ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 5031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2567 | นร.11 สศช | 02/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอเพิ่มเติมว่า
เพื่อให้การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาวนอุทยานบ่อน้ำร้อนกันตัง
เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และสุขภาพสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน
จึงขอแก้ไขข้อเสนอเกี่ยวกับระยะเวลาสิ้นสุดของโครงการดังกล่าว จากเดิม “สิ้นสุดเดือนเมษายน
๒๕๖๗” เป็น “สิ้นสุดเดือนสิงหาคม ๒๕๖๗” ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติอนุมัติ
เห็นชอบ และรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๗ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอและที่เสนอเพิ่มเติม ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย กระทรวงการคลัง ที่เห็นควรให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดเพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างคุ้มค่า
มีประสิทธิภาพ และบรรลุผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามที่ได้กำหนดไว้ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ข้อ ๒๒ และ ๒๓ สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังภายใน ๓
เดือนนับจากวันที่สิ้นสุดการดำเนินโครงการพัฒนาวนอุทยานบ่อน้ำร้อนกันตัง
ที่ได้รับอนุมัติให้ขยายระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถรวบรวมข้อมูลและนำส่งเงินกู้เหลือจ่ายคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
รวมทั้งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
42 | โครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 | กษ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า
เนื่องจากในฤดูกาลผลิตที่ผ่านมาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้รับความช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต
(ไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท) ผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๖/๖๗ ซึ่งสร้างภาระงบประมาณจำนวนมาก (ประมาณ ๕๖,๐๐๐๐ ล้านบาท)
ในครั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงขอปรับเปลี่ยนเป็นการจัดทำโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๗/๖๘ มาทดแทนโครงการดังกล่าว
และจะไม่มีการจัดทำโครงการในลักษณะเป็นการจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต
(ไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท) อีกต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(อธิบดีกรมการข้าว) ได้ชี้แจงด้วยว่า
กรมการข้าวได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้ทราบอย่างทั่วถึงแล้ว ๒. เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๗/๖๘ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริง
ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
การชดเชยต้นทุนเงินให้แก่ ธ.ก.ส.
ให้คงหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการชดเชยอัตราต้นทุนทางการเงินที่ต้องขอรับชดเชยจากภาครัฐในอัตราต้นทุนทางการเงินของ
ธ.ก.ส. ประจำไตรมาส บวก ๑ เช่นเดียวกับที่ได้เคยดำเนินการมา
ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ รวมทั้งเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) เสนอความเห็นเพิ่มเติมว่า ในส่วนของ ธ.ก.ส. แจ้งว่า
ไม่มีข้อขัดข้องในการดำเนินโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ ขอความเห็นชอบให้ ธ.ก.ส.
สามารถนำส่วนต่างระหว่างค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงและค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ได้รับชดเชย
เพื่อบวกกลับในการคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานได้และเป็นส่วนหนึ่งในการปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจได้ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง (ธ.ก.ส.)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนี้ ๓.๑
เร่งรัดดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ในคราวประชุมครั้งที่
๒/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๗ ที่ให้จัดหาผู้ประกอบการผลิตปุ๋ยและชีวภัณฑ์ที่เข้าร่วมโครงการฯ
ให้มีจำนวนหลากหลาย เพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกในการใช้ปุ๋ยให้สอดคล้องกับความต้องการอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ราคาปุ๋ยและชีวภัณฑ์ที่จำหน่ายตามโครงการฯ
จะต้องเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดทั่วไป ๓.๒
กำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและรัดกุมรวมถึงติดตามผลการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้และรายงานผลการดำเนินโครงการฯ ให้ นบข.
ทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
43 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายการสินค้าและบริการ จำนวน ๕๗ รายการ (๕๒
สินค้า ๕ บริการ) เป็นสินค้าและบริการควบคุมตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
(กกร.) ในคราวประชุม กกร. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๗ เมื่อวันอังคารที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๗ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานกรรมการ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
44 | การกำหนดให้การไหว้เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทการทักทายและการแสดงความเคารพแบบไทย | นร.01 | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดให้การไหว้เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ
ประเภทการทักทายและการแสดงความเคารพแบบไทย ตามมติคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ
เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๗ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานราชบัณฑิตยสภาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เห็นควรพิจารณาการจำแนกลักษณะการไหว้ประเภทต่าง ๆ ความหมาย
และการปฏิบัติให้ชัดเจนเพื่อให้เห็นความแตกต่างจากการไหว้ที่ปฏิบัติกันในประเทศต่าง
ๆ ที่มีการแสดงความเคารพโดยการไหว้แบบเดียวกัน
อันจะทำให้เกิดความชัดเจนในรูปแบบการไหว้ของไทย
และไม่ก่อให้เกิดปัญหาต้านวัฒนธรรมการไหว้กับประเทศต่าง ๆ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา เห็นว่า
เนื่องจากการไหว้เป็นวัฒนธรรมร่วมในภูมิภาค จึงควรประกาศโดยแสดงความเป็นอัตลักษณ์ของการไหว้แบบไทยอย่างชัดเจน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
45 | แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ปีงบประมาณ 2567 (แผนปฏิบัติการประจำปี 2567) | พณ. | 09/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
ปีงบประมาณ ๒๕๖๗ ซึ่งเป็นโครงการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวม ๘ หน่วยงาน จำนวน
๒๑๒ โครงการ ซึ่งแบ่งเป็น (๑) แผนปฏิบัติการด้านการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ
จำนวน ๔๙ โครงการ (๒) แผนปฏิบัติการด้านการเจรจาเชิงรุกเพื่อเปิดตลาด จำนวน ๑๔๘
โครงการ และ (๓) แผนปฏิบัติการด้านการเร่งรัดทำการตลาดเชิงกลยุทธ์จำนวน ๑๕ โครงการ
วงเงินทั้งสิ้น ๕๓๐.๐๙ ล้านบาท โดยเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
รวมถึงสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล
และยุทธศาสตร์ของกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่กำหนดไว้
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
46 | การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ครั้งที่ 2 | นร.07 | 02/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ครั้งที่ ๒ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงกรอบงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลาง
(Medium Term Expenditure
Framework : MTEF) ตามมติคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
ในคราวการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๙ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณ
และการอนุมัติงบประมาณ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
47 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2566 | นร.11 สศช | 12/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ เห็นชอบ
และรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้กรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
กรณีโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙)
สำหรับบริการประชากรในประเทศไทยจำนวน ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ โดส (AstraZeneca) ปี พ.ศ. ๒๕๖๕
โดยเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการวัคซีน AstraZeneca ที่ยังไม่ได้รับการส่งมอบจำนวน
๑๙.๐๗๔๔ ล้านโดส เป็นการจัดซื้อภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปหรือแอนติบอดี้ออกฤทธิ์ยาว (Long-acting
antibody : LAAB) รุ่นใหม่ จำนวน ๓๖,๐๐๐ โดส
ส่งผลให้กรอบวงเงินโครงการฯ ลดลงจาก๑๘,๓๘๒.๕๖๔๓ ล้านบาท เป็น
๑๓,๖๓๔.๘๗๑๒ ล้านบาท หรือลดลงจำนวน ๔,๗๔๗.๕๙๓๑
ล้านบาท (๒) มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขกำกับให้กรมควบคุมโรค เร่งประสานกับบริษัท AstraZenecaฯ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียน
เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไว้ภายในเดือนมีนาคม
๒๕๖๗ และให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ LAAB ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(๓) อนุมัติให้จังหวัดกระบี่
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕ โดยขยายระยะเวลาดำเนินโครงการปรับภูมิทัศน์แหล่งท่องเที่ยวหาดอ่าวนางและหาดนพรัตน์ธารา
ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ วงเงิน ๕.๔๐๐๐ ล้านบาท จากเดิมสิ้นสุดเดือนธันวาคม
๒๕๖๕ เป็นเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ โดยขอแก้ไขข้อเสนอเกี่ยวกับระยะเวลาสิ้นสุดของโครงการดังกล่าว
จากเดิม “สิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๖” เป็น “สิ้นสุดเดือนเมษายน ๒๕๖๗” (๔) มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
เร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบ eMENSCR ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโดยเร็ว
และ (๕) รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๙ (๑ สิงหาคม-๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖)
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ
ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และที่เสนอเพิ่มเติม ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิดและกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ.
๒๕๖๔ ข้อ ๒๑ และ ๒๒ สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังภายใน
๓ เดือน นับจากวันที่สิ้นสุดการดำเนินโครงการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม
๒๕๖๖ เพื่อให้การบริหารจัดการ เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรกำกับติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
และกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
48 | แนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ พ.ศ. 2566-2570 | นร.10 | 12/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ พ.ศ.
๒๕๖๖-๒๕๗๐ ตามมติคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๖ เมื่อวันที่
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติสำหรับให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐใช้ในการพัฒนาองค์กร
และบุคลากรภาครัฐใช้ในการวางแผนพัฒนาตนเองและพัฒนางานต่อเนื่องจากแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ รวมทั้งได้นำแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐเพื่อการปรับเปลี่ยนเป็นรัฐบาลดิจิทัล
(ระยะเวลาดำเนินการ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) ผนวกรวมเข้ามาเป็นฉบับเดียวกัน กำหนดประเด็นการพัฒนา
๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) การพัฒนาองค์กร เพื่อเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และพัฒนา (๒)
การพัฒนากรอบแนวคิดและทักษะให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนภารกิจภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ
และ (๓)
การพัฒนากรอบความคิดและทักษะด้านดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเป็นรัฐบาลดิจิทัล ตามที่สำนักงาน
ก.พ. เสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม และข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น
ควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับมาตรการบริหารอัตรากำลังปกติ เนื่องจากการควบคุมอัตรากำลังควรมีความสอดคล้องกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด
รวมทั้งอาจพิจารณาความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการเพื่อให้การพัฒนาบุคลากรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ควรมีคำอธิบายและคำนิยามของตัวชี้วัดส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐ หลักเกณฑ์
วิธีการประเมิน
เครื่องมือการวัดผลที่สามารถสะท้อนการปฏิบัติงานตามตัวชี้วัดได้อย่างชัดเจน ควรมีการกำหนดหลักสูตรกลาง
เพื่อให้ส่วนราชการสามารถส่งบุคลากรไปพัฒนาได้ตรงกับแนวทางที่ ก.พ. กำหนด
และมีการจัดอบรมให้กับบุคลากรที่รับผิดชอบด้านพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้เกิดความรู้ ความเชี่ยวชาญ
และสามารถนำความรู้ไปปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
49 | การแต่งตั้งกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร (1. ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ฯลฯ จำนวน 55 คน) | นร.01 | 12/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
จำนวน ๕๕ คน ตามมติคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๖
เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๖ เนื่องจากคณะกรรมการชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด)
ประธานกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ ดังนี้ ๑. สาขาสังคม
การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ๑.๑
ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ๑.๒
ผู้ช่วยศาสตราจารย์จันทจิรา เอี่ยมมยุรา ๑.๓
พลโท สุขสันต์ สิงหเดช ๑.๔
นายพิรุฬ เพียรล้ำเลิศ ๑.๕
นายมานะ วีระอาชากุล ๑.๖
พลตำรวจโท วราวุธ ทวีชัยการ ๑.๗
พลตำรวจตรี ประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ ๑.๘ รองศาสตราจารย์วรรณภา ติระสังขะ ๑.๙
นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ๑.๑๐
นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์
๑.๑๑ นายนนทิกร กาญจนะจิตรา ๑.๑๒
รองศาสตราจารย์อดิศร เนาวนนท์ ๑.๑๓
พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ ๑.๑๔
นายธนกฤต วรธนัชชากุล ๑.๑๕
พันตำรวจโท เธียรรัตน์ วิเชียรสรรค์ ๑.๑๖
นางพัชฌา จิตรมหึมา ๑.๑๗
นายอรรถพล อรรถวรเดช ๑.๑๘
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ๑.๑๙
นายสมคิด จันทมฤก ๑.๒๐
นายมานะ สิมมา ๑.๒๑
นางวนิดา สักการโกศล ๑.๒๒
นายคุณวุฒิ ตันตระกูล ๑.๒๓
นายสุวัฒน์ เอื้อเฟื้อ ๑.๒๔
นายจเร พันธุ์เปรื่อง ๑.๒๕
รองศาสตราจารย์ยุทธพร อิสรชัย ๑.๒๖
นายธนากร แหวกวารี ๑.๒๗
นายสมยศ อักษร ๑.๒๘
นายไพรัช ชัยชาญ ๒. สาขาการแพทย์และสาธารณสุข ๒.๑
ศาสตราจารย์บุญศรี มีวงศ์อุโฆษ ๒.๒
นายรุ่งเรือง กิจผาติ ๒.๓
ศาสตราจารย์เฉลิม หาญพาณิชย์ ๒.๔
พลโท ศาสตราจารย์คลินิกภานุวิชญ์ พุ่มหิรัญ ๒.๕
นายกิติพงษ์ มหารัตนวงศ์ ๒.๖
นางสาวเสาวณีย์ คงวุฒิปัญญา ๒.๗
พลอากาศโท อิทธพร คณะเจริญ ๓. สาขาต่างประเทศ ความมั่นคง และการเมือง ๓.๑
พลเอก วิทยา จินตนานุรัตน์ ๓.๒ นายดนัย มู่สา ๓.๓
นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต ๓.๔
พลตำรวจตรี ศาสตราจารย์ชัชนันท์ ลีระเติมพงษ์ ๓.๕
พันตำรวจเอก วิทยา บวรศิขริน ๓.๖
นายปิยะ คงขำ ๓.๗
นายศุภวัฒน์ สิงห์สุวงษ์ ๔. สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม
และการเกษตร ๔.๑
นายอดิทัต วะสีนนท์ ๔.๒
นายภุชพงค์ โนดไธสง ๔.๓
รองศาสตราจารย์ชมพูนุท โภสลากร เพิ่มพูนวิวัฒน์ ๔.๔
พันจ่าเอก ประเสริฐ มาลัย ๔.๕
นางสาวสายน้ำผึ้ง ทองใส ๔.๖
ศาสตราจารย์วราวุฒิ ครูส่ง ๔.๗
นายสุรพงษ์ เจียสกุล ๕. สาขาเศรษฐกิจและการคลัง ๕.๑
นางชลิดา พันธ์กระวี ๕.๒
นางดวงตา ตันโช ๕.๓
นายเกริกพงษ์ เกสรทอง ๕.๔
นายพนิต ธีรภาพวงศ์ ๕.๕
นายเทวินทร์ นรินทร์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
50 | การแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์) | พน. | 03/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์
ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เนื่องจากนายบุญญนิตย์
วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเดิม
ได้ดำรงตำแหน่งครบวาระตามสัญญาจ้าง โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๖๙๐,๐๐๐ บาท [ตามมติคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๖ (วาระพิเศษ) (วาระลับ) เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๖
และครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ (วาระลับ) เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗]
ซึ่งกระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นว่าหากมีกรณีที่กำหนดระยะเวลาวันเริ่มปฏิบัติงานและข้อสัญญาอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง กำหนดสาระสำคัญแตกต่างจากร่างสัญญาจ้างที่กระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว
คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
จะต้องนำเสนอเรื่องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในร่างสัญญาจ้างเพื่อให้กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบตามที่กำหนดในมาตรา
๘ จัตวา แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมก่อนลงนามในสัญญาจ้างต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
51 | การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2567-2569 | กษ. | 27/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก
(WTO) ปี
๒๕๖๗-๒๕๖๙ สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและไม่เป็นผง)
หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ ดังนี้ (๑)
เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ปริมาณในโควตา ปีละ ๓.๑๕ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ
๒๑๘ (๒) หอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและไม่เป็นผง) ปริมาณในโควตาปีละ ๑,๒๕๖.๕๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๔๒ (๓)
หัวพันธุ์มันฝรั่ง ปริมาณในโควตา ไม่จำกัดจำนวน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐
และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ (๔) หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ปริมาณในโควตาปี
๒๕๖๗ จำนวน ๗๕,๕๐๐ ตัน ปี ๒๕๖๘ จำนวน ๗๘,๐๐๐ ตัน และปี ๒๕๖๙ จำนวน ๘๐,๐๐๐ ตัน
อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ ตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ
โดยให้ใช้ดำเนินการได้เฉพาะปี ๒๕๖๗ เท่านั้น
และให้คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดช่วงเวลาการนำเข้าสินค้าเกษตรดังกล่าวให้เหมาะสมและไม่กระทบต่อผลผลิตหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งในประเทศ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรระมัดระวังไม่ให้เงื่อนไขที่กำหนดให้ผู้นำเข้าหรือผู้แทนผู้นำเข้าต้องรับซื้อผลผลิตหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปจากเกษตรกรของไทยถูกใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่สินค้าหัวมันฝรั่งฯ
ของไทยและทำให้สินค้าหัวมันฝรั่งฯ จากต่างประเทศเสียเปรียบในด้านการแข่งขัน
ควรระมัดระวังไม่ให้มาตรการเกี่ยวกับการบริหารช่วงเวลาการนำเข้า
โดยให้นำเข้าเฉพาะช่วงเดือนที่กำหนดไว้ ถูกใช้เพื่อจำกัดโอกาสและปริมาณของการนำเข้า
ควรให้ความสำคัญกับสถานการณ์การผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปภายในประเทศ การตรวจรับรอง
และการรับฟังความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน
เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งเกษตรกรและผู้ประกอบการแปรรูปอุตสาหกรรมการเกษตรของไทย
และให้ความสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตรให้สอดคล้องและเพียงพอกับความต้องการของอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมต่อเนื่องเพื่อการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
52 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงฉิมพลี แขวงตลิ่งชัน แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงอรุณอมรินทร์ แขวงบางขุนนนท์ แขวงบางขุนศรี แขวงศิริราช แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย แขวงชนะสงคราม แขวงบ้านพานถม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงคลองมหานาค แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปรามศัตรูพ่าย แขวงสวนจิตรลดา แขวงสี่แยกมหานาค เขตดุสิต แขวงทุ่งพญาไท แขวงถนนเพชรบุรี แขวงถนนพญาไท แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี แขวงปทุมวัน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท แขวงรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง และแขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่แขวงฉิมพลี แขวงตลิ่งชัน แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงอรุณอมรินทร์ แขวงบางขุนนนท์ แขวงบางขุนศรี แขวงศิริราช แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย แขวงชนะสงคราม แขวงบ้านพานถม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงคลองมหานาค แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสวนจิตรลดา แขวงสี่แยกมหานาค เขตดุสิต แขวงทุ่งพญาไท แขวงถนนเพชรบุรี แขวงถนนพญาไท แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี แขวงปทุมวัน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท แขวงรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง และแขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | คค. | 06/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่แขวงฉิมพลี แขวงตลิ่งชัน แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน แขวงบางยี่ขัน
เขตบางพลัด แขวงอรุณอมรินทร์ แขวงบางขุนนนท์ แขวงบางขุนศรี แขวงศิริราช
แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย แขวงชนะสงคราม แขวงบ้านพานถม แขวงตลาดยอด
แขวงบวรนิเวศ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงคลองมหานาค
แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสวนจิตรลดา แขวงสี่แยกมหานาค เขตดุสิต
แขวงทุ่งพญาไท แขวงถนนเพชรบุรี แขวงถนนพญาไท แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี แขวงปทุมวัน
แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท แขวงรัชดาภิเษก แขวงดินแดง
เขตดินแดง และแขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร พ.ศ .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน
ในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนในท้องที่แขวงฉิมพลี แขวงตลิ่งชัน
แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงอรุณอมรินทร์
แขวงบางขุนนนท์ แขวงบางขุนศรี แขวงศิริราช แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย
แขวงชนะสงคราม แขวงบ้านพานถม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงพระบรมมหาราชวัง
เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงคลองมหานาค แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
แขวงสวนจิตรลดา แขวงสี่แยกมหานาค เขตดุสิต แขวงทุ่งพญาไท แขวงถนนเพชรบุรี
แขวงถนนพญาไท แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี แขวงปทุมวัน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน
แขวงสามเสนใน เขตพญาไท แขวงรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง และแขวงห้วยขวาง
เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนและกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
(โครงการรถไฟฟ้า สายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย)
เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค
และเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม ที่เห็นควรคำถึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับโบราณสถาน
ทั้งที่ตั้งอยู่เหนือพื้นดินและใต้ดินหรือใกล้เคียงกับแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้ม
รวมทั้งต้องคำนึงถึงผลกระทบของการดำเนินการในเขตกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้ง ๔ เขต ได้แก่
กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก พื้นที่ฝั่งตรงข้ามบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์
และพื้นที่ต่อเนื่องบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีโบราณสถานสำคัญตั้งอยู่อย่างหนาแน่น
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
53 | การกำหนดสินค้าควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ 2542 | พณ. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุมปี ๒๕๖๗ จำนวน ๕ รายการ ได้แก่ (๑) หน้ากากอนามัย (๒)
ใยสังเคราะห์ Polypropylene (Spunbond)
เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย (๓)
ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ (๔) เศษกระดาษ
และกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก และ (๕) ไก่ เนื้อไก่
ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันพุธที่
๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ ๓๐
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๗ เพื่อให้สิ้นสุดผลบังคับใช้พร้อมกับสินค้าและบริการ จำนวน ๕๑
รายการ ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ ๙ พ.ศ. ๒๕๖๖ เรื่อง
การกำหนดสินค้าและบริการควบคุม และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
54 | การพิจารณารับรองวัดคาทอลิก ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก พ.ศ. 2564 | วธ. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการรับรองวัดคาทอลิก จำนวน ๔๑ วัด
เป็นวัดคาทอลิกตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก
พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เห็นว่า ๑) ควรพิจารณาจัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
(Universal Design
: UD) อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และปลอดภัย ให้ครบทั้ง ๕ ด้าน
ได้แก่ ทางลาด ห้องน้ำ ที่จอดรถ ป้ายสัญลักษณ์ และบริการข้อมูล
เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง สามารถประกอบศาสนกิจ
และกิจกรรมต่าง ๆ ภายในวัดคาทอลิกได้อย่างสะดวกถ้วนหน้า
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาจัดกิจกรรมยกย่อง เชิดชูเกียรติองค์กรศาสนาที่มีผลงานดีเด่นในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่องค์กร บุคลากร และผู้ร่วมปฏิบัติงานให้แก่องค์กรศาสนานั้น
ๆ พร้อมทั้งมีการยกย่ององค์กรศาสนาต้นแบบที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่องค์กรศาสนาอื่น
ๆ ในการมีส่วนร่วมพัฒนาสังคมหรือให้การสนับสนุนด้านสังคม เช่น
การจัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตประจำชุมชน เป็นต้น ๒) ควรให้มีรั้วแสดงขอบเขตของวัดคาทอลิกและโรงเรียนในระบบออกจากกันอย่างชัดเจน
โดยขนาดที่ดินที่เป็นที่ตั้งโรงเรียนที่เหลืออยู่จะต้องเป็นไปตามกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบฯ
พร้อมทั้งให้โรงเรียนในระบบดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงรายการในตราสารจัดตั้งและขอเปลี่ยนแปลงขนาดที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนในระบบต่อผู้อนุญาตที่กำกับดูแล
แล้วแต่กรณี หรือดำเนินการอย่างอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนกำหนดต่อไป
และ ๓) กรณีการถือครองที่ดินว่า
ถึงแม้วัดคาทอลิกจะได้รับความเห็นชอบในการจัดตั้งตามมติคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคำขอจัดตั้งวัดคาทอลิกโดยชอบแล้ว
แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงที่ตั้งของวัดคาทอลิกด้วยประการใด ๆ
ก็ตามซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นใหม่นั้น
วัดคาทอลิกจำเป็นที่จะต้องมีการยื่นขอความเห็นชอบดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคำขอจัดตั้งวัดคาทอลิกตามระเบียบฯ
อีกครั้งหนึ่ง
รวมทั้งเห็นควรเชิญผู้แทนกรมป่าไม้เข้าร่วมเป็นองค์ประกอบในคณะกรรมการฯ
เพื่อร่วมตรวจสอบที่ดินอันเป็นที่ตั้งของวัดคาทอลิกซึ่งมีความเป็นไปได้ที่อาจทับซ้อนกับพื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติให้เกิดความชัดเจนและรัดกุมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
55 | นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และปลาป่น) ปี 2567 - 2569 | พณ. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง
และปลาป่น) ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ (ครั้งที่ ๘๑)
เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๖ โดยให้ใช้ดำเนินการได้เฉพาะปี ๒๕๖๗ เท่านั้น
และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ประเด็นกากถั่วเหลือง
ประเทศไทยควรระมัดระวังไม่ให้เงื่อนไขที่กำหนดให้ผู้มีสิทธินำเข้ารับซื้อกากถั่วเหลืองที่ผลิตจากเมล็ดถั่วเหลืองในประเทศทั้งหมดในราคาที่กำหนดถูกใช้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่สินค้ากากถั่วเหลืองของประเทศไทย
และทำให้สินค้ากากถั่วเหลืองจากต่างประเทศเสียเปรียบในด้านการแข่งขัน
ซึ่งอาจขัดต่อพันธกรณีด้านการประติบัติเยี่ยงคนชาติ (national treatment) ตาม Article
III:4 ของความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (General
Agreement on Tariffs and Trade : GATT) ควรกำกับดูแลและตรวจสอบการนำเข้าอย่างเข้มงวด
เพื่อควบคุมการนำเข้าสินค้าให้ตรงกับการสำแดงพิกัดอัตราภาษีศุลกากร
และป้องกันการลักลอบการนำเข้าอย่างผิดกฎหมายซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อราคาผลผลิตในประเทศได้
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการนโยบายอาหาร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนการส่งเสริมและพัฒนาการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
การเพาะปลูกถั่วเหลือง และการผลิตปลาป่น
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลการผลิตและเพิ่มรายได้แก่เกษตรกร
และเพื่อลดการนำเข้าสินค้าเกษตรดังกล่าว แล้วให้นำแผนฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน
๓ เดือน ทั้งนี้
ในส่วนของแผนการส่งเสริมและพัฒนาการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้พิจารณาเชิญชวนรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมดำเนินการในรูปแบบการจัดทำการเกษตรพันธสัญญา
(Contract Farming) และให้กำหนดเงื่อนไขในการดำเนินการเพื่อป้องกันปัญหาการเผาเศษซากข้าวโพดภายหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตและการเกิดมลพิษทางอากาศ
(PM2.5) ด้วย ๓.
มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลต้นทุนการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์
เช่น ราคาปุ๋ย ให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่เกษตรกรให้มากที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
56 | การเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย นมและครีม ปี 2566 เพิ่มเติม | กษ. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย
นมและครีม ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม ปริมาณ ๑๐,๐๓๑.๕๕ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๕ มติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม
ในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๖
และเนื่องจากการขอโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม เป็นการพิจารณาจัดสรรให้กับผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
จึงให้ยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ และเห็นชอบในการเปิดตลาดนำเข้านมและครีม
ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม ปริมาณ ๗๐๐.๑๘ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๒๐
มติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๒
กันยายน ๒๕๖๖ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นผู้บริหารการจัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย
นมและครีม ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติมดังกล่าว ให้กับผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
โดยต้องนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ และต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปริมาณน้ำนมดิบของไทย เพื่อไม่ให้การเปิดตลาดนำเข้าดังกล่าว
ส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงโคนมของไทย ทั้งนี้ การเปิดตลาดนำเข้าเพิ่มเติมดังกล่าว
สอดคล้องกับความตกลงว่าด้วยการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ที่ไทยผูกพันไว้ การเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยนมและครีม ปี ๒๕๖๖
เพิ่มเติม ต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร และควรให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในระยะยาว
โดยนำข้อมูลพยากรณ์อุปสงค์และอุปทานของน้ำนมดิบภายในประเทศมาวางแผนการจัดสรรโควตานำเข้าสินค้าในกลุ่มนมและผลิตภัณฑ์นมให้มีความถูกต้อง
เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการและไม่กระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศ
ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในการวางแผนธุรกิจของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนมของไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
และผู้บริโภคภายในประเทศเป็นผู้บริหารการจัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย นมและครีม
ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม
ให้กับผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
ทั้งนี้ การเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยนมและครีม ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม
ต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง
ขออนุมัติปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนม)
ที่ให้ทบทวนแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรโคนมให้เหมาะสมและตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืนต่อไป เช่น
การลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตน้ำนมโค การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับอุตสาหกรรมนมและผลิตภัณฑ์นมของไทย
การจูงใจให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมเพื่อการส่งออกนำน้ำนมดิบจากเกษตรกรโคนมในประเทศมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตทดแทนการนำเข้า
๓.
ให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมในการดำเนินการเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมโคนมและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภายในประเทศจากการยกเลิกโควตาภาษีสินค้าเกษตรทั้งหมดตามความตกลงต่าง
ๆ เช่น ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) และความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์
(TNZCEP) ในปี ๒๕๖๘ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
57 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี 2567 ถึงปี 2569 พ.ศ. .... | พณ. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียนสำหรับปี ๒๕๖๗
ถึงปี ๒๕๖๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียนสำหรับปี
พ.ศ. ๒๕๖๗ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๙ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้แก้ไขชื่อร่างประกาศและกำหนดระยะเวลาการใช้บังคับของร่างประกาศดังกล่าวให้เป็นไปตามความเห็นของคณะรัฐมนตรี
และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าคณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาให้ความเห็นชอบได้ตามที่เห็นสมควร
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
58 | มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 | นร.13 | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ สรุปได้ ดังนี้ (๑) เรื่องเพื่อทราบ
จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑) รับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายฯ
ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง
แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายฯ มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๖
โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒) รับทราบความคืบหน้าของการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
๓) รับทราบการนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในราชการตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔, ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ และ ๑๖ ตุลาคม
๒๕๖๖) และ ๔) รับทราบมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า และ (๒)
เรื่องเพื่อพิจารณา รวม ๕ เรื่อง ได้แก่ ๑) การแก้ไขหลักเกณฑ์ภายใต้มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
(EV3) ๒) มาตรการ EV3.5 คณะกรรมการนโยบายฯ
ได้พิจารณามาตรการ EV3.5 เพื่อให้มีผลใช้บังคับในช่วงปี ๒๕๖๗-๒๕๗๐
โดยครอบคลุมทั้งรถยนต์นั่ง รถกระบะและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
รวมถึงสิทธิประโยชน์สำหรับรถยนต์แต่ละประเภทด้วย ๓) สนับสนุนงบประมาณสำหรับมาตรการ
EV3 ในส่วนที่ขาด และ EV3.5 ๔) การขยายเวลาสิทธิประโยชน์ภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล
(ECO Car) และ ๕) การปรับปรุงกระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญสำหรับรถยนต์นั่งในเขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรี
(Free Zone) : คณะกรรมการนโยบายฯ
ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่เห็นควรกำหนดเป้าหมายในการสนับสนุน
Eco Car ที่ชัดเจน
โดยหลังจากขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยซน์ด้านภาษีสรรพสามิตในครั้งนี้แล้ว
ควรใช้อัตราภาษีตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสินค้ารถยนต์ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่
๑ มกราคม ๒๕๖๙ เป็นต้นไป หากมีการดำเนินกิจกรรม มาตรการ
หรือโครงการที่อาจก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต
รวมทั้งการยกเว้นหรือการลดภาษีอากรใด ๆ
หน่วยงานของรัฐต้องดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐต่อไป สำหรับงบประมาณในการดำเนินการตามมาตรการการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าดังกล่าว
สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙
ให้กรมสรรพสามิต ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต
โครงการการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ งบเงินอุดหนุน
เงินอุดหนุนทั่วไป รายการเงินอุดหนุนตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์
จำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเงินอุดหนุนตามมาตรการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๐
เห็นควรให้กรมสรรพสามิตเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
และควรพิจารณากำหนดแผนงานในส่วนของการดำเนินการตาม “มาตรการเพื่อพัฒนารถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล
(ECO Car) และรถกระบะในระยะต่อไป
ให้เป็นไปในทิศทางที่สอดรับกับแนวทางการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ”
ให้ชัดเจนต่อไปโดยเร็ว นอกจากเรื่องการส่งเสริมการผลิต และประเด็นการพัฒนารถยนต์ ECO
Car และรถกระบะ รวมถึงเป้าหมายการแก้ไขปัญหา PM 2.5 และการมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon neutrality ในขณะเดียวกัน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
59 | มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2566/67 | พณ. | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.รับทราบสถานการณ์การผลิตและการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ปี ๒๕๖๖/๖๗ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการ นบมส.
และช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรโดยไม่เร่งระบายผลผลิต
เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก
ซึ่งจะส่งผลให้ราคาที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
อนุมัติในหลักการมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๖/๖๗ และโครงการภายใต้มาตรการดังกล่าวของกระทรวงพาณิชย์
และให้ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑
โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน
๒๖,๖๗๐,๐๐๐ บาท
ให้กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในใช้จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ในโอกาสแรกก่อน
หากไม่เพียงพอให้กระทรวงพาณิชย์เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๒
โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
ปี ๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน ๓๘,๕๐๐,๐๐๐ บาท
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
โครงการในส่วนที่ใช้เงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและรัฐบาลได้มีการชดเชยให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในการดำเนินโครงการดังกล่าว
ให้กระทรวงพาณิชย์และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรร่วมกันพิจารณาอัตราการชดเชยให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าวข้างต้นอย่างแท้จริง
โดยอยู่ในอัตราที่เท่ากันกับอัตราการชดเขยของมาตรการที่มีการดำเนินการในลักษณะเดียวกันในสินค้าเกษตรอื่นและไม่ควรมากกว่าอัตราการชดเชยในอดีตที่ผ่านมาของโครงการในลักษณะเดียวกันเพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๓. ให้กำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินโครงการของทั้ง ๒
โครงการดังกล่าวข้างต้น เป็นตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖)
เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
60 | มาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ปี 2566/67 | พณ. | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.รับทราบสถานการณ์การผลิตและการตลาดมันสำปะหลัง ปี
๒๕๖๖/๖๗ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการ นบมส.
และช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการรับซื้อมันสำปะหลังโดยไม่เร่งระบายผลผลิตรวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกและสร้างศักยภาพการแปรรูปของเกษตรกร
ในการเพื่อรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังโดยเฉพาะในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก
ซึ่งจะส่งผลให้ราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
อนุมัติในหลักการมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำะหลัง ปี ๒๕๖๖/๖๗
และโครงการภายใต้มาตรการดังกล่าวของกรมการค้าภายในและของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและให้ดำเนินการ
ดังนี้ ๒.๑ โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกมันสำปะหลังปี
๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงพาณิชย์
โดยกรมการค้าภายในใช้จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้กระทรวงพาณิชย์เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๒
โครงการยกระดับศักยภาพการแปรรูปมันสำปะหลัง
ให้กรมการค้าภายในพิจารณาถึงหน้าที่และอำนาจและภารกิจของหน่วยดำเนินการ และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจและภารกิจหลักให้เป็นผู้ดำเนินการ
เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรด้านปัจจัยการผลิต
ดำเนินการอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
ลดภาระค่าใช้จ่ายและความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๓
โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี
๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน ๑๙,๒๕๐,๐๐๐ บาท
และ ๒.๔ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังปี
๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน ๔๑,๔๐๐,๐๐๐ บาท ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณร่ายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริง
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
โครงการในส่วนที่ใช้เงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและรัฐบาลได้มีการชดเชยให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงพาณิชย์และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรร่วมกันพิจารณาอัตราการชดเชยให้สอดคล้องกับภาระต้นทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างแท้จริง
โดยอยู่ในอัตราที่เท่ากันกับอัตราการชดเชยของมาตรการที่มีการดำเนินการในลักษณะเดียวกันในสินค้าเกษตรอื่นและไม่ควรมากกว่าอัตราการชดเชยในอดีตที่ผ่านมาของโครงการในลักษณะเดียวกันเพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๓.
ให้กำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินโครงการของโครงการต่าง ๆ
ดังกล่าวข้างต้นเป็นตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖) เป็นต้นไป
|