ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 15 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 281 - 300 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
281 | สรุปผลการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 4 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | นร.14 | 30/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง
ครั้งที่ ๔ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๔-๕ เมษายน ๒๕๖๖ ณ
เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
โดยมีเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม โดยผลการประชุมต่าง ๆ ประกอบด้วย (๑)
การประชุมรัฐมนตรีร่วมกับประเทศคู่เจรจา หุ้นส่วนการพัฒนาและพันธมิตรอื่น ๆ
เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๔ (๒)
การหารือทวิภาคีระหว่างเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หัวหน้าคณะผู้แทนไทย
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าคณะผู้แทน สปป.ลาว
(๓) การประชุมของนายกรัฐมนตรีประเทศสมาชิกอย่างไม่เป็นทางการ และ (๔)
การประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๔ (แบบเต็มคณะ) ซึ่งที่ประชุมได้รับรองปฏิญญาเวียงจันทน์ ค.ศ. ๒๐๒๓ (ไม่ลงนาม)
โดยมีการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอของฝ่ายไทยที่ต้องการเน้นย้ำความสำคัญของการแบ่งปันข้อมูลการดำเนินโครงการใช้น้ำอย่างสม่ำเสมอและทันเวลา
เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบข้ามพรมแดนที่อาจจะเกิดจากการดำเนินโครงการดังกล่าว
รวมถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมของลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
282 | การพัฒนาพื้นที่เก็บกักน้ำทดแทนบึงเสือดำในพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (มักกะสัน) | สกพอ. | 16/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการพัฒนาพื้นที่เก็บกักน้ำทดแทนบึงเสือดำในพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
(มักกะสัน) เพื่อให้สามารถพัฒนาพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
(มักกะสัน) ได้เต็มศักยภาพ ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรกำกับติดตามการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในสัญญาร่วมลงทุนอย่างใกล้ชิด
เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
283 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2566 | นร.11 สศช | 16/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๕/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๖ โดยอนุมัติให้จังหวัดเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
๕๘ โครงการ กรอบวงเงิน ๒๑๙.๓๐๕๐ ล้านบาท มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย
เร่งดำเนินการประสานจังหวัดในการตรวจสอบการดำเนินโครงการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในกรณีที่จังหวัดไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีให้จังหวัดเร่งดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
และ/หรือเสนอขอยกเลิกการดำเนินโครงการตามขั้นตอนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งปรับปรุงรายละเอียดของโครงการในระบบ eMENSCR
ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
พร้อมทั้งเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
รายงานผลสัมฤทธิ์และคืนเงินกู้เหลือจ่าย (ถ้ามี)
ตามระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและกระทรวงต้นสังกัดรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ชาติ เช่น ควรกำกับติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม ๒๕๖๔ เป็นไปตามเป้าหมาย และกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลโครงการ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
284 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 6/2566 | นร.11 สศช | 16/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๖ ประกอบด้วย (๑) อนุมัติให้สถาบันวัคซีน เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและทดสอบวัคซีน
และเภสัชภัณฑ์ในลิงมาร์โมเส็ท และโครงการศึกษาความปลอดภัย (Safety) ความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Immunogenicity) และประสิทธิภาพ (Vaccine Efficacy) ของแคนดิเดตซับยูนิตวัคซีน
สำหรับป้องกันโรคโควิด-๑๙
ที่ใช้พืชเป็นแหล่งผลิตในมนุษย์ระยะที่ ๒a โดยขยายระยะเวลาดำเนินโครงการทั้งสอง
เป็นสิ้นสุดภายในวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ (๒) มอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานดำเนินโครงการจัดทำรายงานความก้าวหน้าของโครงการและแผนการดำเนินงานที่ได้มีการปรับแผนพร้อมการบริหารความเสี่ยง
เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการดำเนินโครงการฯ จะสามารถแล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
(๓) อนุมัติให้จังหวัดเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
๔๑ โครงการกรอบวงเงิน ๒๐๓.๒๔๗๖ ล้านบาท (๔) มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย เร่งดำเนินการประสานจังหวัดในการตรวจสอบการดำเนินโครงการของหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการโดยใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยกรณีที่จังหวัดไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรี
ให้เร่งรัดจังหวัดดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการและ/หรือเสนอขอยกเลิกการดำเนินโครงการตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ต่อไป และ (๕) มอบหมายให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการ
เร่งปรับปรุงรายละเอียดของโครงการในระบบ eMENSCR ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
พร้อมทั้งเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและกระทรวงต้นสังกัดรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และบรรลุผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามที่กำหนดไว้
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
285 | รายงานประจำปีคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | ยธ. | 11/04/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.)
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ (๑)
ภาพรวมสถานการณ์กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓ เช่น
ข้อมูลสถิติจำนวนคดีที่รับแจ้งความและการจับกุมผู้ต้องหา (๒) ผลการดำเนินงานของ
กพยช. และคณะอนุกรรมการภายใต้ กพยช. จำนวน ๖ คณะ เช่น การจัดทำร่างพระราชบัญญัติประวัติอาชญากรรม
พ.ศ. .... (๓) ผลการดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ของ กพยช. ตามพระราชบัญญัติพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๙ (มาตรา ๑๐) เช่น จัดทำร่างแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่
๔ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๙) และจัดทำร่างแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม
ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๙) (๔)
การขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕)
เช่น รายงานผลการดำเนินการโครงการสำคัญภายใต้แผนแม่บทฯ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
มีการดำเนินโครงการทั้งสิ้น ๑๖๔ โคงการ และใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๔,๘๑๘.๔๖ ล้านบาท และ (๕)
ผลการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการเพื่อสนับสนุนภารกิจของ กพยช. เช่น
พัฒนาข้อมูลและสถิติที่สำคัญต่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรม
และประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการบริหารงานยุติธรรม
โดยนำเสนอผ่านรูปภาพและภาษาที่เข้าใจได้ง่ายในรูปแบบอินโฟกราฟิก โมชั่นกราฟิก วิดีโอ
และบทความ รวมถึงช่องทางออนไลน์ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
286 | รายงานสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมใหญ่คณะกรรมการนโยบายด้านกฎหมาย (Regulatory Policy Committee - RPC) ครั้งที่ 27 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง | นร.09 | 11/04/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมใหญ่คณะกรรมการนโยบายด้านกฎหมาย
(Regulatory Policy
Committee-RPC) ครั้งที่ ๒๗ ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(OECD) และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๔-๖
ธันวาคม ๒๕๖๕ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยได้รายงานสรุปผลการเข้าร่วมประชุม
ดังนี้ (๑) สรุปผลการประชุมใหญ่คณะกรรมการนโยบายด้านกฎหมาย (Regulatory
Policy Committee-RPC) ครั้งที่ ๒๗
มีหัวข้อการประชุม ๓ หัวข้อ ได้แก่ ๑) การออกกฎหมายเพื่อผลลัพธ์ที่ดี
โดยมีประเด็นอภิปราย ๔ ประเด็น คือ การพิจารณาว่าด้วยกฎระเบียบเป็นทรัพย์สิน
ความเชื่อมั่นในกฎระเบียบและหน่วยงานกำกับดูแล การกำกับดูแลเพื่อผลลัพธ์
และการกำกับดูแลเพื่ออนาคต ๒)
ความท้าทายในการส่งเสริมนโยบายการกำกับดูแลในระดับต่าง ๆ ของรัฐ และ ๓)
ความคืบหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของ OECD และ( ๒) สรุปผลการหารือระดับทวิภาคีกับเจ้าหน้าที่ของ
OECD
เพื่อขับเคลื่อนโครงการความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กับ OECD ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
287 | การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | นร. | 04/04/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติกำชับให้กระทรวงการคลัง
คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระมัดระวังในการเก็บรักษาข้อมูลอย่างรอบคอบ
รัดกุม รวมทั้งให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ และ ๒๘ กุมภาพันธ์
๒๕๖๖ อย่างเคร่งครัด
โดยไม่ให้เผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแก่สาธารณชน
หรือนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการตามอำนาจหน้าที่อย่างเด็ดขาด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
288 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ ส.88/2561 คดีหมายเลขแดงที่ ส.9/2566 ระหว่างเครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม ที่ 1 กับพวกรวม 12 คน ผู้ฟ้องคดี คณะรัฐมนตรี ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (การดำเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา) | อส. | 28/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ ส.๘๘/๒๕๖๑ คดีหมายเลขแดงที่ ส.๙/๒๕๖๖ ระหว่างเครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม ที่ ๑ กับพวกรวม ๑๒ คน
ผู้ฟ้องคดี คณะรัฐมนตรี ที่ ๑ กับพวกรวม ๔ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง
คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(การดำเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา) โดยไม่ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลปกครองกลางในส่วนของคณะรัฐมนตรี
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคดีปกครอง สำนักงานอัยการสูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
289 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมาตรการคู่ขนาน ปี 2565/66 และปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) | พณ. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
และเห็นชอบหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๕/๖๖
กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๗๑๖,๑๐๐,๙๙๒ บาท หลักการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ปี ๒๕๖๕/๖๖ จำนวน ๑ โครงการ ได้แก่
โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
ปี ๒๕๖๕/๖๖ กรอบวงเงินรวม ๓๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาแหล่งเงินเพื่อดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
และมาตรการคู่ขนาน ปี ๒๕๖๕/๖๖ ตามความจำเป็นเหมาะสม
โดยต้องไม่เกินกรอบวงเงินตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ หรืองบกลาง หรือแหล่งเงินอื่น ๆ ตามความจำเป็นต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรนำผลการดำเนินงานในอดีตมาประกอบการพิจารณาถึงความเหมาะสมและจำเป็นและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติ
พิจารณาแหล่งเงินในการดำเนินโครงการดังกล่าว ให้ทันต่อระยะเวลาโครงการที่กำหนดไว้
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานตามจริง
และควรพิจารณากำหนดแนวทางการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการที่สะท้อนผลลัพธ์ของโครงการได้อย่างแท้จริง
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบาย หรือปรับปรุงเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมกับสถานการณ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบัน
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาคเอกชน เร่งรัดจัดทำระบบ
หรือกลไกตรวจสอบแหล่งที่มาของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ได้มาตรฐานและน่าเชื่อถือ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
290 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) | กค. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) โดยปรับปรุงคุณสมบัติของผู้ขอรับสินเชื่อ
ปรับปรุงวงเงินโครงการฯ ปรับวงเงินกู้ต่อรายและขยายระยะเวลาเงินกู้
ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายสินเชื่อของธนาคารออมสิน และเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น
ให้ธนาคารกำหนดหลักเกณฑ์และกระบวนการในการให้สินเชื่อกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
ธนาคารออมสิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
ควรมีการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ ๓ จังหวัด
รับรู้และสามารถเข้ามาตรการในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินจากภาครัฐได้อย่างทั่วถึง
ควรกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และกระบวนการสินเชื่อของธนาคาร
และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการให้มีความชัดเจนเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
291 | ขอความเห็นชอบ (ร่าง) ข้อตกลงความร่วมมือโครงการเสริมสร้างความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลุ่มน้ำของประเทศไทย ด้วยการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและการเกษตรแบบยั่งยืน | กษ. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง)
ข้อตกลงความร่วมมือโครงการเสริมสร้างความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลุ่มน้ำของประเทศไทย
ด้วยการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและการเกษตรแบบยั่งยืน
โดยมีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนกระบวนการบริหารจัดการน้ำโดยคำนึงถึงสภาพภูมิอากาศ
โดยส่งเสริมให้เกษตรกรที่ประสบภัยแล้งและน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน
ในเขตจังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย และอุตรดิตถ์
ให้สามารถปรับตัวและประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีการดำเนินการที่สำคัญ
เช่น
การจัดทำฐานข้อมูลและระบบคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเพื่อนำไปปรับปรุงการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
และการปรับปรุงงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
(กรมชลประทาน) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรกำกับติดตามการดำเนินโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้กรอบระยะเวลาโครงการที่กำหนด
เพื่อให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมในการเพิ่มศักยภาพการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอากาศของภาคเกษตรในกลุ่มเป้าหมายของโครงการ
การพิจารณานอกเหนือจาก (ร่าง) ข้อตกลงฯ ขอให้คำนึงถึงการดำเนินการที่จะกระทำได้ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย
ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับแผนงาน/โครงการด้านทรัพยากรน้ำจากคณะกรรมการลุ่มน้ำที่เกี่ยวข้อง
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ให้ถูกต้อง เหมาะสม ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน (ร่าง)
ร่างข้อตกลงความร่วมมือโครงการเสริมสร้างความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลุ่มน้ำของประเทศไทย
ด้วยการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและการเกษตรแบบยั่งยืน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
292 | การขอความเห็นชอบโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง | พม. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของแผนงานและงบประมาณโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง
(ระยะเวลาการดำเนินโครงการ ๕ ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐ วงเงินทั้งสิ้น ๗,๗๑๘.๙๔
ล้านบาท) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
๒๕๖๖ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ [สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)] ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ [สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
(องค์การมหาชน)] รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(ตามหนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร
๑๑๐๕/๖๕๔๐ ลงวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕) เช่น ควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และพื้นที่ดำเนินโครงการที่อยู่ในแผนการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์
ซึ่งมีรูปแบบเป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน
ควรกำหนดสัดส่วนแหล่งเงินทุนดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง
ที่มาจากภาคเอกชนด้วย เพื่อลดภาระทางการคลังของภาครัฐ
และเพื่อให้ภาคเอกชนในฐานะผู้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนามีบทบาทช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
ทั้งในรูปของตัวเงินหรือการสนับสนุนอื่น ๆ อาทิ การจ้างงาน การพัฒนาอาชีพ
หรือการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
293 | โครงการโคล้านครอบครัว | สทบ. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการโครงการโคล้านครอบครัว
วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้รัฐชดเชยต้นทุนการเงินให้สถาบันการเงิน
(ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) อัตราร้อยละ ๔ บาทต่อปี ภายในวงเงิน ๖๐๐
ล้านบาท โดยในปีแรกให้ใช้งบประมาณจากโครงการเพิ่มทุนกองหมู่บ้านและชุมชนเมือง
ระยะที่ ๓ จำนวน ๓๕๐ ล้านบาท เพื่อชดเชยต้นทุนการเงินให้กับสถาบันการเงิน
ภายในวงเงิน ๒๐๐ ล้านบาท และงบประมาณบริหารโครงการ ภายในวงเงิน ๑๕๐ ล้านบาท
และให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สบท.)
ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อชดเชยต้นทุนการเงินให้สถาบันการเงิน ในปีที่ ๒-๔
ภายในวงเงิน ๔๐๐ ล้านบาท
และมอบหมายให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ดำเนินโครงการตามอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เป้าหมายของโครงการและเจตนารมณ์ของรัฐบาลต่อไป
ตามที่สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ควรมีการติดตามตรวจสอบคุณสมบัติของกองทุนหมู่บ้านฯ
ที่จะเข้าร่วมโครงการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขที่กำหนด
และควรดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่มีความเชี่ยวชาญหรือหน่วยงานภายนอกที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปศุสัตว์
ทำหน้าที่ตรวจรับรองการได้มาของโค น้ำเชื้อ และเวชภัณฑ์ รวมทั้งค่าผสมเทียม
มีการจัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการภาครัฐต่อภาระทางการคลังในภาพรวมให้สอดคล้องกับรายรับ
และพิจารณาถึงความสามารถของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่จะเสนอตั้งงบประมาณรองรับ รวมถึงภาระทางการคลังทั้งในปัจจุบันและอนาคต
และควรให้ความสำคัญในการจัดทำหลักเกณฑ์การคัดเลือกเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำทางวิชาการและการบริหารจัดการแก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
ตลอดจนกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานโครงการอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อให้การดำเนินโครงการประสบความสำเร็จและมีความยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
294 | ขออนุมัติโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 4G/5G บนคลื่น 700 MHz ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) | ดศ. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่
๔G/๕G บนคลื่น ๗๐๐ MHz กรอบวงเงินลงทุนรวมประมาณ ๓๐,๖๐๒ ล้านบาท และรับทราบกรอบวงเงินของค่าใชจ่ายในการดำเนินโครงการ
(งบทำการ) ๓๑,๐๒๖ ล้านบาท ของ บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ
และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ
จำกัด (มหาชน) รับความเห็นของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตามหนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร
๑๑๐๖/๑๓๕๒ ลงวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖ ไปดำเนินการต่อไปด้วย
และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ประสานกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เพื่อร่วมกันพิจารณากำหนดนิยามเกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคมที่ถือเป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน
อาทิ การให้บริการโทรศัพท์ประจำที่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ บริการอินเทอร์เน็ต
ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้บริการโทรคมนาคมในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปตามแนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยี
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ประกอบการกำหนดภารกิจของหน่วยงานภาครัฐรวมถึง
บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะช่วยให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ ทั้งนี้กรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่า
การให้บริการโทรศัพท์ประจำที่ถือเป็นการให้บริการโทรคมนาคมขั้นพื้นฐาน
อาจจะพิจารณารูปแบบการสนับสนุนเงินลงทุนและค่าบำรุงรักษาโครงข่าย (บางส่วน)
ให้แก่ผู้ให้บริการจัดให้มีบริการดังกล่าวโดยใช้จ่ายจากเงินค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด
(มหาชน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและมติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๕๔๔๓
ลงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๕)
ที่ควรเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้งานจากเทคโนโลยี ๕G ที่หลากหลายเพิ่มขึ้น
โดยอาจจะเริ่มต้นจากเมืองที่มีความพร้อมของบุคลากรและมีความสามารถในการลงทุนและประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและข้อมูลที่เกิดจากโครงการฯ
ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาเมืองสู่เมืองอัจฉริยะได้อย่างแท้จริง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
295 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการฟื้นฟู เตรียมความพร้อม และเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) กลุ่มอาชีพในชุมชน หลังสถานการณ์โควิด ด้วยองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ภายใต้แนวคิดการพัฒนาท้องถิ่นอย่างมั่นคงตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG | อว. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
จำนวน ๕๑๔,๒๒๑,๓๐๐ บาท เพื่อดำเนินโครงการฟื้นฟู
เตรียมความพร้อม และเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) กลุ่มอาชีพในชุมชน หลังสถานการณ์โควิด ด้วยองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ วิจัย
และนวัตกรรม ภายใต้แนวคิดการพัฒนาท้องถิ่นอย่างมั่นคงตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
(มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี) บูรณาการและพิจารณาตรวจสอบภารกิจไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับโครงการภาครัฐที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน
(ตามหนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๑๗๑๑.๒/๕๖๖๙ ลงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖)
รวมทั้งให้ควบคุม กำกับ และตรวจสอบการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
โปร่งใส ถูกต้อง ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒.
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
296 | ขออนุมัติดำเนินโครงการทางพิเศษฉลองรัชส่วนต่อขยาย (ช่วงจตุโชติ - ถนนลำลูกกา) ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการทางพิเศษฉลองรัชส่วนต่อขยาย (ช่วงจตุโชติ-ถนนลำลูกกา) ระยะทาง ๑๖.๒๑ กิโลเมตร
มูลค่าการลงทุนโครงการ ๒๔,๐๖๐.๐๔ ล้านบาท ประกอบด้วย
ค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงาน ๒๐,๓๓๓.๒๓ ล้านบาท และค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
๓,๗๒๖.๘๑ ล้านบาท และอนุมัติแหล่งเงินทุนสำหรับดำเนินโครงการค่าจัดทำกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดในวงเงิน
๓,๗๒๖.๘๑ ล้านบาท
โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทยขอรับการสนับสนุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดจากรัฐบาล
ค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยใช้เงินทีได้จากการระดมทุนผ่านกองทุน
TFF ที่มีอยู่เป็นจำนวนเงิน ๑๔,๓๗๔ ล้านบาท และออกพันธบัตรเพิ่มเติมในกรอบวงเงินประมาณ
๕,๙๖๐ ล้านบาท โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเพื่อจัดหาแหล่งเงินลงทุนโครงการที่เหมาะสมต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ยกเว้นในส่วนของการดำเนินโครงการส่วนต่อขยายไปเชื่อมต่อกับถนนวงแหวนรอบนอก กรุงเทพมหานคร
รอบที่ ๓ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้
ให้กระทรวงคมนาคม (การทางพิเศษแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
(หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๙๐๗/๒๒๓๑ ลงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ รวมทั้งมติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยหารือร่วมกับกรมทางหลวงให้ได้ข้อยุติเรื่องรูปแบบการก่อสร้างส่วนต่อขยายทางพิเศษสายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี
ไปเชื่อมกับวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร รอบที่ ๓ (ส่วนต่อขยายทางพิเศษฯ) และการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าร่วมกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง
(MR-MAP)
ให้เรียบร้อยโดยเร็ว
การทบทวนการออกแบบโครงสร้างทางยกระดับของโครงการทางพิเศษสายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี
ให้มีความสอดคล้องกับกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน
ความคงทนของอาคารและพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว
พ.ศ. ๒๕๖๔ รวมทั้งแก้กฎกระทรวงให้ถูกต้อง
ควรเร่งเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างโครงการฯ
ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว เพื่อให้ก่อสร้างโครงการได้ตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้
กำกับการดำเนินโครงการฯ
ในช่วงก่อสร้างโดยให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยและการดำเนินการตามมาตรการผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
297 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลป่างิ้ว ตำบลศาลาแดง ตำบลย่านซื่อ ตำบลตลาดกรวด ตำบลบ้านรี อำเภอเมืองอ่างทอง และตำบลชัยฤทธิ์ อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง พ.ศ. .... | คค. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลป่างิ้ว ตำบลศาลาแดง ตำบลย่านซื่อ ตำบลตลาดกรวด ตำบลบ้านรี
อำเภอเมืองอ่างทอง และตำบลชัยฤทธิ์ อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลป่างิ้ว ตำบลศาลาแดง
ตำบลย่านซื่อ ตำบลตลาดกรวด ตำบลบ้านรี อำเภอเมืองอ่างทอง และตำบลชัยฤทธิ์
อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๗๗
ทางสายทางเลี่ยงเมืองอ่างทอง ตอนทางเลี่ยงเมืองอ่างทอง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าก่อนการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินทุกเส้นทาง
ขอให้กระทรวงคนนาคม (กรมทางหลวง)
ให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการก่อสร้างทางหลวงกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
เพื่อป้องกันปัญหาการระบายน้ำไม่ทัน
และอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมหรืออุทกภัยต่อไปในอนาคต กระทรวงคมนาคมควรตระหนักและให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎหมายในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาในครั้งต่อไป
และให้กรมทางหลวงเร่งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พร้อมทั้งการเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการรวมถึงร่างพระราชกฤษฎีกาที่เสนอในครั้งนี้
เพื่อให้กรมทางหลวงสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลการสำรวจและทราบข้อเท็จจริงของสภาพพื้นที่ที่ดำเนินโครงการ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
298 | ขอขยายเวลาดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการพาณิชย์...ลดราคา! ช่วยประชาชน ปี 2565 และโครงการพาณิชย์...ลดราคา! ออนทัวร์ ทั่วไทย | พณ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการพาณิชย์...ลดราคา! ช่วยประชาชน ปี ๒๕๖๕
สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
สำหรับดำเนินโครงการดังกล่าวไปจนถึงเดือนเมษายน ๒๕๖๖
เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี
ตามที่กระทรวงการคลังกำพหนด โดยให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
รวมทั้งรวบรวม ประมวลผล และประเมินความสำเร็จของโครงการ ปัญหาและอุปสรรค
ตลอดจนข้อเสนอแนะต่อการดำเนินโครงการลักษณะดังกล่าวข้างต้น
เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเมื่อสิ้นสุดโครงการด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีตามที่กระทรวงการคลังกำหนด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
299 | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในประเทศให้แก่เยาวชนที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระยะที่ 4) | อว. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในประเทศให้แก่เยาวชนที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ปีการศึกษา ๒๕๖๖-๒๕๗๐ (โครงการทุนอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ระยะที่ ๔) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
สนับสนุนการศึกษา (ค่าครองชีพ)
ระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาขาดแคลนตามความต้องการของพื้นที่
ยกระดับการศึกษาของเยาวชนที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ๕
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น
และส่งเสริมให้ผู้รับทุนมีจิตอาสาและจิตสาธารณะในการตอบแทนสถาบันอุดมศึกษาที่ตนเองศึกษาอยู่
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความพร้อมความจำเป็นและความเหมาะสมที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณ
โดยคำนึงถึงความซ้ำซ้อน ศักยภาพของสถานศึกษาในการรองรับการเรียนการสอน
ความเป็นธรรมในการจัดสรรทุน
และควรจัดให้มีระบบติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการในทุก ๆ
ปีการศึกษา เพื่อนำผลมาใช้เป็นแนวทางในการขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป
รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.
๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงาน
ก.พ. เช่น ควรให้ความสำคัญกับการควบคุม และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ควรทบทวนกรอบสาขาวิชาที่ให้ทุน
โดยวิเคราะห์เพิ่มเติมให้ครอบคลุมสาขาในสายวิชาชีพที่มีความขาดแคลนและความต้องการกำลังคนตามทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่ในอนาคต
และควรศึกษาในเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุที่ผู้รับทุนลาออกหรือพ้นสภาพการศึกษาก่อนสำเร็จการศึกษาเพื่อการกำหนดกรอบการจัดสรรทุนที่เหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
300 | โครงการสลากการกุศลเพิ่มเติม | กค. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบให้มีการออกสลากการกุศลเพื่อสนับสนุนโครงการที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล
จำนวน ๓ โครงการ วงเงินรวม ๙๒๑.๔๕ ล้านบาท
เพื่อสนับสนุนโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมอย่างทั่วถึงในวงกว้าง ๑.๒
มอบหมายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย
และจ่ายเงินรางวัลสลากการกุศล
รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนเกี่ยวกับการออกสลากการกุศล
การขออนุญาตการออกสลากการกุศล การนำส่งเงินให้หน่วยงานเจ้าของโครงการสลากการกุศล
และการจัดทำแผนการออกสลากการกุศลและแผนการใช้เงินของแต่ละโครงการ
และรายงานต่อคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล เพื่อประโยชน์ในการกำกับ
ติดตามการดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๑.๓
มอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล
กำหนดระยะเวลาในการผูกพันวงเงินของโครงการที่ได้รับการสนับสนุน
กำกับติดตามเร่งรัดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามแผนการออกสลากการกุศลและแผนการใช้เงินตามที่เสนอมา
และหากเกิดกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถผูกพันวงเงินได้ตามกำหนด
ให้ยกเลิกวงเงินดังกล่าว
หรือให้หน่วยงานเจ้าของโครงการชี้แจงเหตุผลความจำเป็นเพื่อขออนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล
จะขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการใช้เงินภายในโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงเป็นกิจกรรมที่แตกต่างจากโครงการที่ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๒.
ให้กระทรวงการคลัง คณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจำแนกกิจกรรมภายใต้โครงการ
เพื่อให้การจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินมีความชัดเจน
และควรมีการกำกับ ติดตามการดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|