ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 18 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 352 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | การปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาด้านที่พักอาศัยให้แก่ผู้ประสบภัยพิบัติ | นร. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคม
๒๕๖๘ ที่ผ่านมา มีข้อร้องเรียนจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า
หลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันอาจไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับความเดือดร้อนและความเสียหายของที่พักอาศัยที่ผู้ประสบภัยพิบัติได้รับจริงจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นดังกล่าว
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง
และกรุงเทพมทานคร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการปรับปรุงแก้ไขระเบียบหรือหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้มีความยึดหยุ่นและสามารถจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเดือดร้อนและความเสียหายของที่พักอาศัยที่เกิดขึ้นจริงได้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้
เงินช่วยเหลือเยียวยาดังกล่าวถือว่าเป็นคนละส่วนและไม่ซ้ำซ้อนกับเงินสินไหมที่ผู้ประสบภัยอาจได้รับจากบริษัทประกันภัยอยู่แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | การตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่ม | นร. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มเพื่อหาสาเหตุและผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายในช่วงที่ผ่านมา
พบว่า
มีปัญหาและอุปสรรคค่อนข้างมากเนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่าที่ควร
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ๑.
ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดส่งเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพื่อสนับสนุนการสืบสวนหาสาเหตุและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ๒.
ขอความร่วมมือให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารดังกล่าวทั้งหมด
รวมถึงเอกสารของคณะกรรมการตรวจรับพัสดุในงานจ้างก่อสร้างที่ได้รายงานว่าผู้รับจ้างดำเนินงานผิดสัญญาการก่อสร้าง
แต่ยังมิได้ยกเลิกสัญญาการก่อสร้างภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(กรมทรัพยากรธรณี) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กรมอุตุนิยมวิทยา)
ร่วมกันจัดทำและส่งรายงานผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในเขตกรุงเทพมหานครให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยด่วน ๔. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง)
ในฐานะหน่วยงานกลางที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ให้ความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการตรวจสอบมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้างและคุณภาพของวัสดุก่อสร้างอาคารดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินการตามกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง
การบริหารพัสดุภาครัฐ
และการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลงกับคู่สัญญาที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงดังกล่าว ๕. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ร่วมตรวจสอบงานก่อสร้างอาคารดังกล่าวให้ความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเต็มที่ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอ
ทั้งนี้ ต้องไม่ให้เจ้าหน้าที่ของกรมโยธาธิการและผังเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบงานก่อสร้างอยู่เดิมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างเด็ดขาด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | (ร่าง) ข้อเสนอการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน | สกช. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน
มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยการบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำภาคเกษตรกรรมของเกษตรกรทั่วประเทศ
ซึ่งประกอบด้วย ๒ แนวทางหลัก ดังนี้ (๑)
การเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน
และการปรับปรุงแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทานร่วมกับการจัดทำธนาคารน้ำใต้ดิน
โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมพัฒนาที่ดิน)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำบาดาล) และกระทรวงมหาดไทย
(กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมโยธาธิการและผังเมือง) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
และ (๒) การทำฝายชะลอน้ำเพื่อกักเก็บน้ำและเพิ่มความชุ่มชื่น
และส่งเสริมการทำฝายแหล่งต้นน้ำเพื่อเป็นการเติมน้ำเข้าสู่ระบบธนาคารน้ำใต้ดินเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำใต้ดินให้เกิดความสมดุล
โดยมีกระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมโยธาธิการและผังเมือง)
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นว่า
ควรหารือการดำเนินงานร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาลในการคัดเลือกพื้นที่นำร่องเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของแหล่งน้ำ
และมีการติดตามประเมินผลด้านวิชาการก่อนขยายผลขับเคลื่อนการดำเนินงานในภาพรวม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า
การทำฝายแหล่งต้นน้ำควรคำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน
เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมบนแหล่งต้นน้ำในระยะยาว
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่า
การจัดสรรงบประมาณเห็นควรให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
รวมถึงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | การเตรียมการรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติของประเทศไทย | นร. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์แผ่นดินไหวในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๘ ส่งผลให้หลายพื้นที่ในประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ภาคเหนือและกรุงเทพมหานครรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนเป็นอย่างมาก
รวมทั้งได้เกิดเหตุการณ์อาคารสูงของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเขตจตุจักรพังถล่มลงมา
ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งในขณะนี้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและอาสาสมัครจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน
และต่างประเทศได้บูรณาการการทำงานร่วมกัน และระดมสรรพกำลังที่มีในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันและเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ
ของประเทศที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต จึงขอมอบหมายดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เร่งดำเนินการจัดทำแผนและมาตรการการป้องกันภัยพิบัติต่าง
ๆ โดยให้แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบและขั้นตอนการปฏิบัติต่าง ๆ (Flowchart) ของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน
เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวสามารถดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกัน
แล้วให้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วภายใน ๑ เดือน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
เร่งประสานการดำเนินงานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กรมอุตุนิยมวิทยา)
และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเพื่อให้สามารถส่งข้อความแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง
ชัดเจน ถูกต้อง และรวดเร็วมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
โดยขอให้ใช้ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน “Virtual
Cell Broadcast” บนอุปกรณ์โทรศัพท์ทุกรูปแบบได้ไปพลางก่อนในระหว่างการรอระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน
“Cell Broadcast Service” ที่กำหนดจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกรกฎาคมนี้
ทั้งนี้ เพื่อให้การเตือนภัยต่อสาธารณชนทั้งที่เป็นภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว
อุทกภัย ดินโคลนถล่ม และอุบัติภัยอื่น ๆ เช่น ไฟไหม้ อุบัติเหตุทางการจราจรและขนส่ง
รวมตลอดถึงภัยจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cyber Crime) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเท่าทันสถานการณ์มากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
เร่งกำหนดมาตรการและแนวปฏิบัติในการติดตาม
ตรวจสอบสภาพความมั่นคงของโครงสร้างอาคารสูงทุกอาคารให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย
รวมทั้งออกใบรับรอง (Certificate) ที่ประชาชนสามารถรับรู้และตรวจสอบได้
เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้งานต่อไป รวมทั้งให้ประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรม
กรุงเทพมหานคร หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดมาตรฐานและข้อกำหนดในการออกแบบก่อสร้างอาคารให้มีความมั่นคง
แข็งแรง ปลอดภัย สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ๔.
ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศต่าง
ๆ ที่มีความพร้อมด้านการเตือนภัยภัยพิบัติและมีแนวปฏิบัติที่ดี เช่น ประเทศญี่ปุ่น
ประเทศนิวซีแลนด์ มาร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย
เพื่อให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยด่วน ๕.
ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนการเตรียมการรับมือด้านการให้บริการทางการแพทย์ กรณีเกิดอุบัติภัยต่าง ๆ ให้เหมาะสม เพียงพอ
และเท่าทันสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการจัดแพทย์ฉุกเฉิน
เตียงสนาม อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งการจัดจิตแพทย์เพื่อให้การดูแลฟื้นฟูจิตใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติภัยต่าง
ๆ ดังกล่าวด้วย ๖.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์
เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการเกิดอุบัติภัย
รวมทั้งการแจ้งเตือนและแผนรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ
ให้แก่นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่มาทำงานในประเทศไทยให้ถูกต้อง ชัดเจน
และรวดเร็วด้วย ๗. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งระดมนักวิชาการทางด้านธรณีวิทยา
เพื่อรวบรวมข้อมูลและจัดทำข้อเสนอแนะในมาตรการรับมือและป้องกันภัยพิบัติที่ถูกต้องและรัดกุม
รวมถึงการตรวจสอบระบบอุปกรณ์เตือนภัยพิบัติต่าง ๆ
ที่มีอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอด้วย ๘. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำหลักสูตร/คู่มือการรับมือกับภัยธรรมชาติและอุบัติภัยต่าง
ๆ เพื่อใช้ในการเรียนการสอนและเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับนักเรียน/นักศึกษาทุกระดับชั้นต่อไป ๙.
ให้กระทรวงคมนาคมเร่งตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขเส้นทางคมนาคมทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ
ให้มีความพร้อมใช้งาน เพื่อสามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติโดยเร็ว
รวมถึงให้ตรวจสอบงานก่อสร้างขนาดใหญ่ในความรับผิดชอบให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย
และสามารถรองรับภัยธรรมชาติต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วย ๑๐. ให้สำนักนายกรัฐมนตรี
(สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) เร่งประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมมาตรการในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ให้ถูกต้อง
ครบถ้วน แล้วดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยด่วน ๑๑. ให้สำนักนายกรัฐมนตรี
(กรมประชาสัมพันธ์) เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและทั่วถึง
โดยให้เผยแพร่ต่อไปยังช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ให้รวดเร็วและครบถ้วน ทั้งทางโทรทัศน์
วิทยุ แพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Facebook หรือ LINE Application รวมทั้งให้ประสานขอความร่วมมือจากภาคเอกชนที่มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน
ตามแต่กรณีด้วย ๑๒. ให้คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง
ซึ่งแต่งตั้งโดยรองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการก่อสร้างอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้แล้วเสร็จภายใน
๗ วัน โดยหากพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | การติดตามประเด็นมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน | นร.04 | 18/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสภาพปัญหา สถานะปัจจุบันของการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. เห็นชอบการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑
มอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสานสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
(Mekong River Commission Secretariat
: MRCS) ในการเร่งดำเนินการศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำแม่น้ำโขงล้นตลิ่งโดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๒ มอบหมายให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีติดตามการดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทยในการพิจารณามาตรการป้องกันความเสี่ยงต่อการทุจริตในกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้ดูดทรายในที่ดินของรัฐในภาพรวมทั้งระบบ
ซึ่งรวมถึงมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดูดทราย ตามข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ๒.๓
มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง
พิจารณาขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำตามแนวชายแดนระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ซึ่งจะเป็นการลดความเสียหายและป้องกันการพังทลายของพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศ
และสำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพื่อเร่งรัดดำเนินการ ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าประเด็นปัญหาชายฝั่งทลายและแนวทางการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลง
ควรมีการสำรวจศึกษาเพิ่มเติมในประเด็น
แผ่นดินทรุดเกิดความสูญเสียและความเสียหายในเขตพื้นที่ชุมชน
แก่งหินและดอนทรายที่เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือถูกทำลายจะส่งผลต่อแนวเขตแดนของประเทศ
และพื้นที่สบน้ำซึ่งเป็นพื้นที่เปราะบางเกิดการกัดเซาะพังทลาย และควรมีการศึกษาและจัดทำมาตรการลดผลกระทบจากการกัดเซาะตลิ่งที่ส่งผลให้พื้นที่ตลิ่งริมน้ำโขงฝั่งไทยลดลง
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของร่องน้ำลึก
และควรศึกษาผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงในประเทศสมาชิกและการลดลงของปริมาณตะกอนในแม่น้ำโขงด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการแก้ไขปัญหาการผันน้ำและการระบายน้ำ
ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการลุ่มน้ำโขงในภาพรวมเพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งนำแผนที่พื้นที่เสี่ยงด้านอุทกภัย และข้อมูลการผันน้ำและระบายน้ำของแม่น้ำโขงเพื่อประกอบการเฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำ
ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลอุทกวิทยา
กรณีฤดูน้ำหลากสำหรับแม่น้ำโขง - ล้านช้าง มาปรับใช้ในการวางแผนรับมือ และการแก้ไขปัญหาการดูดทราย
ควรมีการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ที่มีศักยภาพในการดูดทรายในระดับประเทศ
โดยมีการระบุพื้นที่ที่มีศักยภาพและเหมาะสมในการดูดทราย
รวมทั้งข้อมูลพื้นที่เสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังผลกระทบจากการดูดทราย
เพื่อใช้ประกอบการอนุญาตให้ดำเนินการดูดทราย ซึ่งจะสามารถป้องกันปัญหาความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นและช่วยให้กระบวนการพิจารณาอนุญาตการดูดทรายในประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | ผลการพิจารณา เรื่อง ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล | มท. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง
ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่
๒ ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปผลการดำเนินงานได้ ดังนี้ ๑. ในส่วนของแผนการจัดน้ำที่ดี กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจัดหาพื้นที่รองรับน้ำและกักเก็บน้ำเพิ่มเติมสำหรับแผนการจัดการน้ำในระยะกลางแล้ว
และมีแผนสร้างคันกั้นน้ำด้านตะวันออก และตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเพื่อการจัดการน้ำระยะยาวอีกด้วย ๒. ในส่วนของโครงสร้างการป้องกันชายฝั่ง กรุงเทพมหานครได้จัดทำโครงสร้างแบบแข็ง
(เขื่อนกันคลื่น/กำแพงกันคลื่น) และแบบอ่อน (เนินทราย/ป่าชายเลน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร
และกระทรวงคมนาคมได้ร่วมมือกับรัฐบาลออสเตรเลีย เพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยโดยเฉพาะระบบระบายน้ำ ๓. การย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพมหานครไปจังหวัดนครราชสีมา
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่า การสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล หรือดำเนินการเพิ่มเมืองศูนย์กลางระดับภาคและศูนย์กลางรองระดับภาคน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่า ๔. การศึกษาในเรื่องน้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเกิดจากภาวะโลกร้อน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการศึกษาเพื่อวางแผนแก้ไขปัญหา เช่น การจัดทำ Sea barrier การขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการศึกษาแนวทางการป้องกันการรุกตัวของน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา
และการศึกษาการคาดการณ์อนาคต (Foresight) ระดับน้ำที่สูงขึ้นในแต่ละช่วงปี
เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาและควรศึกษาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ๕. ความเหมาะสมของจังหวัดนครราชสีมาที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศไทย
โดยปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมืองและกระทรวงคมนาคม ได้ศึกษาและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้ว
ทั้งนี้ ควรมีการศึกษาด้านทรัพยากรน้ำในทุกมิติและศึกษาแนวทางการย้ายเมืองหลวงของประเทศอื่น
เป็นแนวทางและเทียบเคียงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | การกำหนด QR Code บนแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดก่อสร้างของทางราชการ | กค. | 11/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบสั่งการให้หน่วยงานของรัฐนำ
QR Code ที่ดาวน์โหลดจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์
(e - GP) ไปใส่ในแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้างของทางราชการตามแบบแผ่นป้ายของกรมโยธาธิการและผังเมือง
และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยนำแนวทางปฏิบัติดังกล่าวไปใช้บังคับในการจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย
โดยอนุโลม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นว่าข้อความที่ปรากฏบนแผ่นป้าย ข้อความ
“กำลังก่อสร้างด้วยเงินภาษีอากรของประชาชน” ตามที่ปรากฏอยู่ด้านล่างของแผ่นป้ายฯ
ควรให้มีเนื้อหาที่สอดคล้องกับแหล่งที่มาของงบประมาณในการก่อสร้าง ข้อความ “งานก่อสร้าง”
เห็นควระบุ เป็นข้อความ “ชื่องาน”
เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนเหมาะสมตามแต่ละประเภทงาน และบนแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดควรมีการระบุผู้ควบคุมงานทั้งฝ่ายผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง
รวมทั้งวัสดุที่ใช้ในการจัดทำโครงสร้างแผ่นป้ายฯ
ควรพิจารณาว่าสามารถใช้วัสดุอื่นนอกเหนือจากใช้ไม้อัดโครงเคร่าไม้
เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่งานก่อสร้าง
และวัสดุที่ใช้ให้มีความคงทนเหมาะสมระยะเวลางานก่อสร้าง เช่น ตัวเสาเสนอใช้เป็นโครงเหล็กแทนไม้
เนื่องจากมีความแข็งแรงกว่า และให้ภาพลักษณ์ที่ดีกว่าเสาไม้ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าทดแทนการขาดประโยชน์ในการใช้ที่ดินหรือค่าชดเชยความเสียหายจากการดำเนินการแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือระงับการใช้ประโยชน์ที่ดิน ที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรน้ำสาธารณะ พ.ศ. .... | มท. | 12/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าทดแทนการขาดประโยชน์ในการใช้ที่ดินหรือค่าชดเชยความเสียหายจากการดำเนินการแก้ไข
เปลี่ยนแปลง หรือระงับการใช้ประโยชน์ที่ดิน ที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรน้ำสาธารณะ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดค่าทดแทนการขาดประโยชน์ในการใช้ที่ดินหรือค่าชดเชยความเสียหายอันเนื่องมาจากการแก้ไข
เปลี่ยนแปลง
หรือระงับการใช้ประโยชน์ที่ดินตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินที่ใช้ประโยชน์ที่ดินมาก่อนการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินที่อาจส่งผลกระทบกับทรัพยากรน้ำสาธารณะ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรมีหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ในการพิจารณาออกคำสั่งทางปกครองอันมีผลทำให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินขาดประโยชน์ในการใช้ที่ดินหรือได้รับความเสียหายจากการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ) | สทนช. | 15/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย
ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.
รัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ประธานกรรมการ ๒. เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รองประธานกรรมการ ๓. ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรรมการ ๔. ปลัดกระทรวงมหาดไทย กรรมการ ๕. ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรรมการ ๖. เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรรมการ ๗. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการ ๘. เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการ ๙. ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรรมการ ๑๐. อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรรมการ ๑๑. อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรรมการ ๑๒. อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กรรมการ ๑๓. อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กรรมการ ๑๔. อธิบดีกรมชลประทาน กรรมการ ๑๕. อธิบดีกรมเจ้าท่า กรรมการ ๑๖. อธิบดีกรมประมง กรรมการ ๑๗. อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กรรมการ ๑๘. อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กรรมการ ๑๙. อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กรรมการ ๒๐. อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรรมการ ๒๑. เลขาธิการสำนักงานนโยบาย กรรมการ และแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒๒. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการ ๒๓. ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ กรรมการ ๒๔. เจ้ากรมอุทกศาสตร์ กรรมการ ๒๕. อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กรรมการ ๒๖. นายชัยยุทธ สุขศรี กรรมการ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารจัดการน้ำ) ๒๗. นายวิจารย์ สิมาฉายา กรรมการ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน) ๒๘. รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ ๒๙. ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๓๐. ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายขจร ศรีชวโนทัย ฯลฯ จำนวน 25 ราย) | มท. | 08/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒๕ ราย
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และสับเปลี่ยนหมุนเวียน
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑. นายขจร ศรีชวโนทัย ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง)
สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายสันติธร ยิ้มละมัย ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง)
สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง
ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๔.นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
(ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายอดิเทพ กมลเวชช์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง
ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๖. นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการปกครอง ๗. นายภาสกร บุญญลักษม์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง)
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๘. นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมโยธาธิการและผังเมือง ๙. นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง)
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ๑๐. นายอังกูร ศีลาเทวากูล ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง)
จังหวัดกระบี่ ๑๑. นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดฉะเชิงเทรา ๑๒. นายชรินทร์ ทองสุข ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดเชียงราย ๑๓. นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด
(นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนนทบุรี ๑๔. นายสมคิด จันทมฤก ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดปทุมธานี ๑๕. นายวีระพันธ์ ดีอ่อน ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดปราจีนบุรี ๑๖.นายทวี เสริมภักดีกุล ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดพิษณุโลก ๑๗. นายศรัณยู มีทองคำ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดเพชรบูรณ์ ๑๘. นายชุติเดช มีจันทร์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดลำปาง ๑๙. นายโชตินรินทร์ เกิดสม ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดสงขลา ๒๐. นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง
ระดับสูง) จังหวัดสมุทรสงคราม ๒๑. นายนริศ นิรามัยวงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดสมุทรสาคร ๒๒. นายพิริยะ ฉันทดิลก ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดสุพรรณบุรี ๒๓. นายชำนาญ ชื่นตา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดสุรินทร์ ๒๔. นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดอุดรธานี ๒๕. ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง
ระดับสูง) จังหวัดอุบลราชธานี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายชาญวิชญ์ สิริสุนทรานนท์) | มท. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชาญวิชญ์ สิริสุนทรานนท์
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกรม (ผู้อำนวยการสูง) กรมโยธาธิการและผังเมือง
ให้ดำรงตำแหน่งสถาปนิกใหญ่ (สถาปนิกทรงคุณวุฒิ) กรมโยธาธิการและผังเมือง
กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2560) | มท. | 08/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
(สีฟ้า) บริเวณหมายเลข ๖.๕ และบริเวณหมายเลข ๖.๗ บางส่วน (เฉพาะพื้นที่บนแผ่นดิน)
ให้เป็นที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ได้แก่ บริเวณหมายเลข ๓.๒/๑
หมายเลข ๓.๘/๑ หมายเลข ๓.๑๐/๑ หมายเลข ๓.๑๑/๑ และหมายเลข ๓.๑๓/๑
และแก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรมในข้อ ๘
วรรคสอง (๙) โดยเพิ่มเงื่อนไขในการประกอบอุตสาหกรรมให้มีระยะห่างจากแนวชายฝั่งตามสภาพธรรมชาติของทะเลไม่น้อยกว่า
๕๐ เมตร และเพิ่มประเภท ชนิด
และจำพวกของโรงงานที่ห้ามประกอบกิจการเฉพาะบริเวณที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมอีก จำนวน ๒๒
ลำดับ ๔๙ ประเภท ในบัญชีท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสุราษฎร์ธานี
พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินเป็นที่ดินประเภทปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
(สีเขียวมีกรอบและเส้นทแยงสีน้ำตาล) ในแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน
และมีข้อกำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการหรือสาธารณประโยชน์ และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ
และเงื่อนไขในการขอและการพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน
พ.ศ. ๒๕๖๐ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ให้เพิ่มข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทนั้นว่า ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการสงวนและคุ้มครองดูแลรักษาหรือบำรุงป่าไม้
สัตว์ป่า ต้นน้ำ ลำธาร และทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ
การพิจารณาการอนุญาตกิจการต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน
และเป็นไปตามกฎกระทรวงควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชัยนาท พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชัยนาท พ.ศ. 2560) | มท. | 08/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชัยนาท พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชัยนาท
พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม
(สีเขียว) สำหรับการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น บริเวณหมายเลข ๓.๔ หมายเลข
๓.๕ เฉพาะฝั่งตะวันตกของคลองส่งน้ำชลประทานทุ่งวัดสิงห์ หมายเลข ๓.๖ หมายเลข ๓.๗
หมายเลข ๓.๑๐ หมายเลข ๓.๑๕ หมายเลข ๓.๑๘ หมายเลข ๓.๑๙ เฉพาะฟากตะวันตกทางหลวงชนบท
ชน.๔๐๕๔ และหมายเลข ๓.๒๐ โดยให้มีระยะห่างไม่น้อยกว่า ๑,๐๐๐ เมตร จากคลองส่งน้ำชลประทานทุ่งวัดสิงห์
คลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง แนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาช่องลม และป่าเขาหลัก และแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ป่าเขาราวเทียน ให้สามารถประกอบกิจการโรงงานอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่ได้ และเพิ่มเติมการอนุญาตให้ที่ดินบริเวณหมายเลข
๓.๓ หมายเลข ๓.๘ และหมายเลข ๓.๙ สามารถประกอบกิจการโรงแรมได้
และเพิ่มเติมการอนุญาตให้ที่ดินบริเวณหมายเลข ๓.๔ หมายเลข ๓.๕ หมายเลข ๓.๖ หมายเลข
๓.๗ หมายเลข ๓.๑๐ หมายเลข ๓.๑๑ หมายเลข ๓.๑๓ หมายเลข ๓.๑๕ หมายเลข ๓.๑๖ หมายเลข
๓.๑๘ หมายเลข ๓.๑๙ หมายเลข ๓.๒๐ และหมายเลข ๓.๒๑ สามารถประกอบกิจการโรงแรมประเภท ๑
และประเภท ๒ ได้ โดยให้มีพื้นที่อาคารรวมกันทุกชั้นในหลังเดียวกันไม่เกิน ๕๐๐
ตารางเมตร รวมทั้งแก้ไขข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม
(สีเขียว) ให้สามารถประกอบกิจการโรงงานลำดับที่ ๑๐๑ โรงงานปรับคุณภาพของเสียรวม (Central
Waste Treatment Plant) เฉพาะโรงงานกำจัดมูลฝอย
ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลหรือได้รับอนุญาตให้ดำเนินการจากหน่วยงานของรัฐดำเนินการได้เพิ่มเติมในท้องที่หมู่ที่
๗ ตำบลหนองมะโมง อำเภอมะโมง จังหวัดชัยนาท
และให้โรงงานบำบัดน้ำเสียรวมดำเนินการได้ และรวมถึงการให้ยกเลิกความในหมายเหตุในโรงงานลำดับที่
๑๐๑
ตามประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ห้ามประกอบกิจการท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดชัยนาท
พ.ศ. ๒๕๖๐ ในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม และให้ใช้ความตามประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ห้ามประกอบกิจการท้ายประกาศนี้แทน
เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ประเพณีวัฒนธรรม และวิถีชีวิตชุมชน
สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัดที่กำหนดให้เป็น
“ย่านท่องเที่ยวการเรียนรู้ และวิธีชีวิตชุมชน” และมุ่งเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมด้วยการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรด้วยนวัตกรรมทางการเกษตรสมัยใหม่
รวมทั้งเพื่อประโยชน์สาธารณะและสุขอนามัยของประชากรในจังหวัดชัยนาท
และดำเนินการรวบรวมน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมในกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ใกล้เคียงมาบำบัด
เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานก่อนนำกลับมาใช้ใหม่หรือปล่อยลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเกษตรกรและพื้นที่ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมด้วย
จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
คำนึงถึงกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอื่นด้วย
การดำเนินการจึงต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน และเมื่อประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้มีผลใช้บังคับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
เพื่อลดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง
การจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล
วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปผลได้
ดังนี้ แนวทางการจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ภายใต้ “๑ โครงการ ๑ QR Code” เพื่อเปิดโอกาสและสร้างแรงจูงใจให้เครือข่ายภาคประชาสังคมหรือประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมเฝ้าระวัง
สอดส่อง และแจ้งเบาะแสการทุจริตในพื้นที่ของตนนั้น
ปัจจุบันกรมบัญชีกลางมีระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government
Procurement : e-GP) อยู่แล้ว
โดยจะมีการพัฒนาต่อยอดโดยการบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อจัดทำ QR
Code เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง
ข้อมูลโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ข้อตกลงคุณธรรม
(Integrity Pact) และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น
วงเงินงบประมาณ ราคากลาง เพื่อให้หน่วยงานของรัฐดาวน์โหลด QR Code นำไปใส่ไว้ในป้ายโครงการก่อสร้าง และผู้สนใจทั่วไปสามารถสแกน QR
Code เพื่อดูรายละเอียดโครงการได้
และกรมบัญชีกลางจะพัฒนาเว็บเพจรวบรวมช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความมั่นใจ รวมทั้งจะพัฒนาช่องทางการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
กรมบัญชีกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการปรับปรุงระบบ e-GP เพื่อรองรับแนวทางในการจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
โดยสามารถแบ่งระยะเวลาการดำเนินการได้เป็น ๒ ระยะ
ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการจัดหาผู้พัฒนาระบบงาน (ระยะที่ ๒
ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๖) อย่างไรก็ตาม
กรมบัญชีกลางได้ประสานกับกรมโยธาธิการและผังเมืองและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในเรื่องการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างว่าต้องจัดทำ
QR Code ไว้ที่ป้ายโครงการแล้ว
และได้รับแจ้งว่าการกำหนดแนวทางการปฏิบัติในการติดตั้งแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้างของทางราชการในปัจจุบันเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
(๒๒ มกราคม ๒๕๕๑) ดังนั้น หากต้องการให้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการนำ QR Code ไปแสดงในป้ายแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้าง จึงเห็นควรให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีให้มีมติกำหนดแนวทางในเรื่องดังกล่าวต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปัตตานี พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปัตตานี พ.ศ. 2560) | มท. | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปัตตานี
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดปัตตานี
พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อแก้ไขการใช้ประโยชน์ที่ดินในที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม
(สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว) บริเวณ ๔.๑ (บางส่วน) เป็นที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า
(สีม่วง) บริเวณหมายเลข ๒.๑
เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้มีการพัฒนาเมืองต้นแบบ
“สามเหลี่ยม มั่นคง ยั่งยืน” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเมืองหลัก ได้แก่
เมืองหนองจิก จังหวัดปัตตานี ให้เป็น “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าผสมผสาน”
โดยนำร่องในพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านความมั่นคงปลอดภัย และกระตุ้นการลงทุนนำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่ใกล้เคียงสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านการจ้างงานและการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับประชาชนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง
ทำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้มีพื้นที่ปลอดภัยมากขึ้น
และแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่และสามารถรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะต่อไป
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำหนดสัญลักษณ์สีแดงการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไว้ในผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน
(สีเขียวมีกรอบและเส้นทแยงสีน้ำตาล) จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ควรคำนึงถึงกฎ ระเบียบ
ที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น
มาตรการการใช้ที่ดินลุ่มน้ำ มาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ
และควรมีแนวทางการควบคุมกำกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีความเสี่ยงในการก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
รวมทั้งกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
เพื่อรักษาพื้นที่ป่าไม้รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... | มท. | 02/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนลานกระบือ
จังหวัดกำแพงเพชร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลลานกระบือ ตำบลจันทิมา และตำบลโนนหลวง อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท
ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค
บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สอดคล้องกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
รวมทั้งอนุรักษ์และสงวนที่เกษตรกรรมสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
และเป็นศูนย์กลางหลักของชุมชน ด้านการบริหาร การปกครอง ย่านพาณิชยกรรม
โดยได้มีการกำหนดแผนผังและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตผังเมืองรวมจำแนกออกเป็น ๑๐
ประเภท
ซึ่งแต่ละประเภทจะกำหนดลักษณะกิจการที่ให้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์การใช้ที่ดินแต่ละประเภทนั้น
ๆ รวมทั้งกำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ให้ดำเนินการในที่ดินแต่ละประเภท
ตลอดจนการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่ง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำหนดสัญญาลักษณ์สีแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไว้ในผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน
(สีเขียวมีกรอบและเส้นทแยงสีน้ำตาล) และเพิ่มข้อกำหนดการใช้ที่ดิน
(ที่ดินประเภทปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม)
ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการขอ
และการพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ.
๒๕๖๐ ในร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหรือระเบียบ
และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล
เกิดผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ คำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน
และเป็นไปตามกฎกระทรวงควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๖๐ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข
เรื่อง กำหนดประเภทหรือขนาดของกิจการ และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
ที่ผู้ขออนุญาตจะต้องดำเนินการก่อนการพิจารณาออกใบอนุญาต พ.ศ. ๒๕๖๑
และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง
หลักเกณฑ์ในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
เพื่อรักษาพื้นที่เกษตรกรรมและสภาพแวดล้อม
รวมถึงป้องกันและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากอุทกภัย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566-พ.ศ. 2568 | มท. | 28/02/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้กรมโยธาธิการและผังเมืองก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนตาลเดี่ยว
ระยะที่ ๒ อำเภอหล่มศักดิ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ระยะเวลาดำเนินการ ๙๐๐ วัน
ภายในวงเงิน ๒๖๙,๘๕๐,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๑๘๙,๘๕๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗-พ.ศ. ๒๕๖๘
โดยให้กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
สำหรับการขออนุมัติการดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายในกรอบสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายที่กำหนดว่าต้องไม่เกินกว่าร้อยละ
๘ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
เรื่องกำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพังงา พ.ศ. .... | มท. | 20/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพังงา
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลนบปริง
ตำบลถ้ำน้ำผุด ตำบลท้ายช้าง ตำบลตากแดด ตำบลเกาะปันหยี อำเภอเมืองพังงา
จังหวัดพังงา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมือง และบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน
การคมนาคมและการขนส่งการสาธารณูปโภค การบริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายของจังหวัดพังงาและมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาชุมชนมืองให้เป็นศูนย์กลางการบริหารและการปกครอง
การส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว
โดยดำรงรักษารูปแบบการตั้งถิ่นฐานที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน และได้มีการกำหนดแผนผังและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตผังเมืองรวมจำแนกออกเป็น
๙ ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะกำหนดลักษณะกิจการที่ได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทนั้น
ๆ รวมทั้งกำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ให้ดำเนินการในที่ดินแต่ละประเภท
ตลอดจนกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่ง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าการใช้ประโยชน์ในที่ดินประเภทปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
จะต้องปฏิบัติกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง ควรกำหนดพื้นที่ว่างตามแนวขนานริมฝั่งตามธรรมชาติในระยะที่มีความเหมาะสมโดยเฉพาะที่ดินประเภทสถาบันราชการในแปลงศูนย์ราชการจังหวัดพังงา
สถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ควรพิจารณากำหนดระยะห่างระหว่างสถานประกอบกิจการกับที่ดินของผู้อื่นหรือริมเขตถนนสาธารณะไม่น้อยกว่าตามที่กฎหมายกำหนด
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการอนุญาตและควบคุมการประกอบกิจการโรงงานให้ได้มาตรฐานอย่างเคร่งครัด
รวมถึงกรมโยธาธิการและผังเมืองควรสนับสนุนให้เจ้าพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำกับ
ดูแล
และควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดของผังเมืองอย่างเข้มงวดต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาวอัญชลี ตันวานิช) | มท. | 08/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวอัญชลี ตันวานิช
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนัก (ผู้อำนวยการระดับสูง)
สำนักพัฒนามาตรฐาน กรมโยธาธิการและผังเมือง
ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการผังเมือง (นักผังเมืองทรงคุณวุฒิ)
กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านโคก - ม่วงเจ็ดต้น จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... | มท. | 25/10/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านโคก-ม่วงเจ็ดต้น
จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลบ้านม่วงเจ็ดต้น และตำบลบ้านโคก อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์
การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ
และสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งมีนโยบายเพื่อส่งเสริมและพัฒนาชุมชนบ้านโคก-ม่วงเจ็ดต้น
ให้เป็นศูนย์กลางการบริหารการปกครอง การค้าตามแนวชายแดน ส่งเสริมและพัฒนาการบริการทางสังคม
การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการให้เพียงพอและได้มาตรฐาน
ส่งเสริมการพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรมให้สอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชนและระบบเศรษฐกิจ
รวมทั้งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยได้มีการกำหนดแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่ง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้
๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำหนดข้อบังคับลักษณะการใช้ประโยชน์ในที่ดินปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมต้องใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
และตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขอและพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน
พ.ศ. ๒๕๖๐ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ ควรคำนึงถึง กฎ ระเบียบ
ที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น
มาตรการการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่อนุรักษ์ ควรพิจารณากำหนดระยะห่างระหว่างสถานประกอบกิจการกับที่ดินของผู้อื่นหรือริมเขตถนนสาธารณะไม่น้อยกว่าตามที่กฎหมายกำหนด
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับ ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินกิจการโรงงานตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ
ของผังเมืองรวมดังกล่าวให้ได้มาตรฐานอย่างเคร่งครัด
เพื่อป้องกันผลกระทบต่อธรรมชาติ ระบบนิเวศ และสุขภาพของชุมชน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |