ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 633 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 12641 - 12660 จากข้อมูลทั้งหมด 123998 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12641 | รายงานการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน | รง | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๐ มีนาคม ๒๕๖๒ เพื่อปฏิบัติภารกิจส่งเสริม รักษา ขยายตลาด และติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับปัญหาด้านแรงงาน รวมทั้งสร้างขวัญกำลังใจให้แก่แรงงานไทย ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเยี่ยมผู้ฝึกงานด้านเทคนิคชาวไทย ณ ศูนย์ฝึกอบรมผู้ฝึกงานก่อนเข้าทำงาน ขององค์กรพัฒนาแรงงานระดับนานาชาติ ประเทศญี่ปุ่น (International Manpower Development Organization, Japan : IM Japan) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ขอให้ผู้ฝึกงานตั้งใจทำงาน เรียนรู้และฝึกฝนประสบการณ์ด้านเทคนิค เพื่อนำกลับมาปรับใช้ พัฒนา และนำไปสู่การยกระดับภาคอุตสาหกรรมของไทยต่อไป ๒. การเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขแรงงานและสวัสดิการญี่ปุ่น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือโครงการฝึกปฏิบัติงานทางเทคนิคในญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองผู้ฝึกงานต่างชาติและประกันคุณภาพองค์กรผู้จัดหาคนไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นมิให้เก็บค่าธรรมเนียมการจัดส่งในอัตราที่สูงเกินสมควร รวมถึงสนับสนุนให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญทางเทคนิคจากญี่ปุ่นให้แก่ไทย ๓. การหารือข้อราชการกับอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้หารือเกี่ยวกับการส่งเสริมและขยายตลาดแรงงานในญี่ปุ่น ซึ่งจากการที่ญี่ปุ่นได้อนุญาตให้แรงงานต่างชาติที่ถือวีซ่าผู้ที่มีเทคนิคเฉพาะ (Specified Skills Worker) รูปแบบใหม่ ทำให้แรงงานไทยให้ความสนใจไปทำงานที่ญี่ปุ่นมากขึ้น จึงได้มอบหมายให้สำนักงานแรงงานในญี่ปุ่นรายงานสถานการณ์ดังกล่าวให้กระทรวงแรงงานทราบเป็นระยะด้วย โดยอัครราชทูตฯ เห็นว่าฝ่ายไทยควรคำนึงถึง supply ของตลาดแรงงานในไทยด้วย เนื่องจากนโยบาย Thailand 4.0 ทำให้มีความต้องการแรงงานทักษะฝีมือในไทยเพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมทั้งได้หารือเกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือด้านการรับแรงงานผู้มีทักษะเฉพาะ (MOC on Specified Skills Worker) ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของทั้งสองประเทศและป้องกันไม่ให้ผู้เดินทางไปทำงานในประเทศญี่ปุ่นเสียค่าใช้จ่ายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ๔. การเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้หารือเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเปิดรับแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานตามระบบวีซ่าแบบใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อรับแรงงานในสาขาที่ญี่ปุ่นขาดแคลน จำนวน ๑๔ สาขา จำนวน ๓๔๕,๐๐๐ คน ภายใน ๕ ปี โดยทั้งฝ่ายญี่ปุ่นจะเตรียมจัดการทดสอบความรู้ความสามารถในไทย (ประมาณเดือนตุลาคม ๒๕๖๒) สำหรับ ๖ สาขา เช่น งานดูแลผู้สูงอายุ งานเครื่องจักรและเครื่องมือ เป็นต้น (๒) เตรียมมาตรการป้องกันการจ้างงานแบบผิดกฎหมายและปัญหาแรงงานถูกหลอกลวง และ (๓) จัดทำโครงการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่แรงงานต่างชาติ ส่วนฝ่ายไทยจะดำเนินการตรวจสอบ/ป้องกัน/ดำเนินคดีกับผู้ที่หลอกลวงแรงงาน และจะประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ชัดเจนให้แก่แรงงานเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12642 | รายงานผลการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 | นร | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเป็นการรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาและออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ (ครบกำหนดวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๒) จำนวน ๑๘ มาตรา แบ่งเป็นร่างกฎหมายลำดับรอง จำนวน ๑๓ มาตรา และแบบของประกาศ ระเบียบหรือข้อบัญญัติ และหลักเกณฑ์ วิธีการ ที่กำหนดตามพระราชบัญญัตินี้อีก จำนวน ๕ มาตรา ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยจะสามารถจัดทำและยกร่างกฎหมายลำดับรองได้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒ จำนวน ๙ มาตรา จะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12643 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการระดมทุนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ) | กค | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่เป็นดอกเบี้ยสลากออมทรัพย์และรางวัลสลากออมทรัพย์ที่ออกจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป และเงินฝากประเภทออมทรัพย์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับดอกเบี้ยที่คำนวณตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้อง ครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตลอดจนรายงานผลการดำเนินงานและสัมฤทธิ์ตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการในโอกาสแรก นอกจากนี้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ควรพิจารณาปรับลดราคาสลากต่อหน่วยลงเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงสลากออมทรัพย์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12644 | รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญฯ (เดือนมกราคม - มีนาคม 2562) | นร11 | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา ๒๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๖๒) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ความคืบหน้าซึ่งเป็นผลการดำเนินการที่สำคัญในแต่ละด้านของการปฏิรูปประเทศ เช่น ด้านการเมือง (โรงเรียนประชาธิปไตย : ให้มีการปฏิรูปและพัฒนาระบบการศึกษา รวมทั้งต้องพัฒนาโรงเรียนทุกโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการให้เป็น “โรงเรียนประชาธิปไตย”) ด้านการกฎหมาย (การผลักดันกฎหมายลดความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมในสังคม) และการปฏิรูปกระบวนการทำงานของภาครัฐเป็น E-government เป็นต้น ๒. ปัญหาอุปสรรค คือ หน่วยงานได้แจ้งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศมายังสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อดำเนินการตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวม ๑๑ หน่วยงาน ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รายงานเรื่องดังกล่าวไปยังคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านที่เกี่ยวข้องและอยู่ระหว่างการพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย ๓. ข้อเสนอแนะ คือ ให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบตามแผนการปฏิรูปประเทศเร่งตรวจสอบการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ โดยในกรณีที่หน่วยงานใดไม่สามารถดำเนินการได้ ให้หน่วยงานดังกล่าวเร่งดำเนินการตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อเสนอสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศใช้เป็นข้อมูลประกอบการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๒ ที่มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตรวจสอบรายละเอียดความสอดคล้องของแผนการปฏิรูปประเทศกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12645 | ปฏิญญาการประชุมระดับผู้นำของการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย ครั้งที่ 5 | กต | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาการประชุมระดับผู้นำของการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย (Conference on Interaction and Confidence Building Measures in Asia : CICA) ครั้งที่ ๕ มีสาระสำคัญเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของประเทศสมาชิก CICA ที่จะร่วมมือกันเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันในการเผชิญกับปัญหาและสิ่งท้าทายต่าง ๆ ผ่านกรอบความร่วมมือทั้ง ๕ มิติ ได้แก่ การเมืองและการทหาร เศรษฐกิจ ภัยคุกคามและความท้าทายรูปแบบใหม่ สิ่งแวดล้อม และมนุษย์ ในประเด็นความมั่นคง เศรษฐกิจ การต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธประเภทอื่น ๆ ความร่วมมือด้านพลังงาน การเงิน การพัฒนาที่ยั่งยืน สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรน้ำ การคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว โดยจะมีการรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุม CICA ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ ที่กรุงดูชานเบ สาธารณรัฐทาจิกิสถาน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรีร่วมรับรองปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12646 | การจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพ (host country agreement) กับสำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ | ยธ | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการจัดทำความตกลงประเทศเจ้าภาพ (host country agreement) กับสำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) ของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) และหนังสือแลกเปลี่ยน รวมทั้งอนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยน และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนาม โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ผู้เข้าร่วมการประชุมและบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการประชุม และการนำเข้าวัสดุอุปกรณ์โดยปลอดภาษีอากรสำหรับการประชุมตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของสหประชาชาติ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12647 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลอุทกวิทยา กรณีฤดูน้ำหลากสำหรับแม่น้ำโขง - ล้านช้าง ของคณะทำงานร่วมสาขาทรัพยากรน้ำ ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง | นร | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๑.๒ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลอุทกวิทยา กรณีฤดูน้ำหลากสำหรับแม่น้ำโขง-ล้านช้าง ของคณะทำงานร่วมสาขาทรัพยากรน้ำ ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือระหว่างคณะทำงาน โดยจะมีการแบ่งปันข้อมูลอุทกวิทยาในช่วงฤดูน้ำหลาก เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพสำหรับการบริหารจัดการและบรรเทาสภาวะน้ำท่วมในแม่น้ำโขง-ล้านช้าง และระบุหน้าที่ของคณะทำงานร่วมสาขาทรัพยากรน้ำของประเทศสมาชิกในการดำเนินงานร่วมกัน ๑.๓ อนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในการประชุมคณะทำงานร่วมสาขาทรัพยากรน้ำ สมัยวิสามัญ ระหว่างวันที่ ๔-๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12648 | ขอความเห็นชอบท่าทีของผู้แทนรัฐบาลไทยในการเข้าร่วมการประชุมใหญ่ประจำปีองค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ 108 | รง | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบท่าทีของผู้แทนรัฐบาลไทยในการประชุมใหญ่ประจำปีองค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ ๑๐๘ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง กำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๐-๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ประกอบด้วย (๑) การลงคะแนนเสียงรับรองการออกอนุสัญญาว่าด้วยการยุติความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน (๒) การลงคะแนนเสียงรับรองการออกข้อแนะว่าด้วยการยุติความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน และ (๓) การรับรองปฏิญญาแห่งศตวรรษ โดยไม่มีการลงนาม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับอนุสัญญาว่าด้วยการยุติความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน กำหนดหน้าที่ให้ประเทศสมาชิกต้องปฏิบัติ โดยใช้ถ้อยคำที่มุ่งหมายให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ จึงเข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยหากการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามหนังสือสัญญานั้นต้องมีการออกพระราชบัญญัติ หรือหนังสือสัญญานั้นอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก็จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ไปพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12649 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรี G20 ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมโลกเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน | ทส | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรี G20 ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมโลกเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ ประเทศญี่ปุ่น และอนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยให้การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างแถลงการณ์ Communique (Global Environment) มีสาระสำคัญเป็นการยอมรับการปรับปรุงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพผ่านทางนโยบายและวิธีการต่าง ๆ เช่น เศรษฐกิจหมุนเวียน การจัดการวัสดุอย่างยั่งยืน และหลักการ 3Rs และการทำให้ขยะมีมูลค่า การดำเนินการในเรื่องขยะพลาสติกในทะเลเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติอย่างเร่งด่วนเนื่องจากมีผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตลอดจนการยอมรับความสำคัญของการกำหนดยุทธศาสตร์ด้านการปรับตัวที่ครอบคลุมและการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติในทุกระดับ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นต่อเหตุการณ์สภาพอากาศและภัยพิบัติที่เลวร้าย ๑.๒ G20 Implementation Framework for Actions on Marine Plastic Litter เป็นภาคผนวกของร่างแถลงการณ์ Communique (Global Environment) มีสาระสำคัญเป็นการอำนวยความสะดวกในการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพของแผนปฏิบัติการ G20 ว่าด้วยขยะทะเลผ่านปฏิบัติการสนับสนุนจากสมาชิก G20 และการทำงานร่วมกันและขยายผลการดำเนินการของแผนปฏิบัติการฯ ๑.๓ ร่างแถลงการณ์ G20 Communique Joint part (Energy and Environment) มีสาระสำคัญในการยอมรับความสำคัญของการเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านพลังงานเพื่อที่จะตระหนักในเรื่อง “3E+S” (ความมั่นคงทางพลังงาน ความพอเพียงทางเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย) และการจัดการประเด็นความท้าทายหลักระดับโลกต่าง ๆ ซี่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้ทรัพยากรที่ไม่ยั่งยืน มลพิษทางน้ำและอากาศ และประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตลอดจนการสร้างความมั่นใจในความมั่นคงด้านพลังงาน การลดก๊าซเรือนกระจกและการปล่อยก๊าซอื่น ๆ และการปรับปรุงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12650 | การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2562 ถึงวันที่ 19 กันยายน 2562) | นร08 | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ทุกอำเภอในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยกเว้นอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส ออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส ยกเว้นอำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอสุคิริน จังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง และจังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอแม่ลาน และร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๒.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๓. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12651 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำ จำนวน 14 ฉบับ | นร | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำ จำนวน ๑๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตลุ่มน้ำสาละวิน ลุ่มน้ำปิง ลุ่มน้ำวัง ลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำโขงเหนือ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำบางปะกง ลุ่มน้ำโตนเลสาป ลุ่มน้ำแม่กลอง ลุ่มน้ำโขงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำมูล เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำให้สามารถดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำสาละวิน พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำปิง พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำวัง พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำยม พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำน่าน พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำโขงเหนือ พ.ศ. .... ๑.๗ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำเจ้าพระยา พ.ศ. .... ๑.๘ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำป่าสัก พ.ศ. .... ๑.๙ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำบางปะกง พ.ศ. .... ๑.๑๐ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำโตนเลสาป พ.ศ. .... ๑.๑๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำแม่กลอง พ.ศ. .... ๑.๑๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำโขงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ. .... ๑.๑๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำชี พ.ศ. .... ๑.๑๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำมูล พ.ศ. .... ๒. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองได้ภายในกำหนดระยะเวลาตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ เนื่องจากมีความจำเป็นต้องดำเนินการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการแบ่งพื้นที่ลุ่มน้ำเพิ่มเติมให้ครอบคลุมมิติต่าง ๆ โดยคำนึงถึงสภาพอุทกวิทยา สภาพภูมิศาสตร์ ระบบนิเวศ การตั้งถิ่นฐาน การผังเมือง ผังน้ำ และเขตการปกครอง ประกอบกับการจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นอาจไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการในช่วงที่มีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ นอกจากนี้ ในการจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวต้องระบุเขตพื้นที่การปกครองจนถึงระดับตำบล และครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งมีข้อมูลเป็นจำนวนมาก เพื่อให้การกำหนดขอบเขตลุ่มน้ำเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม และลดข้อผิดพลาดที่จะมีผลกระทบต่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในแต่ละลุ่มน้ำ เช่น การคัดเลือกคณะกรรมการลุ่มน้ำ การจัดทำแผนแม่บทการใช้น้ำ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การฟื้นฟู และการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำ การจัดทำแผนป้องกันภาวะน้ำแล้งและภาวะน้ำท่วม การประกาศเขตภาวะน้ำแล้ง การขออนุญาตการใช้น้ำประเภทต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดรอบคอบ เพื่อความถูกต้อง เหมาะสม และลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ๓. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า (๑) ร่างพระราชกฤษฎีกาบางฉบับมีการแสดงพื้นที่ที่มีเส้นแนวเขตพรมแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน หน่วยงานเจ้าของเรื่องอาจพิจารณาตรวจสอบแผนที่แนบท้ายร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวกับกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และหรืออาจพิจารณาใส่ถ้อยคำว่า “แผนที่ฉบับนี้ห้ามนำไปใช้อ้างอิงในการกำหนดเขตหรือแนวพรมแดนระหว่างประเทศ” ท้ายแผนที่แนบท้ายของร่างพระราชกฤษฎีกาเฉพาะฉบับที่แสดงแนวเส้นเขตพรมแดนระหว่างราขอาณาจักรไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นการสงวนสิทธิ์ไว้ด้วย (๒) ควรนำเสนอเหตุผลการทบทวนปรับการจัดแบ่งขอบเขตลุ่มน้ำในภาพรวมของประเทศ วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสนอ ปัญหา อุปสรรค ข้อกฎหมาย และผลกระทบที่เกิดขึ้นตามขอบเขตของพื้นที่ลุ่มน้ำที่กำหนดเป็นระดับตำบล การผันน้ำข้ามลุ่มน้ำ รวมถึงอำนาจและเงื่อนไขในการอนุญาตใช้น้ำตามกฎหมายว่าด้วยทรัพยากรน้ำพร้อมผลการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย และควรเร่งดำเนินการจัดทำผังน้ำเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติให้แล้วเสร็จ เพื่อประกอบการตราพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ต่อไป และ (๓) แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาควรตรวจสอบความถูกต้องของเขตการปกครองท้องที่และยืนยัน ไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบเพื่อประกอบการพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการนำร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดลุ่มน้ำชายฝั่งอ่าวไทยตะวันตก ลุ่มน้ำสะแกกรัง ลุ่มน้ำท่าจีน ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่าง และลุ่มน้ำฝั่งตะวันตก เสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12652 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 51 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2561 - 28 กุมภาพันธ์ 2562) และครั้งที่ 52 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2561-31 มีนาคม 2562) (ครั้งที่ 52) | นร04 | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๕๑ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒) และครั้งที่ ๕๒ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๒) ประกอบด้วย (๑) การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น การแก้ไขความเดือดร้อนในพื้นที่เรื่องที่ดินทำกิน สาธารณูปโภค สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ของศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ และ (๒) การบริหารราชการแผ่นดิน จำแนกสาระสำคัญเป็นด้านความมั่นคง ด้านสังคมจิตวิทยา ด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน และด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12653 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติศึกษารายละเอียดการวางระบบการบริหารจัดการน้ำของประเทศต่าง ๆ และประสานขอความร่วมมือไปยังผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาประยุกต์ใช้ในการวางระบบระบายน้ำและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ๑.๒ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการเตรียมการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ต่าง ๆ ให้เป็นระบบ โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เช่น การปรับปรุงและพัฒนาแผนการระบายน้ำ การขจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำที่เกิดจากการก่อสร้างและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการพื้นที่น้ำท่วม/พื้นที่ชะลอน้ำ และการปรับปรุงคูคลองเพื่อให้ระบายน้ำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของสถานศึกษาและแหล่งชุมชนที่มีการจราจรคับคั่งในชั่วโมงเร่งด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12654 | รายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนมีนาคม - เมษายน 2562 (เมษายน 2562) | นร | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนมีนาคม-เมษายน ๒๕๖๒ และมอบหมายให้โฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวและชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวงอย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นการประกันภัยข้าวนาปี และการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๒ และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ (เพิ่มเติม) ๒. ภัยแล้ง เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๖๒ ๓. โครงการระบบรถไฟชานเมือง เน้นการประชาสัมพันธ์ในการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง สายสีแดง (ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา) และสายสีแดงเข้ม (ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต) และโครงการระบบรถไฟชานเมือง สายสีแดงอ่อน (ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ๔. ประเพณีสงกรานต์ เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นแนวทางการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๒ (สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ำคุ้มค่า ชีวาปลอดภัย) ๕. การเลือกตั้ง เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นการรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ๖. ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในพื้นที่ภาคเหนือ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12655 | สรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยสถาบัน IMD ปี 2562 | นร11 | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติสรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยสถาบันการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development : IMD) ปี ๒๕๖๒ ซึ่งผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจทั่วโลก จำนวน ๖๓ ประเทศ ปรากฏว่า สิงคโปร์ขยับขึ้นมาครองอันดับที่ ๑ จากอันดับที่ ๓ ในปี ๒๕๖๑ ในขณะที่สหรัฐอเมริกาตกจากอันดับ ๑ ในปี ๒๕๖๑ มาเป็นอันดับ ๓ ในปีนี้ ส่วนฮ่องกงยังคงอันดับที่ ๒ เช่นเดียวกับปี ๒๕๖๑ และสวิตเซอร์แลนด์ครองอันดับที่ ๔ ดีขึ้น ๑ อันดับ สำหรับการจัดอันดับประเทศในกลุ่มอาเซียน ๕ ประเทศ ประกอบด้วย สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ส่วนใหญ่มีอันดับดีขึ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซียมีอันดับดีขึ้นถึง ๑๑ อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ ๓๒ (จากอันดับที่ ๕๐ ในปี ๒๕๖๑) และไทยมีอันดับดีขึ้น ๕ อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ ๒๕ (จากอันดับที่ ๓๐ ในปี ๒๕๖๑) และยังเป็นอันดับที่ ๓ ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยมาเลเซียยังคงรักษาอันดับ ๒๒ ไว้ได้ และสิงคโปร์ดีขึ้น ๒ อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ ๑ แม้ว่ามีผลคะแนนรวมลดลงเป็น ๗๗.๒๓๓ คะแนน จาก ๗๙.๔๕๐ คะแนน ในปี ๒๕๖๑ โดยที่ประเทศส่วนใหญ่มีคะแนนลดลง ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12656 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 | ทส | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๒ ซึ่งที่ประชุม คทช. ได้รับทราบและพิจารณาผลการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) รับทราบผลการดำเนินงานตามมติ คทช. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วยผลการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการ คทช. และผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการภายใต้ คทช. ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ (๒) รับทราบความคืบหน้าการเสนอร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๓) รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ เรื่อง รายงานผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) (๔) รับทราบการดำเนินงานในการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน คทช. (๕) เห็นชอบการดำเนินโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๔ โครงการ และ (๖) เห็นชอบให้ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย และคำสั่งคณะอนุกรรมการฯ เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย จำนวน ๔ คณะ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12657 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. 2560 - 2564 ประจำปี พ.ศ. 2561 | กค | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยกระทรวงการคลังสามารถดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๓๑ โครงการ จากทั้งหมด ๖๙ โครงการ และโครงการที่คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ แต่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จก่อนกำหนด จำนวน ๙ โครงการ โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติสถาบันการเงินประชาชน พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. .... ที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งแล้วเสร็จก่อนกำหนดถึง ๒ ปี รวมทั้งมีโครงการที่ดำเนินการได้เกินร้อยละ ๗๐ ของเป้าหมายถึง ๗ โครงการ อย่างไรก็ตาม ยังมีโครงการที่มีผลการดำเนินการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ได้แก่ โครงการในกลยุทธ์การลดภาระหนี้สินภาคครัวเรือนอย่างยั่งยืน ซึ่งจะต้องมีการปรับแนวทางการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และโครงการการอบรมโปรแกรมบัญชีสถาบันการเงินชุมชนที่อาจจะต้องปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติสถาบันการเงินประชาชน พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยหลังจากนี้กระทรวงการคลังจะประเมินผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินการและใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำนโยบายในระยะต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12658 | รายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560-2564) ประจำปี 2561 | กค | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ ๓ (ปี ๒๕๖๐/๒๕๖๔) ประจำปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงกาคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทยฯ ณ สิ้นไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) แผนงานที่ดำเนินการแล้วเสร็จ เช่น การพัฒนาระบบ (platform) เพื่อรองรับการซื้อขายสำหรับนักลงทุนประเภทพิเศษ การพัฒนาระบบการชำระเงินสำหรับตลาดทุน เป็นต้น (๒) แผนงานที่ดำเนินการแล้วเสร็จตามตัวชี้วัดแต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากการดำเนินการส่วนใหญ่อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาทางกฎหมาย เช่น การจัดทำกลไกคะแนนบัตรเครดิต (credit scoring) ให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การแก้ไขหลักเกณฑ์เพื่อรองรับการตั้ง Thailand Future Fund เป็นต้น (๓) แผนงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ เช่น การส่งเสริมการแข่งขันและการเข้าถึงบริการทางการเงินด้วยเทคโนโลยี การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อใช้วิเคราะห์การลงทุนในตลาดทุน เป็นต้น (๔) แผนงานที่ล่าช้ากว่ากำหนด เช่น การสนับสนุนให้ Startup เข้าถึงแหล่งเงินทุน การปรับกติการองรับรูปแบบการทำธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีแทนคน เป็นต้น และ (๕) แผนงานที่ไม่เป็นไปตามแผน คือ การเปิดให้บุคคลที่ไม่ใช่ผู้ออกหลักทรัพย์สามารถนำหลักทรัพย์มายื่นขอจดทะเบียนเพื่อทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ ๒. การประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฯ ในระยะครึ่งแผน ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทยฯ เตรียมเก็บข้อมูลเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฯ ผ่านตัวชี้วัดผลการดำเนินการทั้งในระดับวิสัยทัศน์และระดับเป้าหมายหลัก ๔ ด้าน ในระยะครึ่งแผน (สิ้นปี ๒๕๖๒) เปรียบเทียบกับเป้าหมายในปี ๒๕๖๔ ซึ่งจะได้เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12659 | การดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในการคมนาคมบนทางยกระดับอุตราภิมุข | คค | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในการคมนาคมทางยกระดับอุตราภิมุข ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กรมทางหลวงและบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงการเข้าร่วมดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในการคมนาคมบนทางยกระดับอุตราภิมุขแล้ว เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๒. คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการทางหลวงสัมปทาน ในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑ ถนนวิภาวดีรังสิต ตอน ดินแดง-ดอนเมือง และทางหลวงสัมปทานตอนต่อขยายทางด้านทิศเหนือ ได้ประชุมเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ รับทราบการดำเนินการของกรมทางหลวง และให้กรมทางหลวงติดตามการดำเนินการในเรื่องการชำระเงิน รวมทั้งเมื่อได้รับอนุมัติงบประมาณและเบิกจ่ายเงินชดเชยแล้ว ให้รายงานกระทรวงคมนาคมเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. กระทรวงคมนาคมได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในการคมนาคมบนทางยกระดับอุตราภิมุข เป็นเงินจำนวน ๑๔,๕๐๔,๐๐๐ บาท และกรมทางหลวงได้เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าว โดยชำระให้กับบริษัท ทางยกระดับดอนเมืองฯ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๑๔,๕๐๓,๐๕๕ บาท เรียบร้อยแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12660 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 51 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2561 - 28 กุมภาพันธ์ 2562) และครั้งที่ 52 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2561 - 31 มีนาคม 2562) (ครั้งที่ 51) | นร04 | 04/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๕๑ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒) และครั้งที่ ๕๒ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๒) ประกอบด้วย (๑) การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น การแก้ไขความเดือดร้อนในพื้นที่เรื่องที่ดินทำกิน สาธารณูปโภค สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ของศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ และ (๒) การบริหารราชการแผ่นดิน จำแนกสาระสำคัญเป็นด้านความมั่นคง ด้านสังคมจิตวิทยา ด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน และด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ
|
.....