ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 575 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 11481 - 11500 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11481 | การรับรายงานผลดำเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต | ปปท. | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ท. ทำหน้าที่ประสานงานและร่วมมือกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐอื่นเกี่ยวกับการรับเรื่องร้องเรียนหรือพบเหตุอันควรสงสัยว่าข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดกระทำการหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบ รวมทั้งการตรวจสอบ เร่งรัด ติดตามการดำเนินงานของหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๕๑ (๒) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ ให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของแต่ละหน่วยงานมีหน้าที่ในการรายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐซึ่งอยู่ในสังกัดหรือกำกับ (ประกอบด้วย ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน) ไปยังสำนักงาน ป.ป.ท. ตามรูปแบบวิธีการที่สำนักงาน ป.ป.ท. กำหนดด้วย ๒. ให้สำนักงาน ป.ป.ท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ เช่น (๑) การกำหนดรูปแบบ วิธีการ และลักษณะข้อมูลของการรายงานผลการดำเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบ ควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการรายงานผลฯ และควรจัดเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็น โดยอยู่ภายใต้กฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยควรชี้แจงหรือประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานเจ้าของข้อมูลเข้าใจและสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง และ (๒) ระบบติดตามการดำเนินวินัย ปกครอง ตามโครงการบูรณาการฐานข้อมูลการป้องกันและปราบปรามการทุจิต ควรคำนึงถึงการใช้งานที่สะดวก เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน มีความยืดหยุ่น ตอบสนองความต้องการผู้ใช้งาน เป็นระบบที่มีความมั่นคงปลอดภัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มีชั้นความลับ และออกแบบให้หน่วยงานเจ้าของข้อมูลเป็นผู้ดำเนินการกรอกข้อมูลเองทั้งหมด เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาด รวมทั้งสามารถนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาผ่านกระบวนการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ในการบูรณาการฐานข้อมูลหรือการตัดสินใจ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. มอบหมายให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาพรวมทั้งหมด และนำข้อมูลในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ไปดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้ถูกต้อง ชัดเจน และทั่วถึงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11482 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 11/2562 | สกพอ | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติในเรื่องสำคัญ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนการส่งมอบพื้นที่และรื้อย้ายสาธารณูปโภค โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ท่าอากาศยานดอนเมือง-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ท่าอากาศยานอู่ตะเภา) และกรอบวงเงิน ๔๗๙.๐๕๕ ล้านบาท สำหรับการดำเนินงานรื้อย้ายเพื่อเปิดพื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ ช่วงดอนเมือง-พญาไท และช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา รวมทั้งสิ้น ๖๕๒ จุด ดำเนินการแล้วเสร็จภายใน ๒๔ เดือน ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการภายใต้กำกับของกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) จะดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณจากงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ เห็นชอบการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล และคณะกรรมการบริหารสัญญาและโครงสร้างการบริหารจัดการโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ โดยให้มีผลเมื่อมีการประกาศใช้ประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ ฉบับที่ได้มีการปรับปรุงข้างต้นแล้ว ๑.๓ เห็นชอบการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ : การแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) เพื่อพัฒนาและเตรียมพื้นที่รองรับการลงทุนจากภาคเอกชนในด้านการแพทย์จีโนมิกส์ (คาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนไม่ต่ำกว่า ๑,๒๕๐ ล้านบาท) ซึ่งจะเป็นการสร้างความรู้ทางการแพทย์จีโนมิกส์ที่จำเป็นให้แก่ประเทศ โดยการใช้ฐานข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อนำไปสู่การรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ และจะนำไปใช้ในระบบหลักประกันสุขภาพเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึง ๑.๔ เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Thailand Genome Sequencing Center) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการฯ และจะมีการว่าจ้างผู้ประกอบการให้บริการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม (Whole Genome Sequencing : WGS) ของประชากรไทย จำนวน ๕๐,๐๐๐ ราย รวมถึงการเห็นชอบกรอบวงเงิน ๗๕๐ ล้านบาท จากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อซื้อบริการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ในการส่งมอบพื้นที่และรื้อย้ายสาธารณูปโภคเพื่อดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินควรเร่งรัดให้แล้วเสร็จตามแผน และคำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะมีต่อประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งควรประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาโครงการฯ ให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11483 | ผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 1/2562 และ 2/2562 | นร11 | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ ระหว่างวันที่ ๔-๕ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงซันติอาโก สาธารณรัฐชิลี และครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองปัวโตวาราส สาธารณรัฐชิลี มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการขับเคลื่อนและพัฒนางานด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยที่สำคัญ เช่น การยกระดับคุณภาพและการเข้าถึงบริการภาครัฐของประชาชนผ่านการใช้เทคโนโลยีเพื่อนำไปสู่รัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่องในอนาคต การปฏิรูปด้านกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมความสะดวกในการประกอบธุรกิจ การคุ้มครองผู้บริโภค การปฏิรูปเพื่อเพิ่มธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการดำเนินงานภาครัฐ เป็นต้น และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปคต่อไป โดยให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติติดตามการขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างของไทย และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอประเด็นการขับเคลื่อนปฏิรูปโครงสร้างที่ควรให้ความสำคัญในอนาคต ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. เพื่อให้การเสนอรายงานผลการประชุมที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างของประเทศไทยได้ทันต่อสถานการณ์ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการประชุมต่าง ๆ ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11484 | มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ | ทส | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบการดำเนินงานในลักษณะงานบูรณาการร่วมกันในการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ ซึ่งใช้แนวทางการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากอากาศยานอย่างสมดุลที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ได้เสนอ ประกอบกับมาตรการจัดการมลพิษอากาศและเสียงจากท่าอากาศยานที่ได้จัดทำในปี ๒๕๔๗ ประกอบด้วย ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการการนำแผนที่เส้นเท่าระดับเสียงไปใช้ในการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยรอบสนามบิน (๒) มาตรการการจัดการผลกระทบด้านเสียงจากอากาศยานและวิธีปฏิบัติการบิน (๓) มาตรการการพัฒนาเครื่องมือในการบริหารจัดการมลพิษทางเสียงและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน และ (๔) มาตรการการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเผยแพร่ข้อมูลการจัดการเสียงสนามบิน และมอบหมายกระทรวงคมนาคม กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11485 | ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | กค | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ตามที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น รฟม. การเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว การดำเนินโครงการฯ จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ การกำหนดรูปแบบการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการฯ ต้องมีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด การพิจารณาความเหมาะสมในการจำกัดอัตราค่าโดยสารสูงสุดของโครงการฯ กำหนดเงื่อนไขร่างขอบเขตการดำเนินงาน (TOR) ให้มีการจัดหารถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น และการดำเนินโครงการฯ ไม่ควรใช้เงินกู้เป็นเงินร่วมลงทุนเพราะจะทำให้เกิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยของเอกชน โดยเห็นควรให้ใช้รูปแบบการลงทุนที่ภาครัฐลงทุนค่าก่อสร้างงานโยธาเองเนื่องจากมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่ากรณีให้เอกชนร่วมลงทุนงานโยธา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งการสนับสนุนค่างานโยธาให้เอกชน ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. เร่งรัดการดำเนินการจัดทำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเวนคืนของโครงการฯ ส่วนตะวันตก ให้แล้วเสร็จและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนโดยเร็ว และดำเนินกระบวนการคัดเลือกเอกชนที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ส่วนตะวันตก รวมทั้งจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีการเปิดให้บริการโครงการฯ ล่าข้า (Time Overrun) และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่รัฐอาจจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในการดูแลงานที่แล้วเสร็จ (Care of Work) ของโครงการฯ ส่วนตะวันออก เนื่องจากไม่สามารถเปิดให้บริการได้ทันตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ๔. ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแผนการบริหารจัดการงบประมาณเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในภาพรวมให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอเพื่อชำระคืนค่างานโยธาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับโครงการร่วมลงทุนที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติไว้แล้ว เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง เป็นต้น เนื่องจากภาครัฐจะต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนค่างานโยธาของโครงการเหล่านี้ให้แก่เอกชนในห้วงระยะเวลาที่คาบเกี่ยวกัน รวมทั้งให้พิจารณาหาแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ที่เหมาะสมเพื่อรองรับการดำเนินโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในอนาคตเพื่อช่วยลดภาระงบประมาณภาครัฐด้วย ๕. ในการดำเนินการใด ๆ ในทุกขั้นตอน ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11486 | สถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ | ยธ | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ มีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น สถานการณ์จำนวนผู้ต้องขังในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมีผู้อยู่ในเรือนจำทั่วประเทศ จำนวน ๓๗๔,๐๕๒ คน (ข้อมูล ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒) รวมถึงผู้ต้องราชทัณฑ์ จำนวน ๓๖๔,๔๘๘ คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องราชทัณฑ์ที่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด/สารระเหย (๒๘๘,๖๔๘ คน) และสถานการณ์ความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศเกี่ยวกับพื้นที่เรือนจำนอนของผู้ต้องขังที่เกินความจุที่เรือนจำรองรับผู้ต้องขังได้ (เกินประมาณ ๑๑๕,๖๙๘ คน) ส่งผลให้เกิดปัญหาความแออัดในเรือนจำ เป็นต้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานกิจการยุติธรรม) นำสถานการณ์และแนวทางการแก้ปัญหาการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำไปพิจารณาทบทวนร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงบประมาณ เป็นต้น เพื่อกำหนดแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำให้เหมาะสมและชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อบูรณาการการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพ โดยให้นำความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น ควรให้มีการพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยให้มีประสิทธิภาพ ควรให้มีการศึกษาและทบทวนการจำแนกและคัดกรองผู้ต้องขังชั้นดีที่จะให้ได้รับการลดโทษ พักโทษให้มีความรัดกุม ควรกำหนดแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำในระยะยาว และควรให้จัดหาเครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) ด้วยความรอบคอบชัดเจน ทั้งคุณลักษณะ ประสิทธิภาพการใช้งาน ปริมาณที่เหมาะสมกับการใช้งาน เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติพิจารณาเพื่อให้การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวสอดคล้องเป็นไปตามแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11487 | ขอความเห็นชอบแนวทางการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการ | พม | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการ จากจำนวน ๘๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน เป็นจำนวน ๑,๐๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน ในเบื้องต้นเฉพาะคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณผ่านกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม และให้ถือว่าเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าว เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการให้กับผู้พิการ หรือผู้ด้อยโอกาสด้านอื่น ๆ อาจพิจารณาระดับความจำเป็นในการรับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วย อาทิ ฐานะทางเศรษฐกิจของผู้พิการฯ เป็นต้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้งบประมาณและไม่เป็นภาระผูกพันงบประมาณที่มากเกินไปในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๘ วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๙ วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๐ และวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เช่น (๑) ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การออกแบบอาคารเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คนพิการ (๒) ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดทำบัญชีคนพิการ โดยแยกประเภทตามความพิการ คุณวุฒิเฉพาะด้านของคนพิการ เพื่อให้ส่วนราชการใช้เป็นข้อมูลในการจ้างคนพิการในหน่วยงานของรัฐ และ (๓) ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนดเป้าหมายการรับคนพิการเข้าทำงานในแต่ละภาคส่วนให้ชัดเจน เป็นต้น เพื่อให้คนพิการได้เข้าสู่ระบบการจ้างงานและได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่าง ๆ ครบถ้วนและเหมาะสมด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข บูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านอื่น ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11488 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ (จำนวน 3 ราย 1. นายถวัลย์ วรรณกิจมงคล ฯลฯ) | มท | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ จำนวน ๓ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ มกราคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายถวัลย์ วรรณกิจมงคล ๒. นางสาวบุหงา โพธิ์พัฒนชัย ๓. นางพอตา ยิ้มไตรพร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11489 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง | นร | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง จำนวน ๕ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ มกราคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดองเสนอ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓ คน เป็นกรรมการ ได้แก่ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอุตตม สาวนายน) ๑.๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา) ๒. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒ คน ได้แก่ ๒.๑ นายกฤษฎา บุญราช ๒.๒ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11490 | มาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 | กค | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดค่าตอบแทนกรรมการในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และคณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแต่งตั้ง โดยให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือนเฉพาะเดือนที่มาร่วมประชุม และให้ได้รับค่าตอบแทนตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจครบถ้วนเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน หรือที่ได้รับจัดสรรตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11491 | การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราช กฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 | นร05 | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11492 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายโวสิต วรทรัพย์) | กต | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายโวสิต วรทรัพย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไปเพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11493 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายอนุกูล ปีดแก้ว ฯลฯ รวม 5 ราย) | พม | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๕ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. นายอนุกูล ปีดแก้ว ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายชูรินทร์ ขวัญทอง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายอนันต์ ดนตรี ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายธนสุนทร สว่างสาลี ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11494 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางสาววันเพ็ญ พูลวงษ์) | ดศ | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาววันเพ็ญ พูลวงษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11495 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (นายพิริยะ เข็มพล) | กค | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพิริยะ เข็มพล เป็นกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย แทน นายกำธร ตติยกวี กรรมการเดิมที่อายุครบ ๖๕ ปีบริบูรณ์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ มกราคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11496 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 | พม | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามมาตรา ๔ (๖) แห่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ จำนวน ๕ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ มกราคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. นางวิพรรณ ประจวบเหมาะ ๒. นายอภิชัย จันทรเสน ๓. นายวรเวศม์ สุวรรณระดา ๔. นางสุวณี รักธรรม ๕. นางศศิพัฒน์ ยอดเพชร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11497 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง | พน | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน ๔ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ มกราคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นายชวลิต พิชาลัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง ๑.๒ นางสาววิมล ชาตะมีนา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ๑.๓ นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าในประเทศ/ต่างประเทศ และการบริหาร ๑.๔ นายเกียรติคุณ ชาติประเสริฐ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าในประเทศ สารนิเทศ และการบริหาร ๒. ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งต่อ ๆ ไป ให้เป็นไปตามกรอบระยเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11498 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ | นร01 | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ จำนวน ๙ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ มกราคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์นันทวัฒน์ ปรมานันท์ ๒. นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ ๓. พลตำรวจโท สมชาย พัชรอินโต ๔. พันตำรวจโท เธียรรัตน์ วิเชียรสรรค์ ๕. นายภพ เอครพานิช ๖. นางเบญจวรรณ สร่างนิทร ๗. หม่อมราชวงศ์พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ ๘. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ๙. นายมานะ นิมิตรมงคล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11499 | คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 23/2563 (เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ) | นร04 | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๓/๒๕๖๓ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ ลงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เป็นประธานคณะกรรมการดังกล่าว โดยให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานบูรณาการการดำเนินการร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่จะเข้าสู่ภาวะปกติ และให้รายงานผลการปฏิบัติงานประจำวันของหน่วยงานไปยังศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC) รวมทั้งให้ความร่วมมือและดำเนินการตามมาตรการในการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ตามที่คณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติกำหนดอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11500 | การสนับสนุนการดำเนินการของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anit-Fake News Center) | นร05 | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า ปัญหาการเผยแพร่ข่าวปลอมและการบิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริงในเรื่องต่าง ๆ ที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์และระบบอินเทอร์เน็ตมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชน รวมทั้งในบางกรณีกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติด้วย ดังนั้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) บรรลุผลและสามารถดำเนินการตามกฎหมายแก่ผู้กระทำผิดได้ จึงมีมติกำชับให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือแก่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการแต่งตั้งผู้แทนเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเป็นผู้เสียหายหรือเป็นเจ้าของข้อมูลที่มีการนำไปบิดเบือนเป็นข่าวปลอม และเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์และระบบอินเทอร์เน็ตดังกล่าว
|
.....