ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1284 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 25661 - 25680 จากข้อมูลทั้งหมด 124251 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
25661 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยว พ.ศ. .... | กก | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยว ๕ เขต ประกอบด้วย (๑) เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา (๒) เขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันออก (Active Beach) (๓) เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมอีสานใต้ (๔) เขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก (Royal Coast) และ (๕) เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอันดามัน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับไปพิจารณาความเหมาะสมในการเพิ่มจังหวัดพะเยาเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา แล้วแจ้งผลการพิจารณาไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับไปจัดทำแผนปฏิบัติการท่องเที่ยวตามเขตพัฒนาการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ และพิจารณากำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตอื่น ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อเชื่อมต่อการท่องเที่ยวของประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความมั่นคง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว การควบคุมผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ประกอบการเรือนำเที่ยว หรือผู้ประกอบการร้านค้า เป็นต้น รวมทั้งมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวด้วย ๓. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำรวจและประเมินถึงผลกระทบจากการท่องเที่ยวในหมู่เกาะต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
25662 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อเสนอแนะขององค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (รายงานสรุปผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. ....) | สว | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อเสนอแนะขององค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และมอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติ ดังนี้ ๒.๑ เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา หรือข้อเสนอแนะหรือมาตรการขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการและหนวยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาหรือข้อเสนอแนะหรือมาตรการขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ ในเรื่องใดได้หรือไม่ประการใดก่อน ๒.๒ ในกรณีที่ญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา หรือข้อเสนอแนะหรือมาตรการขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญมีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวข้องหลายแห่ง ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายพิจารณาสั่งการให้มีหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการดังกล่าวของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสรุปเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒.๓ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐแจ้งผลการดำเนินการตามข้อ ๒.๑ หรือข้อ ๒.๒ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง หากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าว และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรียังไม่ได้รับทราบผลการดำเนินการ ให้รายงานรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายทราบ หรือพิจาณาสั่งการตามที่เห็นสมควร ๒.๔ เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับผลการดำเนินการตามข้อ ๒.๓ แล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำญัตติ รายงาน และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา หรือข้อเสนอแนะหรือมาตรการขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญเสนอคณะรัฐมนตรีพร้อมความเห็นของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อทราบ และหากไม่มีข้อทักท้วงใด ๆ ให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ ทั้งนี้ ให้นำเรื่องการแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวมาใช้กับการตอบกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาโดยอนุโลม
|
||||||||||||||||||||||||
25663 | การจัดงานสานเสวนาการปฏิรูป "On the Path to Reform" | กต | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการจัดงานสานเสวนาการปฏิรูป “On the Path to Reform” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันพุธที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรมแชงกรีลา กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำผู้ทรงคุณวุฒิจากต่างประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนด้านการปฏิรูปของประเทศต่าง ๆ ทั้งในภาพรวม และประเด็นเฉพาะใน ๓ สาขา ได้แก่ (๑) การปฏิรูปด้านการเมือง (๒) การบริหารราชการแผ่นดิน และ (๓) การปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการปฏิรูปของไทย อาทิ สภาปฏิรูปแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความเห็นกับผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิรูปจากต่างประเทศ ใน ๓ สาขา และภาควิชาการ ตลอดจนคณะทูตานุทูต และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานกับทุกส่วนราชการในการเข้าร่วมงานสานเสวนาฯ ดังกล่าว เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความเห็นกับผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิรูปจากต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
25664 | ผลการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอย่างเป็นทางการ (ระหว่างวันที่ 26 - 27 พฤศจิกายน 2557) | กต | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ได้แก่ ๑.๑.๑ ภาพรวมความสัมพันธ์ ที่ไทยพร้อมจะให้ความสนับสนุนการพัฒนาของลาว และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ ๖๕ ปีความสัมพันธ์ทางการทูต และครบรอบ ๒๐ ปีที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนลาวทุกปี ๑.๑.๒ ด้านเศรษฐกิจ ที่มีการพัฒนาพื้นที่ชายแดน การค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว พลังงาน ตลาดทุน การเชื่อมโยงในภูมิภาคและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แรงงาน และการส่งเสริมสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ๑.๑.๓ ด้านความมั่นคง ที่มีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน การยกระดับจุดผ่านแดน และการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล ด้านการกงสุล ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา และการพบหารือนักธุรกิจไทยในลาว ๑.๒ การดำเนินการในประเด็นที่มีความเร่งด่วนที่ต้องปฏิบัติในโอกาสแรก ได้แก่ ๑.๒.๑ มอบหมายกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่องการหารือกับฝ่ายลาว จีน และเวียดนามเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎระเบียบการขนส่งบนเส้นทางสำคัญ ๆ ที่ผ่านลาว ๑.๒.๒ มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในการหารือกับฝ่ายลาวเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนของไทยในลาว โดยเฉพาะการปรับกฎระเบียบและขั้นตอนการลงทุน ๑.๒.๓ มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกับฝ่ายลาวเพื่อประสานงานและขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร-สะหวัน-เซโน ให้สอดคล้องและเกื้อหนุนกันและกัน ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษรับไปพิจารณาดำเนินการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดหนองคายเพิ่มเติมในปี ๒๕๕๘ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
25665 | ผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างเป็นทางการ (ระหว่างวันที่ 27 - 28 พฤศจิกายน 2557) | กต | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ และหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม รวมทั้งเข้าเยี่ยมคารวะประธานาธิบดีเวียดนาม ตลอดจนหารือกับประธานสภาแห่งชาติเวียดนาม และนายกสมาคมมิตรภาพเวียดนาม-ไทย ซึ่งผลการเยือนครั้งนี้ประสบผลสำเร็จด้วยดี ฝ่ายเวียดนามให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติ การหารือเป็นไปในบรรยากาศฉันมิตรและมีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมในหลายประเด็น ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการเยือนไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไปในประเด็นการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทวิภาคี/การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง ด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านความเชื่อมโยง และด้านสังคมและวัฒนธรรม
|
||||||||||||||||||||||||
25666 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สามของปี 2557 | นร11 | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๗ ซึ่งครอบคลุมความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ บทความพิเศษเรื่อง “โอกาสการพัฒนาศักยภาพเด็กวัยเรียน” และประเด็นทางสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การจ้างงานลดลง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น แต่รายได้ยังเพิ่มขึ้น (๒) การก่อหนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มชะลอลง แต่ต้องเฝ้าระวังการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น (๓) ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังลดลง แต่ต้องเฝ้าระวังโรคปอดอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ โรคมือ เท้า ปาก และโรคตาแดง ซึ่งพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (๔) ค่าใช้จ่ายในการบริโภคบุหรี่เพิ่มขึ้นและต้องเฝ้าระวังบุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังแพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่นเมือง (๕) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์โดยรวมดีขึ้น แต่ยังคงมีการใช้ความรุนแรงในการทวงหนี้นอกระบบ (๖) การเร่งรณรงค์ “เมา-ง่วง ไม่ขับ-ใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด” อย่างต่อเนื่องเพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรทางบก (๗) ร้านค้าออนไลน์ : สู่การเติบโตอย่างปลอดภัย พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น และ (๘) การกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์จากความก้าวหน้าเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังขาดสถานที่กำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้มาตรฐานและมีการดำเนินงานอย่างถูกต้อง ๒. บทความพิเศษเรื่อง “โอกาสการพัฒนาศักยภาพเด็กวัยเรียน” การพัฒนาตามช่วงวัยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนเนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูง แต่มีเด็กวัยเรียนที่ควรอยู่ในระบบการศึกษา ๖-๘ แสนคนที่ไม่มีโอกาสเข้าเรียนและได้เรียนแต่ออกจากระบบการศึกษาก่อนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งสาเหตุที่ไม่ได้เรียนได้แก่ ปัญหาการเจ็บป่วยและพิการ ไม่มีทุนทรัพย์ ไม่สนใจที่จะเรียน เป็นต้น ในขณะที่เด็กในระบบโรงเรียนยังมีปัญหาด้านคุณภาพ ขาดทักษะทำงานและการดำเนินชีวิต ๓. ประเด็นสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป ได้แก่ การผลิตกำลังคนให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน การแก้ไขปัญหาหนี้สิน การป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ การก้าวสู่ร้านออนไลน์ การผลักดันการป้องกันขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนและต่อสุขภาพ และแนวทางการพัฒนาศักยภาพเด็กวัยเรียน โดยสนับสนุนให้เด็กคงอยู่ในระบบโรงเรียนทั้งการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้แก่เด็กยากจน สร้างแรงจูงใจให้กับสถานศึกษาเพื่อเอื้อต่อการเข้าเรียนของเด็กด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ พัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยยกระดับคุณภาพครู พัฒนาหลักสูตรให้มีความหลากหลายและเป็นทางเลือกใหม่ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
25667 | การแต่งตั้งผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์และผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชนในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ (จำนวน 16 ราย) | พม | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ จำนวน ๘ ราย และกรรมการผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน จำนวน ๘ ราย ในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ จำนวนรวมทั้งสิ้น ๑๖ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. กรรมการผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ได้แก่ ๑.๑ นางเมทินี พงษ์เวช ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ พันโท สุนทร นพกุลสถิตย์ ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ภาคกลาง ๑.๓ นายสนั่น วุฒิ ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ภาคเหนือ ๑.๔ นายสุริพล สุวรรณจันทร์ดี ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑.๕ นายอนุสรณ์ โค่ยสัตยา ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ภาคใต้ ๑.๖ นางสาวเย็นฤดี วงศ์พุฒ ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ประเภทเครือข่าย ๑.๗ พลตรีหญิง คุณหญิง อัสนีย์ เสาวภาพ ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ประเภทเครือข่าย ๑.๘ พลตรีหญิง อุษณีย์ เกษมสันต์ ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ประเภทเครือข่าย ๒. กรรมการผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ได้แก่ ๒.๑ นายอนุสรณ์ รังสิโยธิน ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน กรุงเทพมหานคร ๒.๒ นายสำเภา วีระนนท์ ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ภาคกลาง ๒.๓ นายภูมิพัฒน์ คงวารินทร์ ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ภาคเหนือ ๒.๔ นายจินดา วรประเสริฐ ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒.๕ นายอุดม แก้วประดิษฐ์ ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ภาคใต้ ๒.๖ นายสามารถ พุทธา ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ประเภทเครือข่าย ๒.๗ นายไข่ นวลแก้ว ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ประเภทเครือข่าย ๒.๘ นายคำจันทร์ จันทน์จำปา ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน ประเภทเครือข่าย
|
||||||||||||||||||||||||
25668 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการแบบผังภูมิที่ครบวาระ (จำนวน 12 คน) | พณ | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการแบบผังภูมิ จำนวน ๑๒ คน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายเอกชัย ลีลารัศมี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๒. นายวัลลภ สุระกำพลธร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๓. นางภาณุมาศ สิทธิเวคิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขานิติศาสตร์ ๔. นายพินิจ กำหอม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๕. นายพินัย ณ นคร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขานิติศาสตร์ ๖. นายประดนเดช นีละคุปต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๗. นายบุญโชติ เผ่าสวัสดิ์ยรรยง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิทยาศาสตร์ ๘. นายวชิระ จงบุรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๙. นาวาอากาศเอก ประสงค์ ปราณีตพลกรัง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๑๐. นายสันติ รัตนสุวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิทยาศาสตร์ ๑๑. นางกนิษฐ เมืองกระจ่าง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาอุตสาหกรรม ๑๒. นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขานิติศาสตร์
|
||||||||||||||||||||||||
25669 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตรที่ครบวาระ (จำนวน 12 คน) | พณ | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตรชุดใหม่ จำนวน ๑๒ คน เนื่องจากกรรมการชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปีแล้วเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป
๑. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๒. นายบุญสนอง รัตนสุนทรากุล ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาอุตสาหกรรม ๓. นายพงศ์พันธ์ อนันต์วรณิชย์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ๔. นายสำเริง จักรใจ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๕. นายอุดมเกียรติ นนทแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๖. นางสาวณัฐนันท์ สินชัยพานิช ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาเภสัชศาสตร์ ๗. นายธีรยศ เวียงทอง ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๘. นายชำนาญ ภัตรพานิช ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาเภสัชศาสตร์ ๙. นายวิชา ธิติประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาเกษตรศาสตร์ ๑๐. นายนำชัย เอกพัฒนพานิชย์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขานิติศาสตร์ ๑๑. นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาเศรษฐศาสตร์ ๑๒. นายชัชวาลย์ สุมนะเศรษฐกุล ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิทยาศาสตร์
|
||||||||||||||||||||||||
25670 | การรับโอนและแต่งตั้งรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) (จำนวน 3 ราย) | นร52 | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ ดังนี้
๑. นายขวัญชาติ วงศ์ศุภรานันต์ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๒. นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๓. นางกิตติมา นวลทวี ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ |
||||||||||||||||||||||||
25671 | ส่งรายงานของรองนายกรัฐมนตรีเรื่อง ข้อมูลของกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ (ข้อมูลของกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ) | นร | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ จำนวน ๑๒๑ กองทุน จำแนกเป็นกองทุนด้านการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๑๔ กองทุน กองทุนด้านการพัฒนาคน ๖๐ กองทุน และกองทุนด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ จำนวน ๔๗ กองทุน โดยในปีบัญชี ๒๕๕๖ กรมบัญชีกลางได้ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ใน ๔ ด้าน คือ ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน พบว่า กองทุนที่มีผลการประเมินสูงสุด ได้แก่ กองทุนสนับสนุนการวิจัย กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันวินาศภัย กองทุนประกันสังคม และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ สำหรับกองทุนที่มีผลการประเมินต่ำสุด ได้แก่ เงินทุนหมุนเวียนดำเนินการโครงการผลิตถ่านหินเป็นพลังงานทดแทน เงินทุนหมุนเวียนข่าวสารการพาณิชย์ เงินทุนหมุนเวียนโรงงานฟอกหนัง กองทุนจัดการซากดึกดำบรรพ์ และกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เสนอ ๒. โดยที่เดิมคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) รวมทั้งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) มอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนที่อยู่ในความรับผิดชอบ โดยให้วิเคราะห์และเสนอแนวทางการปรับปรุง พัฒนา หรือยุบเลิกกองทุนต่าง ๆ ไว้แล้ว ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ครอบคลุมทั้งกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ของภาครัฐที่มีอยู่ทั้งหมด คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) รับเรื่องนี้ไปดำเนินการต่อไป โดยให้กระทรวงการคลังรวบรวมข้อมูลกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ของภาครัฐที่มีอยู่ทั้งหมดให้ครบถ้วน และจัดกลุ่ม วิเคราะห์ผลการดำเนินการ ประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับ และแนวทางการปรับปรุงหรือยุบเลิกกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนที่หมดความจำเป็น รวมทั้งให้จัดทำตัวชี้วัดของกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนโดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์และผลสัมฤทธิ์ของการจัดตั้งกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนดังกล่าว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนข้อมูลที่เกี่ยวข้องแก่กระทรวงการคลังด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
25672 | แนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลังปี 2557/58 | พณ | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๗๖๐ ล้านบาท ประกอบด้วย มาตรการระยะสั้น (๔-๖ เดือน) โดยการชดเชยดอกเบี้ยเพื่อชะลอการเก็บเกี่ยว วงเงินชดเชย ๓๗๕ ล้านบาท และการเพิ่มสภาพคล่องทางการค้า วงเงินชดเชย ๑๐๐ ล้านบาท และมาตรการระยะปานกลาง (๒ ปี หรือ ๒๔ เดือน) โดยการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกในระบบน้ำหยด วงเงินชดเชย ๑,๓๘๐ ล้านบาท และการยกระดับมาตรฐานการแปรรูปมันสำปะหลัง วงเงินชดเชย ๙๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของภาครัฐ วงเงิน ๕ ล้านบาท ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปดำเนินการ สำหรับค่าใช้จ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ตามมาตรการระยะสั้นและระยะปานกลาง จำนวน ๒,๗๕๕ ล้านบาท ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นผู้ดำเนินการปล่อยสินเชื่อ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่เกิดขึ้นต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการวางแผนเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการส่งเสริมและพัฒนาสินค้ามันสำปะหลังตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อปรับวิธีการปลูกและเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังได้อย่างเหมาะสม โดยศึกษารูปแบบการดำเนินงานที่ประสบผลสำเร็จ เช่น สีคิ้วโมเดล เป็นต้น มาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนหรือขยายผลให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ในการดำเนินการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการตามมาตรการระยะปานกลางของแนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. ให้ความสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้นด้วย |
||||||||||||||||||||||||
25673 | ขอเสนอเรื่องการต่ออายุบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือประเด็นความมั่นคงรูปแบบใหม่ (Instrument of the Extension of the MOU between ASEAN and China on Cooperation in the field of Non-Traditional Security Issues) | ตช | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการต่ออายุบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือประเด็นความมั่นคงรูปแบบใหม่ และเห็นชอบต่อตราสารการต่ออายุบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือประเด็นความมั่นคงรูปแบบใหม่ (Instrument of the Extension of the MOU between ASEAN and China on Cooperation in the field of Non-Traditional Security Issues) โดยอาเซียนและรัฐบาลจีนได้ตกลงกันที่จะต่ออายุการมีผลบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฯ ต่อไปอีกถึงวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เว้นแต่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกล่วงหน้าให้การบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฯ สิ้นผล ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามตราสารฯ ดังกล่าว ๑.๓ อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถดำเนินการแก้ไขปรับปรุงตราสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนามได้ (หากมีความจำเป็น) โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ในการลงนามตราสารฯ ดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
25674 | ขอความเห็นชอบให้ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมพ้นจากตำแหน่ง | สธ | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม ครั้งที่ ๑ ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่ให้นายสุวัช เซียศิริวัฒนา พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ตามนัยมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติองค์การเภสัชกรรม พ.ศ. ๒๕๐๙ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
25675 | การเปิดตัวแอปพลิเคชัน "สุขพอที่พ่อสอน" เฉลิมพระเกียรติ 5 ธันวาคม 2557 | ทก | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. การเปิดตัวแอปพลิเคชัน “สุขพอที่พ่อสอน” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๗ พรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักราชเลขาธิการได้จัดทำขึ้น โดยขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทคัดตัดตอนเพื่อนำมาพัฒนาในรูปแบบดิจิทัลสำหรับรองรับอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ (Mobile Devices) ซึ่งได้จัดเรียงพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทคัดตัดตอนรวมทั้งหมด ๘๘ ข้อความ แบ่งออกเป็น ๙ หมวดหมู่ ประกอบด้วย หมวดการศึกษา หมวดความยุติธรรม หมวดรู้รักสามัคคี หมวดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ หมวดประโยชน์ส่วนรวม หมวดการพัฒนา หมวดความพอเพียง หมวดคุณธรรมจริยธรรมความสุข และหมวดความปรารถนาดี ๒. ขอนำสื่อประชาสัมพันธ์แอปพลิเคชัน “สุขพอที่พ่อสอน” เข้าร่วมเผยแพร่ในกิจกรรมการจัดงานมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวามหาราช ในระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึงวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ บริเวณท้องสนามหลวง ๓. ขอความร่วมมือให้หน่วยงาน/ส่วนราชการช่วยประชาสัมพันธ์แอปพลิเคชัน “สุขพอที่พ่อสอน” ผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงาน/ส่วนราชการ สามารถดาวน์โหลดข้อมูลพร้อมวิธีการและช่องทางการติดตั้งแอปพลิเคชันดังกล่าวได้ที www.ega.or.th
|
||||||||||||||||||||||||
25676 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... โดยให้แก้ไขความในร่างมาตรา ๘๙ ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
25677 | ร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... โดยให้แก้ไขความในร่างมาตรา 89 ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 02/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้เสนอร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... โดยให้แก้ไขความในร่างมาตรา ๘๙ ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
25678 | การแสดงเจตจำนง (Pledge) การดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ (NAMAs) | ทส | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การแสดงเจตจำนงการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ (NAMAs) โดยเสนอตัวเลขของศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกเป็นช่วง (Range) ระหว่างร้อยละ ๗-๒๐ ๒. หนังสือแสดงเจตจำนงการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ (Nationally Appropriate Mitigation Actions : NAMAs) และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ต่อสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) ต่อไป ๓. ให้คณะผู้แทนไทยสามารถแจ้งข้อมูลเรื่องการแสดงเจตจำนงการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ (NAMAs) รวมทั้งตัวเลขศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างร้อยละ ๗-๒๐ ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๐ (Conference of the Parties : COP 20) รวมทั้งในการหารือแบบทวิภาคีและพหุภาคีได้
|
||||||||||||||||||||||||
25679 | ขอความเห็นชอบให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมและการฝึกอบรมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ | วท | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมและการฝึกอบรมในประเทศไทย จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ การประชุม Project Review and Coordination Meeting on Strengthening Regional Nuclear Regulatory Authorities and Safety Culture under RAS/9/061 ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ และการฝึกอบรม IAEA/RCA Regional Training Course on Essentials of Hybrid Nuclear Medicine Imaging ณ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ ๘-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ เพื่อจะได้ดำเนินการประสานกับกระทรวงการต่างประเทศแจ้งให้คณะผู้แทนถาวรไทยประจำกรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ทราบ และแจ้งให้ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ตามแนวทางปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ด้านการต่างประเทศ ที่ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่จะไปประชุมระดับนานาชาติ และจะเสนอตัวให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดงานหรือการประชุมระดับนานาชาติต่าง ๆ รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบในโอกาสแรกโดยเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
25680 | รายงานผลการเดินทางเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ณ นครพุกาม สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา | กห | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานผลการเดินทางเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ณ นครพุกาม สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) พร้อมคณะ ระหว่างวันที่ ๑๘ ถึง ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ สรุปได้ ดังนี้
๑. การลงนามในปฏิญญาร่วม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้ร่วมลงนามในปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศมุ่งสู่ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของประชาคมอาเซียน ๒. การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า สถานการณ์ด้านความมั่นคงในภูมิภาคและของโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น และมีความท้าทายต่ออาเซียนมากขึ้นด้วย ประเทศสมาชิกอาเซียนจึงต้องมีความร่วมมือในทุกระดับ นอกจากนี้ อาเซียนควรมุ่งเน้นความเป็นหนึ่งเดียว ความเป็นศูนย์กลางของความร่วมมือในภูมิภาค การเน้นที่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง และความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน สำหรับความร่วมมือกับประเทศนอกอาเซียน ถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจากอาเซียนสามารถใช้โอกาสดังกล่าวเป็นเครื่องมือถ่วงดุลกับประเทศมหาอำนาจ และใช้ศักยภาพของประเทศมหาอำนาจในการพัฒนาศักยภาพของอาเซียน ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ประณามและปฏิเสธการสนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรงและกลุ่มก่อการร้าย และเห็นว่าเป็นการกระทำที่บิดเบือนคำสอนทางศาสนา ๓. การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่นอย่างไม่เป็นทางการ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ประกาศนโยบายเสริมสร้างสันติภาพเชิงรุกในภูมิภาคเอเชีย (Proactive Contribution to Peace) ซึ่งจะทำให้กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นสามารถมีบทบาทและความร่วมมือด้านความมั่นคงมากขึ้นในอนาคต ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่นได้มีความก้าวหน้าขึ้น โดยมีการประชุม Tokyo Defence Forum การประชุมเจ้าหน้าที่กลาโหมในระดับอาวุโสอาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Defence Vice-Minister Forum) นอกจากนี้ ญี่ปุ่นเห็นว่ากลไกที่มีอาเซียนเป็นผู้นำถือเป็นพื้นฐานของความร่วมมือในภูมิภาค และกลไก ADMM-Plus ถือว่าเป็นกลไกที่จะนำความร่วมมือไปสู่ความเป็นรูปธรรม ๔. การหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสิงคโปร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเมียนมาเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความมั่นคง
|
.....