ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 59 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 180 จากข้อมูลทั้งหมด 1166 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
161 | ขอความเห็นชอบเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก 2022 (WAMSB World Championship 2022) | วธ. | 01/02/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก
๒๐๒๒ (WAMSB World Championship 2022) มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๑-๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ณ กรุงเทพมหานคร โดยวงเงินงบประมาณสำหรับการจัดการประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก
๒๐๒๒ (WAMSB World Championship 2022)
เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้กระทรวงวัฒนธรรม (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม)
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เช่น
ให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับ ดูแล การใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ภายใต้มาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ มาถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
และควรมีการเตรียมความพร้อมด้านการบริหารจัดการการแข่งขันในรูปแบบอื่น ๆ
ภายใต้วิถีปกติใหม่ อาทิ รูปแบบออนไลน์ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลทำให้ไม่สามารถดำเนินการจัดกิจกรรมในรูปแบบปกติได้ในช่วงเวลาดังกล่าว
รวมทั้งให้การจัดประกวดดังกล่าวดำเนินการตามมาตรการและแนวปฏิบัติในการบริหารจัดการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับมาตรการป้องกันโรคโควิด-19
ที่ภาครัฐกำหนด รวมถึง ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรควิด-19 ในประเทศไทย
โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการจัดประกวดอย่างใกล้ชิด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
162 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-แคนาดา ครั้งที่ 10 | พณ. | 01/02/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-แคนาดา
ครั้งที่ ๑๐ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายสินิตย์ เลิศไกร) เข้าร่วมประชุม ซึ่งเนการาบรูไนดารุสซาลาม ในฐานะประธานอาเซียน
ปี ๒๕๖๔ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม สรุปได้ ดังนี้ (๑) การแลกเปลี่ยนแนวทางแก้ไขผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับการเปิดตลาดการค้าและการลงทุน ทั้งนี้
ไทยได้เน้นย้ำความสำคัญของระบบการค้าที่เปิดกว้างและสนับสนุนบทบาทขององค์การการค้าโลก
เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับวัคซีนและยาที่จำเป็น (๒)
รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของสภาธุรกิจแคนาดา-อาเซียน ที่ให้ความสำคัญกับการเปิดเสรีทางการค้า
โดยเฉพาะการจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดา
การเปิดพรมแดนให้นักธุรกิจสามารถเดินทางระหว่างกัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน
การส่งเสริมเศรษฐกิจและการค้าดิจิทัล
และการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (๓) เห็นชอบการเปิดเจรจาการจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดา
โดยกำหนดเป้าหมายให้สรุปผลการเจรจาภายใน ๒ ปี
และเห็นชอบเอกสารขอบเขตสาระที่จะเจรจาในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดา
(๔) กระทรวงพาณิชย์คาดว่าอาเซียนและแคนาดาจะสามารถสรุปแผนงานเจรจาและเริ่มการเจรจารอบแรกในช่วงไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๕ ทั้งนี้
ได้จัดทำขอบเขตสาระเบื้องต้นที่จะเจรจาในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดา โดยมีประเด็นที่สำคัญ เช่น
ภาพรวมการเจรจา มาตรการป้องกันและเยียวยาทางการค้า และนโยบายแข่งขันทางการค้า และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเตรียมการเจรจาในส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยให้คำนึงถึงประโยชน์และผลกระทบต่อภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
และเตรียมมาตรการบรรเทาผลกระทบในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนยึดท่าทีตามกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดาของประเทศไทย
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงวัฒนธรรม
ที่ควรคำนึงถึงหลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่าง
ซึ่งแต่ละประเทศต่างดำเนินการตามพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้าร่วมเป็นภาคี
โดยคำนึงถึงขีดความสามารถของแต่ละประเทศ
และไม่ควรใช้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมืดกีดกันทางการค้าต่อไปในอนาคต
ควรคำนึงถึงข้อดีและผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนผลประโยชน์ที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
163 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายโกวิท ผกามาส ฯลฯ จำนวน 3 ราย) | วธ. | 24/01/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑. นายโกวิท ผกามาศ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ๒. นายกฤษฎา คงคะจันทร์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายประสพ เรียงเงิน ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
164 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม (คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล) | วธ. | 11/01/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๑
มกราคม ๒๕๖๕) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
165 | รายงานผลการจัดสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 11 และข้อเสนอเชิงนโยบายด้านคุณธรรมต่อรัฐบาลและหน่วยงานเชิงนโยบาย | วธ. | 04/01/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการจัดสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑๑ และข้อเสนอเชิงนโยบายด้านคุณธรรมต่อรัฐบาลและหน่วยงานเชิงนโยบาย ซึ่งจัดในรูปแบบออนไลน์
ภายใต้แนวคิด “คุณธรรมวิถีใหม่ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันด้านคุณธรรมให้กับประชาชน
โดยจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นและเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ของกลุ่มเครือข่ายทางสังคมทุกภาคส่วน
จนก่อให้เกิดข้อเสนอเชิงนโยบายด้านคุณธรรมต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
และให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นและข้อเสนอเพิ่มเติมของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน
ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรต่อยอดการคิดค้นและพัฒนาระบบเครดิตทางสังคมให้เป็นเครื่องมือในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีงามของคนในสังคมอย่างยั่งยืน
มีการบูรณาการงานด้านการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม
และการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
รวมทั้งเพิ่มบทวิเคราะห์และสรุปผลสัมฤทธิ์เชิงประจักษ์ไว้ในรายงานครั้งต่อไป
นำข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น การส่งเสริมและผลักดันการพัฒนาคน
การสนับสนุนและส่งเสริมการสร้างระบบเครดิตทางสังคมไปประกอบการพิจารณาและจัดทำแผนปฏิบัติการด้านส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ
ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) และบูรณาการการทำงานกับภาคีเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการส่งเสริมคุณธรรมของคนในชาติให้เกิดผลในทางปฏิบัติและบรรลุเป้าหมายความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.
ให้หน่วยงานของรัฐรับข้อเสนอเชิงนโยบายด้านคุณธรรมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
166 | การดำเนินโครงการของกระทรวงวัฒนธรรม "ส่งสุขวิถีใหม่ สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์" เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2565 | วธ. | 21/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการของกระทรวงวัฒนธรรม “ส่งสุขวิถีใหม่
สืบสานวิถีไทย ปลอดภัยสร้างสรรค์” เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๕
ให้แก่ประชาชน ประกอบด้วย ๓ กิจกรรมหลัก ได้แก่ (๑)
กิจกรรมทางศาสนาเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล (๒)
กิจกรรมเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ และ
(๓) กิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม ส่งความสุขแบบไทย ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
167 | ขออนุมัติแผนหลักการพัฒนา ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ | นร.14 | 14/12/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของแผนหลักการพัฒนา
ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ รวม ๕ เป้าประสงค์ ระยะเวลาดำเนินการ ๑๑ ปี (พ.ศ.
๒๕๖๔-๒๕๗๔) รวมจำนวน ๘๔ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๘๒,๕๖๓.๘๗๓๐ ล้านบาท
โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับแผนหลักการพัฒนา ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ ดำเนินการตามกฎหมาย
และระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) จัดทำรายละเอียดการออกแบบ
พร้อมทั้งแผนปฏิบัติการและงบประมาณดำเนินโครงการและเสนอต่อคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงานและโครงการภายใต้แผนหลักการพัฒนา
ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เช่นควรให้ความสำคัญกับการสร้างความรับรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
กรุงเทพมหานครควรมีส่วนร่วมลงทุนสำหรับการพัฒนา ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๒๕
เพื่อลดแรงกดดันด้านการคลังและเพื่อให้รัฐบาลมีงบประมาณสำหรับการพัฒนาในด้านอื่น ๆ
ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
168 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส. | 30/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๒ ราย ตามลำดับ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๔) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (นายอิทธิพล คุณปลื้ม) ๒.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
169 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (1. ศาสตราจารย์สุวรรณา สถาอานันท์ ฯลฯ รวม 9 คน) | วธ. | 30/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร รวม ๙ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๔) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
ดังนี้ ๑. ศาสตราจารย์สุวรรณา
สถาอานันท์ ประธานกรรมการ ๒. ศาสตราจารย์สุเนตร ชุตินธรานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นางสาวบุษบา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. รองศาสตราจารย์จักรพันธ์
วิลาสินีกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. ศาสตราจารย์เสมอชัย
พูลสุวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. ศาสตราจารย์ยศ สันตสมบัติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. นายอานันท์ นาคคง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๙. นายทวีป ฤทธินภากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
170 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเเลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างปี พ.ศ. 2564 - 2569 | วธ. | 09/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรม
กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๙
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๙ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญมุ่งเน้นความร่วมมือทางวัฒนธรรมในทุกระดับผ่านความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนบุคลากร
การสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ
การเพิ่มพูนการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างกันที่หลากหลาย เช่น ศิลปะการแสดง
วิจิตรศิลป์และศิลปกรรม มรดกทางวัฒนธรรม และภาพยนตร์ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรม
กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๙ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหุตผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและหมาะสมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
171 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 37/2564 | นร.11 สศช | 04/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓๗/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมระยะเวลาการดำเนินโครงการ
จากเดิมสิ้นสุดในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ เป็นสิ้นสุดเดือนมีนาคม ๒๕๖๕
และอนุมัติให้สำนักงานลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ
(๑ ตำบล ๑ มหาวิทยาลัย) โดยเป็นการปรับเพิ่มกรอบวงเงินในกิจกรรมการพัฒนา Platform การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเป็น
Community Big Data จากเดิม ๑๐ ล้านบาท เป็น ๒๐ ล้านบาท ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
รายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลัง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการทั้งในช่วงระหว่างดำเนินโครงการและภายหลังสิ้นสุดโครงการ
เพื่อประกอบการจัดทำรายงานตามข้อ ๑๙ และข้อ ๒๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ พ.ศ. ๒๖๕๓
ตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
172 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านภาพยนตร์ระหว่างทบวงกิจการภาพยนตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย | วธ. | 19/10/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านภาพยนตร์ระหว่างทบวงกิจการภาพยนตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย (Memorandum of Understanding on Film Cooperation between the China Film Administration of the People’s Republic of China And the Ministry of Culture of the Kingdom of Thailand) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระดับทวิภาคีในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระหว่างจีนและไทย
เช่น (๑) ผู้เข้าร่วมแต่ละฝ่ายจะเป็นเจ้าภาพจัดนิทรรศการภาพยนตร์หนึ่งครั้ง
สำหรับผู้เข้าร่วมอีกฝ่าย
และส่งคณะผู้แทนภาพยนตร์ไปร่วมกิจกรรมตามหลักการต่างตอบแทนในช่วงระยะเวลาที่มีผลของบันทึกความเข้าใจ
(๒) ผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนการร่วมผลิตภาพยนตร์ในประเด็นความสนใจร่วมกัน
สถานที่ถ่ายทำ และการผลิตในอาณาเขตของแต่ละฝ่าย (๓)
ผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนให้ช่องโทรทัศน์/ภาพยนตร์ของทั้งสองประเทศนำเข้าและออกอากาศภาพยนตร์ของกันและกัน
(๔) ผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนให้การจัดทำข้อตกลงในการร่วมผลิตภาพยนตร์ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ
เป็นต้น ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านภาพยนตร์ระหว่างทบวงกิจการภาพยนตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ เป็นต้น
พิจารณากำหนดแนวทางในการส่งเสริมและขยายความร่วมมือด้านการผลิตภาพยนตร์ไปยังภาคเอกชนของทั้ง
๒ ประเทศให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งแนวทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรมบันเทิงในรูปแบบออนไลน์หรือดิจิทัล
และการส่งเสริมการตลาดของไทยให้มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการผลิต การส่งออกผลิตภัณฑ์
และการให้บริการด้านบันเทิงในรูปแบบออนไลน์หรือดิจิทัลของไทยให้แพร่หลายต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
173 | การยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 | ทส. | 19/10/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม
๒๕๕๐ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๙ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์)
พิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงของศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐
พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับสถานการณ์กรณีส่วนราชการผู้เช่าพื้นที่มีจำนวนลดลง
เช่น การปรับปรุงสถานที่เพื่อใช้ประโยชน์อื่น ๆ
ทดแทนการเช่าพื้นที่ของส่วนราชการ
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ ที่เห็นควรมอบหมายให้กรมธนารักษ์เร่งหาหน่วยงานอื่นที่มีความต้องการใช้พื้นที่มาทดแทนหน่วยงานที่ขอยกเลิกการใช้และดำเนินการจัดสรรพื้นที่ศูนย์ราชการฯ
เพื่อให้การใช้ประโยชน์พื้นที่ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
และคุ้มค่าต่อการลงทุนของภาครัฐต่อไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป
รวมทั้งให้พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑
ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง
กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ขออนุมัติยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร
ถนนแจ้งวัฒนะ
และกระทรวงการคลังขอพระราชทานชื่อศูนย์ราชการที่ตั้งอยู่ในที่ราชพัสดุถนนแจ้งวัฒนะ
กรุงเทพมหานคร) ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
174 | ขออนุมัติการสนับสนุนการจัดโครงการ The Michelin Guide Thailand ประจำปี พ.ศ. 2565 - 2569 เป็นระยะเวลา 5 ปีงบประมาณ | กก. | 05/10/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) ก่อหนี้ผูกพันในการสนับสนุนการจัดโครงการ
The
Michelin Guide Thailand ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๙ ในวงเงิน ๔.๑๐
ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือประมาณ ๑๓๕.๓๐ ล้านบาท โดยแบ่งจ่ายเป็นรายปี ปีละ ๘๒๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๒๗.๐๖ ล้านบาท
(อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๓ บาท)
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
สำหรับแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายของ ททท. และค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ
ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น (๑) ควรพิจารณาจัดทำแนวทางการต่อยอดโครงการฯ สู่การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (๒)
ควรพิจารณาความเหมาะสมในการขยายขอบเขตพื้นที่การดำเนินโครงการฯ
ให้มีความครอบคลุมยิ่งขึ้น (๓)
ควรมีระบบติดตามและประเมินผลเชิงลึกและสามารถปรับปรุงเงื่อนไขโครงการได้ตามความจำเป็นเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
175 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดสระบุรี | อก. | 21/09/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงว่า
ได้มีการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบสภาพข้อเท็จจริงของพื้นที่ในบริเวณที่ บริษัท ทีพีไอ
โพลีน จำกัด (มหาชน) ยื่นขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ และ ๑
บี ที่จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๔ แล้ว ขอยืนยันว่า
คำขอของบริษัทฯ ในครั้งนี้เป็นคำขอเพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่ตามประทานบัตรเดิม
โดยพื้นที่ดังกล่าวในปัจจุบันไม่เหลือสภาพป่าไม้หรือสภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ แล้ว
ดังนั้น การขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ และ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัทฯ
จึงไม่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมแต่อย่างใด ๒.
อนุมัติการขอผ่อนผันให้บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน)
ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ และ ๑ บี
เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดานเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
ตามคำขอประทานบัตรที่ ๒-๓/๒๕๕๓ และที่ ๑-๘/๒๕๕๕ ที่จังหวัดสระบุรี
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓
วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมติดตามและกำกับดูแลให้บริษัทฯ
ดำเนินการทำเหมืองในพื้นที่ที่ได้รับประทานบัตรอยู่เดิมเท่านั้นอย่างเคร่งครัด
และให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด
ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ
และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม
ที่เห็นว่า อาจให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณากำหนดเงื่อนไขในประทานบัตรให้บริษัทฯ
ปฏิบัติเพิ่มเติมและบังคับให้ผู้ถือประทานบัตรปฏิบัติตามกฎหมายและเงื่อนไขที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
เช่น อาจสั่งให้หยุดประกอบกิจการ หรือสั่งเพิกถอนประทานบัตร หรือควรพิจารณานำเอาความผิดหรือคดีมาประกอบการพิจารณาอนุญาตในอนาคต
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลกับบริษัทฯ
กรณีการทำเหมืองนอกเขตพื้นที่ประทานบัตรและการทำเหมืองในพื้นที่ห้ามทำเหมือง (Buffer
Zone) ด้วย ๔.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการหรือเงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับการออกประทานบัตรหรือต่ออายุประทานบัตรให้มีความชัดเจนและเข้มงวดมากยิ่งขึ้น
ตามนัยความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด ทั้งนี้
ในกรณีที่มีการจงใจละเมิดกฎหมายหรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประทานบัตรจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือประชาชนอย่างชัดเจนให้พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการเพิกถอนประทานบัตรด้วย
รวมทั้งให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง
ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ๑ บี เอเอ็มและ ๑ บีเอ็ม
เพื่อทำเหมืองแร่ ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดสระบุรี] ที่เห็นชอบหลักเกณฑ์สำหรับโครงการที่จะขออนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เพื่อการทำเหมืองแร่และเพื่อการต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่
ในทุกกรณีอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
176 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ และนางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา) | วธ. | 21/09/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม
๒๕๖๔ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร ๒. นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
177 | รายงานความก้าวหน้าโครงการอาคารแสดงประเทศไทย งาน World Expo 2020 Dubai และสถานะด้านงบประมาณ | ดศ. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบความก้าวหน้าโครงการอาคารแสดงประเทศไทย งาน World Expo 2020 Dubai และสถานะงบประมาณ เพื่อรายงานความก้าวหน้าของโครงการดังกล่าว
และข้อมูลค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการจัดงาน World Expo
2020 Dubai ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-๑๙
เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบแนวปฏิบัติของเจ้าภาพ
และสอดคล้องกับกำหนดการจัดงานใหม่ซึ่งมีการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการเพิ่มอีก
๓๕๔ วัน
โดยค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นแผนงานที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๕ กรอบวงเงิน ๑๑,๑๑๑,๘๕๐ บาท
และแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมพิเศษเพื่อแสดงศักยภาพประเทศไทย
โดยหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ (๑) กรมส่งเสริมการเกษตร กะทรวงเกษตรและสหกรณ์ (๒)
กระทรวงวัฒนธรรม และ (๓) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
และงบประมาณที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๕ กรอบวงเงิน ๑๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าควรดำเนินการติดตั้งระบบสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ ภายในอาคารแสดงประเทศไทย งาน World
Expo 2020 Dubai ในรูปแบบเสมือนจริงเห็นครบทุกมุมมอง
(Virtual Reality) ผ่านออนไลน์ เพื่อให้ผู้ชมงานทั่วโลก สามารถเข้าชมงานได้อย่างทั่วถึง
ทุกที่ ทุกเวลา และสามารถแสดงศักยภาพด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในงานได้อย่างเต็มประสิทธิผลและคุ้มค่ากับเงินงบประมาณที่ได้ลงทุน
และให้ดำเนินการต่อรองค่าใช้จ่าย เช่น ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ค่าดูแลรักษาอาคาร
ค่ารักษาความปลอดภัย เป็นต้น กับประเทศเจ้าภาพและผู้ให้บริการที่ Expo
เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในห้วงระยะเวลาที่มีการเลื่อนกำหนดจัดงานในโอกาสแรก
ตลอดจนแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมกิจกรรมพิเศษจากแหล่งเงินอื่น เช่น
เงินรายได้ หรือภาคเอกชนสมทบ รวมถึงการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ มีผลใช้บังคับ
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า และประโยชน์ที่จะได้รับอย่างสมเหตุสมผลต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
178 | มาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน | นร.11 สศช | 27/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการของมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔ และมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับสนับสนุนแหล่งเงินเพื่อดำเนินตามมาตรการดังกล่าว
ตามขั้นตอนของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ (พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔) ต่อไป และให้ความสำคัญกับการพิจารณากำหนดกลไกการตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ได้รับความช่วยเหลือผ่านระบบบัญชีธนาคาร
พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน
รับรู้และเข้าใจถึงหลักการและแนวทางการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนด้วย
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม
เร่งดำเนินการให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบให้ครบถ้วน พร้อมติดตามและประเมินผลการดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนอย่างใกล้ชิดและเผยแพร่การดำเนินการให้ความช่วยเหลือให้ประชาชนได้รับทราบเป็นระยะ
ๆ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่าควรขยายให้มาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมสถานศึกษาในสังกัดสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
กระทรวงวัฒนธรรมด้วย และให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เร่งดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรับรู้และความเข้าใจในมาตรการที่ถูกต้องให้กับประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
179 | องค์ประกอบและท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 44 | ทส. | 13/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบองค์ประกอบและท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ
ครั้งที่ ๔๔ ประกอบด้วย ๑)
รายงานสถานการณ์การอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยดำเนินการชี้แจงและโน้มน้าวคณะกรรมการมรดกโลก
ศูนย์มรดกโลกและองค์กรที่ปรึกษาให้เห็นถึงการดำเนินการของราชอาณาจักรไทยในการให้ความสำคัญต่อการดูแลและอนุรักษ์พื้นที่
๒) การขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลก พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ให้คณะผู้แทนไทย
ชี้แจงทำความเข้าใจ และโน้มน้าว คณะกรรมการมรดกโลก องค์กรที่ปรึกษา และศูนย์มรดกโลก
เกี่ยวกับสถานการณ์และวิถีชีวิตชุมชนในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ๓) รายงานสถานการณ์การอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก
นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยดำเนินการชี้แจงและโน้มน้าวคณะกรรมการมรดกโลก
ศูนย์มรดกโลกและองค์กรที่ปรึกษาให้เห็นถึงการดำเนินการให้ความสำคัญต่อการดูแลและอนุรักษ์มรดกโลก
และการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลของแหล่ง
กรณีประเด็นที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการพิจารณากำหนดท่าทีในประเด็นนั้น ๆ
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นที่ปรึกษา
และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ทำหน้าที่กรรมการในคณะกรรมการมรดกโลกและหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และคณะทำงาน
เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในการดำรงตำแหน่งกรรมการมรดกโลก วาระปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าให้พิจารณาดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
และคำนึงถึงความสัมพันธ์หว่างประเทศด้วย
ควรมีข้อกำหนดที่ชัดเจนที่เป็นข้อห้ามไม่ให้มีการดำเนินการใด ๆ
ที่ส่งผลกระทบต่อมรดกโลก หรือส่งผลให้พื้นที่มรดกโลกกลายเป็นแหล่งมรดกโลกในภาวะอันตรายหรือมีประเด็นสุ่มเสี่ยง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
180 | รายงานผลการขับเคลื่อนแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2559 - 2564) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | วธ. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วย (๑)
ภาพรวมการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ของแผนแม่บทฯ ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑
วางระบบรากฐานการเสริมสร้างคุณธรรมในสังคมไทย ยุทธศาสตร์ที่ ๒
สร้างความเข้มแข็งในระบบการบริหารจัดการด้านการส่งเสริมคุณธรรมให้เป็นเอกภาพ
ยุทธศาสตร์ที่ ๓ สร้างเครือข่ายความร่วมมือในการส่งเสริมคุณธรรม และยุทธศาสตร์ที่
๔ ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นแบบอย่างด้านคุณธรรมในประชาคมอาเซียนและประชาคมโลก (๒)
แนวทาง/แผนการดำเนินการต่อไป ให้ขยายระยะเวลาบังคับใช้แผนแม่บทฯ ต่อไปอีก ๑ ปี (ถึงปี
๒๕๖๕) ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีความเห็นต่อแนวทางปฏิบัติว่า
กระทรวงวัฒนาธรรมสามารถประกาศใช้แผนได้ทันทีโดยไม่มีความจำเป็นต้องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
หรือเพื่อทราบ ทั้งนี้จะต้องพิจารณาความเป็นไปได้ของแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการรวมถึงความเหมาะสมและความจำเป็นในการขยายระยะเวลาต่อไป
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|