัน อาจทำให้เกิดปัญหาการทับซ้อนด้านพื้นที่ อำนาจหน้าที่ การเก็บภาษี การจัดตั้งรัฐวิสาห กิจท้องถิ่น องค์การมหาชนท้องถิ่นจะมีความเหมาะสม หรือทับซ้อน หรือทำให้เกิดความสับสนกับรัฐวิสาห กิจของรัฐ หรือองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชนหรือไม่ การใช้ชื่อกฎหมายว่าประมวล กฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีความเหมาะสม และสอดคล้องกับความหมายของประมวลกฎ หมาย หรือไม่ เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย และหากมีความจำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเพิ่มเติม ให้เชิญผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เสนอความเห็นเพื่อประกอบการตรวจ พิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาต่อไป และเห็นควรให้ ก.พ.ร. รับประเด็นอภิ ปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นควรให้ ก.พ.ร. รับไปพิจารณาในภาพรวมโครงสร้างระบบ ราชการทั้งหมดว่า สมควรกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจ เป็นหน่วยงานที่มีฐานะ เป็นกรม หรือหน่วยงานที่มีสถานะอย่างอื่นหรือไม่ ระดับไหน และสังกัดอยู่ในสังกัดใด เพื่อให้สอดคล้อง กับการปฏิรูประบบราชการ ไปพิจารณา แล้วแจ้งผลให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบการ ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1320 | การปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ | อก | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่ายการ
เกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอการแก้ไขปัญหา ความล่าช้าในการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ ตามผลการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยปรับลดขั้นตอนกระบวนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 บี จากที่กำหนด ไว้ในปัจจุบัน จะลดระยะเวลาการพิจารณาอนุญาตการต่ออายุประทานบัตร และการขอประทานบัตรในขั้นตอน การขออนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ดังกล่าวจากคณะรัฐมนตรีลงเหลือไม่เกิน 150 วัน และให้กรมทรัพยากรธรณี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดพื้นที่เขตศักยภาพแร่เพื่อการทำเหมืองแร่ (Mining Zone) ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรี (ยกเว้นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ ป่า) เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เพื่อให้สามารถอนุญาตประทานบัตรและต่ออายุประทานบัตรได้อย่าง เหมาะสมและรวดเร็วขึ้น แทนการขอผ่อนผันการทำเหมืองในพื้นที่ดังกล่าวจากคณะรัฐมนตรีเป็นแต่ละรายคำขอ หรือรายผู้ประกอบการ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงทบทวนระเบียบปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาความล่า ช้าในการพิจารณาอนุญาตประทานบัตร และให้ดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวโดยเร็วต่อไป และให้รับประเด็น อภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ที่เห็นควรกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้หลักฐานหรือข้อมูลเอกสาร ประกอบการพิจารณาอนุญาต ที่หน่วยงานแต่ละแห่งจะสอบถามไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถใช้ เอกสารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่แจ้งไปยังกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ร่วมกันได้ โดยให้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อ กำหนดแบบพิมพ์ ที่สามารถเก็บรายละเอียดในเรื่องที่จะขอความเห็นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นครอบคลุม ทุกประเด็นที่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต้องการในแบบพิมพ์เดียวกัน และควรกำหนดระยะเวลาการดำเนิน การของเจ้าหน้าที่ในแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน โดยให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาหลักเกณฑ์และวิธีการบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และระเบียบ ก.พ.ร ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้มีการรายงานเหตุที่ไม่สามารถดำเนิน การตามกำหนดเวลาต่อผู้บังคับบัญชา ตลอดจนแจ้งผู้ที่ขออนุญาตให้ทราบโดยพลันเมื่อได้รับการสอบสวน ไป พิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาห กรรมรับไปพิจารณาร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อสร้างระบบและกติกาสำหรับใช้ประกอบ การพิจารณาของหน่วยงานของรัฐกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเห็นไม่สอดคล้องกับหน่วยงานของ รัฐหรือผู้ประกอบการในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ว่า จำเป็นต้องหยุดดำเนินการเนื่องจากหลักกฎ หมายใด และหากไม่มีกฎหมายห้ามมิให้ดำเนินการตามความเห็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงาน ของรัฐหรือผู้ประกอบการควรมีแนวทางดำเนินการอย่างใดต่อไปโดยเร็ว เพื่อส่งเสริมการประกอบกิจการที่มี ผลต่อความเจริญของประเทศโดยรวม และเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอีกโสดหนึ่งด้วย โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับประเด็นอภิปรายดังกล่าวไปหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและนำเสนอคณะ รัฐมนตรีเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติในเรื่องนี้ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับหลักกฎหมาย
|
.....