ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 579 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 11561 - 11580 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11561 | แนวทางการบริหารการนำเข้าสินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง ตามพันธกรณีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นไทย - นิวซีแลนด์ (TNZCEP) และพันธกรณีตามความตกลงการค้าเสรี ไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA) | กษ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์การนำเข้าสินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และมันฝรั่ง ภายใต้พันธกรณีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership Agreement : TNZCEP) และพันธกรณีตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (The Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) ตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของแนวทางการบริหารการนำเข้าสินค้าดังกล่าว เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติม จากเดิม “ให้นำเข้าเฉพาะกรณีที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิตและแปรรูปในกิจการของตนเองและห้ามจำหน่ายจ่ายโอนเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่/หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง” เป็น “ให้นำเข้าเฉพาะกรณีที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิตและแปรรูปในกิจการของตนเองและห้ามจำหน่ายจ่ายโอนเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่/หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง ภายในประเทศ” เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ ตามข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลรายงานการนำเข้าเสนอคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ทราบเป็นระยะ เพื่อเตรียมมาตรการรองรับกรณีราคาในประเทศตกต่ำ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพผลผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11562 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ 11 | มท | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ ๑๑ (ASEAN Ministerial Meeting on Rural Development and Poverty Eradication : AMRDPE) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๔-๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ ๑๑ ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ เพื่อแสดงถึงความคืบหน้าของความร่วมมือด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกอาเซียนดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ฉบับปี ๒๐๑๖-๒๐๒๐ เพื่อยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนในอาเซียนให้หลุดพ้นจากความยากจน ยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนในอาเซียนผ่านการเสริมสร้างความร่วมมือข้ามสาขา การเสริมสร้างนวัตกรรมที่ครอบคลุม และการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน โดยมีเป้าหมายเพื่อขจัดความยากจนและสร้างความเข้มแข็งในทุกระดับ ตลอดจนยกย่องความมุ่งมั่นของการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนในการทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยทำงานแบบข้ามเสาเพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงด้านอาหาร และการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ๑.๒ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ ๑๑ และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11563 | รายงานผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 (ประจำปี 2559 - 2561) | พม | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. ๒๕๕๘ (ประจำปี ๒๕๕๙-๒๕๖๑) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปฏิบัติงานของคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ เช่น การจัดทำอนุบัญญัติและกฎหมายลำดับรองเพื่อใช้เป็นแนวทางกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินงานของคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่าง ๆ เพื่อดำเนินการสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และเห็นชอบการใช้จ่ายเงินของกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ เป็นต้น ๒. การปฏิบัติงานของคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ รวมจำนวนทั้งสิน ๓๕ คำร้อง ได้วินิจฉัยแล้ว จำนวน ๑๑ คำร้อง อยู่ระหว่างการพิจารณา จำนวน ๑๕ คำร้อง และไม่รับพิจารณา จำนวน ๙ คำร้อง สำหรับอุปสรรคในการดำเนินงาน เช่น ข้อจำกัดด้านอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อจำกัดด้านบุคลากรด้านกฎหมาย และข้อจำกัดด้านงบประมาณ เป็นต้น ๓. การปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ในระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๑ กองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศได้รับเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวน ๑๕ ล้านบาท สามารถเบิกจ่ายได้ทั้งสิ้น ๒.๘๙ ล้านบาท คงเหลือจากการเบิกจ่าย ๑๒.๑๐๙ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11564 | รายงานการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553 - 2583 (ฉบับปรับปรุง) | นร11 | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๘๓ (ฉบับปรับปรุง) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลจากการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๘๓ ประชากรของไทยจะเพิ่มขึ้นจาก ๖๖.๕ ล้านคน ใน พ.ศ. ๒๕๖๓ และจะมีจำนวนสูงสุดที่ ๖๗.๒ ล้านคน ใน พ.ศ. ๒๕๗๑ หลังจากนั้นจำนวนประชากรจะลดลง โดยอัตราเพิ่มประชากรจะเริ่มติดลบในอัตราร้อยละ -๐.๒ ต่อปี และคาดประมาณว่า ใน พ.ศ. ๒๕๘๓ จะมีประชากรทั้งหมดประมาณ ๖๕.๔ ล้านคน โครงสร้างอายุของประชากรในแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างกัน คาดการณ์ว่า ใน พ.ศ. ๒๕๘๓ กรุงเทพมหานครยังคงมีสัดส่วนประชากรวัยแรงงานมากที่สุด ขณะที่ภาคเหนือจะมีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุมากที่สุด และภาคใต้จะมีสัดส่วนประชากรวัยเด็กสูงกว่าภาคอื่น ๆ โดยภาคตะวันออกมีการเติบโตของประชากรเมืองมากที่สุด เนื่องจากรัฐบาลกำหนดเป็น “เขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” (Eastern Economic Corridor : EEC) ๒. ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากร มีการตายที่ลดลง อายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้นและการเกิดที่ลดลง ส่งผลให้ประชากรมีการเพิ่มที่ช้าลง และโครงสร้างอายุเปลี่ยนแปลงจากประชากรที่มีอายุน้อยเป็นประชากรสูงวัยที่มีอายุสูงขึ้น การประเมินความต้องการกำลังแรงงานในอนาคต คาดการณ์ว่าภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มความต้องการแรงงานเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ความต้องการแรงงานในภาคเกษตรกลับมีแนวโน้มลดลง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11565 | ร่างบันทึกความร่วมมือด้านข้อมูลพื้นฐานเพื่อการจัดระบบและการพำนักของแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ | รง | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติของประเทศญี่ปุ่นกับกระทรวงแรงงาน ราชอาณาจักรไทย เกี่ยวกับความร่วมมือด้านข้อมูลพื้นฐานเพื่อการจัดระบบและการพำนักของแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ (Draft of Memorandum of Cooperation between the Ministry of Justice, the Ministry of Foreign Affairs, the Ministry of Health, Labour and Welfare and the National Police Agency of Japan and the Ministry of Labour of the Kingdom of Thailand on a Basic Framework for Information Partnership for Proper Operation of the System Pertaining to Foreign Human Resources with the Status of Residence of “Specified Skilled Worker” : MOC) มีสาระสำคัญเพื่อคุ้มครองแรงงานที่มีทักษะเฉพาะผ่านทางการส่งเสริมการจัดส่งและการรับแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ จำนวน ๑๔ สาขา เช่น ผู้อนุบาล งานจัดการความสะอาดอาคาร อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอุปกรณ์เครื่องจักรกล อุตสาหกรรมก่อสร้าง เกษตรกรรม การผลิตอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น จากประเทศไทยไปยังประเทศญี่ปุ่นให้เป็นไปอย่างราบรื่น และแก้ไขปัญหาในการส่ง การรับแรงงาน และปัญหาของการพำนักอยู่ในประเทศญี่ปุ่นของแรงงาน รวมถึงเพื่อเสริมสร้างผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ และระบุประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน (๒) หน้าที่ความรับผิดชอบของกระทรวงและหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่นและกระทรวงแรงงานประเทศไทย และ (๓) การดำเนินการทดสอบทักษะฝีมือและการสอบเพื่อวัดความสามารถทางภาษาญี่ปุ่น เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นผู้ลงนามในบันทึกความร่วมมือฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11566 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2562/2563 | อก | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ ในอัตรา ๗๕๐.๐๐ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส หรือเท่ากับร้อยละ ๙๗.๙๑ ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ ๗๖๖.๐๑ บาทต่อตันอ้อย และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๔๕.๐๐ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ เท่ากับ ๓๒๑.๔๓ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรพิจารณาดำเนินการทบทวนระเบียบมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และแนวทางการจัดเก็บรายได้เพื่อให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอต่อการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งพิจารณาถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศของไทยภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ด้วย และควรพิจารณาดำเนินการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การยกระดับคุณภาพความหวานของอ้อยเพื่อลดต้นทุนการผลิต และการส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอ้อยและน้ำตาลทรายภายในประเทศ เพื่อให้ชาวไร่อ้อยและผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลทรายมีผลตอบแทนที่สูงขึ้น และรองรับภาวะราคาน้ำตาลทรายในตลาดสากลตกต่ำในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ (เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้) เพื่อจูงใจให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยลดการเผาอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยว เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้และลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน (PM2.5) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11567 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การคงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของมูลนิธิหรือสมาคม) | กค | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การคงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของมูลนิธิหรือสมาคม) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของมูลนิธิหรือสมาคมเหลืออัตราร้อยละ ๒ ของรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ทั้งนี้ เฉพาะรายได้ส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๘) แห่งประมวลรัษฎากร และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดให้มูลนิธิหรือสมาคมมีการเปิดเผยแหล่งที่มาของรายได้และรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่อสาธารณชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินงานของมูลนิธิหรือสมาคมให้เกิดความยั่งยืนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11568 | การต่อสัญญาการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจำปี 2564 - 2568 (5 ปี) | กก | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนเรื่อง การต่อสัญญาการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจำปี ๒๕๖๔-๒๕๖๘ (๕ ปี) คืนไปได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11569 | การโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นเพื่อชำระหนี้ให้กระทรวงการคลังและการตัดหนี้ค้างชำระคงเหลือเป็นหนี้สูญ | กษ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น (อ.ย.) จำนวน ๔ แปลง ได้แก่ (๑) ที่ดินเลขที่ ๖๙๒๔ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น (๒) ที่ดินเลขที่ ๑๒๓๔๕ ตำบลวัดเกษ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (๓) ที่ดินเลขที่ ๖๖๐๙ ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ และ (๔) ที่ดินเลขที่ ๓๒๕๒๑๑ ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อชำระหนี้ให้กระทรวงการคลัง โดยใช้ราคาประเมินที่ดินที่เป็นปัจจุบัน ส่วนการตัดหนี้ค้างชำระคงเหลือของ อ.ย. ต่อกระทรวงการคลังเป็นหนี้สูญ ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามมติสภาบริหารคณะปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ที่กำหนดหลักการกรณีหนี้เงินค้างชำระที่กระทรวงการคลังไม่สามารถเรียกร้องจากลูกหนี้ได้ จำนวนเงินหรือหนี้เกินกว่า ๕ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ในส่วนของที่ดิน น.ส. ๓ จำนวน ๒ แปลง ของ อ.ย. ที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าลุ่มแม่น้ำฝาง ได้แก่ (๑) ที่ดิน น.ส. ๓ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๑ ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ประมาณ ๓๘ ไร่ ๓ งาน ๙๒ ตารางวา และ (๒) ที่ดิน น.ส. ๓ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๑๗๗ ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ประมาณ ๒๖ ไร่ ๒ งาน ๘๐ ตารางวา ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งดำเนินการตรวจสอบการได้มาซึ่งที่ดิน น.ส. ๓ ทั้งสองแปลงดังกล่าว ว่าเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว และเมื่อได้ผลการตรวจสอบที่เป็นที่ยุติแล้วให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11570 | ร่างระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการแต่งตั้งและการหน้าที่ของเจ้าพนักงานกงสุลกิตติมศักดิ์แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. .... | กต | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการแต่งตั้งและการหน้าที่ของเจ้าพนักงานกงสุลกิตติมศักดิ์แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการแต่งตั้งและการหน้าที่ของพนักงานฝ่ายกงสุลกิตติมศักดิ์แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๓๖ ในสาระสำคัญเกี่ยวกับการแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง หน้าที่ และการสิ้นสุดหน้าที่ของเจ้าพนักงานกงสุลกิตติมศักดิ์ ตลอดจนค่าตอบแทนสำหรับเจ้าพนักงานกงสุลกิตติมศักดิ์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11571 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | ยธ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการติดตามและตรวจสอบกรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ได้ติดตามและตรวจสอบข้อมูลกรณีบุคคลถูกบังคับให้หายสาบสูญตามบัญชีของคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการหายสาบสูญ โดยถูกบังคับหรือไม่สมัครใจ (UN Working Group on Enforced or Involuntary Disappearance : UNWGEID) จำนวน ๘๖ ราย ๒. การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการเยียวยากรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ได้พิจารณากรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญที่ได้รับการส่งต่อมาจากคณะอนุกรรมการติดตามและตรวจสอบกรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ จำนวน ๒๔ ราย ซึ่งพบว่า ได้รับการเยียวยาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว จำนวน ๒๓ ราย และยังไม่ได้รับการเยียวยา จำนวน ๑ ราย ๓. การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการป้องกันการกระทำทรมานและบังคับให้หายสาบสูญ เช่น จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสาระสำคัญของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยี่ศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ รวมทั้งกลไกการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญแก่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและเกี่ยวข้องกับการจับกุมควบคุมตัว เป็นต้น ๔. การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการคัดกรองกรณีถูกกระทำทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ ชุดที่ ๑-๔ ไม่มีเรื่องร้องเรียน ส่วนคณะอนุกรรมการฯ ชุดที่ ๕ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีอ้างว่าถูกกระทำทรมานระหว่างตุลาคม ๒๕๖๑-กันยายน ๒๕๖๒ จำนวน ๔๔ เรื่อง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วน และคณะอนุกรรมการฯ ชุดที่ ๖ กรุงเทพมหานคร ได้พิจารณาเรื่องร้องทุกข์กรณีอ้างว่าถูกบังคับให้หายสาบสูญ จำนวน ๒ ราย คือ นายสยาม ธีรวุฒิ และนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการติดตามตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม ๕. กรณีนายพอละจี รักจงเจริญ (บิลลี่) ปัจจุบันคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการหายสาบสูญโดยถูกบังคับหรือไม่สมัครใจได้มีมติประกาศให้เป็นกรณีที่ได้รับการคลี่คลายแล้ว และอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญามีมติอนุมัติค่าตอบแทนกรณีถึงแก่ความตาย ๘๐,๐๐๐ บาท ค่าจัดการศพ ๒๐,๐๐๐ บาท และค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู ๔๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินจำนวน ๑๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งได้มอบเงินเยียวยาให้กับครอบครัวนายพอละจีฯ แล้ว เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ และปัจจุบันกรมสอบสวนคดีพิเศษแจ้งว่า มีการดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่เกี่ยวข้องในฐานความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และส่งสำนวนสอบสวนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ โดยเรื่องอยู่ระหว่างการไต่สวน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11572 | รายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมปี 2562 | นร53 | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมปี ๒๕๖๒ โดยมีประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) สถานการณ์และตัวชี้วัดเชิงเศรษฐกิจของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมปี ๒๕๖๑ และปี ๒๕๖๒ (๒) สถานการณ์เชิงโครงสร้างของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และ (๓) สถานการณ์และประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อ SME ไทยในอนาคต ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11573 | ร่างความตกลง เลขที่ 173/3/764-1 ว่าด้วยการรับกำลังพลของราชอาณาจักรไทยเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาทางทหารของกระทรวงกลาโหมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย | กห | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำความตกลง เลขที่ ๑๗๓/๓/๗๖๔-๑ ว่าด้วยการรับกำลังพลของราชอาณาจักรไทยเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาทางทหารของกระทรวงกลาโหมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย (Agreement No. 173/3/764-1 on the Requirements for the Admission of Servicemen of the Kingdom of Thailand for Training in Military Educational Establishments of the Ministry of Defence of the Russian Federation) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการรับกำลังพลของราชอาณาจักรไทยเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาทางทหารของกระทรวงกลาโหมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย อันเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซีย โดยจะมีการลงนามในร่างความตกลงฯ ระหว่างผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย กับเจ้ากรมกำลังพลทหาร กระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรรัสเซีย ในห้วงเดือนมกราคม ๒๕๖๓ ๑.๒ ให้ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11574 | ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป กระทรวงยุติธรรม | ยธ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๔ โครงการ วงเงินรวม ๕,๗๒๙.๕๐๑๐ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑) โครงการก่อสร้างเรือนจำกลางลำปาง (๒) โครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดร้อยเอ็ด (๓) โครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดยโสธร และ (๔) โครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยให้กระทรวงยุติธรรมจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความเหมาะสมจำเป็น ตามวงเงินงบประมาณประจำปีเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปประกอบการดำเนินการด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎหมาย ระเบียบ ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11575 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563) | นร04 | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๓ ประกอบด้วย การพิจารณาเรื่องที่คณะรัฐมนตรีส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา และการพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๑๘ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพุธที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๓ และครั้งที่ ๑๙ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๓ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11576 | การแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ 14 | ยธ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๔ (National Preparatory Committee : NPC) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานกรรมการ และมีอำนาจหน้าที่ในการให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประเด็นและแนวโน้มที่สำคัญด้านการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรม รวมทั้งกำหนดยุทธศาสตร์และท่าทีไทยในการเจรจาประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นผลประโยชน์หลักของประเทศ ๒. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานสำหรับการเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๔ (The 14th United Nations Congress on Crime Prevention and Criminal Justice : UN Crime Congress) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๐-๒๗ เมษายน ๒๕๖๓ ณ นครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11577 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แทนตำแหน่งที่ว่าง (นางจุฬารัตน์ ตันประเสริฐ) | ศธ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางจุฬารัตน์ ตันประเสริฐ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ มกราคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทน อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11578 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายฉัตรชัย ศักดิ์ศิลปชัย ฯลฯ รวม 3 ราย) | พณ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายฉัตรชัย ศักดิ์ศิลปชัย ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางลลิดา จิวะนันทประวัติ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11579 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายณรงค์ ทรงอารมณ์) | พศ | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายณรงค์ ทรงอารมณ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายเทวัญ ลิปตพัลลภ) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11580 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (นางปานทิพย์ ศรีพิมล) | กค | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แทน นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ที่ขอลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ มกราคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ทั้งนี้ ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนนี้ให้อยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
.....