ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 78 จากทั้งหมด 81 หน้า แสดงรายการที่ 1541 - 1560 จากข้อมูลทั้งหมด 1601 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1541 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อผ. 362/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อผ. 295/2566 ระหว่างบริษัท สวัสดีการ์เด้น รีสอร์ท แอนด์ สปา จำกัด ที่ 1 กับพวกรวม 12 คน ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย | นร.05 | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ในคดีหมายเลขดำที่ อผ. ๓๖๒/๒๕๖๒ คดีหมายเลขแดงที่ อผ. ๒๙๕/๒๕๖๖ ระหว่างบริษัท
สวัสดีการ์เด้น รีสอร์ท แอนด์ สปา จำกัด ที่ ๑ กับพวกรวม ๑๒ คน ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี
ที่ ๑ กับพวกรวม ๒ คน ผู้ถูกฟ้องคดี (คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้องคดี
ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1542 | กำหนดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2567 | นร.04 | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกำหนดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ ณ จังหวัดระนอง
และติดตามการตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต
ระนอง และสตูล) ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ มกราคม ๒๕๖๗ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1543 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง บทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการปฏิรูปการจัดการศึกษาของท้องถิ่น ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น วุฒิสภา | มท. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
บทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการปฏิรูปการจัดการศึกษาของท้องถิ่น ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น
วุฒิสภา ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยสรุปได้ว่า
ในส่วนปัญหาอุปสรรคของท้องถิ่นในการจัดการศึกษา พบว่าด้านบุคลากร กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการกำหนดแผนการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและคัดเลือกในตำแหน่งที่มีความต้องการแล้ว
และด้านการบริหารจัดการ ปัจจุบันมีสถานศึกษาสามารถตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
เช่น ค่าอุปกรณ์สำหรับผู้เรียนในการฝึกกีฬา ค่าประกันอุบัติเหตุ
เพื่อแก้ไขปัญหากระบวนการจัดซื้อจัดหาตามระเบียบที่ล่าช้าและมีความเหลื่อมล้ำได้อยู่แล้ว
ในส่วนข้อเสนอแนะสำหรับหน่วยงานและองค์กรภาครัฐ ในด้านนโยบาย กรมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้สนับสนุนการดำเนินงานท้องถิ่นดิจิทัลผ่านความร่วมมือจากหน่วยงานภาคีเครือข่าย
เช่น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ
อีกทั้งได้มีการเสนอร่างกฎหมายเพื่อกำหนดให้บุคลากรทางการศึกษาร่วมเป็นคณะกรรมการในองค์กรบริหารงานส่วนท้องถิ่นเพื่อกำหนดแนวทางการสรรหาบุคลากร
ด้านบุคลากร ได้นำมาตรฐานหลักเกณฑ์และระเบียบที่ใช้กับบุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการมาประยุกต์ใช้โดยอนุโลม
และได้ดำเนินการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการแล้ว รวมทั้งได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการเพื่อสนับสนุนและพัฒนาคุณภาพการศึกษาเชิงพื้นที่แล้ว
และได้จัดงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่นในระดับประเทศ ด้านวัสดุ อุปกรณ์
เทคโนโลยีสารสนเทศ อาคารสถานที่ แหล่งเรียนรู้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรมเห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ควรบูรณาการและสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน
เช่น จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการการเรียนระบบคลังหน่วยกิตกับโรงเรียน
ด้านการบริหารจัดการ
ได้กำหนดแนวทางหรือระเบียบว่าด้วยการจัดจ้างบุคลากรเชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการศึกษาแห่งชาติแล้ว
และได้ร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเปิดรับอาสาสมัครมาปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่และครูในพื้นที่
ด้านงบประมาณ กระทรวงมหาดไทยได้ออกระเบียบให้สถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจในการบริหารงบประมาณตามการกิจแล้ว
ในส่วนของข้อเสนอแนะสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ออกแบบหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วนส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาออกแบบและพัฒนาหลักสูตรที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับปรัชญาและวัตถุประสงค์ของสถาบันและลักษณะสาขาวิชา
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1544 | รายงานประจำปี 2565 ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ | อว. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๕ ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
โดยมีผลการดำเนินงาน ดังนี้ ๑) ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญของประเทศโดยเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน BCG Model ๒) ดำเนินการจัดทำและผลักดันแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์ของประเทศ
เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๐) (๓) สร้างสรรค์ผลงานวิจัย พัฒนา
และนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG และ AI ๔) การพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECI) เพื่อให้ EECI
เป็นระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ๕)
การถ่ายทอดเทคโนโลยี นำผลการวิจัยสู่การสร้างเสริมขีดความสามารถเกษตรชุมชน ๖) การพัฒนาและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนมากกว่า
๘๖๒ ราย ๗) การพัฒนาและสร้างเสริมบุคลากรวิจัย
พัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านการสนับสนุนทุนการศึกษาระดับปริญญาโท/เอก/นักวิจัยหลังปริญญาเอก
และ ๘) รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐
กันยายน ๒๕๖๕ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า
งบการเงินดังกล่าวมีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1545 | การกำหนดสินค้าควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ 2542 | พณ. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุมปี ๒๕๖๗ จำนวน ๕ รายการ ได้แก่ (๑) หน้ากากอนามัย (๒)
ใยสังเคราะห์ Polypropylene (Spunbond)
เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย (๓)
ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ (๔) เศษกระดาษ
และกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก และ (๕) ไก่ เนื้อไก่
ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันพุธที่
๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ ๓๐
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๗ เพื่อให้สิ้นสุดผลบังคับใช้พร้อมกับสินค้าและบริการ จำนวน ๕๑
รายการ ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ ๙ พ.ศ. ๒๕๖๖ เรื่อง
การกำหนดสินค้าและบริการควบคุม และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1546 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สินค้าน้ำมันดีเซลและน้ำมันอื่น ๆ ที่คล้ายกัน) | กค. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สาระสำคัญเป็นการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันดีเซลและน้ำมันอื่น
ๆ ที่คล้ายกัน ประเภทอัตราตามปริมาณ (ลิตร) (ปรับลดประมาณ ๑ บาทต่อลิตร)
เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลที่สะท้อนต้นทุนตามข้อเท็จจริง
เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงภาระการชดเชยต้นทุนส่วนต่าง
ตลอดจนความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตลอดจนติดตามการประเมินผลสัมฤทธิ์
และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป และให้ภาครัฐเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันเพื่อทดแทนการดำเนินมาตรการทางภาษี
ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการช่วยเหลือประชาชนเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยและมีความเปราะบางต่อการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและค่าครองชีพ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1547 | ขออนุมัติการจัดทำเเละลงนามร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลเเห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเเห่งสหภาพเมียนมา เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทย | คค. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล
สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทย โดยร่างความตกลงฯ
มีสาระสำคัญ เป็นการกำหนดกรอบการดำเนินงานของเรือและบริษัทขนส่งทางเรือ
รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในการขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC เช่น (๑)
การร่วมมือเพื่อพัฒนาการค้าและการขนส่งสินค้าระหว่างกัน (๒)
การกำหนดหลักปฏิบัติต่อเรือของประเทศภาคีเมื่อเข้าสู่น่านน้ำของตน (๓) การกำหนดให้มีขั้นตอนการปฏิบัติงานมาตรฐานเพื่อให้การดำเนินงานระหว่างประเทศภาคีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
(๔) การกำหนดเอกสารที่ภาคีความตกลงฯ ต้องให้การยอมรับ (๕)
การให้การช่วยเหลือแก่เรือและลูกเรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย (๖)
การดำเนินคดีทางแพ่งและทางอาญา และ (๗) การระงับข้อพิพาท เป็นต้น
โดยการดำเนินการตามร่างความตกลงจะอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายของไทย และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล
ระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
และราชอาณาจักรไทย และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
สำหรับการลงนามดังกล่าว โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำหนังสือไปยังสำนักเลขาธิการบิมสเทค
แจ้งการมีผลใช้บังคับของร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล
สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทย
เมื่อกระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือแจ้งยืนยันไปยังกระทรวงการต่างประเทศว่าได้ดำเนินกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็น เพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลบังคับใช้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล
ระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทยในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ภายใต้ร่างความตกลงดังกล่าว ได้กำหนดถึงแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเล
เช่น การป้องกันการสูญเสียสัตว์ทะเลหายาก การเฝ้าระวังมลพิษจากขยะทะเล
การรั่วไหลของน้ำมัน
การป้องกันชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่อาจมากับน้ำอับเฉาเรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเนื่องมาจากเชื้อเพลิงเรือ
เป็นต้น จึงอาจพิจารณาประเด็นดังกล่าวประกอบการดำเนินความร่วมมือในอนาคต และในกรณีที่การใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงทางทะเลภายใต้กรอบความตกลงข้างต้นในอนาคตมีความเสี่ยงหรือประสบปัญหาอันเกิดจากภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางทะเลไม่ว่าที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์หรือเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ฝ่ายไทยสามารถเสนอมาตรการและกลไกการประสานงานระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบริหารสถานการณ์ข้างต้น
โดยอาศัยกลไกความร่วมมือสาขาความมั่นคงทางทะเล ได้แก่ Expert Group on
Maritime Security Cooperation in the Bay of Bengal อีกช่องทางหนึ่ง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1548 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าก่อสร้างโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช | ศธ. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเปลี่ยนแปลงรายการอาคารเรียนดังกล่าว
เป็น รายการอาคารเรียน ๓๒๔ ล./๕๕-ข (ในเขตแผ่นดินไหว) โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช
ตำบลหนองหงส์ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ๑ หลัง ในวงเงิน ๒๔,๘๙๙,๐๐๐ บาท
และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-พ.ศ. ๒๕๖๗
เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-พ.ศ. ๒๕๖๘
โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๕,๗๒๙,๔๐๐ บาท ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี
ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๒.๕/ว ๑๓๘ ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม
๒๕๖๖ ส่วนที่เหลือ จำนวน ๑๙,๑๖๙,๖๐๐
บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗-พ.ศ. ๒๕๖๘ ทั้งนี้
การดำเนินการก่อสร้างรายการดังกล่าว
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทย
ที่เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1549 | ข้อเสนอนโยบายการกำหนดเงื่อนไขว่าด้วยการสร้างความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในประเทศอันเกิดจากการจัดซื้อจัดจ้างจากต่างประเทศของภาครัฐ (Offset) | อว. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการข้อเสนอนโยบายการกำหนดเงื่อนไขว่าด้วยการสร้างความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมในประเทศอันเกิดจากการจัดซื้อจัดจ้างจากต่างประเทศของภาครัฐ (Offset) และมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและกระทรวงการคลังร่วมกันจัดทำกฎกระทรวงหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งกำหนดแนวปฏิบัติตามข้อเสนอนโยบายดังกล่าว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมใช้ข้อเสนอนโยบายการกำหนดเงื่อนไขว่าด้วยการสร้างความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมในประเทศอันเกิดจากการจัดซื้อจัดจ้างจากต่างประเทศของภาครัฐ (Offset)
เป็นกรอบแนวทางสำหรับการเจรจาทำความตกลงการค้าระหว่างประเทศ Free
Trade Agreement (FTA “European Union-Thailand Free Trade Agreement : EU-THAILAND
FTA” ครั้งที่ ๒
โดยไม่ถือว่าข้อเสนอนโยบายในครั้งนี้เป็นข้อจำกัดในการเจรจา FTA กับ EU ในเรื่องอื่น ๆ ที่จะมีขึ้นในโอกาสต่อ ๆ ไป
เช่น ความตกลงด้านการเกษตร ด้านพาณิชย์ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า
รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบในทุกมิติ และภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างและขอบเขตการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดต่าง
ๆ ที่มีส่วนในการขับเคลื่อนและบริหารนโยบาย Offset ให้มีความสอดคล้องและบูรณาการการทำงานระหว่างกันอย่างเป็นระบบ
รวมทั้งกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักที่มีกลไกและอำนาจหน้าที่อย่างชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1550 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่มีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน ครั้งที่ 7 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กก. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างเอกสารการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน ครั้งที่ ๗ (7th ASEAN Ministerial Meeting on Sports :
AMMS-7) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๖ ฉบับ ได้แก่ (๑)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน ครั้งที่ ๗ (๒)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑ (๓)
ขอบเขตหน้าที่ (TOR) ของการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน-จีน
(๔) ขอบเขตหน้าที่ (TOR) ของการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสาขากีฬาอาเซียน-จีน
(๕) ร่างปฏิญญาเชียงใหม่ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านกีฬาอาเซียน-ญี่ปุ่น
มุ่งสู่ปี ค.ศ. ๒๐๓๐ และ (๖)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๔
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว โดยร่างเอกสารทั้ง
๖ ฉบับดังกล่าว มีสาระสำคัญเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์
และการมีส่วนรร่วมในประชาคมอาเซียนต่อการพัฒนากีฬาในภูมิภาคอาเซียน โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนถ้อยคำในร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้
ขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกรมพลศึกษา
ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในการดำเนินการตามร่างเอกสารทั้ง ๖ ฉบับดังกล่าว ขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอตั้งงบประมาณประจำปีตามความจำเป็น นอกจากนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาควรขยายความร่วมมือด้านกีฬาระหว่างไทยกับประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ ที่มีศักยภาพด้านกีฬา รวมทั้งผลักดันให้มีการจัดกิจกรรมกีฬาในระดับนานาชาติให้มากขึ้น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1551 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารสุดท้าย (Draft Final Document) ของการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM Summit) ครั้งที่ 19 | กต. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติต่อร่างเอกสารสุดท้าย (Draft Final Document) ของการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
(NAM Summit) ครั้งที่ ๑๙ โดยร่างเอกสารสุดท้ายฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับท่าที พัฒนาการ และการดำเนินการของ NAM ในประเด็นระดับโลกและภูมิภาค เช่น
การเมือง ความมั่นคงระหว่างประเทศ
เศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชนและการพัฒนาที่ยั่งยืน และการปฏิรูปสหประชาชาติ โดยแบ่งเป็น
๓ บท ได้แก่ บทที่ ๑ ประเด็นระหว่างประเทศ บทที่ ๒ ประเด็นการเมืองภูมิภาคและอนุภูมิภาค
และบทที่ ๓ ประเด็นด้านการพัฒนา สังคม
และสิทธิมนุษยชน และให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยและผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) ของนายกรัฐมนตรีร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว
หากอาเซียนเห็นพ้องให้รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนร่วมลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation)
หรือหนังสืออื่น ๆ
ที่เป็นการแจ้งท่าทีของอาเซียนต่อถ้อยคำในเอกสารสุดท้ายฯ ตามแนวปฏิบัติที่ผ่านมาของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนต่อเอกสารสุดท้ายของการประชุม
NAM Summit ครั้งที่ ๑๘ ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน
เมื่อปี ๒๕๖๒
ขออนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวนดังกล่าวเช่นเดียวกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอื่น
ๆ และหากปรากฏว่า เนื้อหาหรือถ้อยคำของเอกสารสุดท้ายฯ
ไม่สอดคล้องกับนโยบายผลประโยชน์ และท่าทีประเทศไทยในสาระสำคัญ แสดงท่าทีเชิงลบ
หรือมีถ้อยคำรุนแรงประณามประเทศอื่นใด ขออนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งข้อสงวน
(reservation) หรือแสดงท่าที่อธิบายอย่างระมัดระวังถึงเหตุผลของประเทศไทยซึ่งทำให้ไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือถ้อยคำดังกล่าวได้
ทั้งนี้ การแจ้งข้อสงวนเป็นแนวทางที่ประเทศไทยปฏิบัติมาโดยตลอด ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ครั้งที่ ๑๙ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1552 | การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.07 | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘
เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณให้ความสำคัญกับการนำนโยบายรัฐบาลมากำหนดเป็นจุดเน้นที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ และใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนงาน/โครงการ ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๗ ประกอบด้วย นโยบายหลัก ๔ กลุ่ม ได้แก่
การสร้างรายได้ การลดรายจ่าย การขยายโอกาส และการบริหารแผ่นดิน นโยบายรอง ๔๓
เรื่อง นโยบายย่อย ๑๔๒ ประเด็น โดยให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการตามกรอบเวลา ๕ ระยะ
ได้แก่ ๑) ระยะสั้น ๒) ระยะสั้น-ระยะกลาง ๓) ระยะกลาง ๔)ระยะกลาง-ระยะยาว ๕)
ระยะยาว และเพื่อให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดสามารถจัดทำข้อเสนอโครงการที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง
สอดคล้องกับข้อเสนอการกระจายอำนาจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานเชิงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๖ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1553 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) | นร.09 | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
จำนวน ๔ คณะ เพื่อให้การพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายมีความต่อเนื่องทันกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนมากที่สุด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ มกราคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.
คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ๒.
คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ๓.
คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วน บริษัท และองค์กรทางธุรกิจ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1554 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (1. นายนรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ ฯลฯ จำนวน 4 ราย) | สธ. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย
ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ดังนี้ ๑. นายนรินทร์รัชต์
พิชญคามินทร์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ
(ด้านเวชกรรมป้องกัน) โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต
สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๕ ๒.
นางสาวชีวนันท์ เลิศพิริยสุวัฒน์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ
(ด้านเวชกรรมป้องกัน) กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่
๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ๓. นายปริญญา
สันติชาติงาม ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ
(ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤษภาคม
๒๕๖๖ ๔.
นางสาวสุรัตน์ มงคลชัยอรัญญา ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตสาธารณสุข)
กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๖ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1555 | การพิจารณารับรองวัดคาทอลิก ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก พ.ศ. 2564 | วธ. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการรับรองวัดคาทอลิก จำนวน ๔๑ วัด
เป็นวัดคาทอลิกตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก
พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เห็นว่า ๑) ควรพิจารณาจัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
(Universal Design
: UD) อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และปลอดภัย ให้ครบทั้ง ๕ ด้าน
ได้แก่ ทางลาด ห้องน้ำ ที่จอดรถ ป้ายสัญลักษณ์ และบริการข้อมูล
เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง สามารถประกอบศาสนกิจ
และกิจกรรมต่าง ๆ ภายในวัดคาทอลิกได้อย่างสะดวกถ้วนหน้า
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาจัดกิจกรรมยกย่อง เชิดชูเกียรติองค์กรศาสนาที่มีผลงานดีเด่นในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่องค์กร บุคลากร และผู้ร่วมปฏิบัติงานให้แก่องค์กรศาสนานั้น
ๆ พร้อมทั้งมีการยกย่ององค์กรศาสนาต้นแบบที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่องค์กรศาสนาอื่น
ๆ ในการมีส่วนร่วมพัฒนาสังคมหรือให้การสนับสนุนด้านสังคม เช่น
การจัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตประจำชุมชน เป็นต้น ๒) ควรให้มีรั้วแสดงขอบเขตของวัดคาทอลิกและโรงเรียนในระบบออกจากกันอย่างชัดเจน
โดยขนาดที่ดินที่เป็นที่ตั้งโรงเรียนที่เหลืออยู่จะต้องเป็นไปตามกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบฯ
พร้อมทั้งให้โรงเรียนในระบบดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงรายการในตราสารจัดตั้งและขอเปลี่ยนแปลงขนาดที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนในระบบต่อผู้อนุญาตที่กำกับดูแล
แล้วแต่กรณี หรือดำเนินการอย่างอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนกำหนดต่อไป
และ ๓) กรณีการถือครองที่ดินว่า
ถึงแม้วัดคาทอลิกจะได้รับความเห็นชอบในการจัดตั้งตามมติคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคำขอจัดตั้งวัดคาทอลิกโดยชอบแล้ว
แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงที่ตั้งของวัดคาทอลิกด้วยประการใด ๆ
ก็ตามซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นใหม่นั้น
วัดคาทอลิกจำเป็นที่จะต้องมีการยื่นขอความเห็นชอบดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคำขอจัดตั้งวัดคาทอลิกตามระเบียบฯ
อีกครั้งหนึ่ง
รวมทั้งเห็นควรเชิญผู้แทนกรมป่าไม้เข้าร่วมเป็นองค์ประกอบในคณะกรรมการฯ
เพื่อร่วมตรวจสอบที่ดินอันเป็นที่ตั้งของวัดคาทอลิกซึ่งมีความเป็นไปได้ที่อาจทับซ้อนกับพื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติให้เกิดความชัดเจนและรัดกุมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1556 | ร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการศึกษาและวิจัยแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม | อว. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการศึกษาและวิจัยแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรม (JOINT DECLARATION OF INTENT BETWEEN THE MINISTRY OF
HIGHER EDUCATION, SCIENCE, RESEARCH AND INNOVATION OF THE KINGDOM OF THAILAND
AND THE FEDERAL MINISTRY OF EDUCATION AND RESEARCH OF THE FEDERAL REPUBLIC OF
GERMANY ON COOPERATION IN THE FIELDS OF SCIENCE, RESEARCH AND INNOVATION) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ โดยร่างปฏิญญาร่วมฯ
จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการยกระดับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมระหว่างไทยและเยอรมนีให้มีทิศทางและความสอดคล้องกับประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
โดยไม่จำกัดสาขาความร่วมมือ
ซึ่งหัวข้อในแต่ละสาขาความร่วมมือจะเป็นไปตามความสนใจร่วมกันของทั้งสองฝ่ายและจะกำหนดผ่านการประชุมและข้อตกลงในภายหลัง
โดยครอบคลุม ๑๐ กิจกรรม เช่น
การประกาศรับข้อเสนอร่วมกันสำหรับโครงการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี
การแลกเปลี่ยนข้อมูล วัสดุ และเอกสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1557 | รายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร.01 | 09/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน
ประจำเดือนเมษายน-กันยายน ๒๕๖๖ โดยมีผลการดำเนินการของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น (๑)
การรายงานผลการลงทะเบียนเป็นจิตอาสาพระราชทาน โดยกระทรวงมหาดไทยได้รายงานผลการลงทะเบียนเป็นจิตอาสาพระราชทาน
(ข้อมูล ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖) มีประชาชนลงทะเบียนแล้ว ๗,๐๘๐,๒๑๗ คน (๒)
การจัดกิจกรรมจิตอาสาของส่วนราชการต่าง ๆ (๒๐ หน่วยงาน) ประกอบด้วย จิตอาสาพัฒนา จิตอาสาภัยพิบัติ
จิตอาสาเฉพาะกิจ และวิทยากรจิตอาสา ๙๐๔ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ๖๔,๙๐๔ คน (๓) การติดตามความก้าวหน้าโครงการในภารกิจของศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน
เช่น โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ อำเภอปากพะยูน
จังหวัดพัทลุง โดยสามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน ๑๐๕,๑๒๐ ลูกบาศก์เมตรต่อปี
และกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมโดยปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำลงสู่ทะเล
๒๐๐,๐๐๐ ตัว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1558 | การจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร. | 09/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ วาระ ๑
ในระหว่างวันที่ ๓-๕ มกราคม ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา ผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อยเป็นอย่างดี
โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ของทุกหน่วยงาน
ถึงแม้ว่าการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ดังกล่าว รัฐบาลมีเวลาเตรียมการในเรื่องนี้ค่อนข้างน้อย ดังนั้น
ในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
ซึ่งยังอยู่ระหว่างการดำเนินการนั้น
ขอให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการนำนโยบายของรัฐบาลมากำหนดเป็นจุดเน้นที่ต้องดำเนินการและใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนงาน/โครงการรองรับต่อไป
โดยพิจารณากำหนดสัดส่วนงบประมาณที่สะท้อนถึงนโยบายสำคัญของรัฐบาลให้ชัดเจน
กำหนดตัวชี้วัดในการดำเนินแผนงาน/โครงการที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมและในกรณีจะเพิ่มหรือลดงบประมาณในรายการใดก็ต้องมีเหตุผลและความจำเป็นที่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนด้วย
โดยขอให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานหลักในการหารือและประสานงานกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามแนวทางดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้
ให้แต่ละกระทรวงส่งแผนการปฏิบัติงานตามนโยบายรัฐบาลของแต่ละกระทรวงไปยังสำนักงบประมาณ
เพื่อประกอบการพิจารณาการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณดังกล่าวข้างต้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1559 | แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 12 ปี 2560-2564 (ฉบับปรับปรุง) และโครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ระยะที่ 13 ส่วนที่ 1 ของการไฟฟ้านครหลวง | มท. | 09/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายไฟฟ้า
ฉบับที่ ๑๒ ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (ฉบับปรับปรุง) วงเงินลงทุนรวม
๗๓,๐๘๖.๙ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๔๖,๘๐๐.๐
ล้านบาท เงินรายได้ของการไฟฟ้านครหลวง จำนวน ๒๖,๒๐๖.๒ ล้านบาท และเงินอุดหนุนจากรัฐบาล จำนวน ๘๐.๗
ล้านบาท และโครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ระยะที่ ๑๓ ส่วนที่ ๑
วงเงินลงทุนรวม ๗,๔๐๓.๕ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ
จำนวน ๕,๖๐๐ ล้านบาท และเงินรายได้ของการไฟฟ้านครหลวง จำนวน
๑,๘๐๓.๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวง) บริหารจัดการค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า
ระยะที่ ๑๓ ส่วนที่ ๑ ให้อยู่ภายในกรอบวงเงินตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
เพื่อไม่ให้เกิดภาวะค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่ากรอบวงเงินงบประมาณ (Cost Overrun)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวง) กระทรวงพลังงาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงคมนาคม เช่น ให้การไฟฟ้านครหลวงใช้แหล่งเงินทุนจากเงินรายได้ของการไฟฟ้านครหลวงเป็นลำดับแรก
และหากมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อสมทบรายได้ ให้การไฟฟ้านครหลวงใช้เงินกู้ในประเทศเพื่อลงทุนตามแผนดังกล่าว
โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ ควรปรับแผนการลงทุนที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
และให้การไฟฟ้านครหลวงเร่งเสนอเรื่องดังกล่าวให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาโดยเร็ว
ควรกำหนดแนวทางการบริหารความสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ควรมีมาตรการควบคุมและเร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนงานตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1560 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การศึกษาประวัติศาสตร์และพัฒนาการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในรูปแบบประชาสังคมระดับจังหวัด และเรื่อง กลไกการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศ : กรณีสภาประชาสังคมไทย ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา | สว. | 09/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การศึกษาประวัติศาสตร์และพัฒนาการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในรูปแบบประชาสังคมระดับจังหวัด
และเรื่องกลไกการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศ : กรณีสภาประชาสังคมไทย
ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ๒.
มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
(สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ
สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และสร้างความสามัคคีปรองดอง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน
๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|