ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 629 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 12561 - 12580 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12561 | การรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | วธ | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๗ เมษายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเข้าร่วมงานเปิดตัวและจัดฉายภาพยนตร์แอนิเมชัน เรื่องรามเกียรติ์ จากจิตรกรรมรอบพระระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตอนรามาวตาร โดยการจัดฉายภาพยนตร์แอนิเมชันดังกล่าวเป็นกิจกรรมหนึ่งในปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน ๒๕๖๒ ในวาระที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน และเป็นกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสที่องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นบัญชีโขนในประเทศไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ โดยใช้นวัตกรรมสื่อสมัยใหม่ในการสร้างภาพยนตร์เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาสาระง่ายสอดคล้องกับยุคสมัย ต่อยอดมรดกภูมิปัญญาและทุนทางวัฒนธรรม โดยได้มีการเปิดตัวและจัดฉายภาพยนตร์ ณ Usma Ismail Hall กรุงจาการ์ตา และโรงภาพยนตร์ CGV ศูนย์การค้า Hartono Shopping Mall เมืองยอกยาการ์ตา ๒. การเข้าเฝ้าฯ สุลต่านแห่งเมืองยอกยาการ์ตา โดยได้หารือเกี่ยวกับการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีมาอย่างยาวนาน และโดยที่เมืองยอกยาการ์ตาเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้กำหนดให้มีการแลกเปลี่ยนศิลปินด้านจิตรกรรมและทัศนศิลป์ระหว่างกัน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในการส่งเสริม เพิ่มพูน และต่อยอดความร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพในส่วนกลาง อาทิ ศิลปินร่วมสมัย งานศิลปะ ผ้าบาติก และการแลกเปลี่ยนนักศึกษา เป็นต้น ๓. การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ทางด้านศาสนาและวัฒนธรรม ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงจาการ์ตา พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชวา (History of Java Museum) กลุ่มโบราณสถานปรัมบานัน และพุทธศาสนสถานบุโรพุทโธ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12562 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย - ลาว | คค | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย-ลาว เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ จังหวัดหนองคาย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ซึ่งการประชุมดำเนินภายใต้บรรยากาศฉันมิตร ใกล้ชิด และสร้างสรรค์ ฝ่ายลาวได้แสดงความขอบคุณรัฐบาลไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งระหว่างไทย-ลาว รวมทั้งการขจัดปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่คั่งค้างอยู่ ทำให้ความร่วมมือระหว่างกันมีความก้าวหน้าไปอย่างมากในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ฝ่ายลาวให้ความสำคัญกับความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากร โดยขอให้ฝ่ายไทยให้การสนับสนุนการฝึกอบรมบุคลากรในสาขาต่าง ๆ ด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อเพิ่มพูนความรู้และความเชี่ยวชาญ ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมให้การสนับสนุนการฝึกอบรม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12563 | การเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) | ทส | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรธรณีรับเรื่อง การเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) ไปพิจารณาทบทวนให้ชัดเจนว่า การเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโกจะมีผลกระทบหรือก่อให้เกิดข้อจำกัดในการเข้าใช้ประโยชน์ บริหารจัดการ หรือดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ดังกล่าวในอนาคตของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาชนเจ้าของพื้นที่หรือไม่ ประการใด โดยให้จัดทำข้อมูลที่ครบถ้วนและชัดเจนเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ในอนาคตหากมีโครงการพัฒนาพื้นที่อุทยานฯ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อโบราณสถาน ขอให้แจ้งไปยังกระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร เพื่อจะได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่อีกครั้ง รวมทั้งควรส่งเสริมศักยภาพของชุมชนและท้องถิ่น และเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของเครือข่ายภาคประชานในการบริหารจัดการ และการพัฒนาอุทยานธรณีโคราชให้มากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12564 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนเพิ่มเติม ภายใต้พิธีสาร 1 ของความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง | คค | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนเพิ่มเติม ภายใต้พิธีสาร ๑ ของความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (The Draft Memorandum of Understanding on the Opening of Additional Routes and Border Crossing Under Protocol 1 of the CBTA) มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและเพิ่มเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศภายใต้พิธีสาร ๑ ของความตกลงฯ ให้มีความทันสมัยและครอบคลุมกับความต้องการของผู้ประกอบการขนส่งระหว่างประเทศของประเทศสมาชิกลุ่มแม่น้ำโขง โดยภาคีในบันทึกความเข้าใจฯ จะเปิดใช้เส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนที่อยู่ในเอกสารแนบท้ายพิธีสาร ๑ “บัญชีรายชื่อเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนที่กำหนด” ซึ่งเป็นเอกสารแนบ ๑ ท้ายบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ และจะนำไปใช้ในความตกลงฯ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทนสำหรับการลงนามดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการขนส่งประเทศสมาชิกอื่น ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินการขนส่งข้ามพรมแดน และใช้ประโยชน์จากความร่วมมือได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการขนส่ง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวของประเทศในอนุภูมิภาคต่อไป รวมทั้งควรให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารจัดการการสัญจรข้ามแดน เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยความมั่นคงที่อาจแฝงมากับการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมและการสัญจรข้ามแดน นอกจากนี้ ควรผลักดันให้ สปป.ลาว เร่งพิจารณาเปิดเส้นทางที่สงวนไว้ ได้แก่ R12 (เริ่มต้นจากจุดผ่านแดนถาวรสะพามข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ ๓ ณ จังหวัดนครพนม) ให้เป็นเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศ ภายใต้พิธีสาร ๑ ของความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อประโยชน์ในการเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าที่มีศักยภาพที่จะส่งผลให้มูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนระหว่างไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม ไปยังจีนตอนใต้เพิ่มมากขึ้น และเป็นเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างการท่องเที่ยวระหว่างไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวเดียวกัน (Single Tourism Destination) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12565 | ผลการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย ครั้งที่ 1 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องระหว่างการเยือนสหพันธรัฐรัสเซีย ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย ครั้งที่ ๑ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๓-๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ กรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับรัฐมนตรีด้านการบูรณาการและเศรษฐกิจมหภาคของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Commission : EEC) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานร่วมฯ ครั้งที่ ๑ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย โดยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลนโยบายและกฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุน และหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างกัน เช่น (๑) ภาพรวมสถานการณ์ทางการค้าและเศรษฐกิจ (๒) กฎระเบียบด้านศุลกากร (๓) นโยบายอุตสาหกรรมของสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียและนโยบายอุตสาหกรรม ๔.๐ ของไทย และ (๔) นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรของสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียและของไทย โดยประธานของฝ่าย EEC ได้ขอให้ฝ่ายไทยพิจารณาจัด ASEAN-EAEU Business dialogue ในช่วงการประชุม ASEAN Summit ปลายปี ๒๕๖๒ ๒. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบหารือกับภาคเอกชนจากประเทศสมาชิกสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย และได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจของไทย การปรับแก้ไขกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และการเข้าร่วมลงทุนในไทยโดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตลอดจนนโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ เป็นต้น ซึ่งได้รับความสนใจจากภาคเอกชนของสมาชิกสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย และมีการสอบถามเกี่ยวกับการส่งสินค้ามายังไทย การใช้ไทยเป็นฐานการผลิต โดยใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ที่ไทยมีกับประเทศคู่ค้า เป็นต้น รวมทั้งได้เข้าร่วมการประชุม St. Petersburg International Economic Forum (SPIEF) ระหว่างวันที่ ๖-๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นการประชุมด้านเศรษฐกิจนานาชาติขนาดใหญ่ที่สุดของรัสเซีย โดยมีหัวข้อหลักเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งมิติด้านเศรษฐกิจและสังคม ควบคู่กับการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12566 | (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) | นร | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนงาน รวมถึงแผนปฏิบัติการ และจัดทำรายละเอียดเป้าหมายรายลุ่มน้ำให้สอดคล้องกับแผนแม่บทฯ รวมทั้งจัดทำการติดตามและประเมินผล เพื่อตอบผลสัมฤทธิ์ของ (ร่าง) แผนแม่บทฯ โดยสาระสำคัญของ (ร่าง) แผนแม่บทฯ เป็นการปรับปรุงประเด็นหลักและรายละเอียดสำคัญของแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๙) ให้มีความสอดคล้องกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ภายใต้ยุทธศาสตร์ ด้านที่ ๕ การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นที่ ๑๙ การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบเพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการน้ำ ๓ แผนย่อย ได้แก่ (๑) การพัฒนาการจัดการน้ำเชิงลุ่มน้ำทั้งระบบเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำของประเทศ (๒) การเพิ่มผลิตภาพของน้ำทั้งระบบในการใช้น้ำอย่างประหยัด รู้คุณค่า และสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้น้ำให้ทัดเทียมกับระดับสากล และ (๓) การอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วประเทศ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน โดยคำนึงถึงวงเงินของประเทศที่จะดำเนินการตามแผนให้ประสบผลสำเร็จ ประโยชน์ที่ได้รับ และประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินโครงการ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาทบทวนเป้าหมายในทุกระยะ ๕ ปี และควรพิจารณากำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด กลยุทธ์และมาตรการที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนระดับที่ ๑ และระดับที่ ๒ ให้สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศตามแนวทางของยุทธศาสตร์ชาติ ได้แก่ ควรเพิ่มเป้าหมายโรงงานที่จะลดการใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมภายใน ๒๐ ปี ที่ตั้งไว้จำนวนเพียง ๒๐๐ โรงงาน และเป้าหมายการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ในภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และที่อยู่อาศัย ตลอดจนการจัดลำดับความสำคัญของแผนงานโครงการ โดยให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับการจัดการน้ำเพื่อชุมชนชนบทที่เหมาะสมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และการแก้ไขปัญหาเชิงบูรณาการ (Area Based) จำนวน ๖๖ พื้นที่ทั่วประเทศ เป็นลำดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12567 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 | ทส | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นเรื่องที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) จำนวน ๑๑ โครงการ (๒) การเสนอพื้นที่แม่น้ำสงครามตอนล่างขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (Ramsar Site) และ (๓) มาตรฐานค่าเข้มกลิ่นของอากาศเสียที่ปล่อยทิ้งจากโรงงานผลิตยาง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12568 | การขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 4 โครงการ จากวันที่ 8 มิถุนายน 2562 ต่อเนื่องถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2563 | นร | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายกรอบระยะเวลาการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร (๒) โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน (๓) โครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน และ (๔) โครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดินจากการดำเนินนโยบายของรัฐ จากวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ต่อเนื่องถึงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๓ ตามที่ บจธ. เสนอ และให้ บจธ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการในระยะต่อไป บจธ. ควรคำนึงถึงประเด็นข้อจำกัดด้านระยะเวลาอย่างเคร่งครัดและเร่งดำเนินโครงการให้สัมฤทธิ์ผล รวมถึงควรมีแผนการรองรับในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินโครงการให้สำเร็จทันตามกำหนดเวลาเพื่อให้การดำเนินงานสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายซี่งเป็นเกษตรกรและผู้ยากจนที่ไม่มีที่ดินทำกินที่กำลังจะได้รับความช่วยเหลือจาก บจธ. รวมทั้งควรเร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและชุมชนให้เกิดผลสัมฤทธิ์และเป็นรูปธรรม ตลอดจนควรมีแผนการดำเนินการที่ชัดเจนในรายละเอียดสำหรับช่วงเวลาที่ขอขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการและกำหนดกิจกรรมที่มีความเป็นไปได้ตามข้อเท็จจริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้ บจธ. เร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็วและบรรลุเป้าหมายภายในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๓ และให้รายงานผลการดำเนินโครงการต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อทราบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ [เรื่อง การดำเนินโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)] ด้วย ๓. ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนติดตามการดำเนินงานของ บจธ. อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอในการประเมินผลการดำเนินการของ บจธ. ว่า เกิดผลสัมฤทธิ์หรือมีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับภาระงบประมาณและสมควรยุบเลิกหรือไม่ ประการใด ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา ๕ ของพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12569 | ขอความเห็นชอบเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก 2020 | วธ | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก ๒๐๒๐ (WAMSB World Championship 2020) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๙ กรกฎาคม-๒ สิงหาคม ๒๕๖๓ ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมพัฒนาเยาวชน บุคลากรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในวงการดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทของไทย รวมทั้งเพื่อยกระดับภาพลักษณ์ด้านดนตรีสากลของไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล และเพื่อสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอันจะนำไปสู่การยกระดับความสามารถด้านดนตรีของประเทศ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓ เห็นควรให้กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปดำเนินการก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ นั้น เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12570 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 | สม | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๑ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ ปัญหา และอุปสรรคของสิทธิมนุษยชนด้านต่าง ๆ โดยแบ่งออกเป็น ๔ ด้านหลัก ได้แก่ (๑) ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (สิทธิในกระบวนการยุติธรรม การกระทำทรมานและการบังคับสูญหาย และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ) (๒) ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (สิทธิทางการศึกษา สิทธิด้านสุขภาพ และธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน) (๓) ด้านการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของบุคคล ๕ กลุ่ม (สิทธิเด็ก สิทธิผู้สูงอายุ สิทธิคนพิการ สิทธิของผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน) และ (๔) ด้านการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนใน ๓ ประเด็นที่อยู่ในความห่วงใย (สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการค้ามนุษย์) และรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ซึ่งประกอบด้วย ๒ ส่วนหลัก ได้แก่ รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๖๑ และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๔๗ วรรคสอง ต่อไป ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12571 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน สมัยพิเศษ ว่าด้วยอนาคตของงาน ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ | รง | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน สมัยพิเศษ [Special Session of ASEAN Labour Ministers Meeting (ALMM)] ว่าด้วยอนาคตของงาน ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๒ โดยมีพลตำรวจเอก อำนาจ อันอาตม์งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน สมัยพิเศษ (Special Session of ALMM) ว่าด้วยอนาคตของงาน ประกอบด้วย (๑) การกล่าวถ้อยแถลงของประเทศสมาชิกอาเซียนว่าด้วยเรื่องอนาคตของงาน โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงานได้กล่าวถ้อยแถลงเกี่ยวกับการดำเนินงานเพื่อรองรับอนาคตของงาน โดยมุ่งเน้นการปรับและเพิ่มทักษะด้านอาชีพผ่านการเรียนรู้ตลอดช่วงวัย การขับเคลื่อนแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่า พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ร่วมกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (๒) การกล่าวถ้อยแถลงของผู้อำนวยการใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศที่มุ่งเน้นการเตรียมการเพื่อรองรับอนาคตของงาน การขับเคลื่อนวาระที่ประชาชนเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม และบทบาทนำขององค์การแรงงานระหว่างประเทศในการสนับสนุนไตรภาคีและการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยสนับสนุนให้แต่ละประเทศกำหนดยุทธศาสตร์ในระดับประเทศ และ (๓) การลงนามรับรองถ้อยแถลงรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนว่าด้วยอนาคตของงาน : การส่งเสริมเทคโนโลยีและการเจริญเติบโตแบบมีส่วนร่วม ระหว่างผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนจากประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ โดยเอกสารดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนารมณ์แรงงานและภาคธุรกิจเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง และการให้ความคุ้มครองแรงงานจากผลกระทบที่เกิดจากอนาคตของงาน ซึ่งไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ๒. การเสวนาว่าด้วยอนาคตของงาน ในประเด็นภาพรวมของรายงานคณะกรรมการโลกว่าด้วยอนาคตของงาน การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี การส่งเสริมบทบาทของไตรภาคีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการสร้างขีดความสามารถให้แก่แรงงานเพื่อให้มีความพร้อมรองรับงานในอนาคต โดยที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกันว่าเรื่องอนาคตของงานเป็นเรื่องท้าทายและมีประเด็นคาบเกี่ยวที่ต้องอาศัยการดำเนินงานจากหลายภาคส่วน เช่น (๑) ภาครัฐควรให้การสนับสนุนด้านแรงงานสัมพันธ์ การอำนวยความสะดวกให้เกิดการเข้ามามีส่วนร่วมของไตรภาคี การกำหนดนโยบายเชิงยุทธศาสตร์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดช่วงวัยและการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน (๒) สหภาพแรงงานควรเข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนข้อมูลตลอดจนประสบการณ์ให้เกิดความเข้าใจเรื่องสถานการณ์การจ้างงานและทักษะฝีมือแรงงานที่ต้องการ และ (๓) ภาคนายจ้างสามารถร่วมขับเคลื่อนผ่านการจัดฝึกอบรมและการกำหนดความต้องการของตลาดแรงงาน เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12572 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนพฤษภาคม 2562 ต่อคณะรัฐมนตรี | ยธ | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๔-๘ เดือน นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๑๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๑๖ เรื่อง และเป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๑๖ ฉบับ โดยไม่มีกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ ๒. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๖ เรื่อง เป็นกฎหมายต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๘ ฉบับ ๓. กฎหมายที่ต้องจัดทำโดยไม่กำหนดระยะเวลา แต่ควรดำเนินการภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๓๗ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๗ เรื่อง เป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำ จำนวน ๗๗ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างจัดทำ จำนวน ๓๔ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๔๓ ฉบับ ๔. การดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมาย จำนวน ๓๐ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๐ เรื่อง ๕. มาตรการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งที่ต้องจัดทำกฎหมาย และการดำเนินการโดยวิธีอื่น ๆ จำนวน ๓๘ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๘ เรื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12573 | ขอให้พิจารณานำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรีฐมนตรี (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 6/2562) | สลธ.คสช. | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๖/๒๕๖๒ เรื่อง มาตรการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานการประกอบธุรกิจโรงแรมบางประเภท ลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๒ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขข้อขัดข้องสำหรับการประกอบธุรกิจโรงแรมบางประเภทให้เข้ามาอยู่ในระบบให้ถูกต้องตามกฎหมายภายในระยะเวลาและตามเงื่อนไขที่กำหนดเพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานการประกอบการและสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอันจะเป็นประโยชน์ในการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศและส่งเสริมการท่องเที่ยว ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12574 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2562 (ครั้งที่ 25) | พณ | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๒ (ครั้งที่ ๒๕) และผลการหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับชิลี ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองบีนญา เดล มาร์ สาธารณรัฐชิลี โดยมีรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวอรุณี พูลแก้ว) เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๒ (ครั้งที่ ๒๕) ที่ประชุมได้หารือร่วมกันภายใต้แนวคิดหลักคือ “เชื่อมโยงประชาชนเพื่อสร้างอนาคต ใน ๓ หัวข้อ ได้แก่ (๑) การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีและองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) (๒) การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ได้แก่ เป้าหมายโบกอร์ การจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก การรวมกลุ่ม ๔.๐ และวิสัยทัศน์ภายหลังปี ๒๕๖๓ และ (๓) การเสริมสร้างการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืนในยุคดิจิทัล ได้แก่ การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล สตรีและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการปกป้องมหาสมุทร โดยในส่วนของไทยได้กล่าวถ้อยแถลงสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดถือกฎเกณฑ์ทางการค้าซึ่งเป็นพื้นฐานของการค้าระหว่างประเทศที่เสรี โดยส่งเสริมการปรับปรุงกลไกการทำงานของ WTO ให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินการตามเป้าหมายโบกอร์ และการดำเนินการตามแผนงานเอเปคเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านการค้าบริการและการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำการส่งเสริม MSMEs E-Commerce และการปฏิบัติตามแผนดำเนินการด้านอินเทอร์เน็ตและเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเปค ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก และการเข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าโลก สำหรับวิสัยทัศน์เอเปคหลังปี ๒๕๖๓ ไทยมุ่งหวังให้รายงานของกลุ่มวิสัยทัศน์เอเปคจะเสนอแนะทิศทางอนาคตของเอเปค โดยคำนึงถึงความเห็นของทุกภาคส่วนและภาคเอกชนต่อไป ๑.๒ ผลการหารือทวิภาคีระหว่างรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวอรุณี พูลแก้ว) กับผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านการค้าชิลี (Mr. Rodrigo Yanez) โดยชิลีได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ โดยขณะนี้ชิลีมีความตกลงการค้าเสรีกับประเทศสมาชิกอาเซียนแล้ว ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ บรูไนดารุสซาลาม มาเลเซีย และกำลังจะสรุปผลการเจรจากับอินโดนีเซีย ส่วนไทยแจ้งว่าจะพิจารณาและหารือร่วมกับอาเซียนและคู่เจรจาต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคบางส่วน เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซียยังมีมุมมองและท่าทีที่แตกต่างกันอย่างมากในบางประเด็น โดยเฉพาะมุมมองและท่าทีต่อการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of Asia-Pacific : FTAAP) แนวทางการปฏิรูป WTO และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งควรต้องติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิดต่อไป รวมทั้งควรมีการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการต่อการเปิดเสรีทางการค้า และทบทวนมาตรการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการไทยให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ไปดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12575 | รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี 2561 และรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2561 | สม | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๑ และรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ ปัญหา และอุปสรรคของสิทธิมนุษยชนด้านต่าง ๆ แบ่งออกเป็น ๔ ด้านหลัก ได้แก่ (๑) ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (สิทธิในกระบวนการยุติธรรม การกระทำทรมานและการบังคับสูญหาย และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ) (๒) ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (สิทธิทางการศึกษา สิทธิด้านสุขภาพ และธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน) (๓) ด้านการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของบุคคล ๕ กลุ่ม (สิทธิเด็ก สิทธิผู้สูงอายุ สิทธิคนพิการ สิทธิของผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน) และ (๔) ด้านการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนใน ๓ ประเด็นที่อยู่ในความห่วงใย (สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการค้ามนุษย์) สำหรับรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย ๒ ส่วนหลัก ได้แก่ รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๖๑ และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้ส่งความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการนโยบายที่สนับสนุนและส่งเสริมการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาทั้งในด้านการเข้าถึงสิทธิทางการศึกษาและคุณภาพการศึกษา พร้อมกับการปรับปรุงและแก้ไขข้อขัดข้องต่าง ๆ กระทรวงพาณิชย์เห็นว่ากรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดนควรมีกลไกกำกับดูแลการลงทุนในลักษณะข้ามชาติให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน เป็นต้น ไปเพื่อเสนอคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพิจารณาต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับประเด็นข้อสังเกตและข้อเสนอแนะตามรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง แล้วแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12576 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง ในบริเวณจังหวัดตราด พ.ศ. .... | กษ | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง ในบริเวณจังหวัดตราด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๖๐ สำหรับเขตทะเลชายฝั่งในบริเวณจังหวัดตราด โดยปรับปรุงเขตทะเลชายฝั่งเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในเขตทะเลชายฝั่งให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมและสามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน ลดปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายโดยไม่เจตนา ลดความขัดแย้งของชาวประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ในพื้นที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรตรวจสอบรายละเอียดของแผนที่และค่าพิกัดแสดงขอบเขตพื้นที่ดังกล่าวเพื่อความรอบคอบกับกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ รวมทั้งควรยืนยันความถูกต้องของแผนที่ท้ายกฎกระทรวงและการกำหนดเขตทะเลชายฝั่งตามร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลกระทบต่อเขตพื้นที่รับผิดชอบของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดและการประกอบอาชีพของประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ตามที่ได้มีการกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดในเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งควรจะได้เสนอแก้ไขประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังกล่าวให้สอดคล้องด้วย นอกจากนี้ ควรติดตามและประเมินผลการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำทางทะเลในแต่ละพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12577 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับโฆษณายาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา พ.ศ. .... | สธ | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับโฆษณายาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะกัญชา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการโฆษณายาเสพติดให้โทษประเภท ๕ เฉพาะกัญชา เพื่อการโฆษณาที่กระทำโดยตรงต่อผู้ประกอบวิชาชีพ และครอบคลุมถึงการโฆษณาที่เป็นเอกสาร ภาพ ภาพยนตร์ การบันทึกเสียงหรือภาพด้วย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ และข้อกำหนดต่าง ๆ ในการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับโฆษณายาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะกัญชา ให้แก่ผู้รับอนุญาตผลิตหรือนำเข้าซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะกัญชา ที่มีความประสงค์จะขออนุญาตโฆษณาผลิตภัณฑ์ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะกัญชาที่ได้รับการรับรองตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ให้ได้รับทราบและสามารถดำเนินการได้ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบและเข้าใจในสาระสำคัญของข้อกำหนดในกฎกระทรวงฯ โดยพิจารณาใช้กลไกระดับพื้นที่ในการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อให้การดำเนินงานดังกล่าวบรรลุตามวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12578 | ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2562 (ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 5/2562 เรื่อง การปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560) | สกพอ | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีมติเห็นชอบการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒ ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. ๒๕๖๐ ในหมวด ๓ การกำกับดูแลและติดตามผล เพื่อปรับปรุงหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการกำกับดูแล และกำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารสัญญา เพื่อให้การทำหน้าที่กำกับดูแลภาพรวมและการบริหารสัญญาร่วมลงทุนของโครงการสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการ อันจะทำให้การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกนี้ว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกอาจพิจารณาปรับปรุงประกาศที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนรวมเป็นฉบับเดียว เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้และผู้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย นอกจากนี้ การจัดตั้งหน่วยงานเพื่อติดตาม กำกับ และบริหารจัดการสัญญาร่วมลงทุนของโครงการ ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมายและประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้น และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12579 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2562 (แก้ไขเพิ่มเติม) | กษ | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอว่า สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ได้พิจารณาแนวทางการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ (เพิ่มเติม) และแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒) รับทราบแล้ว โดยกระทรวงพลังงานได้มีหนังสือแจ้งประธาน กนป. ขอปรับแก้ไขข้อความในสรุปมติการประชุม กนป. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ ดังกล่าว ในข้อ ๒ แนวทางการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ (เพิ่มเติม) ที่เสนอโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อให้เกิดความชัดเจนตามข้อหารือในที่ประชุม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12580 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 259.63 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบูรณะและฟื้นฟูทางหลวงที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ของกรมทางหลวง | คค | 18/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๕๙.๖๓ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบูรณะและฟื้นฟูทางหลวงที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ของกรมทางหลวง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป
|
.....