ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 13 จากทั้งหมด 18 หน้า แสดงรายการที่ 241 - 260 จากข้อมูลทั้งหมด 352 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
241 | ผลการดำเนินงานในการติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง | กก | 06/08/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานในการติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและสอบถามข้อมูล ข้อเท็จจริง เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่เกาะเสม็ด เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม-๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ และได้ร่วมประชุมกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ ผลการประชุม สรุปได้ว่า ๑.๑ ผู้ประกอบการด้านที่พัก โรงแรม รีสอร์ท อพาร์ทเมนท์ แจ้งว่า มีการยกเลิกของนักท่องเที่ยวในเดือนสิงหาคม-กันยายน ๒๕๕๖ แล้ว ประมาณ ๓๐% รายได้ของผู้ประกอบการร้านอาหารทะเลลดลง ๑๐ เท่า จากขายได้วันละ ๑๐,๐๐๐ บาท เหลือเพียงวันละ ๑,๐๐๐ บาท ธุรกิจรถจักรยานยนต์รับจ้างซึ่งมีอยู่บนเกาะประมาณ ๖๖๐ คัน จากเดิมในช่วง Low Season จะมีรายได้ประมาณ ๕๐% ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง ๒๐% และธุรกิจการดำน้ำถูกยกเลิกทั้งหมด ๑.๒ ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวบนเกาะเสม็ดได้ยื่นข้อเสนอขอรับความช่วยเหลือ โดยขอให้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการท่องเที่ยวให้กลับคืนมา ช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความเสียหาย และช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านที่พักบนเกาะเสม็ดซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ SME ผ่อนผันการส่งเงินกับบริษัทการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ ๑.๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้มอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวกลับคืนมาท่องเที่ยวที่เกาะเสม็ดโดยเร็ว โดยให้สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในต่างประเทศประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศทราบข้อเท็จจริงว่าความเสียหายของเกาะเสม็ดมีเพียง ๕% อีก ๙๕% ยังสามารถมาท่องเที่ยวได้ และให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยนำผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจากภาคต่าง ๆ มาพบปะเจรจาซื้อขายธุรกิจท่องเที่ยวกับผู้ประกอบการบนเกาะเสม็ด (Table Top Sale) ในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่เกาะเสม็ดเพื่อให้เกิดการซื้อขายได้จริงทั้งในวันนี้และในอนาคตข้างหน้า ๒. การดำเนินการขั้นต่อไป ระยะเร่งด่วน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะเป็นหน่วยงานกลางประสานให้กับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวบนเกาะเสม็ดเจรจาขอรับความช่วยเหลือและเยียวยาจาก ปตท. ส่วนความเสียหายของระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งทะเล รวมทั้งปัญหาเรื่องสารปนเปื้อนในอาหารทะเล ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป สำหรับระยะยาว จะบูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) เพื่อทำให้พื้นที่เกาะเสม็ดเป็นพื้นที่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
242 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการของจังหวัดนครนายก ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ 30 - 31 มีนาคม 2556 | นร11 | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการของจังหวัดนครนายก ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ ๓๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๔ โครงการ ตามที่จังหวัดนครนายกเสนอ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ได้แก่ ๑.๑ โครงการภายใต้แผนงานบริการและปรับปรุงทัศนียภาพ จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๔๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์สร้างความร่มรื่นบริเวณสันเขื่อนขุนด่านฯ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท (โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนขุนด่านปราการชล กรมชลประทาน) และโครงการก่อสร้างอาคารชมวิวและทัศนียภาพอ่างเก็บน้ำเขื่อนขุนด่านปราการชล และสิ่งก่อสร้างประกอบ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท (โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนขุนด่านปราการชล กรมชลประทาน) ๑.๒ โครงการภายใต้แผนงานก่อสร้างและปรับปรุงอาคารบริการและอำนวยความสะดวกทางการท่องเที่ยว จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๖๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างแหล่งเรียนรู้เชิงปฏิบัติการทางวิศวกรรมแหล่งน้ำและเทคโนโลยีการสร้างเขื่อน วงเงิน ๒๒ ล้านบาท (โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนขุนด่านปราการชล กรมชลประทาน) และโครงการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการบริการในการท่องเที่ยวหัวงานเขื่อนขุนด่านปราการชล วงเงิน ๓๘ ล้านบาท (สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดนครนายก กรมโยธาธิการและผังเมือง) ๒. ให้จังหวัดนครนายกรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณสันเขื่อนขุนด่านปราการชล ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดเอกลักษณ์หรือการเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของเขื่อนขุนด่านปราการชล และจังหวัดนครนายก ส่งเสริมให้ภาคเอกชนหรือท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการหรือการจัดหาสถานที่เพื่อให้ชุมชนสามารถนำผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นเข้ามาจำหน่ายภายในเขื่อนได้อย่างกลมกลืนและเป็นระเบียบ ส่วนการก่อสร้างและปรับปรุงอาคารเพื่ออำนวยความสะดวกและพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้เชิงปฏิบัติการทางวิศวกรรมแหล่งน้ำและเทคโนโลยีการสร้างเขื่อน ควรให้ความสำคัญกับการแสดงแบบจำลองทางกายภาพด้านชลศาสตร์และการเรียนรู้เทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการน้ำ การเตรียมแผนบริหารจัดการอาคารสถานที่ บุคลากร และการจัดหาแหล่งเงิน (รายได้) ที่จะนำมาใช้ในการบำรุงรักษา การประชาสัมพันธ์และการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านชลประทานแก่เยาวชน ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่สำคัญ สำหรับแผนงาน/โครงการในส่วนที่เหลือ ให้จังหวัดนครนายกพิจารณาดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวตรวจราชการที่จังหวัดนครนายก เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดยเฉพาะในประเด็นการศึกษาความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจและสังคม การออกแบบทางภูมิทัศน์ที่เหมาะสม (Landscape) การวิเคราะห์ทางด้านการเงิน และการบริหารจัดการแผนธุรกิจด้านการตลาดให้มีความชัดเจนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตลอดจนจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการ โดยอาจแบ่งช่วงระยะเวลาการลงทุน (Phasing) ตามศักยภาพความพร้อมของหน่วยงานรับผิดชอบ รวมถึงบทบาทการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น ชุมชน และภาคเอกชน ประกอบการพัฒนาพื้นที่บริเวณเขื่อนขุนด่านปราการชล (ขุนด่านแลนด์) ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
243 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) และการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ อุทกภัยกรณีการก่อสร้างสะพานถาวรเพื่อทดแทนสะพานไม้เดิม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก | นร07 | 09/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง ๑.๑.๑ สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๓๘๓.๐๔๑๑ ล้านบาท ๑.๑.๒ ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๖,๖๓๗.๗๖๘๐ บาท ๑.๑.๓ ผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖เป็นเงิน ๑๑๓,๗๒๒.๓๓๙๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๕.๒๖ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๑.๒ ผลการเบิกจ่าย ๑.๒.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีผลการเบิกจ่ายครบถ้วน จำนวน ๔๙ หน่วยงาน ๑.๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๖ หน่วยงาน ๑.๒.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๐ หน่วยงาน ๑.๓ วงเงินงบประมาณคงเหลือ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฯ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ณ วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ ๑๑๙,๓๘๓.๐๔๑๑ ล้านบาท คงเหลือ ๖๑๖.๙๕๘๙ ล้านบาท ประกอบด้วย รายการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วและยังไม่ได้จัดสรรงบประมาณ จำนวน ๑๖๙.๒๖๗๗ ล้านบาท (ซึ่งรวมรายการที่ส่วนราชการฯ ยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณ เนื่องจากต้องดำเนินการขอขยายระยะเวลาขอรับการจัดสรรงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒ โครงการ/รายการ วงเงิน ๑๔๔.๙๔๐๐ ล้านบาท) และวงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้ทันทีอีกเป็นจำนวน ๔๔๗.๖๙๑๒ ล้านบาท ๒. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๓,๐๙๘,๙๐๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีให้กับกรมโยธาธิการและผังเมือง เพื่อดำเนินการก่อสร้างสะพาน คสล. ข้ามคลองเมม หมู่ ๑๑ ตำบลพรหมพิราม และหมู่ ๑๒ ตำบลท่าช้าง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ผิวจราจรกว้าง ๗ เมตร และทางเท้ากว้างข้างละ ๑.๔๕ เมตร ยาว ๕๕.๕๐ เมตร และสำนักงบประมาณจะได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
244 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ (พ.ร.ก.) สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังจากปีงบประมาณ ๒๕๕๕ วงเงินประมาณ ๕๘๖.๕๔๑๙ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ พ.ร.ก. สำหรับโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง วงเงิน ๑,๓๖๐.๔๐ ล้านบาท จนกว่าโครงการจะแล้วเสร็จแต่ต้องไม่เกินปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ๑.๓ อนุมัติการใช้เงินเหลือจ่าย วงเงิน ๙๗๙.๒๐ ล้านบาท เพื่อเป็นทุนในการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่ และรับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้โครงการดังกล่าวจนกว่าโครงการจะแล้วเสร็จแต่ต้องไม่เกินปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ๑.๔ อนุมัติเปลี่ยนแปลงวงเงินของโครงการพัฒนาระบบบริการระดับทุติยภูมิ ค่าก่อสร้างรายการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย ๖๐ เตียง เป็นอาคาร คสล. ๒ ชั้น ของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช กระทรวงสาธารณสุข เป็นวงเงิน ๑๗,๙๕๙,๐๔๓ บาท [เงิน พ.ร.ก. ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท+เงินบำรุงสมทบของโรงพยาบาล ๕,๙๕๙,๐๔๓ บาท (เป็นเงินบำรุงสมทบของโรงพยาบาลตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ วงเงิน ๓,๔๐๐,๐๐๐ บาท+ขอใช้เงินบำรุงสมทบของโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นจากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ จำนวน ๒,๕๕๙,๐๔๓ บาท)] และอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายโครงการภายในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ๑.๕ อนุมัติเปลี่ยนแปลงวงเงินของโครงการศูนย์ครูใต้จังหวัดยะลา เป็นวงเงิน ๑๔๙.๗๖๔๑ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก. วงเงิน ๑๔๒.๐๘๑๐ ล้านบาท และใช้เงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สมทบ วงเงิน ๗.๖๘๓๑ ล้านบาท โดยให้ สพฐ. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ และอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายโครงการศูนย์ครูใต้จังหวัดยะลาและจังหวัดนราธิวาส วงเงินรวม ๒๕๔.๗๓๐๗ ล้านบาท ให้สามารถดำเนินโครงการและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๖ อนุมัติจัดสรรเงินสำรองจ่ายภายใต้ พ.ร.ก. ให้แก่ โครงการพัฒนาครูทั้งระบบ ค่าก่อสร้างโรงอาหาร-หอประชุม แบบ ๑๐๑ล/๒๗ พิเศษ ของโรงเรียนมัธยมวานรนิวาส สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๑๑,๒๖๙,๙๐๐ บาท และอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ๑.๗ อนุมัติจัดสรรเงินสำรองจ่าย วงเงิน ๓๓๒,๔๓๙,๕๔๑.๑๙ บาท ประกอบด้วย ๑.๗.๑ เงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) วงเงิน ๓๒๕,๓๒๖,๐๖๓.๙๑ บาท สำหรับกรมทางหลวง วงเงิน ๓๐๗,๖๘๖,๔๐๔.๐๐ บาท กรมทางหลวงชนบท วงเงิน ๒,๖๓๕,๖๒๖.๐๐ บาท มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี วงเงิน ๖๓๐,๕๘๖.๙๘ บาท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วงเงิน ๒,๐๒๐,๐๘๑.๙๐ บาท สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๒,๑๕๗,๔๑๕.๐๐ บาท กรมการแพทย์ วงเงิน ๑,๐๓๘,๙๗๒.๐๐ บาท มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม วงเงิน ๑,๑๗๖,๘๖๕.๙๗ บาท กรมการขนส่งทางบก ๗๖๗,๔๘๖.๐๐ บาท และกรมโยธาธิการและผังเมือง วงเงิน ๗,๒๑๒,๖๒๖.๐๖ บาท ๑.๗.๒ การคืนเงินค่าปรับให้แก่ผู้ประกอบการก่อสร้าง วงเงิน ๖๐๙,๗๗๔.๔๐ บาท สำหรับจังหวัดสิงห์บุรี วงเงิน ๓๗๔,๗๗๕.๐๐ บาท และจังหวัดตราด วงเงิน ๒๓๔,๙๙๙.๔๐ บาท ๑.๗.๓ สัญญาที่มีปริมาณงานเพิ่มขึ้น วงเงิน ๖,๕๐๓,๗๐๒.๘๘ บาท สำหรับกรมชลประทาน วงเงิน ๖,๕๐๓,๗๐๒.๘๘ บาท ๑.๘ อนุมัติการลงนามในสัญญาภายหลังเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ โดยให้สัตยาบันการลงนามในสัญญาของวิทยาลัยการอาชีพสุไหงโก-ลกที่ได้ลงนามสัญญาแล้ว และอนุมัติยกเลิกการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารศูนย์วิทยบริการที่ยังไม่มีผลการจัดซื้อจัดจ้าง จำนวน ๖ แห่ง วงเงิน ๕๔.๖๐ ล้านบาท ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินผลการดำเนินโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ (แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕) ในภาพรวมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
245 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2556 | ทส | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการศึกษาและออกแบบก่อสร้างสะพานเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรเลียบชายฝั่งทะเลในเขตผังเมืองรวมเมืองชลบุรีของจังหวัดชลบุรี โดยให้จังหวัดชลบุรีดำเนินการเกี่ยวกับการทบทวนการออกแบบตอม่อให้มีความเหมาะสม และกำหนดให้กรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับจังหวัดชลบุรีและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการปลูกป่าชายเลนทดแทน จำนวน ๑๐๐ ไร่ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด โดยนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และการขอผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าชายเลน เพื่อให้จังหวัดชลบุรีเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนเป็นการถาวรเพื่อก่อสร้างโครงการ ๒. ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองรับผิดชอบในการตั้งงบประมาณปลูกป่าชายเลนทดแทน จำนวน ๑๐๐ ไร่ โดยดำเนินการร่วมกับจังหวัดชลบุรีและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๓. ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดเตรียมงบประมาณปลูกป่าชายเลนเพิ่มเติมบนพื้นที่ดินเลนที่งอกใหม่จากการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
246 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 (กรมโยธาธิการและผังเมือง จำนวน 4 รายการ) | มท | 27/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองเปลี่ยนแปลงรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำและริมทะเลทั่วประเทศและผลผลิตงานด้านช่างที่ให้บริการ จาก ๓ รายการ วงเงินรวม ๑๓๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำ ๔ รายการ วงเงินรวม ๑๓๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๐,๐๒๕,๐๐๐ บาท ซึ่งสำนักงบประมาณอนุมัติหลักการให้โอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่าย และได้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกับกรมบัญชีกลางแล้ว ส่วนที่เหลือ จำนวน ๑๑๓,๔๗๕,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๔๗,๐๙๔,๗๐๐ บาท และเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๖๖,๓๘๐,๓๐๐ บาท เพื่อให้ครบค่างานต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองดำเนินการตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังที่ว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองควรดำเนินการขอโอนเปลี่ยนแปลงรายการกับสำนักงบประมาณให้เสร็จสิ้นก่อนสิ้นปีงบประมาณ และดำเนินการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีในรายการใหม่ เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินงบประมาณเป็นไปตามแผน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
247 | การแต่งตั้งข้าราชการ และขอพระราชทานโปรดเกล้า ฯ ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทยผู้ครบเกษียณอายุพ้นจากราชการ (เพิ่มเติม) (กระทรวงมหาดไทย) (นายสมหวัง ดำรงพงศาวัฒน์) | มท | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสมหวัง ดำรงพงศาวัฒน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้สำนักราชเลขาธิการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ และให้พ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เนื่องจากครบเกษียณอายุราชการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
248 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว | ทก | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสึนามิ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงบประมาณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมสรรพากร กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น ส่งเสริมสนับสนุนงานศึกษาวิจัยแบบจำลองสามมิติ เพื่อการเตือนภัยสึนามิ ให้ความสำคัญกับระบบการสื่อสารและเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ และจัดให้มีระบบสัญญาณเตือนภัยระดับชุมชมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยงภัย เป็นต้น ๑.๒ มาตรการด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น จัดให้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับภัยพิบัติ ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงาน ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และจัดตั้งคณะกรรมการสหวิทยาการภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่วางแผนการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติของประเทศ เป็นต้น ๑.๓ มาตรการด้านการศึกษาและสนับสนุน เช่น ส่งเสริมสนับสนุนองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ตัวแทนภาคประชาชนในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการวางแผน การเตือนภัยการป้องกันภัย การบรรเทาสาธารณภัย การจัดการแผนการอพยพในชุมชนยามเกิดภัยพิบัติ บรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ การปฏิบัติตนหรือการอพยพเคลื่อนย้ายขณะเกิดภัย การช่วยเหลือตนเองเบื้องต้น ตลอดจนองค์ความรู้อื่น ๆ ไว้ในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับในทุกโรงเรียน ทุกชั้นเรียน และลงทุนสร้างระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิชั้นสูง เช่นเดียวกับประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เช่น ในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาที่มีการใช้เครื่องมือที่เป็นระบบการแจ้งเตือนภัยป้องกันแผ่นดินไหวและสึนามิ ที่สามารถแจ้งเตือนเหตุล่วงหน้าได้ถึง ๒-๓ สัปดาห์ นำมาปรับใช้กับประเทศไทย เป็นต้น ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. กรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์และกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว เช่น ประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว จัดทำคู่มือประชาชนเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติระหว่างเกิดและหลังเกิดแผ่นดินไหวแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เร่งรัดจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยให้ครบถ้วนทุกพื้นที่และมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัย พร้อมทั้งแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง จัดทำป้ายแจ้งให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางเข้าเขตจังหวัดหรือบริเวณที่ใกล้รอยเลื่อน ได้รับทราบว่ากำลังอยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง และบรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติแผ่นดินไหว ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือในทุกชั้นเรียน เป็นต้น ๒.๒ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยและอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น จัดหาและพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหวและระบบสัญญาณเตือนภัยที่ใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีความทันสมัย ปรับปรุงและพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวให้มีความถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว และครอบคลุมทั่วถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหาเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ทันสมัย ความเร็วสูงและมีความแม่นยำให้กับกรมอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น ๒.๓ มาตรการด้านการบริหารจัดการ เช่น ปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร หน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วางแผนการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวแห่งชาติเป็นการเฉพาะ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว รวมถึงแผนย่อยระดับจังหวัดและท้องถิ่น มอบหมายหน่วยงานหลักเพียงหน่วยงานเดียวในการประชาสัมพันธ์หรือให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในขณะเกิดเหตุภัยพิบัติ และจัดตั้งวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นการเฉพาะ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ให้เสมือนวิทยาลัยการอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น ๒.๔ มาตรการด้านกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ โดยมีมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว ที่ปลูกสร้างก่อนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลบังคับใช้ควรปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างให้สามารถรองรับต่อการเกิดแผ่นดินไหวได้ ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติฯ และมีมาตรการเพิ่มโทษเกี่ยวกับผู้ที่ให้ข่าวลือ การพูดในลักษณะที่ทำนายหรือคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติแผ่นดินไหว โดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาประกอบหรือสนับสนุนในเรื่องนั้น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
249 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสินามิ | สสป | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสึนามิ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงบประมาณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมสรรพากร กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น ส่งเสริมสนับสนุนงานศึกษาวิจัยแบบจำลองสามมิติ เพื่อการเตือนภัยสึนามิ ให้ความสำคัญกับระบบการสื่อสารและเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ และจัดให้มีระบบสัญญาณเตือนภัยระดับชุมชมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยงภัย เป็นต้น ๑.๒ มาตรการด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น จัดให้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับภัยพิบัติ ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงาน ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และจัดตั้งคณะกรรมการสหวิทยาการภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่วางแผนการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติของประเทศ เป็นต้น ๑.๓ มาตรการด้านการศึกษาและสนับสนุน เช่น ส่งเสริมสนับสนุนองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ตัวแทนภาคประชาชนในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการวางแผน การเตือนภัยการป้องกันภัย การบรรเทาสาธารณภัย การจัดการแผนการอพยพในชุมชนยามเกิดภัยพิบัติ บรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ การปฏิบัติตนหรือการอพยพเคลื่อนย้ายขณะเกิดภัย การช่วยเหลือตนเองเบื้องต้น ตลอดจนองค์ความรู้อื่น ๆ ไว้ในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับในทุกโรงเรียน ทุกชั้นเรียน และลงทุนสร้างระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิชั้นสูง เช่นเดียวกับประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เช่น ในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาที่มีการใช้เครื่องมือที่เป็นระบบการแจ้งเตือนภัยป้องกันแผ่นดินไหวและสึนามิ ที่สามารถแจ้งเตือนเหตุล่วงหน้าได้ถึง ๒-๓ สัปดาห์ นำมาปรับใช้กับประเทศไทย เป็นต้น ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. กรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์และกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว เช่น ประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว จัดทำคู่มือประชาชนเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติระหว่างเกิดและหลังเกิดแผ่นดินไหวแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เร่งรัดจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยให้ครบถ้วนทุกพื้นที่และมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัย พร้อมทั้งแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง จัดทำป้ายแจ้งให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางเข้าเขตจังหวัดหรือบริเวณที่ใกล้รอยเลื่อน ได้รับทราบว่ากำลังอยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง และบรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติแผ่นดินไหว ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือในทุกชั้นเรียน เป็นต้น ๒.๒ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยและอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น จัดหาและพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหวและระบบสัญญาณเตือนภัยที่ใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีความทันสมัย ปรับปรุงและพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวให้มีความถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว และครอบคลุมทั่วถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหาเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ทันสมัย ความเร็วสูงและมีความแม่นยำให้กับกรมอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น ๒.๓ มาตรการด้านการบริหารจัดการ เช่น ปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร หน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วางแผนการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวแห่งชาติเป็นการเฉพาะ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว รวมถึงแผนย่อยระดับจังหวัดและท้องถิ่น มอบหมายหน่วยงานหลักเพียงหน่วยงานเดียวในการประชาสัมพันธ์หรือให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในขณะเกิดเหตุภัยพิบัติ และจัดตั้งวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นการเฉพาะ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ให้เสมือนวิทยาลัยการอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น ๒.๔ มาตรการด้านกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ โดยมีมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว ที่ปลูกสร้างก่อนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลบังคับใช้ควรปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างให้สามารถรองรับต่อการเกิดแผ่นดินไหวได้ ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติฯ และมีมาตรการเพิ่มโทษเกี่ยวกับผู้ที่ให้ข่าวลือ การพูดในลักษณะที่ทำนายหรือคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติแผ่นดินไหว โดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาประกอบหรือสนับสนุนในเรื่องนั้น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
250 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | ทส | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานการตรวจติดตามสภาพปัญหาแนวตลิ่งพังบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ในจังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดนครสวรรค์ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สรุปได้ ดังนี้
๑. วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ได้ตรวจติดตามสภาพแนวตลิ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่พังทลายในบริเวณตำบลไทรน้อย ตำบลบ้านกุ่ม และตำบลบางชะนี อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมอบหมายให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชน และให้กรมโยธาธิการและผังเมือง เร่งก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งในบริเวณพื้นที่วิกฤติ ๒. วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ได้ส่งมอบโครงการน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ โรงเรียนพรานกระต่ายพิทยาคม หมู่ ๑ ตำบลพรานกระต่าย อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร และได้ส่งมอบระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลดื่มได้ภาคสนาม จำนวน ๓ เครื่อง ให้กับเทศบาลตำบลพรานกระต่าย อำเภอพรานกระต่าย เทศบาลตำบลลานกระบือ อำเภอลานกระบือ และองค์การบริหารส่วนตำบลเพชรชมภู อำเภอโกสัมพีนคร จังหวัดกำแพงเพชร นอกจากนี้ ได้ตรวจติดตามสภาพปัญหาภัยแล้ง การเจาะน้ำบาดาล และการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหา และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านสหกรณ์ หมู่ ๓ ตำบลทรงธรรม อำเภอเมืองกำแพงเพชร บ้านคลองขุด หมู่ ๔ ตำบลโพธิ์ทอง อำเภอปางศิลาทอง และบ้านบ่อถ้ำ หมู่ ๓ ตำบลบ่อถ้ำ อำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร พร้อมทั้งตรวจติดตามสภาพปัญหาลำน้ำคลองขลุงและแนวทางแก้ไข ตำบลหินดาด อำเภอปางศิลาทอง จังหวัดกำแพงเพชร ๓. วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ได้ตรวจโครงการสูบน้ำจากเหมืองแร่เก่าไปพื้นที่เกษตรกรรม (นาข้าว) บ้านทุ่งทอง หมู่ที่ ๓, ๗, ๙, ๑๑ และ ๑๓ ตำบลทุ่งทอง อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมทั้งตรวจการเจาะน้ำบาดาลและการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหลักสิบเก้า หมู่ ๑๔ ตำบลอุดมธัญญา อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
251 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดภูเก็ต วันที่ 20 มีนาคม 2555 | คค | 22/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการตามโครงการ “เมืองท่าดอนสัก” ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดภูเก็ต วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ และที่กระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึก อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี กรมเจ้าท่าได้จัดทำขอบเขตการศึกษาความเหมาะสมของโครงการฯ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงิน ๓๕ ล้านบาท แต่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งกรมเจ้าท่าจะได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ๒. โครงการพัฒนาระบบขนส่งเชื่อมโยงระหว่างเส้นทาง ๒ ฝั่งทะเล สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้รับจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อดำเนินการจ้างศึกษาและออกแบบแนวเส้นทางรถไฟสายใหม่เพื่อการท่องเที่ยวเส้นทางสุราษฎร์ธานี-พังงา-ภูเก็ต ระยะเวลาดำเนินการ ๑๔ เดือน วงเงิน ๑๑๘.๗๐๗ ล้านบาท (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๓.๗๔๑ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๙๔.๙๖๖ ล้านบาท) อยู่ระหว่างเตรียมการคัดเลือกที่ปรึกษา ๓. โครงการพัฒนาและก่อสร้างสนามบิน อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี กรมการบินพลเรือนได้จัดทำขอบเขตการศึกษาความเหมาะสมของโครงการฯ วงเงิน ๑๐ ล้านบาท ให้จังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้ว ซึ่งทางจังหวัดจะเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่อไป ๔. กระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติมว่า โครงการ “เมืองท่าดอนสัก” เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี พังงา และภูเก็ต ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบทางตรงและทางอ้อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ จึงเห็นควรสนับสนุนกรมโยธาธิการและผังเมืองจัดทำผังอนุภาคกลุ่มจังหวัดเพื่อบูรณาการการพัฒนาพื้นที่ในด้านระบบเมือง ชุมชน การใช้ประโยชน์ที่ดิน และระบบคมนาคมขนส่ง ให้เกิดความสมดุลของการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ตลอดจนกำหนดพื้นที่ในการพัฒนาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับแนวนโยบายของประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
252 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย (จำนวน 7 ราย 1. นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ฯลฯ) | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง สังกัดกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๙ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายประภาศ บุญยินดี ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายชวน ศิรินันท์พร ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมการปกครอง ๕. นายขวัญชัย วงศ์นิติกร ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมการพัฒนาชุมชน ๖. นายแก่นเพชร ช่วงรังษี ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ๗. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๘. นายภาณุ อุทัยรัตน์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๙. นายมณฑล สุดประเสริฐ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมโยธาธิการและผังเมือง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
253 | การโอนข้าราชการประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย (นายภาณุ อุทัยรัตน์ และนายมณฑล สุดประเสริฐ) | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง สังกัดกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๙ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายประภาศ บุญยินดี ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายชวน ศิรินันท์พร ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมการปกครอง ๕. นายขวัญชัย วงศ์นิติกร ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมการพัฒนาชุมชน ๖. นายแก่นเพชร ช่วงรังษี ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ๗. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๘. นายภาณุ อุทัยรัตน์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๙. นายมณฑล สุดประเสริฐ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมโยธาธิการและผังเมือง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
254 | การโอนข้าราชการประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงมหาดไทยและศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) (นายประมุข ลมุล และนายมณฑล สุดประเสริฐ) | มท | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยและศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ ดังนี้
๑. นายประมุข ลมุล รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ๒. นายมณฑล สุดประเสริฐ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
255 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 6/2555 | นร | 30/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุรินทร์ โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุรินทร์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการศึกษาวิจัยโครงการ “นครราชสีมา : เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในอนุภูมิภาค” จำนวน ๒๐ ล้านบาท และขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้านนโยบายและงบประมาณเพื่อศึกษาความเป็นไปได้โครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรชายแดน ที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ที่ประชุมมีมติ ๒.๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองรับข้อเสนอโครงการศึกษาวิจัยโครงการ “นครราชสีมาเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในอนุภาค” ไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้มีผู้แทนภาคเอกชนเข้าร่วมในคณะกรรมการกำกับการศึกษาโครงการฯ ด้วย ๒.๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรชายแดนที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ๒.๒ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนการพัฒนาและขยายเส้นทางการจราจร จำนวน ๑๐ โครงการ โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ จังหวัดนครราชสีมา - บุรีรัมย์ - สุรินทร์ - ศรีษะเกษ - อุบลราชธานี และโครงการยกระดับสนามบินอุบลราชธานี ที่ประชุมมีมติ ๒.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมและจัดลำดับความสำคัญของการขยายเส้นทางและช่องจราจรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยให้ความสำคัญกับเส้นทางและช่องจราจรที่เชื่อมโยงระหว่างภาคและประเทศเพื่อนบ้านในการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ๒.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และขั้นตอนการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการควบคู่ไปด้วย ๒.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าอากาศยานอุบลราชธานีในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบินในอินโดจีน โดยคำนึงถึงปริมาณความต้องการเดินทาง ความได้เปรียบในเชิงพื้นที่ รวมทั้งโอกาสและข้อจำกัดในการรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ๒.๓ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำโป่งขุนเพชรบริเวณบ้านแก่งกระจวน ตำบลโคกสะอาด อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และขอให้เร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน เขื่อนชีบน และเขื่อนยางนาดี จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จ ที่ประชุมมีมติ ๒.๓.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำโป่งขุนเพชรให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และนำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ต่อไป ๒.๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเรื่องประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เพื่อเร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน เขื่อนชีบน และเขื่อนยางนาดี จังหวัดชัยภูมิ และนำเสนอ กบอ. ต่อไป ๒.๓.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับ กบอ. และกลุ่มจังหวัดพิจารณาการเชื่อมโยงพื้นที่ในการจัดหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคแบบบูรณาการในภาพรวมทั้งระบบ โดยคำนึงถึงความพร้อมของพื้นที่และการยอมรับของประชาชน ทั้งนี้ ให้ขอความร่วมมือภาคเอกชนได้ร่วมสนับสนุนข้อมูลที่จำเป็นในพื้นที่ด้วย ๒.๔ ข้อเสนอของ สทท. เรื่อง ขอให้สนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินโครงการ “นำช้างคืนถิ่น” และ “คชอาณาจักร” ขอให้พัฒนาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมในเขตอำเภอวังน้ำเขียวให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน และขอให้ส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวเชื่อมโยงอีสานใต้กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประชุมมีมติ ๒.๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อน การอนุรักษ์ช้างและอาชีพควาญช้าง โดยบูรณาการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน มูลนิธิ และองค์กรการกุศล เพื่อให้การดูแลอนุรักษ์ช้างเป็นไปอย่างเป็นระบบและสามารถแก้ไขปัญหาช้างได้อย่างยั่งยืน ๒.๔.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบูรณาการพัฒนาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมในเขตอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อใช้ประโยชน์จากพื้นที่โดยเน้นการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยไม่กระทบต่อพื้นที่ปาสงวน ๒.๔.๓ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอเรื่องการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงอีสานใต้กับประเทศเพื่อนบ้านไปผนวกไว้ในแผนการเชื่อมโยงระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากความตกลงที่ไทยได้จัดทำร่วมกับกัมพูชา สปป.ลาว และเวียดนาม เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง คมนาคม และการท่องเที่ยวระหว่างกัน ๒.๔.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณาความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้าน และการบังคับใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการนำเที่ยวในประเทศสำหรับบริษัทนำเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้าน และนำเสนอผลการดำเนินการต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๕ ข้อเสนอของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานมารายงานให้ทราบเป็นระยะ ๒.๖ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ๒.๖.๑ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ผลการประชุม 3rd Asian Business Summit (ABS) ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.๖.๒ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การส่งเสริมการค้าชายแดน โดยการยกระดับจุดผ่อนปรนเป็นด่านถาวร ที่ประชุมีมติรับทราบและให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยติดตามรายงานความก้าวหน้าการยกระดับจุดผ่านแดนให้คณะรัฐมนตรีรับทราบต่อไป ๒.๖.๓ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง โครงการปรับปรุงพื้นที่ด่านชายแดนช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดสุรินทร์ รับไปพิจารณาในรายละเอียดของข้อเสนอต่อไป ๒.๖.๔ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การเร่งรัดจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ประสานสำนักงบประมาณ รับไปพิจารณาในรายละเอียดการขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา และการจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา) ๒.๖.๕ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ข้อเสนอโครงการจัดตั้ง Northeastern Food Valley จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๙๔๗,๔๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารายละเอียดโครงการ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อศึกษาความเหมาะสมในการกำหนดเขตพื้นที่ดำเนินการในภาพรวมทั้งประเทศ โดยคำนึงถึงการเพิ่มมูลค่าของผลิตผลการเกษตรด้วย ๒.๖.๖ ข้อเสนอของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เรื่อง โครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาให้การสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
256 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2555 | ทส | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในท้องที่จังหวัดพังงา ร่างประกาศกระทรวงฯ เรื่องขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในท้องที่จังหวัดกระบี่ และร่างประกาศกระทรวงฯ เรื่อง ขยายเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในบริเวณพื้นที่จังหวัดกระบี่ พ.ศ. ๒๕๕๓ รวม ๓ ฉบับ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ ทั้ง ๓ ฉบับ เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ โดยเร่งรัดดำเนินการนำเสนอให้ทันกำหนดการบังคับใช้ ๒. เห็นชอบแนวทาง/มาตรการในการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการจากกองทุนฯ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตามความเห็นของคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๔ และครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ และเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการพิจารณาให้กู้ยืมเงิน อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการปลอดการชำระคืนเงินต้น และระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ยืม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากเหตุอุทกภัย พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมฯ เสนอประธานกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. เห็นชอบสรุปผลการวิเคราะห์แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วยโครงการด้านการจัดการมลพิษสิ่งแวดล้อมที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน ๓๑ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๖๘๔,๐๖๙,๑๑๖ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการกำกับการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อขอตั้งงบประมาณแผ่นดิน หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณต่อไป และให้การประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาคเร่งรัดดำเนินงานตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ เรื่อง การปรับแก้พระราชบัญญัติการประปานครหลวงและพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาคเพื่อให้มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งให้กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดทำคำขอตั้งงบประมาณเพื่อซ่อมแซมระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียที่ยังชำรุดเสียหาย และไม่สามารถส่งมอบให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ เทศบาลนครพิษณุโลก เทศบาลเมืองสระบุรี เทศบาลเมืองชุมพร และเทศบาลเมืองปัตตานี เพื่อให้ระบบอยู่ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งาน ก่อนส่งมอบให้ อปท. และให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณดังกล่าวด้วย ๔. เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และแต่งตั้งคณะทำงานติดตามผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ เพื่อกำกับ ติดตาม ประสานงาน และจัดทำรายงานผลการดำเนินงานในแต่ละปี ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงสุกร การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการแกะล้างวัตถุดิบสัตว์น้ำ (แปรรูปสัตว์น้ำเบื้องต้น) ตามหลักเกณฑ์ของกิจการที่เสนอให้มีการกำหนดเงื่อนไขด้านการจัดการน้ำเสียและของเสีย และการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอื่น ๆ เสนอแนวทางการจัดการน้ำเสียและของเสียต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการยื่นขอหรือต่อใบอนุญาตการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษตรวจสอบหลักเกณฑ์ของกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดที่เสนอให้มีการกำหนดเงื่อนไขด้านการจัดการน้ำเสียและของเสีย ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ก่อนให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อไป ๖. เห็นชอบการยกร่างกฎหมายเพื่อให้ อปท. มีอำนาจหน้าที่ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามความในมาตรา ๒๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษจัดทำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบให้กรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการยกร่างกฎหมายดังกล่าว โดยในการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายควรเปิดโอกาสให้ อปท. และรัฐวิสาหกิจ เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ๗. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการออกกฎกระทรวงการสาธารณสุขว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมกำจัดมูลฝอยและของเสียอันตรายของชุมชน ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเป็นกฎหมายรองรับการดำเนินงานของท้องถิ่นต่อไป และให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการออกกฎระเบียบ มาตรการ และเกณฑ์การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ อปท. ในเรื่องการจัดการมูลฝอย การควบคุมมลพิษจากการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และเหตุเดือดร้อนรำคาญด้านมลพิษ และร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสริมสร้างสมรรถนะให้กับ อปท. ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกำหนดยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม (ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม) เป็นตัวชี้วัดร่วมระหว่างกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน (Joint KPI) โดยเริ่มในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๘. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างท่าเรือชายฝั่งที่จังหวัดตรัง ของกรมเจ้าท่า โดยให้กรมเจ้าท่าปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อแหล่งหญ้าทะเล พะยูน และปะการัง ใกล้แนวเส้นทางเดินเรืออย่างเคร่งครัด รวมทั้งเพิ่มเติมมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลบริเวณแหล่งหญ้าทะเล พะยูน และแนวปะการัง ตลอดอายุโครงการ ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๙. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายนครปฐม - ชะอำ ของกรมทางหลวง โดยให้กรมทางหลวงพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงสร้างระบบระบายน้ำของโครงการให้สามารถรองรับปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านบริเวณแนวเส้นทางโครงการเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑๐. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระบบ ๑๑๕ กิโลโวลต์ อำเภอเขาค้อ - อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๑๑. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีชมพู ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๒. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงรังสิต - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยให้ รฟท. นำข้อมูลอุทกภัยที่เกิดขึ้นล่าสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาใช้ประกอบการพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงการฯ เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๓. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการศึกษารูปแบบที่เหมาะสมของระบบรถไฟสายสีแดงผ่านบริเวณสถานีรถไฟจิตรลดา และการออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - พญาไท - มักกะสัน ของ รฟท. โดยให้ รฟท. นำข้อมูลอุทกภัยที่เกิดขึ้นล่าสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาใช้ประกอบการพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงการฯ เพื่อลดผลกระทบสิ่แวดล้อมจากการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๔. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
257 | หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ | กค | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการที่กรมบัญชีกลาง โดยคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง คณะอนุกรรมการกำกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง คณะทำงานจัดทำและปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง และหน่วยงานหลักด้านการก่อสร้าง (กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมชลประทาน) ได้ดำเนินการทบทวนและปรับปรุงขึ้นใหม่ทั้งระบบ ประกอบด้วยหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างอาคาร หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างทาง สะพาน และท่อเหลี่ยม หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างชลประทาน รวมทั้งแนวทาง วิธีปฏิบัติ และรายละเอียดประกอบการคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง โดยให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติเมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วันนับแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ๑.๒ ในวันที่หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่มีผลใช้บังคับ ให้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ ยกเลิกหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ (เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางงานก่อสร้าง) รวมทั้งหลักเกณฑ์ รายละเอียดประกอบ แนวทาง และวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องตามประกาศและหนังสือเวียนอื่นใด แล้วใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่แทน ๑.๒.๒ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ และอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ก็ให้ดำเนินการต่อไป ๑.๒.๓ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ไว้เกิน ๓๐ วัน และยังไม่เริ่มดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ให้คำนวณราคากลางใหม่โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่ ๑.๒.๔ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ไว้ไม่เกิน ๓๐ วัน และยังไม่เริ่มดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐเจ้าของโครงการ/งานก่อสร้างนั้น ที่จะพิจารณาให้คำนวณราคากลางใหม่โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่หรือไม่ ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่ ประกอบการพิจารณาจัดสรรหรือตั้งงบประมาณสำหรับโครงการ/งานก่อสร้างของทางราชการด้วย ๒. การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการที่จะใช้ในการดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างนั้น ให้คำนวณราคาตามความเป็นจริง โดยไม่นำวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดร้อยละ ๕ มารวมคำนวณเป็นราคากลางด้วย ๓. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงบประมาณติดตามผลการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ และโครงการป้องกันปัญหาอุทกภัยต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
258 | ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแก้ไขผลกระทบปัญหาการกัดเซาะชายทะเลกรุงเทพมหานคร และเขตพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเลอ่าวไทย และญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหาน้ำกัดเซาะชายฝั่งแม่น้ำโขง | สผ | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแก้ไขผลกระทบปัญหาการกัดเซาะชายทะเลกรุงเทพมหานครและเขตพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเลอ่าวไทย (นายวิชาญ มีนชัยนันท์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) และญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหาน้ำกัดเซาะชายฝั่งแม่น้ำโขง (นายพิษณุ หัตถสงเคราะห์ เป็นผู้เสนอ) และผลการดำเนินการตามญัตติดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทยได้จัดทำรายงานผลการดำเนินการตามญัตติแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและผลการตรวจสอบและรวบรวมพื้นที่เสียหายจากสถานการณ์คลื่นยักษ์ ในช่วงเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ โดยเห็นว่าการดำเนินการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจกรรม ซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๒ ข้อ ๒๕ การก่อสร้างหรือขยายสิ่งก่อสร้างบริเวณหรือในทะเล ข้อย่อย ๒๕.๑ กำแพงริมชายฝั่ง ติดแนวชายฝั่ง ความยาวตั้งแต่ ๒๐๐ เมตรขึ้นไป ต้องใช้ระยะเวลาและงบประมาณในการปฏิบัติตามประกาศกระทรวงฯ มาก ทำให้การแก้ไขปัญหาล่าช้า ประกอบกับรูปแบบที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองได้ดำเนินการเป็นลักษณะโครงสร้างที่อยู่ในตลิ่งและขนานไปกับชายหาดไม่กีดขวางการเคลื่อนที่ของตะกอนทราย และในการออกแบบได้คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อพื้นที่ข้างเคียงแล้ว ซึ่งจากโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จไม่พบว่าส่งผลกระทบต่อพื้นที่ข้างเคียงแต่อย่างใด จึงเห็นควรยกเลิกหรือยกเว้นการดำเนินการตามประกาศกระทรวงฯ ในข้อ ๒๕ ตามข้อย่อย ๒๕.๑ ดังกล่าว สำหรับโครงการของส่วนราชการและกระทรวงมหาดไทยได้รวบรวมผลการดำเนินการตามญัตติแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ๒. สำหรับหน่วยงานอื่นได้พิจารณาดำเนินการตามญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแก้ไขผลกระทบปัญหาการกัดเซาะชายทะเลกรุงเทพมหานครและเขตพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเลอ่าวไทย และญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหาน้ำกัดเซาะชายฝั่งแม่น้ำโขง ด้วยแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
259 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 1/2555 | นร | 15/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ในภูมิภาค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๕ ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังเร่งพิจารณารายละเอียดโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพ - เชียงใหม่ โดยกำหนดรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนตามที่ได้มีการตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) และทำการศึกษาความเหมาะสมทางการเงินและเศรษฐศาสตร์ของโครงการโดยละเอียด ๑.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ศึกษาและสำรวจเส้นทางของการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) เส้นทางเชียงใหม่ - เชียงราย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) พิจารณาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ๑.๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) พิจารณาเพิ่มเส้นทาง เด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ภายใต้แผนการพัฒนาโครงการพัฒนารถไฟทางคู่ของประเทศไทย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ๑.๒ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๒.๑ ให้สำนักงานสภาความความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาเรื่องการยกระดับจุดผ่อนปรนกิ่วผาวอก และจุดผ่อนปรนบ้านห้วยต้นนุ่นเป็นจุดผ่านแดนถาวร เพื่อให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และความพร้อมของประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๒.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยประสานสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการเปิดจุดผ่านแดนถาวรระหว่างกัน และให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องด้านการอำนวยความสะดวกและการบริหารจัดการบริเวณด่านพรมแดนเตรียมความพร้อมรองรับการยกระดับจุดผ่อนปรนบ้านฮวกเป็นจุดผ่านแดนถาวร ๑.๒.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลังเร่งรัดการพิจารณาร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย โดยรวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๑.๓.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการรับไปพิจารณาเตรียมความพร้อมในการประกาศให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็น Year of MICE (Meeting, Incentive, Convention, and Exhibition) หรือธุรกิจการจัดประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การแสดงสินค้าและนิทรรศการตั้งแต่ระดับเล็ก จนถึงระดับใหญ่อย่างระดับชาติ หรือระดับนานาชาติ ๑.๓.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งดำเนินการศึกษาเพื่อกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและมีความพร้อมก่อนการเปิดตัวใช้งานในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑.๓.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง) จังหวัดเชียงใหม่ และเทศบาลนครเชียงใหม่ จัดทำแนวทางการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเขตผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ โดยนำผลการศึกษาจากโครงการจัดทำแผนแม่บทและออกแบบเพื่อการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนเชียงใหม่ ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ มาประกอบการจัดทำแนวทางการพัฒนา ๑.๓.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น ร่วมกันดำเนินโครงการฝึกอบรมภาษาต่างประเทศที่มีความจำเป็นให้กับมัคคุเทศก์อย่างต่อเนื่อง โดยประสานกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) ๑.๓.๕ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำปฏิทินท่องเที่ยวภูมิภาคและสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงกลุ่มพื้นที่ ๑.๔ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำ (กยน.) รับข้อเสนอของคณะกรรมการ กกร. เกี่ยวกับโครงการสร้างฝายชะลอน้ำแบบบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำยม และการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและป้องกันน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ ไปพิจารณาในรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไป ๑.๕ การพัฒนาตลาดทุนไทย ๑.๕.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมในการเพิ่มข้อกำหนดเรื่อง การยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินปันผล ดอกเบี้ย ให้กับบริษัทและกองทุนที่ลงทุนข้ามชาติ (Offshore Holding Company and Funds) ในอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า และอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๑.๕.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทยในการให้ความรู้พื้นฐานทางการเงินแก่ผู้ประกอบการและประชาชนภาคเหนือตอนบน เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการ และขยายกลุ่มเป้าหมายให้รวมถึงกองทุนหมู่บ้าน ๑.๕.๓ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของที่ประชุมไปเร่งรัดการพัฒนาตลาดพันธบัตรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้บริหาร อปท. ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการ และประชาชนเกี่ยวกับการจัดทำระบบบัญชีที่ดี โดยคำนึงถึงความพร้อมของ อปท. ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุมต่อไป โดยให้รายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ไปประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์สนับสนุนการดำเนินงานของภาคเอกชน เช่น กกร. สทท. และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เป็นต้น ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคดังกล่าวด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อจัดทำแผนงานด้านการท่องเที่ยวในภาคเหนือในระยะยาว โดยให้มีการบูรณาการทุก ๆ มิติ เช่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ตลอดจนวางแผนงานเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว (low season) โดยการจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬา การจัดงานแสดงสินค้า เป็นต้น รวมทั้งการเร่งรัดประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
260 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก กรณีศึกษาในจังหวัดระยอง | สสป | 04/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็น ตามที่เลขาธิการสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การป้องกัน และแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก กรณีศึกษาในจังหวัดระยอง ดังนี้ ประเด็นที่ ๑ ชะลอการขยายและก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและมลภาวะในจังหวัดระยอง จนกว่าจะแก้ไขปัญหามลพิษไม่ให้เกินมาตรฐานที่กำหนด ประเด็นที่ ๒ เร่งฟื้นฟู บูรณะสิ่งแวดล้อมในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกอย่างจริงจัง โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในทุกระดับ ประเด็นที่ ๓ จัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุดและบริเวณโดยรอบ เพื่อให้มีเอกภาพในการบริหารจัดการ ประเด็นที่ ๔ ให้ปรับปรุงผังเมืองรวมจังหวัดระยอง ประเด็นที่ ๕ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนา การแก้ไขและป้องกันปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ประเด็นที่ ๖ เพิ่มบริการสาธารณสุขและสถานศึกษาในจังหวัดระยองเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการอย่างทั่วถึงและเพียงพอ ประเด็นที่ ๗ เร่งฟื้นฟูและบริหารจัดการน้ำในภาคตะวันออกให้สามารถรองรับการใช้น้ำของภาคอุตสาหกรรม ประเด็นที่ ๘ ให้มีองค์กรติดตามการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ๒. ความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานภูมิภาคในพื้นที่และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ดังนี้ ๒.๑ กลุ่มประเด็น : นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดระยอง ประเด็นที่ ๑ ควรชะลอการขยายและก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ในพื้นที่ที่อาจส่งผลกระทบต่อมลภาวะในจังหวัดระยอง ยกเว้นโรงงานที่จำเป็นต้องดำเนินการต่อเนื่อง ประเด็นที่ ๔ ให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ดำเนินการจัดทำผังเมืองระยองให้แล้วเสร็จและประกาศใช้บังคับอย่างต่อเนื่อง และให้เทศบาลเมืองมาบตาพุดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องซึ่งรับการถ่ายโอนภารกิจปรังปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชน จังหวัดระยอง ประเด็นที่ ๗ มอบหมายให้กรมชลประทานเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการบูรณาการการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ๒.๒ กลุ่มประเด็น : การแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต ประเด็นที่ ๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งฟื้นฟูบูรณะสิ่งแวดล้อมในพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกอย่างจริงจัง รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและรัดกุม โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมทุกระดับ ประเด็นที่ ๕ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ดีขึ้นและใช้กลไกที่มีอยู่เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเชิงรุกและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการศูนย์เฝ้าระวัง และตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมที่จะเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบ ประเด็นที่ ๖ เห็นควรให้จังหวัดระยองดำเนินการสำรวจประชากรแฝงให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อจะได้ทำแผนในการดูแลคุณภาพชีวิตในทุกด้านอย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๓ กลุ่มประเด็น : การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ ประเด็นที่ ๓ ให้กระทรวงมหาดไทยทำการศึกษารูปแบบในการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษดังกล่าวให้แล้วเสร็จ และนำเสนอต่อคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณา ประเด็นที่ ๘ ในระดับชาติควรมอบให้คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รับไปดำเนินการ และในระดับพื้นที่ควรมอบหมายจังหวัดระยองรับไปดำเนินการ
|
.....