ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 17 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 321 - 340 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
321 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ | กษ. | 31/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์
จากเดิมสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ตามปริมาณงานที่ยังเหลือ และตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมการข้าว)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรพัฒนาช่องทางการขายข้าวอินทรีย์ เช่น การค้าออนไลน์
เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรง
ตลอดจนพัฒนาการตลาดและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทุกช่วงวัย
ให้ความสำคัญกับการควบคุมและกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย
ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ควรให้มีการกำกับติดตามประเมินผลความสำเร็จการดำเนินงานของโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
โปร่งใส
บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรอย่างนั่งยืนและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทาง/มาตรการในการดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากข้าวอินทรีย์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทุกช่วงวัยทั้งในและต่างประเทศ
รวมทั้งพัฒนาช่องทางการตลาดของข้าวอินทรีย์และผลิตภัณฑ์จากข้าวอินทรีย์ให้ขยายเพิ่มมากขึ้น
เพื่อเป็นการส่งเสริมศักยภาพของข้าวอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
322 | โครงการเปลี่ยนรถโดยสารประจำทางสาธารณะของภาคเอกชนเป็นรถโดยสารประจำทางไฟฟ้า (รถร่วมบริการ) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร | ทส. | 31/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการลงนามในหนังสือการอนุญาต
(Letter of Authorization : LOA)
ให้ดำเนินโครงการเปลี่ยนรถโดยสารประจำทางสาธารณะภาคเอกชนเป็นรถโดยสารประจำทางไฟฟ้า
(รถร่วมบริการ) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง
เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวควรพิจารณาถึงความเป็นธรรมของการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น
เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานและราคาคาร์บอนเครดิตในประเทศต่ำกว่าในสมาพันธรัฐสวิส
และควรพิจารณาถึงความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์ของรถโดยสารไฟฟ้าในประเทศ
เพื่อรองรับการดำเนินโครงการเพื่อไม่ให้เกิดการเสียดุลการค้าและการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงประเด็นการจัดหาพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ให้เพียงพอ
เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
323 | การนำเสนออุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก | ทส. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบเอกสารการนำเสนออุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
เพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก
และเห็นชอบให้ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญามรดกโลกลงนามในเอกสารนำเสนออุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
เพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกต่อศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. การนำเสนอพื้นที่เพื่อการขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในครั้งต่อ
ๆ ไป
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำผลการศึกษาที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม
เกี่ยวกับความคุ้มค่าหรือประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก
รวมทั้งให้จัดทำข้อมูลการคาดการณ์ผลกระทบจากการดำเนินโครงการ/กิจกรรมของหน่วยงานต่าง
ๆ ในพื้นที่แหล่งมรกดกโลกที่อาจเกิดขึ้น (การสร้างถนน ทางรถไฟ
หรือระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ เป็นต้น) เพื่อเสนอเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกันด้วย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
324 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งจะต้องมีการก่อหนี้ผูกพันมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณสำหรับรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นหน่วยรับงบประมาณ | มท. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
จำนวน ๒ แห่ง รวม ๒ รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓,๐๓๙.๙๖๐๐ ล้านบาท
โดยยื่นเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ต่อสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้
โครงการดังกล่าวข้างต้นมีวงเงินงบประมาณมากสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลจะส่งผลกระทบวงเงินงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดสรรงบประมาณ ขอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาใช้จ่ายจากแหล่งเงินอื่นร่วมด้วย
เช่น เงินรายได้ หรือเงินสะสมคงเหลือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เงินกู้
เอกชนร่วมลงทุน แล้วแต่กรณี ในโอกาสแรก หรือประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
ตามภารกิจเพื่อดำเนินการแทน เช่น กรมชลประทาน และการประปาส่วนภูมิภาค เป็นต้น และขอให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ความประหยัด ภาระทางการคลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
และผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม ที่เห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
กระทรวงมหาดไทย หากส่งผลกระทบต่อโครงข่ายทางและสะพาน
หรือต้องขอใช้เขตทางของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท
ขอให้ประสานและขออนุญาตตามระเบียบที่เกี่ยวข้องก่อน
และหากมีการดำเนินการในพื้นที่ที่รับผิดชอบของกรมเจ้าท่า
ตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ขอให้ยื่นคำร้องขอทำสิ่งล่วงล้ำลำน้ำต่อกรมเจ้าท่าด้วย และให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลโดยเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
325 | ขออนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป (สภากาชาดไทย) | กช. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้สภากาชาดไทยนำรายการที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป โครงการศูนย์วัฒนธรรมและการผลิตยาชีววัตถุและยาปราศจากเชื้อ
สภากาชาดไทย เพื่อความมั่นคงทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ วงเงิน ๒,๒๕๓,๕๕๐,๐๐๐ บาท และโครงการเสริมสร้างศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตยาชีววัตถุและยาปราศจากเชื้อ
สถานเสาวภา สภากาชาดไทย เพื่อความมั่นคงทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ
จำนวน ๒,๒๑๖,๙๐๐,๐๐๐
บาท และค่าใช้จ่ายบริหารโครงการ จำนวน ๘๖,๖๔๐,๐๐๐ บาท รวมวงเงินทั้งสิ้น ๔,๕๕๗,๐๙๐,๐๐๐ บาท
เสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามนัยมาตรา ๒๖
ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้สภากาชาดไทยรับข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมีการจัดทำแผนการบริหารจัดการและใช้ประโยชน์ของสถานที่และเครื่องมือเครื่องจักรที่ดำเนินการผลิตในปัจจุบัน
ณ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย ถนนพระราม ๔
ภายหลังจากมีการย้ายการผลิตไปยังศูนย์นวัตกรรมและการผลิตยาชีววัตถุและยาปราศจากเชื้อแล้ว
และการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง ควรเพิ่มเติมประเด็นความเสี่ยงในกรณีที่การก่อสร้างมีความล่าช้าไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการได้
และแนวทางในการป้องกันความเสี่ยงจากระบวนการผลิตวัคซีน
ยาชีววัตถุและปราศจากเชื้อที่อาจมีปัญหารั่วไหลของสารเคมีเกิดขึ้น
โดยจัดทำแผนการป้องกันและรับมือกับการปนเปื้อนและรั่วไหลของสารเคมีและกำหนดผู้รับผิดชอบให้ชัดเจน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
326 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C | กค. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐
พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ พื้นที่โซน C ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.)
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงการคลัง
กำกับดูแลให้ ธพส. เร่งรัดการก่อสร้างโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งร่วมกับกรมธนารักษ์ในการประสานส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในการเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่โครงการฯ
เพื่อส่งเสริมการจัดระบบศูนย์ราชการและรับรองความต้องการใช้ประโยชน์พื้นที่เป็นสำนักงานของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ
ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างคุ้มค่า
ทั้งทางการเงินและเศรษฐกิจตามเป้าหมายที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.อนุมัติให้กระทรวงการคลังนำรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ พื้นที่โซน C เพื่อเป็นค่าเช่าอาคารให้กับ ธพส. เป็นเวลา ๓๐ ปี
และปรับปรุงอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗ ของอัตราค่าเช่าเดิมทุก ๓ ปี รวม ๓๐ ปี
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๙๘,๙๓๑,๒๙๓,๙๘๒ บาท
เสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามนัยมาตรา ๒๖
ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
327 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย พ.ศ. 2566-2568 และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ดศ. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศ
ภายในกรอบวงเงิน ๑,๕๑๔,๖๑๗,๒๐๐ บาท และอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ดำเนินโครงการดังกล่าว ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-พ.ศ. ๒๕๖๘
ในวงเงิน ๑,๕๑๔,๖๑๗,๒๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๔๒ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
เป็นกรณีเฉพาะราย สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๕๓,๘๒๐,๓๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗-พ.ศ. ๒๕๖๘
โดยให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. รับทราบการดำเนินโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทยให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาและปรับปรุงข้อมูลและเอกสารให้เป็นข้อมูลดิจิทัลตั้งแต่ต้นทาง
เพื่อให้มีความพร้อมที่จะเข้าสู่ระบบคลาวด์กลางได้อย่างครบถ้วน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดเก็บข้อมูล ของหน่วยงานสาธารณสุขระดับปฐมภูมิหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหลายแห่งยังขาดความพร้อมที่จะร่วมดำเนินการ
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดดำเนินความร่วมมือกับสถานพยาบาลต่าง
ๆ
นอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในการพัฒนาและเชื่อมโยงข้อมูลของสถานพยาบาลดังกล่าวเข้ากับระบบคลาวน์กลางด้านสาธารณสุขให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วน
เพื่อให้การเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยเป็นไปอย่างถูกต้อง และลวดเร็วต่อไป ๔.
ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะหน่วยงานระดับปฐมภูมิ
และทุติยภูมิให้ความสำคัญกับการปฏิรูปกระบวนการและขั้นตอนการปฏิบัติงาน
รวมถึงการลดการใช้เอกสารให้เหลือน้อยที่สุดและปรับเป็นข้อมูลดิจิทัลแทน
เพื่อให้สอดคล้องกับระบบงานคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
328 | ผลการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร-UNDP (Bangkok-UNDP Regional Innovation Center: RIC) ประจำปี พ.ศ. 2564 ความก้าวหน้าของกิจกรรมประจำปี พ.ศ. 2565 และการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ | นร.11 สศช | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
329 | โครงการพัฒนาเครือข่ายระบบด้านการดูแลสุขภาพจิต | สธ. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของโครงการพัฒนาเครือข่ายระบบด้านการดูแลสุขภาพจิต
ภายในระยะเวลา ๕ ปี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐
และกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการโครงการฯ จำนวน ๖๘๖.๐๗๕๑ ล้านบาท
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ และในปีงบประมาณต่อ
ๆ ไป ให้กระทรวงสาธารณสุข (กรมสุขภาพจิต) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๒/๒๖๕๙ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๕)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ.
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและสำนักงาน
ก.พ.ร. ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
กรมสุขภาพจิตควรพิจารณาจัดสรรจำนวนบุคลากรที่จะเข้ารับการอบรมไปยังพื้นที่ต่าง ๆ
โดยพิจารณาจากความจำเป็นของแต่ละเขตสุขภาพที่มีข้อมูลของผู้มีความเสี่ยงและต้องการได้รับการรักษาทางจิตเวชอย่างเร่งด่วนต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
330 | ขออนุมัติดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำกิ จังหวัดน่าน | กษ. | 17/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมชลประทานดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำกิ จังหวัดน่าน ภายในกรอบวงเงิน ๖,๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินโครงการ ๗ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗-พ.ศ. ๒๕๗๓)
โดยขอให้กรมชลประทานเร่งรัดการดำเนินการเตรียมความพร้อมด้านจัดหาที่ดินในการก่อสร้าง
พร้อมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายและก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัด
ตลอดจนปฏิบัติตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
สำหรับกรณีที่มีรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณ
และมีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติก่อน
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความพร้อม ความจำเป็นและเหมาะสม
ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมชลประทาน) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เช่น
ให้ความสำคัญกับการควบคุม และการกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการปฏิบัติตามมาตรการและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ควรรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำกิ
จังหวัดน่าน ต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำที่เกี่ยวข้องและ กนช. ทราบทุก ๖ เดือน
เพื่อติดตามและกำกับโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามแผนงานและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ควรเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย
ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
331 | รายงานประจำปี 2564 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | พณ. | 17/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๔ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา
(องค์การมหาชน) โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น (๑) การจัดฝึกอบรม ประชุม สัมมนา
ให้กับประชาชนและบุคลากรของภาครัฐและเอกชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
โดยครอบคลุมการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เช่น ด้านการค้า การลงทุน
และการพัฒนาระหว่างประเทศ (๒) การดำเนินโครงการวิจัย จำนวน ๖ โครงการ ในประเด็นเกี่ยวกับการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
เช่น โครงการศูนย์วิเคราะห์แนวโน้มด้านการค้าและการพัฒนา
และโครงการพัฒนาศักยภาพระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการค้าและการลงทุนกับประตูการค้าฝั่งตะวันตก
และเผยแพร่ผลงานวิชาการผ่านช่องทางต่าง ๆ และขยายเครือข่ายการสร้างองค์ความรู้และการให้บริการวิชาการเพื่อการค้าและการพัฒนาทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
332 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับกฎหมายลำดับรองประกอบพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 | สม. | 10/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับกฎหมายลำดับรองประกอบพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒
ของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รวบรวมผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยมีผลสรุปในภาพรวมว่า
การกำหนดรายละเอียดในกฎหมายลำดับรองให้แตกต่างหรือนอกเหนือไปจากบทบัญญัติในกฎหมายแม่บทที่ให้อำนาจในการตรากฎหมายลำดับรองไว้ไม่อาจกระทำได้
ดังนั้น การที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีข้อเสนอแนะให้ปรับปรุงแก้ไขร่างกฎหมายลำดับรอง
ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒
และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ ในประเด็นต่าง ๆ เช่น
การเพิ่มเขตคุ้มครองทางวัฒนธรรม กำหนดให้มีคณะกรรมการชุมชน
หรือคณะกรรมการที่ปรึกษาพื้นที่คุ้มครอง
หรือการแก้ไขระยะเวลาในการดำเนินโครงการให้เกินกว่ายี่สิบปีเป็นการดำเนินการที่เกินจากขอบวัตถุประสงค์ของกฎหมายแม่บทที่ให้อำนาจไว้
ซึ่งไม่อาจกระทำได้สำหรับกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้ดำเนินการแล้ว
ทั้งในรูปแบบการจัดประชุมและผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและจะดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ต่อไป
รวมทั้งการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทั้งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒
และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒
ได้กำหนดให้ต้องประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุก ๕ ปี นับแต่กฎหมายมีผลใช้บังคับ
ปัจจุบันกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ๓ ปี
จึงยังไม่มีข้อเท็จจริงที่จะนำไปประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายได้
ซึ่งจะประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายต่อไปเมื่อถึงระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่กำหนดไว้
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
333 | ผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุน (โดยวิธีการอนุญาต) สำหรับโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา รวมทั้งการสนับสนุนงบประมาณให้แก่กรมเจ้าท่าในการขุดลอกและบำรุงรักษาความลึกของร่องน้ำสงขลา | กค. | 10/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุน
(โดยวิธีการอนุญาต) สำหรับโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา ตามนัยมาตรา ๔๑
แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ตรวจสอบความถูกต้องในสัญญาและเอกสารแนบท้ายสัญญาต่าง
ๆ รวมทั้งความถูกต้องเหมาะสมด้านเทคนิค ด้านการเงิน และการกำหนดสัดส่วนค่าตอบแทนที่ภาครัฐจะได้รับตามที่ระบุไว้ในร่างสัญญาร่วมทุน
(โดยวิธีการอนุญาต) สำหรับโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลาและในเอกสารแนบท้ายสัญญาต่าง
ๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของรัฐเป็นสำคัญ ก่อนลงนามในสัญญาตามขั้นตอนต่อไป
ตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด (หนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ด่วนที่สุด ที่
อส ๐๐๐๗/๒๒๗๔ ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔)
ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการเป็นไปตามระเบียบ
กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลอย่างถูกต้องและครบถ้วนด้วย
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ในส่วนของการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำท่าเรือสงขลานั้น
ให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) เร่งรัดดำเนินการให้ได้ความลึกที่ระดับ ๙ เมตร
จากระดับน้ำลงต่ำสุดตามที่ได้กำหนดไว้ในแผนการขุดลอกร่องน้ำท่าเรือสงขลาในกรอบระยะเวลา
๒๕ ปี อย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถใช้งานร่องน้ำสงขลาในการคมนาคมขนส่งได้ตลอดเวลา
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการขุดลอกคูคลองและบำรุงรักษาร่องน้ำสงขลา
ให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
334 | การดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน | นร.52 | 03/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินแผนงาน/โครงการที่เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่
พ.ศ. ๒๕๖๖ ให้แก่ประชาชน จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) การพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน
เช่น สนับสนุนอาหาร วิตามินเสริม และบริการทางสุขภาพแม่และเด็ก จำนวน ๔๖,๘๑๙ ราย สนับสนุนอาหารกลางวันให้แก่โรงเรียนตาดีกา
และโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ จำนวน ๑,๘๗๕ แห่ง ๑๗๑,๓๒๔ คน และส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษามาลายู
ภาษาอาหรับ ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และภาษาตุรเครีย ไม่น้อยกว่า ๔๐,๐๐๐ ราย และแก้ไขปัญหาครัวเรือนยากจนที่ยั่งยืน ๕ ด้าน (ฐานข้อมูล TPMAP) ไม่น้อยกว่า ๑,๒๐๐ ครัวเรือน (๒)
การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น
สนับสนุนงบประมาณแก่ผู้นำท้องถิ่น (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน)
เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของหมู่บ้าน-ชุมชน ทุกหมู่บ้านในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานให้แก่องค์กรภาคประชาสังคมและภาคประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ไม่น้อยกว่า ๒๐๐ องค์กร และจัดตั้งอุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ
เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา เทศบาลเมืองบ้านพรุ
อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา (๓) การผลักดันจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่
“มหานครแห่งอาหารและบริการฮาลาล สู่ ตลาดโลก” เช่น
การเพิ่มจำนวนฐานแม่วัวพันธุ์พื้นเมือง จำนวนไม่น้อยกว่า ๕๐,๐๐๐
ตัว การเพิ่มจำนวนฐานแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์แพะ จำนวนไม่น้อยกว่า ๒๐,๐๐๐ ตัว ขับเคลื่อนปูทะเลโลก แบบครบวงจร เพิ่มจำนวนพื้นที่เพาะปลูกพืช
อาหารสัตว์ พืชพลังงานและผลไม้รองรับการพัฒนาภายใต้โครงการระเบียงเศรษฐกิจฮาลาลจังหวัดชายแดนภาคใต้
ไม่น้อยกว่า ๕๐,๐๐๐ ไร่ และ (๔)
การเสริมสร้างพหุสังคมที่เข้มแข็ง เช่น การจัดวิ่งตามภูมิศาสตร์ “Amazean
Junle Trail Edition” ปฏิทินประเพณีวัฒนธรรม ๑๒ เดือน
และการซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์วัดที่มีอายุเกิน ๑๐๐ ปี โบราณสถาน ศาสนสถาน
พิพิธภัณฑ์ เพื่อการเรียนรู้และเป็นแหล่งท่องเที่ยว ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
335 | การดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน เพิ่มเติม | นร.01 | 27/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่
พ.ศ. ๒๕๖๖ ให้แก่ประชาชน เพิ่มเติม.เช่น มาตรการ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา
เรื่อง ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. ๒๕๖๕ และร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา
เรื่อง.ให้ธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อผู้บริโภคเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. .... เป็นต้น ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค)
เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
336 | การดำเนินโครงการบรรพชาอุปสมบท 99 รูป ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา กระทรวงมหาดไทย | มท. | 27/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่เข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท ๙๙ รูป
ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี
กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา กระทรวงมหาดไทย ณ วัดที่จังหวัดกำหนด
ทั้ง ๗๖ จังหวัด ภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๖ เป็นเวลา ๑๕ วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา
เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
337 | ร่างกฎหมายขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวม 2 ฉบับ [ร่างพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ) และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน)] | กค. | 27/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ)
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่เกิดจากการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตในประเทศตามโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจที่ได้ขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
(องค์การมหาชน) ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม
๒๕๗๐ และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน)
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา
และขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สำหรับเงินที่บุคคลธรรมดาหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้บริจาคผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
(e-Donation)
ของกรมสรรพากรให้แก่กรมป่าไม้
เพื่อสนับสนุนโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมป่าไม้
และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
ร่วมขับเคลื่อนและสร้างการรับรู้และความเข้าใจมาตรการภาษี
เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ร่วมทั้งรวมติดตามและประเมินประโยชน์ที่ได้รับจากมาตรการนี้ เช่น
มูลค่าเงินลงทุนของโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ
มูลค่าการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลง
และปริมาณกักเก็บคาร์บอนที่ได้
และนำส่งข้อมูลดังกล่าวให้แก่กระทรวงการคลังเป็นรายปีจนสิ้นสุดมาตรการเพื่อประกอบการจัดทำรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับจากการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการตามมาตรา
๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๓.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ที่เห็นควรครอบคลุมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดรองด้วย
เพื่อให้เกิดการสร้างแรงจูงใจที่ครอบคลุมภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกลไกดังกล่าว
ส่งเสริมให้ตลาดมีสภาพคล่องมากยิ่งขึ้นอันจะผลักดันให้คาร์บอนเครดิตมีมูลค่าสูงขึ้น
และส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน รายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงดังกล่าว
จนกว่าการดำเนินการดังกล่าวจะแล้วเสร็จตามนัยมาตรา ๒๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
338 | รายงานความคืบหน้าโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน และหอประชุมอเนกประสงค์นานาชาติเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก | นร.01 | 20/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน
และหอประชุมอเนกประสงค์นานาชาติเฉลิมพระเกียรติ
เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยมีความคืบหน้าการดำเนินโครงการฯ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. โครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ได้ย้ายพื้นที่ก่อสร้างโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ
จากพื้นที่ก่อสร้างเดิม ณ บริเวณหอประชุมกองทัพบก เขตดุสิต เนื้อที่ ๑๙ ไร่
แบ่งเป็นพื้นที่ในการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ๘ ไร่
และพื้นที่ในการก่อสร้างอาคารหอประชุมกองทัพบก ๑๑ ไร่ ไปยังที่ดินพระราชทาน ณ
เขตวังทองหลาง เนื้อที่ ๗๙ ไร่ ๒ งาน ๖๐.๙ ตารางวา วงเงินงบประมาณ ๔,๐๕๕.๓๑๘
ล้านบาท ใช้ระยะเวลาก่อสร้างรวม ๕ ปี เริ่มจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐ ๒. โครงการจัดสร้างหอประชุมอเนกประสงค์ฯ
(ประกอบด้วย อาคารหอประชุมอเนกประสงค์ฯ และอาคารกรมสวัสดิการทหารบก) มีผลการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ
๙๑.๒๔ ช้ากว่าแผนร้อยละ ๖.๑๖ (กำหนดแล้วเสร็จตามสัญญา ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๕)
และอาคารกรมสวัสดิการทหารบก วงเงินงบประมาณ ๕๑๒.๙๐๗ ล้านบาท
ดำเนินการแล้วเสร็จตามสัญญา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
339 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) | กค. | 20/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) และอนุมัติงบประมาณวงเงินรวม ๑,๒๕๐ ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่)
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
โดยในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารออมสินดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้
เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
เพื่อใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย
ควรมีการติดตามการใช้วงเงินกู้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ควรประชาสัมพันธ์และสื่อสารทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของโครงการ
และเร่งพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ
เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
340 | ของขวัญปีใหม่ ปี 2566 (จำนวน 19 หน่วยงาน) (การดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่ประชาชน) | ดศ. | 20/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมีมติรับทราบการดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่
พ.ศ.๒๕๖๖ ให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.
ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมให้ดาวโหลดสติ๊กเกอร์ “อัศวินต่อต้านข่าวปลอม” ฟรี ผ่าน Like Sticker Shop @antifakenewscenter สามารถใช้งานได้ไม่น้อยกว่า ๙๐ วัน ๒. แจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางออนไลน์และข่าวปลอม
ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไป
ให้ประชาชนรู้เท่าทันและสามารถรับมือกับการหลอกลวงรูปแบบใหม่ได้ ๓.
ยกเว้นค่าบริการข้อมูลสารสนเทศด้านอุตุนิยมวิทยาและสถิติภูมิอากาศของประเทศ
(วันที่ ๑-๑๕ มกราคม ๒๕๖๖) ผ่านเว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา ๔.
นำผลสำรวจความต้องการของประชาชน สำหรับการวางแผนช่วยเหลือประชาชนของหน่วยงานรัฐ ปี
๒๕๖๖ เช่น เรื่องควบคุมราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค
ลดค่าไฟฟ้า-ค่าน้ำประปา/ค่าอินเทอร์เน็ต และแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรเสนอคณะรัฐมนตรี ๕. จัด (๑)
งาน NSO Data Camp (๒)
งานประชุมเสวนาวิชาการและนิทรรศการการใช้ประโยชน์ข้อมูลสถิติ และ (๓)
กิจกรรมนักสถิติรุ่นเยาว์สัญจร
เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากข้อมูลสถิติ
(เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖) ๖.
จัดใหมีบริการ/นวัตกรรมด้านดิจิทัลภาครัฐสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ เช่น
ระบบการหางาน ห้องสมุดออนไลน์ ระบบการเดินทาง และระบบสวัสดิการด้านสุขภาพ ๗.
เพิ่มจำนวนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้สามารถรองรับการใช้งานของคนพิการและคนทุกกลุ่ม ๘. ยกเว้นบริการค่าโทร เช่น (๑) บริการ NT Voice
ยกเว้นค่าโทรที่โทรไปยังเลขหมายปลายทางที่เป็น Fixed Line/IP Phone ของ NT ทั่วไทย (วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕-๒ มกราคม ๒๕๖๖) และ (๒) บริการ my โทรฟรีในเครือข่าย และส่ง SMS ฟรี
ไม่จำกัดจำนวครั้ง (วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕-๑ มกราคม ๒๕๖๖) ๙.
ส่วนลดค่าบริการไปรษณีย์ไทยด่วนพิเศษ (EMS) ในประเทศ ร้อยละ ๑๙-๔๘ สำหรับประชาชนที่ใช้บริการแบบ Walk In (วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๕-๕ มกราคม ๒๕๖๖) ๑๐.
ส่งเสริมการมี Digital ID เพื่อให้ประชาชนประหยัดเวลา/ค่าใช้จ่าย
และปลอดภัยในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
รวมถึงส่งเสริมให้ปะชาชนสามารถยืนยันตัวตนได้สะดวก ลดความเสี่ง การถูกปลอมแปลง
(คาดว่าจะประกาศใช้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๖) ๑๑.
ให้ผู้ประกอบการ SMEs ยืนขอใช้สิทธิทางภาษี
ส่วนลดค่าใช้จ่าย ร้อยละ ๒๕๐ ในการส่งลูกจ้างเข้ารับการศึกษา/ฝึกอบรม
หรือในการจัดการฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้าง โดยเฉพาะทักษะดิจิทัล ๑๒.
สร้างความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้กับประชาชนผ่านสื่อวีดิทัศน์
และอินโฟกราฟิก ผ่านสื่อส่วนกลางของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
(วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๕-๓ มกราคม ๒๕๖๖)
|